เมาแล้วขับชนคนตาย ประมาทหรือเจตนาฆ่า!!!
"เมาแล้วขับ ชนคนตาย" โศกนาฏกรรมซ้ำซากในสังคมไทย เหตุการณ์เศร้าสลดต่าง ๆ มากมายที่เกิดขึ้น ถูกผลิตซ้ำวนเวียนและดูเหมือนว่าจะไม่มีทางแก้ไขอะไรได้ แม้ล่าสุด จะได้มีการแก้ไขกฎหมาย (พ.ร.บ. จราจร 2522, แก้ไข พ.ศ. 2551) ให้ "เพิ่มโทษ" คนเมาแล้วขับรถชนคนตาย ติดคุกสูงสุด 10 ปี ปรับสูงสุด 200,000 บาท และเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ
แต่ก็ดูเหมือนว่า โทษทัณฑ์หลังคำตัดสินที่ได้รับ จะไม่เพียงพอต่อสำนึกของเหล่านักดื่มเท่าไหร่นัก ประเทศไทย จึงจัดเป็นประเทศที่มีตัวเลขของความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยมีคอเหล้า เมาแล้วขับ เป็นผู้นำขบวน ด้วยสถิติอุบัติเหตุและผู้เสียชีวิตต่อวันที่เพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะช่วงเทศกาลพบว่า สัดส่วนผู้ขับขี่ที่ประสบอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์มีอาการมึนเมาสูงกว่าในช่วงเวลาปกติถึงกว่า 40 % คำถามจึงมีว่า เราจะทำอย่างไรกับการดื่มแล้วขับที่กลายเป็นวิสัยธรรมดาของคนไทย ? ซึ่งในทางสากล การเมาแล้วขับรถชนคนตาย จะถูกพิจารณาว่า เป็น เจตนา และมีความผิดร้ายแรง จนทำให้สามารถจัดการกับปัญหานี้ได้หรือไม่ ? เพราะมุมมองของผู้ออกกฎหมายคือ ทุกคนที่ดื่มย่อมรู้ดีว่า การดื่มแอลกอฮอล์นั้นมีผลต่อการควบคุมสติสัมปชัญญะและมีผลต่อความสามารถในการขับขี่ยานพาหนะ ดังนั้น การที่มีผู้ฝ่าฝืนโดยการดื่มแล้วมาขับ จึงถือเป็นความเจตนาและไตร่ตรองมาแล้วส่วนหนึ่ง ซึ่งต้องมีบทลงโทษร้ายแรง โดยมีกรณีศึกษาจากประเทศญี่ปุ่น ต่อการจัดการปัญหาและปราบปรามป้องกันปัญหา " เมาแล้วขับ " ดังนี้ ในอดีต ปัญหาการขับรถชนคนตายในประเทศญี่ปุ่น ยังถูกพิจารณาว่าเป็นเรื่อง ประมาท มีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับ 5 แสนเยน จนกระทั่งเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1999 ได้เกิดกรณีมีคนเมาขับรถบรรทุก (มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 126 mg %) ชนรถเก๋งบนทางด่วนโทลล์เวย์ ทำให้รถเกิดไฟลุกไหม้ ส่งผลให้ลูกสาววัย 1 ขวบและ 3 ขวบเสียชีวิตทันที เช่นเดียวกับในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2006 เกิดคดีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเมาแล้วขับชนท้ายรถเก๋งครอบครัวที่อยู่บนสะพานตกลงไปในอ่าวฮานาตะ เมืองฟูกูโอกะ เป็นเหตุให้เด็กที่นั่งมาในรถทั้ง 3 คนเสียชีวิต โดยเจ้าหน้าที่คนนี้ได้ขับหนีและขอให้เพื่อนช่วยหลอกว่าเป็นผู้ขับขี่แทน จากเหตุการณ์ดังกล่าว สังคมญี่ปุ่นได้ออกมาเรียกร้องให้มีการแก้กฎหมายเพิ่มโทษ โดยต่อมา กฎหมายเมาแล้วขับ ตามมาตรา 65 พ.ร.บ. การจราจรของญี่ปุ่น ได้ถูกยกร่างขึ้นใหม่และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 2007 โดยบทบัญญัติครอบคลุมตั้งแต่ ห้ามขับขี่ยานพาหนะในขณะที่มีแอลกอฮอล์ในร่างกาย, ห้ามให้ยืมหรือให้ใช้ยานพาหนะแก่ผู้ที่น่าวิตกว่าจะกระทำผิด, ห้ามร้องขอหรือไหว้วานให้ผู้อื่นขับขี่ยานพาหนะไปส่งตนเองโดยที่รู้อยู่แล้วว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ที่มีแอลกอฮอล์ในร่างกาย อีกทั้งห้ามร่วมโดยสารไปในยานพาหนะที่ขับขี่โดยบุคคลที่กระทำผิดตามที่กำหนด และที่สำคัญ บทลงโทษ ผู้ขับขี่เมาแล้วขับ จะรุนแรงและครอบคลุมผู้เกี่ยวข้อง โดยมีหัวใจสำคัญว่า การเมาแล้วขับและทำให้มีผู้เสียชีวิตจะมีโทษรุนแรง รองจากความผิดฐานฆ่าคนตายเลยทีเดียว เช่นนี้แล้ว ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่สังคมไทยจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับบทลงโทษที่เข้มงวดและจริงจังเสียทีถ้าคุณไม่อยากให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เกิดขึ้นกับคนที่คุณ เชิญร่วมกด Like กด Share คลิปวีดีโอในโครงการ ดื่มไม่ขับ ได้ที่ //socialmarketingth.org
Create Date : 22 พฤษภาคม 2558 |
Last Update : 22 พฤษภาคม 2558 4:48:41 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1802 Pageviews. |
|
|
ให้ใจหายใจ สุขภาพ วิธีลดความอ้วน การดูแลสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกาย สุขภาพผู้หญิง สุขภาพผู้ชาย สุขภาพจิต โรคและการป้องกัน สมุนไพรไทย ขิง น้ำมันมะพร้าว ผู้หญิง ศัลยกรรม ความสวยความงาม แม่ตั้งครรภ์ สุขภาพแม่ตั้งครรภ์ พัฒนาการตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ อาหารสำหรับแม่ตั้งครรภ์ โรคขณะตั้งครรภ์ การคลอด หลังคลอด การออกกำลังกาย ทารกแรกเกิด สุขภาพทารกแรกเกิด ผิวทารกแรกเกิด การพัฒนาการของเด็กแรกเกิด การดูแลทารกแรกเกิด โรคและวัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาหารสำหรับทารก เด็กโต สุขภาพเด็ก ผิวเด็ก การพัฒนาการเด็ก การดูแลเด็ก โรคและวัคซีนเด็ก อาหารสำหรับเด็ก การเล่นและการเรียนรู้ ครอบครัว ชีวิตครอบครัว ปัญหาภายในครอบครัว ความเชื่อ คนโบราณ