บริหาร การจัดการ การตลาด พัฒนาตนเอง พัฒนาความคิด กลยุทธ์ ธรรมะ จักรราศี ฯลฯ
จัดตั้งธุรกิจ ปรับปรุงกิจการ | ไขความลับสมองเงินล้าน | การเขียนแผนธุรกิจ | บริหารคน บริหารงาน | พัฒนาความคิด
พระไตรปิฎกฉบับหลวง | แด่องค์กรที่แสนรัก | สุขใจกับเด็กสมาธิสั้น
Group Blog
 
<<
เมษายน 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
23 เมษายน 2551
 
All Blogs
 
อุบาสิกา ถวิล - บทที่ห้า - บ้านอย่างนี้ไม่มีในโลก

ป้าจำได้แม่นยำไม่มีวันลืม ถึงช่วงมีชีวิตตอนนี้ ที่บ้านธรรมประสิทธิ์ เป็นเวลาที่มีความสุขที่สุข และวันเวลาเหล่านั้นก็ผ่านไป ห่างกันนานมากถึง ๒๔ ปีแล้ว ไม่มีโอกาสได้สดชื่นเบิกบานใจ อย่างครั้งกระโน้นอีกเลย เวลาในชีวิตของป้าที่เหลืออยู่มีน้อยเต็มทีแล้ว ป้ารู้ว่าในเวลาที่เหลืออยู่นี้ จะไม่มีเหตุการณ์เหมือนหรือคล้ายอย่างที่พบนั้น เกิดขึ้นอีก ป้าจึงขอเล่าความหลังเหล่านี้ไว้เป็นอนุสรณ์ คนรุ่นเก่าของวัดพระธรรมกาย

เมื่อหลวงพ่อฯ อยู่ในเพศสมณะ ห่มผ้ากาสาวะ ซึ่งเราคนหนึ่งมีฝีมือเรื่องเสื้อผ้า ตัดเย็บจีวรถวาย ย้อมด้วยสีเหลืองงามมาก ไม่ใช่เหลืองออกแดงเหมือนของร้านค้า สีจีวรกลมกลืนเหมาะสมกับผิวพรรณผ่องใสของท่าน เหมือนเอาทองคำห่อหุ้มแท่งแก้วมณีบริสุทธิ์ หลวงพ่อฯ จึงเสมือนแม่เหล็กที่มีกำลังพิเศษ ดึงดูดผู้คน ส่วนหนึ่งนึกอยากรู้ว่าปฏิบัติธรรมดีอย่างไร ทำให้คนหนุ่มรูปหล่อความรู้ดี การงานดี มีศรัทธาบวช พวกนี้พากันมาดูแล้ว ก็พยายามฟังคำสอนและลงมือปฏิบัติ อีกส่วนหนึ่งร่ำลือกันว่าหลวงพ่อฯ เป็นพระภิกษุรูปงามมาก งามกว่าพระเอกหนังเสียอีก ก็พากันยกขบวนเป็นกลุ่มมาดู แกล้งทำเป็นสนใจ พอหลวงพ่อฯ แนะนำสั่งสอนให้ ขณะลงมือปฏิบัติ หลวงพ่อฯ หลับตา พวกนี้ก็ลืมตาจ้องหลวงพ่อฯ เป๋งทีเดียว เวลานั้นคุณยายฯ จึงต้องทำหน้าที่ป้องกัน เมื่อเห็นใครมาผิดสังเกต เช่นมานั่งเฝ้ามองทั้งวัน บางรายมีปริญญาโทจากต่างประเทศ พามารดาที่มีฐานะดีมากมาด้วย ทั้งแม่ทั้งลูกมาเฝ้ากันทุกวัน

ถ้าเป็นแขกพิเศษประเภทมาหลวงไหลพระ คิดจะชวนสึกหาลาเพศอย่างนี้ คุณยายฯ จะถามตรงๆ ให้อายกันไปทีเดียวว่า " คุณ คุณ คุณจะมาเรียนธรรมะ หรือจะมาดูพระ " ถามบ่อยเข้า ในที่สุดก็ต้องหายหน้าไปเอง

หลวงพ่อฯ ท่านไม่มีมลทินมัวหมองเรื่องสีกา ก็เพราะมีคุณยายฯ ช่วยสอดส่องนั่นเอง

พวกแขกดังกล่าวนี้ มักมาตอนกลางวัน หรือบ่ายๆ ส่วนตอนเย็นเป็นสมาชิกประจำ คือ หมู่คณะของพวกเรา ตั้งแต่หลวงพ่อบวชแล้ว หมู่คณะของเรามากันครบหน้าเป็นประจำ ป้าเองแต่เดิมเคยไปบ้างเว้นบ้าง เพราะตอนเย็นหลังเลิกงาน สามีจะขับรถแวะมารับและกลับบ้านพร้อมกัน พอถึงเวลาที่เล่านี้ ป้าก็ไม่ขาดการปฏิบัติทุกเย็น จึงให้สามีเลิกไปรับ ซึ่งเป็นเหตุหนึ่งที่ถูกอีกฝ่ายโกรธ แต่เขาก็ไม่แสดงให้เห็นว่าไม่พอใจ ตรงข้ามเมื่อเห็นป้ารับหน้าที่ทำน้ำปานะไปถวายหลวงพ่อฯ ทุกเย็น ยังฝากเงินทำบุญให้ตายใจอีกด้วย

ปกติป้าเป็นคนไม่มีฝีมือเรื่องทำอาหาร หรือเครื่องดื่มอะไรเลย แต่เวลานั้นเพื่อแบ่งเบาภาระของคุณยายฯ ป้ารับทำน้ำปานะเสียเอง บางวันก็ซื้อส้มเขียวหวานไปคั้น บางวันเป็นมะเขือเทศ บางทีป้าก็เอาลูกสมอดิบมาโขลกใส่น้ำสุก แล้วกรองเอากากออก ผสมน้ำตาลเกลือ บางครั้งเป็นลูกเชอรี่

ที่ทำงานป้าอยู่ใกล้ท่าเรือคลองเตย ขึ้นรถเมล์สาย ๔ สุดสาย ก็ถึงวัดปากน้ำภาษีเจริญ ก่อนเข้าไปบ้านธรรมประสิทธิ์ของคุณยายฯ เราก็มักแวะรับประทานอาหาร ที่หน้าวัดกันบ้างที่ฝั่งคลองตรงข้ามบ้านคุณยายฯ กัยบ้าง ถ้าพบกันหลายๆ คน คนที่ทำงานแล้ว มักเป็นเจ้ามือเลี้ยง เรามักจะรับประทานซ้ำอยู่ร้านเดิมเป็นประจำ นานเข้าก็คุ้นเคยกับเจ้าของร้าน เขามักใจดีขายอาหารดี ราคาถูกให้เสมอ แถมยังเล่าเพิ่มเติมว่า การที่พวกเรารับประทานอาหาร ที่ร้านของเขา ทำให้เขาขายดีได้กำไรมาก ฟังแล้วเราก็คิดกันว่า เจ้าของร้านคงพูดเอาใจ เมื่อคุยกันและคุณยายฯ ได้ยินเข้า ท่านบอกว่า ไม่ใช่เจ้าของร้านแกล้งพูด เป็น เรื่องจริง เพราะคนปฏิบัติธรรมนั้น เป็นผู้แสวงหาบุญกุศลอยู่เสมอ จะมีเทวดาชั้นต้นประเภทหนึ่ง คอยตามตามดูแลรักษา จะกินอาหารที่ร้านใด เทวดาก็จะดลใจ ให้ร้านนั้นทำของดี สะอาด และราคาไม่แพง

เท่าที่ป้าพบ ไม่ช่แต่เรื่องร้านอาหาร แม้แต่ร้านขายของทั่วไป บางทีป้าเดินผ่านโดยไม่ซื้อเหมือนเช่นเคย แม่ค้าจะอ้อนวอนว่า ขอให้ซื้ออะไรก็ได้ แค่บาทเดียวก็ยังดี เมื่อป้าซักถึงสาเหตุ เขาก็ตอบว่า " ชั้นสังเกตดูนะคะ ไม่รู้เป็นไงพอคุณซื้ออะไรชั้นครั้งใด ประเดี๋ยวเดียว ก็จะมีคนตามมาซื้อ ของขอายดีเป็นพิเศษทีเดียวค่ะ "

ป้าคิดว่า ถ้าแม่ค้าพูดจริงก็คงเป็นเพราะ ป้าชอบซื้อของแล้วชอบให้พรแม่ค้าทุกครั้งว่า " ไปละนะ ขอให้โชคดี ขายดี " เทวดาที่คอยดูแลป้า คงทำตามที่ป้าต้องการ ตามคนซื้อมาให้แม่ค้า

