ชวนคุยเรื่องการลงทุนที่ผ่านมาครับ
ชวนคุยเรื่องการลงทุนที่ผ่านมาครับ


เพื่อนๆสวัสดีครับ

ผมมาชวนคุยเรื่องการลงทุนครับ(วันนี้มีคนนำnotebookมาใช้ เลยยืมเค้ามาครับ)
พวกเราเริ่มเข้าเรียนและรู้จักกันมา เกือบ 1 ปี

ผมลงทุนมาได้ไม่นาน พึ่งครบ 2 ปีกว่าๆได้ไม่ถึง 1 เดือนครับ ช่วงแรกๆก็ search google ไปเจอ web thaivi ครับ อ่านแล้วก็ งงๆ

ก่อนหน้านั้นผมศึกษาเกี่ยวกับ financial litheracy (ความฉลาดทางการเงิน)โดยการอ่านหนังสือ richdad กับเข้า web //www.richdadthai.com ครับ
ช่วงนั้นผมเข้าเรียน

-การวางแผนการเงิน
-การวางแผนภาษี
-เขียนแผนธุรกิจ

ผมรัก web richdadthai มากครับเพราะเป็นจุดเริ่มต้นของผม

กลับมาที่การลงทุนหุ้น
ช่วงก่อนหน้านี้ เราพบกับหุ้นขึ้นเป็นกระทิง ใกล้ 1'000จุด
แป๊บเดียว ลงมา 380 และมีคนเริ่มบอกว่า 200 จุด sureๆ

เพื่อนๆเคยพบกับปรากฏการณ์เหล่านี้ไหมครับ

ติดดอย
ขายหมู กลับมาซื้อ ติดซ้ำ
ฟังเซียน(ทั้งๆที่ก็คือคนธรรมดา) ซื้อตาม
แต่เซียน หลอกขายตอน 90 กว่าบาท
แล้วหุ้นมันลงมาถึง /บาทนิดๆ

ไม่กล้าซื้อ ไม่กล้าขาย
short TFEX แล้วหุ้นขึ้น
ล้าง port ณ จุดต่ำสุดฯลฯ

ผมเจอมาหมดแล้วครับ
และผมได้ข้อสรุปว่า

อ่านหนังสือ แล้วคิดเอง
ออกไปดูกิจการ ดีกว่ามานั่งงมโข่ง
(lynch เขียนว่า ไปนับฟันม้า ดีกว่ามาเถียงกันว่า ฟันม้ามีกี่ซี่)

ผมชอบ ceo ของ buffett เค้าเขียนว่า อยากอยู่เงียบ
อ่านหนังสือ แล้วปิดข่าว ปิด tv / net

อ่าน winning habits of Warren Buffett & George Soros
On up on wall Street แล้วทำให้ผมทราบว่า คนธรรมดา ก็เลือกหุ้นได้ดีครับ

ไปก่อนนะครับ แล้วไว้ค่ำๆจะกลับมาคุยครับ

ปล.มาคุยกันเยอะๆนะครับ กระทู้เปิดกว้างครับ คุยกันสนุกดี เถียงกันถกกัน
ได้ องค์ความคิด และได้เพื่อนครับ ^^




//www.templeboxing.com/index.php?topic=1320.0
ผมดูหนังสือน่าสนใจจาก blog ของพี่โหน่งครับ

blog อื่นๆของพี่โหน่งก็น่าสนใจนะครับ
//www.templeboxing.com/index.php?board=31.0

ส่วนคุณ prettypetite ผมอ่านผ่านๆ
มีแนวคิดบางอย่างที่สะกิดใจ(ต้องนำมาคิดต่อครับ)
ช่วงน้ำมันลง ก็พึ่งทราบว่า เค้าต้องเก็บน้ำมันที่เรือ
การทำลายเรือลดลง

//hoonfriendpage.blogspot.com/

blog คุณไก่ ที่พี่เค้าเข้ามาบ้าง
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=kaistangman&month=09-2008&date=03&group=2&gblog=1

//www.kaistangman.com/forums/index.php?s=bdaf1663900c4fbfbef45cd2017aac43&showtopic=6&st=800


เวลาผมอ่านความเห็น ผมจะนำมาคิด
มีหลายครั้งที่ ความโลภ และความกลัวจะ over เกินไป
แล้วก็คิดต่อว่า เราจะทำอย่างไร

ผมว่าทุกๆที่ มีโอกาสให้เราศึกษานะครับ
เพียงแต่ว่า มันเหมาะกับเรามากน้อยแค่ไหน

เลือก philosophy ที่เหมาะกับตนเองครับ



Create Date : 25 กรกฎาคม 2552
Last Update : 25 กรกฎาคม 2552 23:44:24 น.
Counter : 1221 Pageviews.

