ลองมองดูใบหน้าของเด็กดูสิคะ เราจะพบว่าที่บริเวณแก้มด้านหน้าของเด็กนั้นมีปริมาณของเนื้อเยื่อไขมันที่ยังเยอะและเต็มอยู่

พอเราแก่ลง อายุมากขึ้น ปริมาณเนื้อเยื่อไขมันนั้นก็จะค่อยๆลดลงไปตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้บริเวณแก้มแบนลง ร่วมกับร่องน้ำตาและร่องแก้มที่ลึกขึ้น

เคสที่หมอจะนำมาเล่าให้ฟังกันในวันนี้ เป็นผู้หญิงอายุ 39 ปี

หลายๆคนยังไม่รู้ถึงความแตกต่างระหว่างการฉีดฟิลเลอร์ร่องน้ำตาและบริเวณแก้มด้านหน้าว่าเป็นอย่างไร เดี๋ยวหมอจะอธิบายให้ฟังค่ะ

ฟิลเลอร์ร่องน้ำตาเป็นการฉีดเติมเต็มเข้าไปที่ส่วนของร่องน้ำตาเท่านั้น(บริเวณเส้นสีแดง)...ในขณะที่ฟิลเลอร์แก้มด้านหน้าเป็นการฉีดเติมเต็มเข้าไปในบริเวณที่กว้างกว่านั้น(บริเวณเส้นสีเหลือง)ใต้ร่องน้ำตาค่ะ

เมื่อปริมาณเนื้อเยื่อไขมันของแก้มด้านหน้าลดลง จะส่งผลให้...

1. หน้าดูไม่มีมิติ... หน้าจึงดูแบนและกว้างขึ้น
2. ผิวหนังส่วนล่าง(บริเวณเส้นสีดำ) เกิดการหย่อนคล้อย เนื่องจากขาดปริมาตรของเนื้อเยื่อที่ดึงอยู่ด้านบน
3. และจากเหตุผลในข้อ2 สามารถทำให้ร่องแก้ม(บริเวณเส้นสีเขียว)ดูลึกขึ้นไปอีกด้วย

หมอได้ทำการฉีด HA filler เข้าไปที่บริเวณแก้มด้านหน้าข้างละ 0.4cc และที่บริเวณร่องน้ำตาข้างละ 0.5cc... แต่ครั้งนี้หมอไม่ได้ฉีดเติมตรงร่องแก้มเลยนะคะ

หลังจากฉีดฟิลเลอร์เรียบร้อยแล้ว จะเห็นได้ว่าร่องน้ำตาดูตื้นขึ้น แก้มด้านหน้าดูเต็มขึ้น และร่องแก้มก็ดูตื้นขึ้นด้วย ทั้งๆที่หมอไม่ได้ฉีดร่องแก้มให้ผู้ป่วยรายนี้เลย ซึ่งเป็นผล lifting effect จากการฉีดฟิลเลอร์ที่บรเวณแก้มด้านหน้านั่นเองค่ะ ลองดูภาพที่หมอวาดข้างล่างนี้จะเข้าใจได้ง่ายขึ้นค่ะ

อันที่จริงแล้วในผู้ป่วยรายนี้ หมอแนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์แก้มด้านหน้าอีกข้างละ 0.5cc เพื่อให้หน้าดูเด็กลงชัดเจนกว่านี้ แต่เนื่องจากผู้ป่วยท่านนี้ไม่ต้องการให้คนอื่นสังเกตเห็นว่าไปฉีดอะไรมาและอยากดูเป็นธรรมชาติมากกว่า จึงหยุดไว้ที่ปริมาณแค่นี้ก่อน และในภายหลังเมื่อเธอคุ้นเคยกับใบหน้าที่เปลี่ยนไปมากขึ้นและอยากเพิ่มปริมาณฟิลเลอร์ให้เต็มกว่านี้ ก็สามารถเข้ามาให้หมอเติมฟิลเลอร์ให้ได้ตลอดเวลาค่ะ… 

ซึ่งตรงจุดนี้เป็นข้อได้เปรียบของฟิลเลอร์ที่ดีกว่าการทำศัลยกรรมค่ะ และถือเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับผู้ที่ต้องการมีใบหน้าที่สวยเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่สวยแต่ดูพลาสติกเกินไปแบบผู้หญิงในภาพด้านล่างนี้ค่ะ^^;;;

ขอบคุณสำหรับการติดตามบทความของเราค่ะ