นี่ป้าเถลไถลออกไปนอกเรื่อง เป็นความรู้เบ็ดเตล็ด เพื่อให้กำลังใจคนที่ประสงค์จะทำความดี ว่า มีเทวดาตามดูแลรักษาช่วยเหลือ ทั้งนี้เพราะเทวดารู้ตัวดีว่า เป็นเทวดาเพราะสร้างบุญเอาไว้ พอหมดบุญเมื่อใดก็จะต้องจุติ จึงต้องการบุญเพิ่ม แต่ในเทวภูมิไม่มีโอกาสทำบุญ จะให้ทาน ก็ไม่มีผู้รับ เพราะแบ่งกันกินกันใช้ไม่ได้ ของใครของมัน ของทิพย์ไม่เหมือนของมนุษย์ ใช้ได้เฉพาะตัวจริงๆ และมีความเป็นอยู่ ที่สุขสบายสนุกสนานเพลิดเพลิน ชวนให้ประมาทอยู่ตลอดเวลา

ย้อนกลับมาเล่าถึงเหตุการณ์ ในบ้านธรรมประสิทธิ์ใหม่ ในระยะเดือนแรกที่หลวงพ่อฯ บวช ท่านไม่มีความกังวลใจสิ่งใด จึงตั้งหน้าสั่งสอนอบรมหมู่คณะเต็มที่ โดยเฉพาะหับเด็กๆ ลูกหลานของสมาชิกในหมู่คณะ ท่านมีเมตตาเป็นพิเศษ และเด็กก็สามารถปฏิบัติได้ดี ได้ผลเร็ว ให้ทำอภิญญาจิตก็ทำได้ดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเรื่องหูทิพย์ ตาทิพย์ ระลึกชาติได้ รู้ใจผู้อื่น หรือแสดงฤทธิ์ ทำกันได้เป็นอัศจรรย์

ป้าจะยกตัวอย่างให้ฟัง บางครั้งอากาศร้อนติดต่อกันหลายวัน เด็กๆ ที่ปฏิบัติได้ผลเหล่านี้ ทำฤทธิ์ช่วยกันเรียกฝน พวกเขาพากันตามเทวดา ที่มีหน้าที่ดูแลดินฟ้าอากาศ ให้มาช่วย วันนั้นป้าก็เห็นด้วยตาป้าเอง ขณะที่เด็กๆ กำลังทำสมาธิจิตเรื่องนี้อยู่ เมฆก็ค่อยๆ รวมตัวกันเป็นก้อนโตขึ้นๆ ทั้งที่เดิมท้องฟ้าไม่มีเมฆเลย และกรมอุตุนิยมก็พยากรณ์ว่าวันนี้ไม่มีฝนตก ในที่สุดประมาณไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ฝนก็ตกหนักทั่วกรุงเทพฯ ถึงสองชั่วโมง อากาศเย็นไปทั่ว

บางที่เกิดไฟไหม้ที่ตลาดพลู พอดีเด็กๆ กำลังนั่งสมาธิอยู่ ก็ได้ใช้อำนาจจิตดับไฟ วิธีดับใช้อำนาจจิตทั้งสิ้น ตามอมนุษย์มาช่วยบ้าง ใช้ฤทธิ์ของตนเอง เอาน้ำจากใต้ดินขึ้นมาดับไฟบ้าง มีพวกเราบางคนวิ่งไปสังเกตการณ์ สักครู่ใหญ่ก็เข้ามารายงานว่า รถดับเพลิงยังไม่ทันมาถึง ไฟก็ดับลงเองเป็นอัศจรรย์

มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงพ่อรองเจ้าอาวาส ถือหนังสือพระธรรมเทศนา ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ออกไปนั่งอยู่นอกประตูบ้าน จะเปิดอ่านหน้าใด เด็กๆ ที่นั่งทำสมาธิอยู่ ก็บอกได้ทุกครั้ง ยังหลับตาอ่านข้อความในหน้านั้นๆ โดยที่นั่งหันหลังให้ และห่างกันเป็น ๑๐ เมตร มีฝากั้นอีกต่างหาก คำใดที่อ่านไม่ออก เพราะเป็นคำทางธรรม เด็กก็จะอ่านให้ฟังทีละตัว หนังสือมีรูปภาพสิ่งใด ก็จะบอกได้ถูกต้อง

เรื่องพวกนี้ผู้ใหญ่ยังไม่เห็นธรรมะ ตื่นเต้นกันมาก คือเรื่องเด็กๆ ไปเที่ยวป่าหิมพานต์ได้พบกับสัตว์ประหลาดต่างๆ พบดอกไม้ ผลไม้ ต้นไม้ และรัตนชาติ มีเพชร ทอง เงิน อัญมณีต่างๆ สวยงาม มีจำนวนมากมาย ที่ป่าหิมพานต์นั่น

เด็กๆ ไปเที่ยวด้วยอำนาจสมาธิ แล้วเล่าสิ่งต่างๆ ที่ได้พบทั้งที่กำลังหลับตาอยู่ พวกเขาสามรถใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า กับสิ่งที่พบเห็นเหล่านั้นได้ด้วย สัมผัสแล้วก็ส่งเสียงให้ฟัง " โอ้โฮ หลวงน้าครับ ลูกขนุนอะไร โตเท่าคันรถยนต์ เนื้อของมันหวานหอมอร่อยมาก ในเมืองมนุษย์ผม ไม่เคยมีกินยังงี้เลยครับ "

" ทองคำอะไรกัน มีมากเป็นภูเขาๆ เลยค่ะ ภูเขาเงิน ภูเขาเพชร มีเต็มไปหมดเลย "

" ดอกกุหลาบที่นี่ ดอกโตเป็นกาละมังเลยครับ หอมมากด้วย "

" หนูจับสัตว์ประหลาดได้แล้วค่ะ หัวเป็นช้าง ตัวเป็นราชสีห์ เค้าเรียกคชสีห์ เหรอคะ มันให้หนูขี่ด้วย ไม่ดุเลย "

เวลาไปเที่ยวป่างิ้วที่ครุฑอยู่ เมืองพญานาค สวรรค์ นรก เด็กๆ ก็เล่าได้เป็นฉาก ทำเอาคนใหญ่ที่นั่งฟังตื่นเต้น มีศรัทธาแน่นแฟ้นไปตามๆ กัน เพราะรู้อยู่ว่าลูกหลานของตน ไม่เคยทราบเรื่องราวเหล่านั้นมาก่อน เมื่อเด็กใช้ตาทิพย์ดู เห็นสิ่งต่างๆ เหล่านั้น แสดงว่าเป็นของมีอยู่จริง ความสงสัยคลางแคลงที่มีอยู่เดิม ก็ปลาสนาไปสิ้น มีความเลื่อมใสในธรรมปฏิบัติเต็มที่ กลัวบาปมาก อยากทำบุญต่างๆ ขึ้นมาทันที เพราะเชื่อมั่นว่าผลของบุญบาปมีจริง

เรื่องเที่ยวนรกสวรรค์นั้น ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่เห็นธรรมกายแล้ว มักจะถูกหลวงพ่อฯ ทดสอบให้พูดคุยกับผู้ที่เกิดในภูมินั้นว่า เมื่อเกิดเป็นมนุษย์เคยทำบาปอะไร ทำบุญอะไร จึงต้องมารับผลดังที่เห็นอยู่ นอกจากบอกกรรมของตนเองแล้ว ถ้าถามถึงที่อยู่ครั้งเป็นมนุษย์ สัตว์เหล่านั้นก็จะตอบว่าเคยอยู่ที่ไหน ตำบล อำเภอ จังหวัดอะไร ตายอย่างไร ญาติพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่ ชื่ออะไร เสียดายจริงๆ ที่เวลานั้นป้าไม่มีโอกาสเดินทางไปซักถาม พิสูจน์ตามสถานที่ที่ได้ยิน

ต้องขอย้ำไว้ตรงนี้อีกครั้งว่า การปฏิบัติธรรมที่ถูกค้อง จะไม่เน้นเรื่องหูทิพย์ ตาทิพย์ ระลึกชาติได้ รู้ใจผู้อื่น รู้ความเป็นไปในอนาคต และทำฤทธิ์ได้ ซึ่งเรียกว่าอภิญญาจิตเหล่านี้เป็นพิเศษ เพราะเป็นเพียงผลพลอยได้ เหมือนเราอ่านหนังสือออก วัตถุประสงค์เพื่อเอาไว้อ่านตำรับตำรา ที่เป็นความรู้ต่างๆ ขณะเดียวกัน เราก็สมามรถอ่านข่าวสาร หรือหนังสืออื่นๆ ออกไปด้วย

อภิญญาจิต หมายถึงจิตที่มีความรู้พิเศษ (อภิ แปลว่ายิ่ง พิเศษ อัญญา แปลว่ารู้) เหล่านี้ มีประโยชน์ยิ่งใหญ่ประการหนึ่ง คือทำให้เกิดความเลื่อมใส แก่ผู้ที่ยังคลางแคลงสงสัย