13 comments
  
มาคุยต่อครับผม

หลังจากเพื่อนๆเรียนรู้อะไรมาสักอย่างเพื่อนๆเคยสังเกตตนเองไหมครับว่า เราคิดอะไรต่อ

ผมยกตัวอย่างตอนที่มีคนพูดเรื่อง OPM(Other People Money) ตอนที่ผมเข้าชมรม RDT(rich dad thai) แม้วันนั้นผมจะไม่ได้เข้าอบรม
แต่ผมได้อ่านเอกสาร คุยกับผู้บรรยายเกี่ยวกับ OPM
(ชมรมเคยออกหนังสือมา 7 เล่มครับ เขียนได้ดีมากๆ)


OPM คือการใช้เงินคนอื่น เพื่อมาซื้ออสังหาฯครับ
เราออกเงินดาวน์ แล้วกู้เงินจากธนาคาร หลังจากซื้อออสังหาแล้ว ปล่อยเช่า โดยให้เงินที่เราต้องผ่อน อสังหาฯ น้อยกว่าค่าเช่า(ถ้าเราหาทำเลได้ดีๆ)

หรือเราซื้อบ้านมือ 2 แล้วปรับปรุง(มีสอนครับ)
แล้วขายเพื่อเอา capital gain

ตอนนั้นพี่หนุ่ม(ประธานชมรม) เค้าบอกว่า คนฟังเกือบทั้งหมดอยากกู้
อยากรวย
คิดว่า รวยแน่

โดยลืมคิดไปว่า ถ้ามันไม่เป็นอย่างที่คิดล่ะ เราจะเป็นอย่างไร

คงคล้ายๆกับที่เกิด sub prime ขึ้นนะครับ
มีการซื้ออสังหาเพื่อการเก็งกำไร
แล้วก็เกิดฟองสบู่

ผมเห็นคนโทษหนังสือ richdad
แต่จริงๆแล้ว
ผมพบว่า เวลาเราเรียนมาตั้งหลายปี
เราไม่ทราบวิธีทำเงินของคนรวยเลยครับ(หรือเป็นเฉพาะผมนะครับ )

ที่ศึกษามาเรื่อยๆเพราะผมสนุกกับการเรียนรู้ และนำมาใช้ได้จริง


เพื่อนๆจำตอนที่เราเริ่มศึกษาหุ้นได้ไหมครับ
ผมชอบการเลือกหุ้นแบบ peter lynch มากๆเลยครับ
ที่เค้าไปห้าง แล้วสังเกตพฤติกรรมคน แล้วนำมาคิดหาโอกาสการลงทุนต่อไปข้างหน้า

หากเราลองเปิดใจ อ่านหนังสือที่หลายเล่มไม่ได้พูดเกี่ยวกับการลงทุนโดยตรง
หลายครั้งที่ผมได้ความคิดดีๆขึ้นมา

อย่างที่เมื่อวาน อาจารย์ท่านบอกไว้ว่า หนังสือบางเล่ม
แค่ 2-3 บรรทัดก็จุดประกายเราได้แล้วครับ

หากใครสนใจหลักการพนัน ... ผมว่า ลองอ่านๆดูนะครับ
แม้เป็นศาสตร์ที่ใครก็หน้าแหยๆเวลาพูดถึง
แต่จริงๆเค้ามี "การสอนวินัยทางอารมณ์" แทรกเข้ามาด้วยครับ

กระทู้นี้เปิดกว้างสำหรับการคุยเรื่องการลงทุนนะครับ
ไม่จำเป็นต้องเป็นหุ้นก็ได้ครับ
คุยกันแล้วได้องคึความรู้ไปคิดต่อ
น่าจะเหมาะสมกว่าการที่เราเห็นใครได้ผลตอบแทนอย่างไร
แล้วก็บอกว่า เมพขิงๆ
แต่จริงๆเราไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย

