| ภาพเขียนบรรยากาศ "เทะระโกะยะ" | | | เมื่อมาถึงสมัยเอะโดะ (江戸;Edo;พ.ศ. 2143 - 2411) การศึกษากลายเป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายขึ้น มีโรงเรียนที่เรียกว่า เทะระโกะยะ (寺子屋;terakoya) หรือ ร้านเด็กวัด แต่ก็ไม่ใช่วัดเสมอไป อาจเป็นบ้านของซะมุไร หรือบ้านคนทั่วไป ยุคนั้นชนชั้นพ่อค้าเริ่มมีโครงสร้างเข้มแข็งขึ้นในสังคม การอ่านออกเขียนได้จึงจำเป็นสำหรับการทำธุรกิจให้ราบรื่น บรรยากาศด้านการศึกษาได้ส่งให้เทะระโกะยะเฟื่องฟูขึ้น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างเกียวโต เอะโดะ (โตเกียว) โอซะกะ (โอซาก้า) ลูกของครอบครัวคนทั่วไป ทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงสามารถเข้าเรียนได้ มีพระหรือซะมุไรเป็นผู้สอน ไม่มีสถิติที่แน่ชัดว่ามีเด็กเข้าเรียนเท่าไร แต่ประเมินว่าในเมืองใหญ่มีอัตราเข้าเรียนสูงถึง 60 70% นอกจากวิชาการอ่านการเขียนซึ่งเป็นวิชาพื้นฐานแล้ว ยังมีการสอนใช้ลูกคิด ประวัติศาสตร์ เย็บปักถักร้อย การศึกษาของญี่ปุ่นแพร่หลายมากขึ้น และก้าวหน้าในแบบของตัวเองอย่างมาก ในสมัยนั้นมีสูตรคำนวณวงกลมแบบญี่ปุ่นกันแล้ว คือ เส้นรอบวง = รัศมี x รัศมี x 0.07962, พื้นที่ = เส้นรอบวง x เส้นรอบวง x 0.785 ไม่ได้ใช้พายเหมือนปัจจุบัน ผมลองคำนวณเทียบดูปรากฏว่าได้ผลลัพธ์ต่างจากสูตรปัจจุบันแค่นิดเดียว พอขึ้นสมัยเมจิ (明治;Meiji ; พ.ศ. 2411 2455) การศึกษาเริ่มกลายเป็นระบบโรงเรียนที่ใกล้เคียงกับในปัจจุบัน ทางการวางระบบการศึกษาสมัยใหม่โดยได้รับความช่วยเหลือจากที่ปรึกษาชาวอเมริกัน เมื่อปี 2428 มีการกำหนดการศึกษาภาคบังคับครั้งแรกไว้ที่ 4 ปี พอปี 2450 ปรับเป็น 6 ปี ช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นเปลี่ยนโครงสร้างวิชาให้ส่งเสริมความจงรักภักดีต่อจักรพรรดิ และสอดแทรกแนวคิดแบบจักรวรรดินิยมลงไปด้วย ปี 2488 ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากนั้นการศึกษาจึงถูกรื้อโครงสร้างเสียใหม่ ปรับให้เป็นการศึกษาที่สอนให้รู้จักดำรงตนอย่างสันติ โดยออกกฎหมายแม่บทด้านการศึกษาปี 2490 แล้วการศึกษาภาคบังคับก็ขยายเป็น 9 ปีจนจบมัธยมต้น (มัธยมปลายไม่ใช่การศึกษาภาคบังคับ) ในกฎหมายแม่บท หลักบัญญัติที่สำคัญ คือ เสรีภาพทางการศึกษา (มาตรา 23) โอกาสที่เท่าเทียมกันทางการศึกษา (มาตรา 26 วรรค 1) สิทธิในการรับการศึกษาภาคบังคับโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (มาตรา 26 วรรค 2) การแบ่งแยกศาสนาออกจากรัฐ (มาตรา 20) อ่านดูแล้วอาจรู้สึกว่าคล้ายกับของที่ไหนสักแห่ง แต่จะแปลกใจไปไย ก็ในเมื่อสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้ชนะส่งคณะที่ปรึกษาไปช่วยจัดระบบเสียใหม่ หลักใหญ่ใจความจึงเป็นไปตามการศึกษาของสหรัฐฯ มาถึงตรงนี้คงพอมองออกว่าการพัฒนาเป็นเรื่องของการสะสม ญี่ปุ่นมีทั้งการสะสมทุนเชิงเศรษฐศาสตร์และทุนมนุษย์มาก่อนไทย ไทยมีพระราชบัญญัติประถมศึกษาฉบับแรกเมื่อ พ.ศ.2464 แต่ญี่ปุ่นมีมาก่อนไทยหลายปี คนญี่ปุ่นมีนิสัยชอบเรียนรู้ บรรยากาศด้านการเรียนก็เข้มข้นมาตั้งแต่โบราณ ลูกชาวบ้านของญี่ปุ่นได้เรียนหนังสือก่อนลูกชาวบ้านของไทยมานาน ในสมัยเอะโดะมีห้องสมุดให้ยืมอ่านนิยายกันแล้ว ประมาณการณ์กันว่า ช่วงปลายสมัยเอะโดะต่อสมัยเมจิ ประชากรญี่ปุ่นมีระดับการศึกษาดีกว่าหลายประเทศของโลกตะวันตกเสียอีก เหล่านี้เป็นคำตอบได้ส่วนหนึ่งว่าทำไมญี่ปุ่นจึงเป็นประเทศพัฒนาก่อนใครในเอเชีย จำนวนปีของการศึกษาสายสามัญในญี่ปุ่น ก็เหมือนกับของไทยคือ ประถม 6 ปี มัธยมต้น 3 ปี มัธยมปลาย 3 ปี ปริญญาตรี 4 ปี ปริญญาโท 2 ปี ปริญญาเอก 3 ปี โรงเรียนอนุบาลไม่รวมอยู่ในการศึกษาภาคบังคับ แต่พ่อแม่ส่วนใหญ่ก็ส่งลูกไปเรียนอยู่ดี เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการเรียนในชั้นประถม
|