เมื่อการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องสนุกสนาน น่าเรียนรู้ดังนี้ ทุกเย็นที่บ้านธรรมประสิทธิของคุณยายฯ จึงปรากฏว่ามีทั้งผู้ใหญ่และเด็กๆ ไปกันเต็มบ้าน หลวงพ่อฯ ก็เต็มใจในการอบรมสั่งสอนเป็นพิเศษ เพราะท่านไม่มีเรื่องต้องกังวลใจใดๆ ผู้เรียนได้รับการสอนทั้งฝ่ายปริยัติ คือฟังคำเทศนา และลงมือปฏิบัติโดยมีคุณยายฯ และหลวงพ่อฯ เป็นผู้ควบคุม ติดตามดูผลการปฏิบัติอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งให้คำแนะนำแก้ไข ยังแถมท้ายด้วยการฟังผู้ที่ได้อภิญญาจิตแล้วไปดูโน้นดูนี่ พูดเล่าให้ฟังด้วย ก็เกิดความสนุกสนาน เบิกบานในการเรียนทุกเย็น เหมือนเราอยู่กันในสถานที่อีกโลกหนึ่ง เป็นโลกของปัญญา และความสุข

การบวชไม่สึกของหลวงพ่อฯ มีความหมายต่อหมู่คณะมาก ความฝันของป้าที่อยากจะได้ปัญญาชน อย่างน้อยเรียนจบปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัย มาอุทิศตนเผยแพร่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาให้นิสิตนักศึกษา ตามสถาบันต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาการแพร่กระจายของลัทธิคอมมิวนิสต์ ในเวลานั้น เริ่มตั้งเค้าเป็นจริงขึ้นมา ถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ หลวงพ่อฯ บวชไม่สึก หมู่คณะฝ่านชายที่คิดประพฤติพรหมจรรย์ ก็จะต้องคิดบวชไม่สึกตาม เราก็จะได้กลุ่มพระภิกษุ ที่เป็นกำลังให้พระศาสนาขึ้นมา สิบรูปยี่สิบรูป ก็คงพอต่อการแผยแพร่ เรื่องบ้านพักชายโสด คงต้องงดกันไปโดยปริยาย แต่ป้าก็ยังไม่คิดถึงเรื่องการสร้างวัด เพราะดูเป็นเรื่องใหญ่เกินกำลังมากไป

ต่อมาวันหนึ่ง ป้าก็คิดเรื่องการสร้างวัดของเราเอง ขึ้นมาในพริบตา คิดเอาว่า " ถ้าเรามีวัดของเราเอง เราก็มีอิสระในการใช้วิธีสอน ตามแต่ที่เราเห็นสมควร เราก็จะสามารถทำงานใหญ่ฟื้นฟูหลักธรรมะและเผยแผ่ธรรมปฏิบัติได้กว้างขวางยิ่งขึ้น "

คิดเรื่องการสร้างวัดออก ป้าก็นึกไปถึง อาจารย์วรณี สุนทรเวช ผู้เป็นเพื่อน คงจะพอเป็นกำลังให้หมู่คณะได้บ้าง ป้ากลับมานั่งที่เดิม ตัดสินใจพูดกับคุณยายฯ ท่ามกลางความเงียบขึ้นว่า

" คุณแม่คะ เมื่อพระของเรา (หมายถึงหลวงพ่อ) ตัดสินใจบวชไม่สึกยังงี้แล้ว เรามาช่วยกันสร้างวัดของเราเอง ไม่ดีกว่าเหรอคะ เราจะได้ทำงานให้พระศาสนา ได้เต็มที่ ไม่ต้องห่วงว่าเดี๋ยวทำแล้วจะข้ามหน้าข้ามตา พระที่ท่านมีพรรษามากกว่า บวชมาก่อน หนูคอดยังงี้ คุณแม่ว่าดีมั้ยคะ " ป้าพูดออกไปโดยไมาทราบมาก่อนเลยว่า คุณยายฯ คิดเรื่องสร้างวัดมานานเต็มที ส่วนหลวงพ่อฯ ท่านก็คิดเรื่องสร้างวัด มาตั้งแต่ท่านมีอายุเพียง ๑๘ ปี เป็นความคิดที่พอดี มาประจวบกันเข้า ป้าเห็นคุณยายฯ ยิ้มออกมาอย่างดีใจ หลวงพ่อฯ ก็มีอาการทำนองเดียวกัน เย็นวันนั้น หมู่คณะจึงได้คุยกันเรื่องการสร้างวัด ภายหลังการนั่งสมาธิหประจำวันเสร็จ

ในเวลานั้นป้ายังไม่บอกหมู่คณะ ว่าป้ามีเพื่อนเป็นเศรษฐี เพราะป้ายังไม่ได้ตามมาเรียนปฏิบัติธรรม คนเราถ้าไม่มีศรัทธาซึ่งกันและกันแล้ว การจะบริจาคสิ่งใดให้ เป็นเรื่องยากมาก ป้าจึงคิดในใจเพียงว่า จะต้องหาทางชักชวนเพื่อนผู้นี้ มาเรียนกับคุณยายฯ ให้ได้

จะว่าป้าไม่เคยคิดสร้างวัดมาก่อนเลย ก็ไม่ถูกนัก เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ก่อนรู้จักบ้านธรรมประสิทธิหลายปี ป้าเคยไปที่สวนโมกขพลาราม ของหลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ เคยชื่นชมงานก่อสร้างสิ่งต่างๆ ในวัดท่าน อยากทำชีวิตตนเองที่เกิดมาแล้วชาตินี้ ให้มีประโยชน์ยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกับพระเถระรูปนั้น แต่เมื่อคำนึงถึงเรื่องตนเองเป็นผู้หญิง โอกาสที่คิกสร้างวัด เพื่อการเผยแพร่พระศาสนาก็หมดลง ยังนึกเสียดายชีวิต ของผู้ที่ได้เกิดเป็นชายทั้งหลาย ทำไมไม่มีใครคิดทำงานใหญ่ อย่างนั้นบ้าง

พอป้ามาพบหมู่คณะที่บ้านธรรมประสิทธิ์ ความคิดเรื่องวัด ย้อนกลับมานึกถึงใหม่อีกครั้ง แม่ตนเองจะไม่ใช่เพศชาย ไม่มีทางได้บวชเป็นพระภิกษุ แต่ก็ให้การสนับสนุนหมู่คณะที่บวชได้ แค่นี้ก็นับเป็นบุญมหาศาลแล้ว

ต่อมาอีกไม่กี่วัน ผู้บังคับบัญชาที่ป้าและเพื่อนๆ เคารพมากป่วยหนัก ใกล้สิ้นใจ ป้าจึงถือโอกาส ขอร้องอาจารย์วรณี ให้ไปวัดเป็นเพื่อนป้า ป้าพาไปพบคุณยายฯ และหลวงพ่อฯ เล่าเรื่องของคนป่วย คุณยายฯ เมตตาช่วยเหลือ ท่านกล่าวว่า " คนเจ็บอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว หมดบุญต้องตาย ยายช่วยให้ไปอยู่ที่ชั้นจาตุม " จาตุมฯ หทายถึง จาตุมหาราชิกา สวรรค์ชั้นที่หนึ่ง

เมื่อกลับไปที่โรงพยาบาล คนเจ็บถึงแก่กรรมไปแล้วจริงๆ ครั้งนั้นป้าก็ยังไม่แนะนำอะไรมาก คงรู้จักกันว่าอาจารย์วรณี เป็นเพื่อนของป้าคนหนึ่งเท่านั้น แต่ป้าก็แอบเลียบเคียงถามแล้วว่า ท่านมีที่ดินแปลงใหญ่ ๐ บ้างหรือไม่ ได้รับคำตอบว่า " มีอยู่นะ เป็นที่นาอยู่แถวรังสิตเกือบสองร้อยไร่ เป็นที่มรดก ยังไม่เคยเห็นสักที แต่พอถามได้ว่าอยู่ตรงไหน เพราะรู้จักบ้านของคนเช่านา มีที่ดินอยู่จันทบุรีอีก แปลงใหญ่เหมือนกัน " ป้าฟังแล้วไม่สนใจเรื่องที่ดินต่างจังหวัด สนใจเฉพาะที่นาที่รังสิต แต่ก็ยังไม่พูดอะไรกับฝ่ายไหนทั้งสิ้น