ผมเองมีทั้งการขาดทุนอย่างที่ผมเคยเขียนไว้
กำไรที่ได้ % เท่าไหร่ ผมว่ามันไม่สำคัญเท่ากับที่เราได้เรียนรู้วิธีการลงทุนครับ
เพราะมันยั่งยืนกว่า

มีความสุขกับการรู้จักตนเองนะครับ
ขอตัวไปดู prison break ก่อนครับ กำลังติดหนึบเลยครับ
โดย: noooon010 วันที่: 25 กรกฎาคม 2552 เวลา:23:44:59 น.
  
ช่วง 2 วันนี้ผมไม่ได้เปิด com เลยครับ รู้สึกติดใจกระทู้จัดบ้าน(ที่ผมเขียนไว้ใน ชวนคุยเรื่องอื่นๆน่ะครับ)

ไปๆมาๆ วันหยุดนี้ รู้สึกดีมากๆครับ

- ได้ไปร้านกาแฟแถวพระราม 9 ชื่อร้าน library ครับ
- ได้ไปเดินที่ paragon ไม่ได้ไปนานแล้วครับ ผมเจอหนังสือเยอะเลยในร้าน asia book เลยมีหนังสือมาแนะนำครับ


"THE FOREVER PORTFOLIO How To Pick Stocks That You Can Hold for the Long Run.”

//www.cnbc.com/id/27719860

อ่านเล่มนี้แล้วรู้สึกว่า เค้าคิดได้ไงเนี่ย ฝรั่งช่างคิดและช่างสังเกต(และช่างเขียน)จริงๆครับ

ช่วงที่ตลาด crash มาคราวที่แล้ว ผมก็หาเวลานั่งอ่าน นั่งคิดอะไรไปเรื่อย ได้ทำสิ่งที่ชอบที่ไม่ใช่การดูราคาหุ้นบ่อยๆ(ทำคล้ายๆที่อยู่ใน คัมภีร์หุ้น XS ครับ)

เมื่อวานผมได้หนังสืออีกเล่มคือ The GURU Investor โดย John P.Reese ครับ
เป็นหนังสือที่รวบรวมนักลงทุนชื่อดัง(คงพอเดาได้นะครับ)

หนังสือนอกจากจะบอกว่า เค้ามีประวัติการลงทุนอย่างไร
มีแนวทางการลงทุนอย่างไร

ยังมี ratio ที่แต่ละคนใช้เป็น criteria ในการเลือกหุ้นด้วยครับ

เช่น Kenneth L. Fisher กับ Price-sales Ratio (PSR) ถ้า ไม่เกิน 0.75 >> ผ่านเกณฑ์ -best case อะไรทำนองนี้น่ะครับ น่าสนใจนะครับ หนังสือตกเล่มละเกือบ 800 บาทครับ(asia books)


โดยส่วนตัวผมคิดว่า ratio ต่างๆนั้น ขึ้นอยู่กับว่า เราสนใจเพราะอะไร และใช้ดูอะไร แล้วเราให้น้ำหนักกับสิ่งนั้นๆแค่ไหนครับ
ซึ่งแต่ละท่านคงคิดไม่เหมือนกันแน่ๆเลยครับ

มีอีกเล่มหนึ่งคือ trend following เค้าเขียนไว้ดีมากๆว่า

มีนักลงทุนที่ดู ratio อยู่ 2 พวก

1.ยึดเป็นสรณะเลย ไม่ดูตัวอื่น
2.ใช้ดูประกอบการตัดสินใจลงทุน โดยดูร่วมกับตัวอื่นๆ


นานาจิตตังครับ

แต่ผมว่า กระทู้นี้ น้องนูริน่ารักดีนะครับ

//www.iloveportrait.com/webboard/showmsg.php?pID=2864

มีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
โดย: noooon010 วันที่: 25 กรกฎาคม 2552 เวลา:23:45:56 น.
  