เวลานั้นหมู่คณะฝ่ายชาย ที่ตั้งใจอยู่เป็นโสด ประพฤติพรหมจรรย์ สร้างบ้านพักอยู่รวมกัน เฉพาะผู้ที่ทำงานแล้ว รวบรวมเงินปลูกบ้านได้ประมาณ ๒ หมื่นบาท คุณยายฯ ให้นำเงินที่มีนั้น ไปซื้อที่ดินสร้างวัด หลวงพ่อรองเจ้าอาวาสกับเพื่อนสนิทร่างเล็ก พากันไปแสวงหา ซื้อที่นาแถวจังหวัดปทุมธานีได้มา ๑๙ ไร่ เป็นที่กลางทุ่ง ไม่มีถนนหนทางไปถึง ต้องเดินกันไปตามหัวคันนา

ถึงขนาดซื้อที่ดินดังนี้ ป้าจึงแน่ใจว่าหมู่คณะเอาจริง และที่พิเศษเหนือสิ่งอื่นใด คือป้าเชื่อมั่นในความสามารถคุณยายฯ ว่า จะทำให้ลูกศิษย์ฝ่ายชาย ผู้ตั้งสัจจะแล้วของท่าน บวชไม่สึกได้หมด และคุณยายฯ จะถ่ยทอดความรู้ความสามารถ ทางธรรมปฏิบัติ จนบุคคลเหล่านั้น เป็นกำลังของพระพุทธศาสนา ไปตลอดชีวิตของแต่ละคน โดยไม่มีใครสึกหาลาเพศ หรือประพฤติผิดพระธรรมวินัย

เพราะเชื่อมั่นในความสามารถ ของคุณยายฯ เต็มเปี่ยมดังนี้ ป้าจึงได้เล่าเรื่องของอาจารย์วรณี ให้หมู่คณะฟัง หลวงพ่อฯ จึงได้ให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ที่ทำอภิญญาจิตได้ ตรวจดูสถานที่และจิตใจผู้เป็นเจ้าของ

เมื่อดูในอนาคตังคญาณ ทุกคนเห็นตรงกันหมดว่า วัดของเราสร้างขึ้น ณ ที่นาผืนนั้น เจ้าของที่ดินจะเต็มใจยกให้สร้างวัด และเป็นสถานที่เดียวกัน กับที่สร้างวัดในพุทธกัปก่อนๆ ของหมู่คณะ เราเคยสร้างไว้ที่นั่น มาชาตินี้ก็จะมาสร้างบารมี ในสถานที่เดิมอีก

ตาทิพย์ในญาณ เห็นได้ถึงรูปร่างสิ่งก่อสร้างต่างๆ ของวัด เห็นผู้คนที่มาวัด ชนิดผู้ที่เห็นพูดว่า " คนมาวัดมากมาย เฉพาะวันงานบุญใหญ่สำคัญๆ คนไหลเลยครับ มีรถยนต์ทั้งเล็ก ทั้งใหญ่นับไม่ถ้วน คนที่มาล้วนแต่แต่งกายสีขาวแทบทั้งสิ้น บางคนถึงกับนั่งเรือบินมาเลย "

ป้าฟังแล้วเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะดูเหลือเชื่อเกินไป แต่ก็ใจชื้นมีความหวังขึ้น เมื่อได้ยินคำว่า เจ้าของเต็มใจยกให้ฟรีๆ จึงกล่าววาจาอย่างมั่นใจว่า " จะไปขอที่ดินจากพี่วรณีดู ถ้าไม่ให้ก็ขอซื้อ ถ้าไม่ขายก็ขอเช่า ไม่ให้เช่าก็จะขอยืม ถ้าครั้งนี้ไม่ยอมซักอย่าง ปีหน้าก็ไปหาอีก "

ตกลงกันเวลานั้นว่า เราจะขอที่ดินสร้างวัดเพียง ๕๐ ไร่ก็พอ จะไม่พูดขอตรงๆ จะพูดทำนองขอซื้อ ป้านึกแล้วยังอดใจเสียไม่ได้ ถ้าครั้งนั้นเจ้าของเกิดบอกขายให้ เราจะเอาเงินที่ไหนที่ดินท้องนาที่ซื้อไว้เดิม ๑๙ ไร่ ก็ยังบอกขายไม่ทัน ถ้าขายได้ ก็คงเป็นแค่เงินหมื่น อาจไม่ถึงสองหมื่น เท่าที่ซื้อไว้ก็ได้ เพราะสมัยนั้นคนไม่นิยมซื้อ เรียกว่าป้าจะต้องไปติดต่อชนิดมือเปล่าแท้ๆ

ป้าได้เล่าเรื่องของหมู่คณะ ให้อาจารย์วรณี ทราบโดยย่อไว้บ้างแล้ว เมื่อวันพามาที่บ้านธรรมประสิทธิ์ เพื่อช่วยผู้บังคับบัญชาที่ตาย ดังนั้นพอถามเรื่องที่นารังสิตอีกครั้ง ท่านจึงนัดป้าไปดูด้วยกัน เพราะท่านเองก็เพิ่งไปดูมา ป้าพูดแนะเย็นวันที่ ๒๕ ตุลาคม ตอนเช้า ป้าได้ลื่นหกล้ม ชนิดเดินไม่ได้ แต่ใจของป้าก็คิดว่า " พรุ่งนี้ ป้าจะไปขอที่ดินเค้าทำวัด เป็นบุญใหญ่ เราจะไม่ยอมแพ้ เดินไม่ได้ก็จะให้คนหามไปให้ได้ " พอคิดสู้ รุ่งเช้าก็เดินได้

วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๑๒ ป้า, หลวงพ่อรองเจ้าอาวาส และเพื่อนร่วมงานของท่านขับรถไปรับอาจารย์วรณี เราเดินทางไปยังตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ถนนเป็นลูกรังสีแดง เป็นเรื่องน่าแปลก ผินนาที่เห็น มีทางน้ำผ้านเหมือนที่เห็นกันในสมาธิจริงๆ คือมีคลองสามผ่านด้านหน้า และคลองซอยขนาดเล็กผ่านด้านหลังของเนื้อที่ แปลงนาเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ๑๙๖ ไร่เศษ ตอนด้านหลังเป็นที่ลุ่ม ในฤดูน้ำมักจะมีกอบัวเกิดขึ้นมาก ชาวบ้านเล่าว่า บางครั้งพบดอกบัวก้านเดียว มีดอกถึง ๙ ดอก

ในขณะที่เรายืนดูผืนนาเงียบอยู่นั้น อาจารย์วรณี ได้พูดอย่างตัดสินใจเด็ดขาดว่า " เรื่องที่พวกคุณคิดทำวัดกันนี้ พี่ก็เห็นดีด้วย แต่นานี้เป็นชื่อของคุณแม่พี่ ถึงแม้ท่านไม่ให้ แต่พี่จะให้พี่เป็นลูกคนเดียวของท่าน ถ้าท่านให้ พวกคุณก็สร้างวัดกันได้เร็ว ถ้าท่านให้ทั้งแปลงก็เอาไว้เถิด ไม่ต้องเอาแค่ ๕๐ ไร่หรอก " เราสามคนฟังแล้ว ยกมือพนมอนุโมทนาว่า " สาธุ " พร้อมกันนั้น มีสายฟ้าสว่างวาบเป็นทาง ในก้อนเมฆเหนือศรีษะ พร้อมกับเสียงคำรามกึกก้อง เปรี้ยงเดียว เกิดฝนตกอยู่เฉพาะบริเวณที่เรายืนอยู่

เย็นนั้นเราพากันเลยไปบ้านพักอาจารย์วรณี เพื่อกราบคุณแม่ ท่านชื่อคุณหญิงประหยัดแพทยพงศาวิสุทธาธิบดี เมื่อท่านทราบความประสงค์ของหมู่คณะเรา ท่านได้เปล่งวาจาว่า " ที่ดินที่พวกคุณจะมาขอซื้อทำวัดกันนั้น ชั้น(ฉัน)ไม่ยอมขาย แต่ชั้นจะยกให้หมดทั้งแปลงเลย "

ทันที่คุณหญิงฯ พูดจบลง ก็มีเสียงจิ้งจก ๔-๕ ตัวบนเพดาน ร้องพร้อมกันขึ้นมา จั๊ก จั๊ก จั๊ก ฯลฯ แล้วก็เงียบพร้อมกัน (ภายหลังทราบว่า เป็นการกระทำอนุโมทนาของเทวดาในบ้าน ดลใจผ่านจิ้งจก)

ครั้นแล้วอาจารย์วรณี จึงชี้แจงว่า ตามที่ป้าและหลวงพ่อรองเจ้าอาวาส ชี้แจงเรื่องการสร้างวัดไว้ เมื่อเย็นวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๑๒ นั้น ท่านได้เล่าให้คุณแม่ของท่านทราบแล้ว คุณแม่ดีใจมาก อยากจะทำบุญใหญ่ ยกที่ดินให้สร้างวัด เพราะเป็นวันเกิดครบรอบ ๘๐ ปีพอดี แต่ก็ขอดูหมู่คณะให้แน่ใจสักหน่อยว่า เป็นผู้ปฏิบัติธรรม เอาจริงกัน สำหรับตัวอาจารย์วรณีเอง ท่านกล่าวเพิ่มเติมว่า