- ผมตั้งเป้าหมายการลงทุนของผม คือ... เป็นการออมเงินที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินเฟ้อ เงินฝาก และคุ้มค่ากับความเสี่ยงครับ

เราทราบกันดีว่า หุ้นมีความเสี่ยงมาก
...คำว่าความเสี่ยง ในทางการเงินหมายถึง ความแตกต่างระหวว่างเงินตั้งต้น และเงินในตอนท้าย
ซึ่งหมายถึง เงินนั้นสามารถเพิ่มขึ้น/ลดลงก็ได้ (ขอให้หุ้นขึ้นกันทุกท่านนะครับ )

ดังนั้นผมจึงเริ่มต้นด้วยการแบ่งเงินครับ
อย่างที่ผมเกริ่นไว้ในช่วงแรก

-เงินเก็บ ...เก็บไว้(ประมาณ 10% ของรายได้)ในบัญชีที่ให้ดอกเบี้ยเยอะที่สุด/ปลอดภาษี เผื่อมีอะไรฉุกเฉินจะได้ไม่ต้องขายหุ้นมาซื้อข้าวทาน

-ก่อหนี้ไม่เกิน 20% ของรายได้ หากเรามีหนี้แล้วไม่ชำระเลย คุณค่าแห่งความเป็นคนจะหายไปครับ

ส่วนหนี้มากเกินไป ความสุขเราก็จะหายไป
ดังนั้นก่อหนี้แต่พอดีครับ(ไม่เป็นหนี้เลยก็ดีนะครับ ยกเว้นว่าจะทำธุรกิจที่มี business model ที่ต้องก่อหนี้เพื่อนำมาเป็น leverage (= หนี้ดี))

- ที่เหลือ 70% นำมาใช้จ่าย และแบ่งลงทุนครับ ลงทุนตามที่ถนัดครับ

ในกระทู้นี้ผมขอคุยถึงการลงทุนในหุ้นนะครับ

: มีตราสารที่มีความเสี่ยงมากกว่าหุ้น อย่างพวก TFEX ... พวกนั้นจะนำมาพูดทีหลังนะครับ

(เชิญแจมได้ตลอดนะครับผม )

ช่วงแรกๆ 2ปี กับอีก 1 เดือนก่อนผมยังไม่รู้จักชื่อหุ้นเลยครับ ตอนนั้นได้น้อง ปรี(three dot) กับ พี่เค็ม(เซียน salty ... วันหลังผมอยากให้พี่เค้าตั้ง salty index ครับ555 แซวเล่นนะครับพี่ครับ)บอกชื่อหุ้นให้ครับ (นั่งเรียนบัญชีกับพี่มนครั้งแรก ผมนั่งคู้กับ 2 ท่านนี้ครับ)

เพื่อนผมแนะนำให้อ่านหนังสือ ตีแตกครับ หลังจากนั้นผมก็อ่านหนังสือ ของ ดร.นิเวศน์ หนังสือ one up on wall street ของ peter lynch, หนังสือ อ่านก่อนรวยถาวรกว่า & หนังสือvalue way ...ของพี่มนกับพี่วิบูลย์ครับ

ไปๆมาๆหลังจากผ่านการลงทุนมาได้ถึง 1ปีกว่าๆ ก็เกิดวิกฤติ hamberger
(ผมเริ่มศึกษาการลงทุนก่อน subprime 2007 ได้ 1 เดือนครับ)

ผมพบความจริงอยู่ 3 อย่างครับ(อ้างอิงจากหนังสือ forever portfolio + ชนะอย่างเต่าครับ)

1.หุ้นบางตัวไม่ได้มีราคาลดลงแม้เกิดวิกฤติ
2.หุ้นบางตัว ราคาเพิ่มขึ้นๆ และเพิ่มขึ้น และขณะเดียวกัน ผู้บริหารก็หาทางที่จะพัฒนาความสามารถในการทำกำไรในอนาคตครับ

3.ในทุกๆ Big problem เราสามารถค้นพบ Big oppotunity ครับ

In 1933, in the middle of depression, with 20% unemployment, the market rose 100&.

When inflation and interest rates were skyrocketing in the early righties, the US markets were on the way to stunning 1,000% gain over the next two decades

ดร.นิเวศน์ ก็เคยเขียนไว้ประมาณว่า ถ้าเชื่อว่าเศรษฐกิจดีหุ้นถึงจะขึ้น อย่างนั้นก็ไปลงทุนในจีนสิครับ เพราะ GDP ของจีนมีระดับที่สูงทุกปี(สูงที่สุดในโลก?)

แต่ในความเป็นจริง หุ้นจีน ไม่ได้ขึ้นทุกตัว ดังนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องรอให้ เศรษฐกิจดีก่อนถึงค่อยพบ โอกาสการลงทุนครับ

ผมเองชอบ กฏ 10 ข้อ ของพี่สุมาอี้ มากๆครับ

โดยเฉพาะที่บอกว่า ไม่ต้องให้น้ำหนักกับ Macroeconomic มากนั้น บริษัทที่ดีก็เหมือนเรือ ในที่สุดเรือที่ดีที่แข็งแกร่ง ก็จะนำเราไปสู่จุดหมายครับ

ในหนังสือ Trend following หน้า 212 เค้าบอกว่า ถ้าเปรียบเทียบการลงทุนหุ้น เหมือนกับ baseball เราไม่สามารถอยู่บนแท่นตีแล้วรอดูว่า ลูกนั้นจะตรงเข้ามือ catcher / ออกนอก zone จนเป็น "ball"(คล้ายๆปา foul) ได้ครับ

หลายๆครั้งเราต้องตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลเท่าที่จำเป็น เพราะบางทีข้อมูลที่มาก นอกจากทำให้เราไข้วเขว(หลักการเป็นหลักเกิน) เราจะหงุดหงิดใจ

พอเราหงุดหงิดใจ เราก็ทำอะไรได้ไม่ดีหรอก จริงไหมครับ
โดย: noooon010 วันที่: 25 กรกฎาคม 2552 เวลา:23:47:10 น.
  
ในหนังสือเล่มนี้เค้าพูดถึง Occam's razor
เค้าพูดว่า จริงๆมีกฏ มีหลักการมากมาย แต่ว่า

...The principle states that entities must not be multiplied unnecessary

...How to make simple decisions when time was pressing ...

จริงๆแล้ว ถ้าเรามี hypothesis ไว้อันหนึ่ง แล้วถ้าเกิดมัน ตรงกับที่เราคิด หรือว่าไม่ตรงกับที่คิด(ที่ Soros บอกว่า ปวดหลังอ่ะครับ) เราต้องมี plan management ต่อไปครับ

มีใครอ่าน คัมภีร์หุ้น XS บ้างไหมครับ ผู้เขียนเค้าพยายามให้เราสังเกตตนเองว่า เรากังวลเรื่องหุ้นมากไปไหม ลองดูตามคำถามต่างๆที่เค้ามีนะครับ ผมว่าทำให้เราเข้าใจตนเองเยอะเลยครับ

"Life is so short" ครับ
ผู้เขียน forever portfolio เค้ารู้สึกแบบนั้น ดังนั้นแทนที่เค้าจะเอาเวลามานั่งกังวลเรื่องหุ้น เค้าพยายามคิด business model ที่จะคงอยู่ยั่งยืน(แบบที่ peter lynch คิด)ดีกว่าครับ

ส่วน งบการเงิน ตัวผมเองดูว่า มันมีอะไรผิดปกติ หรือน่าระวังหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ ok ครับ

ส่วนราคาการซื้อ - ขาย หุ้นนั้น ผมมักจะตั้ง ราคาในใจไว้ และมันเป็นศิลปะการลงทุนครับ ดังนั้นการลงทุนของแต่ละท่านคงไม่เหมือนกัน ...เหมือนการเรียนวาดภาพ ที่เรียนมาด้วยกันก็ยังวาดภาพได้ไม่เหมือนกันเลยครับ เพราะมันเป็นศิลปะครับ

มีคำคมๆที่ติดในใจผมคือ "Best investor always do wrong, but admit it" ครับ
นั่นหมายถึง คนเราทำผิดพลาดได้ครับ