" พี่เองก็จะร่วมทำบุญด้วย พี่มีที่ดินเป็นสิทธิส่วนตัว อยู่ข้างโรงพยาบาลกลาง ๓ ไร่ ๒ งานเศษ จะถูกทางราชการเวนคืน เพื่อสร้างโรงพยาบาลกลางเพิ่มเติม คงจะได้เงินชดเชยราว ๑๔ ล้านบาท จะมอบให้สร้างวัดทั้งหมดเลย "

คืนวันที่ ๒๖ ตุลาคม ป้าและหลวงพ่อรองเจ้าอาวาส ได้นำข่าวดีเป็นมงคลยิ่ง มาแจ้งให้หมู่คณะ ที่บ้านธรรมประสิทธิ์ทราบ คีนนั้นเราไม่สามารถคำนวณความดีใจ ของทุกคนได้ถูก

ความอดทนของป้า ทีประคับประคองไมตรีไว้ กับอาจารย์ท่านนี้ ยาวนานถึง ๑๐ ปี ไม่ใช่เวลาที่สูญเปล่า เพื่อนเชื่อถือไว้วางใจ ออกปากมอบทรัพย์สิน ให้สร้างสาธารณะกุศลด้วยความเต็มใจ คิดดูเมื่อได้ที่ดินและมีเงินขนาด ๑๔ ล้านเวลานั้น ก็เท่ากับเราจะสามารถสร้างวัดเสร็จ ภายใน ๓-๔ ปีทีเดียว แต่หลักธรรมที่ว่า ทุกสิ่งในโลกตกอยู่ในอำนาจไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เป็นความจริงแท้ตลอดกาล วัดจึงต้องใช้เวลาสร้างถึง ๒๐ ปี เพราะเกิดอนิจจังความไม่เที่ยง ป้าจะเล่าให้ฟังต่อคือ

ต่อจากนั้นอาจารย์ท่านนี้ ก็ยินยอมมาสมัครเป็นลูกศิษย์คุณยายฯ ตามคำชักชวนของป้า นำถาดใส่ดอกไม้ ธูปเทียน มากราบฝากตัว ท่านจะมาวัดแทบทุกอาทิตย์ พร้อมด้วยอาหารอย่างดี ประณีต โอชารสยิ่ง ถวายหลวงพ่อฯ และคุณยายฯ ยังมีเหลือเผื่อแผ่ถึงหมู่คณะทุกคนโดยเฉพาะตัวป้า จะต้องถูกท่านเกณฑ์ให้รับประทาน มากกว่าใครๆ บางครั้งป้าอิ่มแล้ว หรือไม่ชอบอาหารชนิดนั้นๆ ก็ต้องอดทนรับประทาน ให้อีกฝ่ายพอใจ เป็นอยู่อย่างนี้เสมอมา

ครั้นแล้ววันสำคัญที่สุดวันหนึ่งได้เกิดขึ้น เป็นวันพลิกผันชีวิตของป้า ให้สู่มรสุมส่วนตัวอันใหญ่หลวง วันนั้นเป็นวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๑๒ ที่บ้านธรรมประสิทธิ์ จะมีพิธีตั้งสัตยาธิษฐาน ของบรรดาผู้ต้องการประพฤติพรหมจรรย์ เพิ่มเติมจากปีที่แล้ว ซึ่งมีเพียง ๔ คน แต่ปี ๒๕๑๒ จะเพิ่มอีกนับ ๑๐ คน ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่ม หญิงสาวโสด มีแม่ม่ายอยู่เพียงรายเดียว ทุกคนแจ้งความประสงค์ไว้กับคุณยายฯ ล่วงหน้า เพื่อให้ท่านพิจารณาอนุญาต คุณยายฯ เป็นผู้ตัดสิน ว่าจะยินยอมหรือไม่ มีหลายรายที่คุณยายฯ ไม่อนุญาต โดยเฉพาะเด็กๆ เป็นถูกคุณยายฯ ปฏิเสธเด็ดขาด จะมีบ้างบางคนที่หลวงพ่อฯ ขอร้องคุณยายให้อนุญาต ซึ่งคุณยายก็ใจอ่อนยินยอมอนุญาต

คนชุดหลังนี้มักจะรักษาสัญญา ครองตัวประพฤติพรหทมจรรย์อยู่ต่อมาได้ ๓ ปีบ้าง ๕ ปีบ้าง ๗ ปีบ้าง สุดท้ายก็กระทำได้ไม่ตลอด ดังที่คุณยายฯ ทราบล่วงหน้าทุกราย

(พรหมจรรย์ หมายถึง ความประพฤติอย่างพระพรหม คือไม่ยินดีในกามคุณห้า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส การยินดีในเพศตรงข้ามจะเป็นเพียงเพื่อนรักหรือคนรัก เป็นสิ่งไม่ถูกทั้งสิ้น การกระทำที่จะทำให้เกิดเป็นพรหม จะต้องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรทางสมาธิจิต จนได้ฌาน และอยู่ในฌานจิตเสมอๆ แม้เวลาตาย ฌานก็ไม่เสื่อม ตายแล้วจะไปบังเกิดในพรหมโลก จิตที่ได้ฌาน จะไม่มีเรื่องกามคุณห้าเกี่ยวข้องด้วยเลย

พรหม แปลว่า ผู้ประเสริฐ คำว่า จรรย์ เป็นคำเดียวกับคำว่า จริยา แปลว่าความประพฤติ พรหมจรรย์จึงแปลว่า ความประพฤติอันประเสริฐ หรือความประพฤติอย่างพระพรหม )

พิธีตั้งสัจจะนี้ เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ คุณยายฯ จะทำสมาธิชั้นสูง อาราธนาพระธรรมกายภายในทุกพระนิพพาน ตลอดจนเทพยดาทุกชั้น รูปพรหม อรูปพรหมทั้งหมด มารับรู้เห็นเป็นพยาน ใครที่ปฏิบัติตามสัจวาจาได้ จะได้บุญมากมายเป็นมหาศาล ชนิดคำนวณไม่ไหว การตั้งสัจจะ ต่อหน้าพระธรรมกายในพระนิพพาน ต่างกับการตั้งสัจจะกับคนธรรมดาตรงนี้

ครั้งนั้นป้าเองไม่ได้คิดฝัน ว่าตนเองจะมีบุญเรื่องตั้งสัตยาธิษฐาน ประพฤติพรหมจรรย์เพราะเป็นคนแต่งงานแล้ว ชีวิตครอบครัวค่อนข้างราบรื่น ยังมองไม่เห็นทางเป็นม่าย แต่ก็อยากไปเห็นและนั่งร่วมอยู่ในพิธี คิดว่าแค่ได้อนุโมทนาบุญ กับคนที่ทำได้ ตนเองก็จะได้บุญถึงครึ่งหนึ่ง บุญนี้อาจเป็นปัจจัย ส่งผลให้ได้เกิดชาติหน้า มีโอกาสประพฤติพรหมจรรย์บ้างก็ได้

ป้าได้ชวนอาจารย์วรณี ให้ไปร่วมในพิธีด้วย ซึ่งท่านก็รับคำเป็นอย่างดี บอกว่า " ชั้นอาจตั้งสัจจะกับพวกเค้าด้วยนะ เพราะยังไงชั้นก็ไม่แต่งงานแล้ว

ในพิธีวันนั้นเริ่มต้นด้วยการนั่งสมาธิ เพื่อให้ใจหยุดนิ่ง ใสสะอาด คุณยายฯ เป็นผู้เรียกชื่อแต่ละคน โดยเรียกคนที่เคยตั้งสัจจะไว้ก่อนในปีที่แล้ว ให้กล่าวคำปฏิญาณซ้ำ แล้วจึงเรียกคนใหม่ เมื่อคุณยายฯ เรียกชื่อผู้ใด ผู้นั้นก็กล่าวถ้อยคำ ที่เปรียบเสมือนให้สัญญาต่อตนเอง และหมู่คณะ ออกมา ส่วนใหญ่ต่างคนต่างเตรียมตัวมาก่อน บางคนกล่าวยาวมาก ต้องอ่านกันเป็นหน้ากระดาษ คนที่กล่าวเอาใจความสั้นๆ มักพูดปากกล่าว ข้อใหญ่ใจความมีเรื่อง การประกาศเป็นศัตรูกับกามคุณ ๕ คือรูป กลิ่น เสียง สัมผัส และลงท้ายด้วยการประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ยินดีในเรื่องทางเพศ ไม่แต่งงานไปจนชั่วชีวิต