แต่ beat investor เค้าจะบันทึกไว้

...คิดแล้วก็นึกถึงที่ อ.พิสิทธิท่านว่าไว้

จริงๆเราต้องอ่าน ต้องคิด และบันทึกไว้ครับ

ผมชอบที่พี่มนกระตุ้นการอ่าน text book นะครับ
ช่วงนี้อ่านสลับกันไปหลายเล่ม

และผมก็อ่านหนังสืออื่นๆด้วยครับ
ล่าสุดอ่าน วินทร์ เลียววารินทร์(นักเขียนคนโปรด)
อ่านหนังสือเรื่อง "เดินไปให้สุดฝัน" ครับ
เป็นการเล่าถึงชีวิตของเค้าในช่วงเวลาหลาย 10 ปีที่ผ่านมา
มีข้อคิดมากมายอยู่ในเกือบทุกบรรทัดครับ

ผมชอบอ่านชีวะประวัติ/คำสัมภาษณ์ เพราะเราสามารถเรียนรู้ผ่านประสปการณ์ของบุคคลเหล่านั้นได้ครับ

โดย: noooon010 วันที่: 25 กรกฎาคม 2552 เวลา:23:48:02 น.
  
หมายเหตุ แก้คำครับ >>>แต่ beat investor เค้าจะบันทึกไว้

ขอแก้คำผิด เป็น best investor นะครับผม


มีประโยค/ คำคมต่างๆที่ผมชอบเวลาผมอ่านหนังสือครับ
วันนี้ ขอยกตัวอย่างจากหนังสือการลงทุนก่อนนะครับ

- ถ้าคุณซื้อหุ้น แล้วไม่ดูตลาดเลย 5 ปี คุณทำได้ไหม

จริงๆผมตีความว่า ผู้พูด(น่าจะเดาออกนะครับไม่ยาก ) เค้าหมายถึง เราให้ Mr.Market มามีผลกระทบต่อการตัดสินใจของเรามากจนเกินไป จนบางครั้ง เราเสีย วินัยในการลงทุนครับ

- In short term ,the markets will be depend on voting
In long term , the markets will be depend on weighting

มีใครซื้อ/ขายหุ้น แล้วดูหน้าจอ / ดูราคาหลังจากนั้นไหมครับ
ผมทำทุกครั้ง และพยานยามเรียนรู้ตัวตนของผมครับ

มีหลายครั้งที่เรามองว่า หุ้นจะลง แต่บางที ราคาหุ้นขึ้นมา จนเราไม่กล้าขาย
ทั้งๆที่ indicator ของเรา เราดูแล้วบอกว่าหุ้นจะลง

เช่นเดียวกันกับ เวลาที่ซื้อ เช่น ซื้อ kbank ที่ 52 บาท เมื่อเรามองว่า ราคามันจะขึ้นกว่านี้ 52 บาทเป็น new high ของปีนี้เลยนะคะหมอ(15 พค.52)

วันนี้ ราคานี้สูงสุดนะคะ ...อะไรแบบนั้น
อย่าให้ bias บางอันทำให้คุณพลาดโอกาสการลงทุนครับ

ถ้าเรามองภาพยาวๆว่า หุ้นของเราจะขึ้น แม้เราจะซื้อในราคาสูงสุดของวันนั้น ก็ไม่เห็นเป็นไร
ถ้าหุ้นจะขึ้น

- อย่าขับรถเดินหน้า ด้วยเกียร์ถอยหลัง

ผมได้คตินี้ จากการอ่านหนังสือของคุณ วินทร์ เลียววารินทร์ ครับ
เค้าบอกว่า เรามักพูดว่า รู้งี้ ฯลฯ
ถ้ากลับไปตอนนั้น ฉันจะ ...

จริงๆแล้ว มีนักพูดชื่อดังของ USA
เค้าบอกว่า ถ้าชั้นย้อนกลับไปในอดีตได้
ชั้นคง ทำผิดพลาดมากขึ้น และเร็วขึ้น

เวลาเป็นสิ่งที่ไม่มีวันย้อนกลับ
เวลาเป็นของมีค่า
แต่มีบางคน มัวแต่เอาตาของเราจ้องดูนาฬิกา เพื่อให้เวลามันผ่านไป

น่าเสียดายยิ่งนักครับ

โดย: noooon010 วันที่: 25 กรกฎาคม 2552 เวลา:23:49:21 น.
  