เมื่อจบคนหนุ่มคนสาวลงแล้ว ก็ถึงคนที่เป็นม่ายและเป็นโสด ป้าพนมมืออนุโมทนาไปเรื่อยๆ นั่งอยู่ติดกันกับอาจารย์วรณี ในใจป้านึกชื่นชมยินดีกับทุกคน พร้อมทั้งเสียดายตนเองที่ไม่มีโอกาส มีคนมีครอบครัวอีก ๓-๔ คน มาอนุโมทนาแบบเดียวกับป้า คุณยายฯ ก็ไม่เรียกคนเหล่านั้นให้กล่าวสัจจะวาจา ในที่สุดจึงถึงอาจารย์วรณี ท่านก็กล่าวคำปฏิญาณว่า จะประพฤติพรหมจรรย์และจะช่วยสร้างวัด

อาจารย์วรณีกล่าวจบลง ทุกคนก็คิดกันว่าพิธีคงจะเสร็จ แต่ทันใดนั้นเอง เสียงคุณยายฯ ดังขึ้นชัดเจนถามป้าว่า " คุณถวิล จะไปกับยายรึเปล่า ถ้าไปก็ตั้งสัจจะมา "

ในความรู้สึกของป้าได้ยินเสียงคุณยายฯ ราวเสียงฟ้าผ่า คงจะเป็นเพราะความตกใจคาดไม่ถึงว่าคุณยายฯ จะกล่าวคำพูดประโยคนี้

คำพูดนั้นเป็นประโยคคำถามก็จริง แต่ใครเล่าจะกล้าปฏิเสธ ยิ่งเป็นป้าด้วยแล้ว หนทางขัดขืน ยิ่งไม่มีเลย สิ่งบังคับที่สำคัญอันดับหนึ่งคือ อาจารยผู้เป็นเพื่อน นั่งอยู่ติดกับป้า ท่านก็อุตส่าห์ให้ที่ดินสร้างวัด ให้เงินสร้างด้วย ยังยอมประพฤติพรหมจรรย์ ตามหมู่คณะ แล้วป้าซึ่งเป็นผู้ชักชวนท่าน จะพูดกับคุณยายฯ ว่า " หนูไม่ไปกับคุณยายหรอกค่ะ ได้อย่างไร คำว่าไปหมายถึงสร้างบารมีร่วมกับคุณยายฯ เพื่อเข้าสู่พระนิพพาน ถ้าปฏิเสธออกไป ก็เหมือนป้าเป็นคนไม่เอาจริง ชวนให้คนอื่นทำ แต่ตนเองไม่ยอมทำ นับเป็นคนใช้ไม่ได้ คนชวนต้องทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี จึงสมควร

สิ่งสำคัญรองลงมา คือคุณยายฯ ถามต่อหน้าหมู่คณะ นั่งกันอยู่ในพิธีนั้นประมาณ ๓๐ คน ถ้าปฏิเสธออกไป หรือพูดหาข้ออ้างอะไรๆ ทุกคนจะต้องเสียใจ นึกตำหนิแน่นอน เพราะแทบทุกคน เว้นอาจารย์วรณี แม่ม่ายลูกติด และอาจารย์พยาบาล ซึ่งตั้งสัจจะไปหมดทั้งสามคนแล้ว ไม่มีใครอายุมากเท่าป้า ป้าเตือนตัวเองว่า " พวกเค้าเป็นเด็กหนุ่ม เด็กสาว อายุน้อยกว่าเราทุกคน ยังตัดใจสร้างบารมีถึงเพียงนี้ เราแก่มากแล้ว ผ่านทุกข์สุขทางโลกมาโชกโชน ยังจะคิดอะไรอยู่ จึงจะสละไม่ได้ น่าอายนัก "

ประการสุดท้าย ที่นับเป็นความสำคัญด้วยคือ ป้าคิดว่า " ในชั่วชีวิตนี้ เราไม่สามารถหาเงินเป็นสิบล้าน ร้อยล้าน มาสร้างวัดได้ แต่ถ้าเรารักษาศรัทธา ของอาจารย์ท่านนี้ ไว้ให้มั่นคง ทรัพย์สมบัติที่ท่านจะเสียสละให้ สร้างวัดได้เหลือเฟือ ทั้งที่รู้ว่าถ้าตั้งสัจจะไปแล้ว อาจจะเกิดปัญหาส่วนตัวก็ต้องยอม เพราะโอกาสสร้างวัดมีน้อยเต็มที ชาตินี้มีโอกาสแล้ว อย่าให้เสียประโยชน์ไปเลย ทั้งเราก็เคยพูดไว้กับคุณยายฯ แล้วว่า จะติดตามสร้างบารมีกับท่าน

คิดดังนี้เสร็จชั่วพริบตาเดียว ป้าก็ตัดสินใจเด็ดขาด ตอบคุณยายฯ ว่า " ค่ะ " แล้วก็พูดออกไปโดยอัตโนมัติ เป็นเนื้อความว่า " จะไม่ยินดีในกามคณห้า จะช่วยสร้างวัดและปฏิบัติธรรมให้ได้ผล ช่วยเผยแผ่ธรรมปฏิบัติ วิชชาธรรมกายให้กว้างขวาง เมื่อช่วยกันสร้างวัดเสร็จแล้ว จะขออนุญาติครอบครัว ออกบวชเป็นอุบาสิกา หรือมิฉะนั้นก็จะลาครอบครัว อีก ๗ ปีภายหน้า เป็นอุบาสิกาช่วยงานพระศาสนา ไปจนชั่วชีวิต "

ป้ากำหนดเอาเวลาอีก ๗ ปี เพราะคิดถึงว่า ตนเองจะได้รับราชการครบ ๑๙ ปี ใช้หนี้ทุนที่รัฐบาลส่งเรียนมา จนสำเร็จการศึกษา และเวลา ๗ ปี ก็นานพอที่จะชักนำคนในครอบครัวให้หันมาสนใจใฝ่ทางธรรม เช่นเดียวกับป้าได้

หลังพิธีตั้งสัตยาธิษฐานในวันนั้นกันแล้ว ทุกคนในหมู่คณะเบิกบานใจกันมาก มองเห็นความสำเร็จ ในการสร้างวัดอยู่เบื้องหน้า ดูจะไม่มีปัญหาและอุปสรรคใดๆ

อย่างไรก็ดี เราก็ยังไม่สามารถลงมือกระทำงานสิ่งใด ตามที่ต้องการ ในทันทีนั้นได้เพราะเรามีตัวเงินสดอยู่ที่คุณยายฯ เพียงสามพันสองร้อยบาทเท่านั้น เป็นยอดเงินเริ่มแรกของการทำวัดทั้งวัด ป้าทราบว่าอจารย์เพื่อนป้า ท่านมีเงินก้อนใหญ่อยู่บ้าง แต่ท่านก็เพิ่งเข้ามาร่วมงาน กับหมู่คณะเราใหม่ๆ ยังไม่รู้จักจิตใจซึ่งกันและกันดีพอ ถ้าป้าจะออกปากขอบริจาค ให้ท่านเบิกเงินสดมาให้ในทันที ย่อมเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมนัก หมู่คณะควรจะแสดงความสามาถ หาเงินจากที่อื่นมาสมทบ ให้เห็นความสามารถก่อน

ทั้งเรื่องสร้างวัด เราจะทำในชื่อของคนใดคนหน่ฝไม่ได้ เพราะเราจะต้องบอกบุญทั่วๆ ไป จึงจำเป็นจะต้องกระทำในรูปนิติบุคคลเป็นมูลนิธิ อาจารย์วรณี กรุณาไปเชิญ นายอภัย จันทวิมล ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในเวลานั้น มีศักดิ์เป็นพี่ชายของท่าน มาเป็นประธานมูลนิธิให้ ตั้งชื่อว่ามูลนิธิธรรมประสิทธิ์ ตามชื่อบ้านของคุณยายฯ อาจารย์วรณีบริจาคเงินจดทะเบียนมูลนิธิ ครั้งแรก ๕ หมื่นบาท เป็นประเดิม

แต่เนื่องจากเงินจากการเวรคืนที่ดิน ข้างโรงพยาบาล ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ ต้องผ่านระเบียบและขั้นตอนต่างๆ ของทางราชการ สิ้นเวลาเป็นปีสองปี เราไม่สามารถถอยได้ เราต้องลงมือสร้างโดยเร็วที่สุด เพราะหมู่คณะต้องการให้คุณหญิงฯ ผู้เป็นเจ้าของที่ดินได้เห็นวัดก่อนตาย

เย็นวันหนึ่ง ก่อนนั่งปฏิบัติธรรมตอนเย็นประจำวัน หลวงพ่อฯ ได้เอ่ยปากกับป้าว่า " พี่ หวิน หาที่ดินมาสร้างวัดได้แล้ว ต้องหาเงินมาสร้างวัดด้วย "

ป้าฟังคำสั่งแล้ว เหมือนมีภูเขาทั้งลูกหล่นมาทับ เพราะนับตั้งแต่ครั้งแรก ที่รู้จักหลวงพ่อฯ ป้าก็รู้สึกต่อท่านดังที่เล่าไว้ข้างต้นคือ รู้สึกเกรงใจมาก ถ้าให้ช่วยทำสิ่งใดอยู่ในวิสัยที่ช่วยได้ ต้องทำให้ทันที ทนไม่ได้ที่จะเห็นท่านผิดหวัง

เย็นวันนั้น ป้านั่งปฏิบัติธรรมไม่ได้เรื่องอะไรเลย ใจคิดฟุ้งแต่เรื่อง " จะเอาเงินที่ไน มาให้ท่านสร้างวัด จะเอาเงินที่ไหน จะเอาเงินที่ไหน " คิดถึงสมบัติของพ่อแม่ มีที่นาเป็นร้อยไร่ก็จริง แต่ราคาสมัยนั้นก็ไร่ละพัยบาท เงินแสนเดียวจะทำอะไรได้ แค่ค่าขุดคูน้ำ รอบที่สร้างวัด คิดกันแล้วก็ราคาไม่ต่ำกว่าสามแสนบาท ป้าคิดถึงเพื่อนๆ ที่มีฐานะอื่นๆ อีกหลายคน ล้วนแต่มีครอบครัว มีลูกเต้าหลายคน ใครจะมาคิดบริจาคทุ่มทั้งตัว เหมือนอาจารย์วรณี ซึ่งเป็นโสดตัวคนเดียว

คิดถึงสมบัติอาจารย์ท่านนี้ ความจริงท่านพูดกับป้าว่า ท่านจะให้สมบัติที่มีอยู่ทั้งหมดด้วยซ้ำไป เพื่อช่วยสร้างวัด แต่บังเอิญสมบัติของท่านแทบทั้งหมด เป็นอสังหาริมทรัพย์ เป็นที่ดินเสียส่วนใหญ่ ที่ดินที่พาหุรัด บางกระบือ สวนพลู ป้าลองคิดราคาอย่างถูกที่สุดราวครึ่งนีงของราคาสมัยนั้น ท่านมีทรัพย์เป็นเงินราว ๒ ร้อยล้านบาท สร้างวัดได้อย่างไม่ต้องง้อใคร

แต่การเร่งรัดให้ท่านขายทันใด ในขณะนั้น ไม่ได้แสดงความสามารถ ของหมู่คณะ อาจารย์ท่านนี้อาจหมดศรัทธา ป้าจึงพูดอะไรไม่ออก ยิ่งเมื่อหลวงพ่อพูดประโยคข้างต้น ป้าจึงวุ่นวายใจ

ยิ่งคิดยิ่งฟุ้งวุ่นวาย ยิ่งนึกอะไรไม่ได้เลย จึงพยายามหยุดคิด เอาใจไว้ที่ศูนย์กลาวกายให้นิ่งที่สดเท่าที่จะนิ่งได้ เห็นสิ่งใดใสๆ ก็มองดูสิ่งนั้นนิ่งอยู่

จนเกือบถึงเวลาเลิก ใจก็ถอนออกมา ครั้นแล้วความคิดอย่างหนึ่งก็เกิดขึ้น คือป้าเคยอ่านประวัติพระภิกษุบางรูป และประทับใจในความคิด และการทำงานของท่าน เห็นว่าศรัทธาของป้าเกิดได้จากการอ่าน " ก็ถ้าเราเอาความจริงใจของหมู่คณะทุกคน ออกมาเขียนเป็นหนังสือดูบ้าง ก็น่าจะใช้เรียกศรัทธาจากผู้ที่อ่านพบได้ "

พอคิดได้ดังนั้น เมื่อเลิกนั่งสมาธิกันแล้ว ป้าจึงเสนอเรื่องนี้ต่อหมู่คณะ เมื่อถูกซักถามว่า " จะให้เขียนทำนองไหน " ป้าก็ตอบว่า " เขียนประวัติของตนเองว่า ทำไมจึงมาปฏิบัติธรรม และได้รับผลดีอย่างไร ตั้งใจจริงช่วยกันสร้างวัดขนาดไหน ขนาดสละชีวิตอุทิศให้พระพุทธศาสนากันเลย นั่นแหละ เอาความจริงใจออกมาเล่า คนอ่านแล้วเกิดศรัทธา ก็จะมาช่วยสร้างวัดกันเอง ช่วยกันเขียนทุกคนเลย หนังสือเล่มนี้เท่ากับรวมเรื่องของเราทุกคน "

ข้อเสนอของป้า ไม่มีใครคัดค้าน ทุกคนเห็นด้วยเป็นเอกฉันท์ มีบางคนอ้างว่าเขียนไม่เป็น คนที่คิดว่าเขียนได้รับปากจะช่วยแก้ไขให้ เวลาที่ป้าเสนอความคิดนั้น ปลายปี ๒๕๑๒ เราว่าจะส่งหนังสือ ให้ทันเทศกาลปีใหม่ ๒๕๑๓ ถือเป็น ส.ค.ส. ส่งตามผู้ที่รู้จักคุ้นเคย ของทุกคนและตามคนที่สมควรต่างๆ ตลอดจนสถาบันใหญ่ๆ เช่นมหาวิทยาลัย ห้องสมุดประชาชน ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ คือเป็นหนังสือเสี่ยงบารมี ตามหาผู้คนที่เคยทำบุญร่วมกันมา ในชาติปางก่อน เราอธิษฐานจิต ให้บุญเก่าบันดาล ให้ได้มีโอกาสอ่านหนังสือของเรา และมาร่วมทำบุญด้วยกันในชาตินี้อีก

เมื่อเป็นที่ตกลงกันดังนี้ ต่อจากนั้นทุกเย็น ต่างคนต่างมาปฏิบัติธรรม เลิกปฏิบัติแล้วก็เขียนเรื่องของตนเอง แจกกระดาษฟุลแสก๊ปคนละ ๓-๔ คู่ ดินสอคนละแท่ง นั่งหมอบเขียนกับพื้นบ้าน เขียนไปทิ้งไป เขียนใหม่ แม้แต่หลวงพ่อฯ ก็ต้องเขียนเรื่องของท่านเองด้วย ทั้งเด็กทั้งคนใหญ่รวม ๒๐ คน ช่วยกันเขียน ทุกคนมีกำลังใจในการเขียนมาก เพราะคุณยายฯ นั่งสมาธิอยู่ตลอดเวลาที่พวกเราเขียน ท่านกล่าวว่า

" ยายอาราธนาบุญจากพระนิพพาน เอาบุญนั้นคุมตัวอักษรทุกตัว ที่พวกคุณเขียน ใครอ่านแล้วให้เหมือนไฟลนก้น ทนอยู่ไม่ได้ ต้องมาช่วยพวกเราสร้างวัด หนังสือเล่มนี้จะมีค่ามาก คนจะตามหาอ่านกันจนสิ้นลม "

ครั้นแล้วหนังสือก็เขียนเสร็จ ๒๐ เรื่อง เงินค่าพิมพ์ไม่มี อาจารย์วรณี เป็นคนออกทั้งหมด ๓ พันบาท พิมพ์ครั้งแรกหนึ่งพันเล่ม ขนาดเหมือนสมุดกว้าง ๗ นิ้วยาว ๑๐ นิ้ว ออกแบบหน้าปกสีเขียวสด ให้คนเห็นแล้วสนใจ ตัวหนังสือสีเหลือง ชื่อหนังสือ " เดินไปสู่ความสุข " ซึ่งเป็นชื่อที่เด็กๆ ผู้ปฏิบัติธรรมได้อภิญญาจิต เอาธรรมกายของเขาขึ้นไปถามพระธรรมกายในพระนิพพาน ได้มา ๕ ชื่อ อีก ๔ ชื่อ มีคำทางธรรมปนอยู่ หมู่คณะเห็นว่าชื่อเดินไปสู่ความสุขเป็นชื่อเหมาะที่สุด เพราะทุกคนต้องการความสุข จึงตัดสินใจเอาชื่อนี้ หนังสือหนา ๑๒๒ หน้า

ก่อนแจกป้าเห็นหนังสือของเราอ่านแล้วสนุก เกรงคนที่ไดรับจะเก็บไว้เอง จึงได้เขียนคำว่า " อย่าลืมส่งต่อ " ด้วยลายมือป้าเอง ตัวอักษรโตราว ๒ เซนติเมตร อัดสำเนา ตัดแปะไว้ที่มุมบนซ้ายมือ ให้มองเห็นเด่นๆ คนรับจะได้ช่วยส่งหนังสือเล่มนี้ ต่อกันไปเรื่อยๆ ถ้าเล่มหนึ่งอ่านกันได้ ๑๐๐ คน พันเล่มก็คงจะมีผู้รู้เรื่องการสร้างวัด เป็นหมื่นคน คนมีบุญที่คิดช่วยเราคงมีอยู่ ในจำนวนเหล่านี้บ้าง

จริงดังที่คาดคิด หลังจากผ่านปีใหม่ไปแล้วไม่นาน ได้มีผู้มาทำบุญที่บ้านธรรมประสิทธิ์ทั้งที่มาด้วยตนเอง และที่ส่งมาทางไปรษณีย์ แม้จำนวนเงินแต่ละรายไม่มากนัก แต่เมื่อรวมๆ กันก็คงพอให้เราสามารถเริ่มงานได้ งานชิ้นแรกก็คือการขุดคูน้ำล้อมรอบวัด ชิ้นที่สองคือ หาสถาปนิกเขียนแบบแปลนวัด และแปลนศาลา

การขุดคูน้ำไม่ต้องมีแบบแปลนอะไรมาก สิ่งสำคัญคือต้องมีเงินค่าจ้างคนขุด และคนคุมงาน เงินที่มีผู้บริจาคก็พอมีอยู่บ้าง ป้าเองเวลานั้น ก็เริ่มชักชวนผู้คนบริจาค จำได้ว่าคืนวันรุ่งขึ้นจะมีการประชุมครูในโรงเรียน ที่ป้าเป็นหัวหน้าสถานศึกษาอยู่ ป้าตัดสินใจขออนุญาตสามี เอาแหวนเพชรที่เขาให้ป้าไว้ ในวันแต่งงานบริจาคสร้างวัด ความจริงป้าเสียดายมาก เพราะเป็นของชิ้นเดียว ที่มีค่าที่สุดของป้า แต่เมื่อนึกถึงว่า ถ้าเราจะชวนผู้อื่นบริจาค โดยเราไม่กระทำให้ดูเป็นตัวอย่าง การชวนนั้นมีผลน้อย ป้าจำต้องคิดตัดใจ ทั้งเข้าใจถ่องแท้ว่า บุญที่จะได้จากการร่วมสร้างวัดนั้น มีมากว่าการหวงแหนก้อนหิน ที่สมมุติกันว่ามีค่านี้มากมายนัก สามีของป้าเองไม่เต็มใจ พูดอนุญาตอย่างเสียไม่ได้ว่า " ตามใจตุณสิ " น้ำเสยงนั้นเหมือนจะบอกว่า " ต่อไปอย่าหวังว่าจะซื้อให้ใหม่ "

ที่ป้ารู้ว่าเขาไม่เต็มใจ นอกจากฟังน้ำเสียงและดูกิริยาท่าทางแล้ว ยังได้รับคำบอกเล่าจากเพื่อนว่า สามีของป้าไปบ่นให้เขาฟังว่า " ดูซิ เมียผมบ้าบุญมากไปแล้ว แหวนแต่งงานที่เราให้ไว้ ก็เอาไปบริจาคได้ "

การตัดสินใจของป้าได้ผลตามที่คาดไว้ เมื่อป้าประกาศในที่ประชุม ปรากฏว่ามีผู้บริจาคตาม แทบทุกคน ทั้งที่เป็นเงินและเครื่องประดับ มีครูถอดแหวน สายสร้อย ต่างหูร่วมกับป้าเต็มฝ่ามือ

ป้านำเครื่องประดับที่มีค่าเต็มฝ่ามือนั้น ไปมอบให้คุณยายฯ เพื่อใช้ขายนำเงินมาประเดิมสร้างวัด เครื่องประดับเหล่านี้ พิจารณาตามความจริงแล้ว เป็นเพียงสิ่งที่ทำมาจากหินจากแร่ เมื่อใช้ฝีมือตกแต่งให้ประณีต ก็นิยมกันว่า เป็นของมีค่า พยายามแสวงหามาประดับร่างกาย

ของที่นำมาประดับร่างทุกชนิด ถ้าเป็นของสวยงาม มันก็งามอยู่ที่ตัวสิ่งของ ไม่เคยทำให้ผู้ประดับงามขึ้นได้จริง ผมเคยหงอก ฟันเคยหัก หนังเคยเหี่ยว เอาเครื่องประดับราคาเป็นร้อย เป็นพันล้านมาแต่งให้ ร่างกายก็ยังเป็นเหมือนเดิม ที่นิยมกันว่า เมื่อตกแต่งแล้วทำให้ดูสวยมีสง่าราศีขึ้น ก็เป็นเพียงค่านิยมที่สมมุติกัน อาจเป็นเพราะนิยมว่า คนที่ประดับกายด้วยของเหล่านั้น เป็นคนมีฐานะดีมากกว่า

คุณของการใช้เครื่องประดับ มีเพียงเท่านั้น คือโอ้อวดให้ผู้อื่นเห็นฐานะของผู้แต่ง

แตโทษมีมากหลายประการ เช่นต้องลำบากในการแสวงหา และดูแลรักษา ได้เงินมาแทนที่จะใช้เงินนั้น ทำประโยชน์ให้ตนและครอบครัว อุปการะผู้มีพระคุณ ทำสาธารณะประโยชน์อื่นๆ ให้เป็นบุญกุศลแก่ตนในภพหน้า กลับนำมาใช้ซื้อของเหล่านี้ แต่งได้แล้ว ไม่ใช่พอใจอยู่เพียงนั้น เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน ก็ต้องแสวงหาเพิ่มใหม่ ให้ทันต่อความนิยม จะเรียกว่า เครื่องแต่งกายเหล่านี้ มาตัดรอนโอกาสทำความดี ก็ไม่ผิด

ยังมีโทษที่ร้ายแรงอีกประการ คือเป็นอัตรายถึงชีวิต ล่อใจเหล่ามิจฉาชีพให้คิดแย่งชิงจี้ปล้นทำร้าย ใครหลงไหลของเหล่านี้ มักทำให้จิตใจคับแคบ ชอบหวงแหนและอิจฉาริษยา แข่งดีกับผู้อื่น ไม่อยากเห็นใครมีของมีค่าประดับกาย มากกว่าตน

ใครก็ตามที่สามารถตัดใจ สละของมีค่าที่ตนหวงแหน ออกเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมได้ นับว่าได้บำเพ็ญมหาทานกุศล ปัจจุบันก็ได้สติปัญญาและความปีติใจ ครั้งใดที่เห็นเครื่องแต่งกาย ชนิดที่ตนเองเคยบริจาค ก็จะมีความอิ่มใจ ว่าได้ฝากทรัพย์ไว้ในที่ปลอดภัย เพื่อเป็นเสบียงติดตัว มีจิตใจคลายจากความยึดถือ อยากได้ของผู้อื่น ในอนาคตภายภาคหน้า บุญกุศลย่อมส่งผลให้มีผู้มีรูปร่างหน่าตาผิวพรรณ นิสัยใจคอ ความประพฤติงดงาม มีทรัพย์มาก เหล่านี้เป็นต้น

เรื่องการบริจาคเครื่องประดับนั้น ป้ามิได้กระทำครั้งเดียว ต่อมาเมื่อสร้างศาลาก็ได้บริจาคสร้อยคอทองคำหนัก ๖ บาท สร้างโบสถ์ก็บริจาคเข็มขัดนาก เป็นอันว่าเครื่องประดับทั้งหมดที่มีอยู่ของป้า ฝังไว้ในพระศาสนา ต่อจากนั้นมา ไม่เคยคิดจะแสวงหาเครื่องประดับชิ้นใหม่ มีทรัพย์สินสิ่งใดก็คิดแต่เรื่องบริจาคเพื่อสร้างวัดอย่างเดียว



Create Date : 23 เมษายน 2551
Last Update : 23 เมษายน 2551 11:12:53 น. 0 comments
Counter : 1362 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

wbj
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 210 คน [?]




ต้องการสอบถาม กรุณาติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com หรือ 062 641 5992, 062 826 1544

วิทยากรเชิงกิจกรรม

วิทยากรกระบวนการ

ที่ปรึกษาธุรกิจ

ด้านการบริหารจัดการ

การตลาดและการประชาสัมพันธ์

การบริหารทรัพยากรมนุษย์

การวางแผนกลยุทธ์

วิจัยธุรกิจ

IT Dashboard



ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้...
ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย
และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด



<< Main Menu >>



ดวงถาวร


ดวงตามวันเกิด



ดวงตามปีเกิด






;b[^]pN 06' ไรินนื ่นนืเ "รินนื ๋นนืเ c:j06'

ต้องการสอบถาม โทร 062-641-5992, 062-826-1544
ติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com
Line ID : wbjoong

ที่ปรึกษาธุรกิจ ด้านการบริหารจัดการ การตลาดและการประชาสัมพันธ์ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ และ การวางแผนกลยุทธ์ วิทยากรเชิงกิจกรรม, วิทยากรกระบวนการ นักวิจัยการดำเนินงานธุรกิจ Executive & Management Coach

ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้... ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด
<< Main Menu >>
Friends' blogs
[Add wbj's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friends


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.