เวลาผมจะเก็บหุ้นที่ ตลาดนิยม อย่าง PTT / PTTEP /TTA
ผมจะรอว่า วันนี้ เค้าทำ new low ไหม(เมื่อเทียบกับเมื่อวาน)
ถ้าทำ new low ก็ยังไม่ซื้อ

ยกเว้น ราคานั้นมี margin of safety พอเพียง ผมจะซื้อ
โดยอาจซื้อแบบโยนหินถามทาง
เช่นทยอยซื้อที่ราคานี้ เท่านี้หุ้นๆ

ดังนั้น ในเวลาที่เราลงทุน น่าจะมีเงินสดเหลือบ้าง(= เหลือกระสุน) พอที่จะซื้อหุ้นเพิ่ม
(ถ้ามันน่าสนใจ)

หรือถ้าราคาลงมา เพราะเหตุผลไม่เข้าท่า

อย่าง cpall 5 บาท sureๆ เพราะหุ้นอื่นเค้าลงกัน
และอาจขาย lotus ที่จีนไม่ได้

ผมจะย้อนคิดไปว่า business model มันน่าสนใจ และมี margin of safety พอเพียงหรือไม่
ซื้อ 7 บาท 1 แสนหุ้น คิดว่า downside มันน้อยกว่า upside มากๆ
วันเดียวขึ้นไป 9-10 บาท

แล้วก็ขายหมูไป

แต่ผมคิดว่า เราเห็นหุ้นอื่นดีกว่าแล้ว

เรื่อง ขายหมู
ผมพบว่า นักลงทุนทุกท่าน ขายหมูครับ
เพราะเค้าไม่ทราบว่าราคาสูงสุดอยู่ที่เท่าไหร่

แต่ถ้าเราขายแล้ว เราอยากซื้อกลับ

เราต้องทวนเหตุผลการขาย
แล้วอย่าใช้อารมณ์แบบว่า กลัวตกรถ รบซื้อทันที

...มักจะพบว่า ขายหมู & ติดดอยตามมาครับ

- ผมซื้อหุ้นที่ผมรู้จักว่ากิจการทำอะไร และการทำกำไรในอนาคตมีแค่ไหนในใจเรา
- ผมซื้อที่ ราคาที่มี margin of safety มากพอสำหรับใจผม
- ผมขายเมื่อ ราคา ถึงเป้าหมาย หรือเห็นตัวอื่นดีกว่า
- เมื่อ อะไรที่ไม่เป็นอย่างที่คิด ผมจะทำอย่างไรต่อ ผมมี plan ในใจครับ

ส่วนจำนวนหุ้นที่ถือ สำหรับผมมันไม่สำคัญครับ
1.5 ปี ก่อน ผมเคยกังวลเรื่อง เราไม่ควรถือหุ้นเกิน 8 -10 ตัว

ไปๆมาๆ ถ้าธุรกิจมันไม่เจ๊ง
ในอีก 2-3 ปี มันดีกว่าการฝากเงิน(เยอะ)

ผมซื้อหุ้นครับ

ส่วนถ้าราคาตกหลังจากซื้อ(ซึ่งเกิดได้เป็นปกติ)
ผมชอบที่จะรอ แล้วก็ซื้อเพิ่มเมื่อหยุดทำ new low
หรือซื้อเมื่อเห็นว่าถูกมากพอ

ด้วยวิธีดังกล่าว ผมไปญี่ปุ่นเมื่อต้นปี
กลับมา หุ้นลดลง 3 หมื่นบาทครับ

ตอนนั้น pttep ไหลจาก 120(100หุ้นแรกผมซื้อที่ราคานั้น)
ลงมาที่ 80 นิดๆ

ผมนึกในใจล่วงหน้าแล้วว่า ถ้าลงมาที่ 75 บาท
ผมก็จะซื้อ

เพราะอย่างไร คนก็ใช้น้ำมัน
ราคาน้ำมันลด ptt ไม่เห็นลดราคาเลย อำนาจต่อรองต่อ buyer นี่...
(จริงๆอยากให้ fairๆมากกว่าครับ คนเราคงไม่ชอบของแพง เช่นเดียวกับซื้อหุ้น )

พอ94 ผมซื้อ
90ซื้อ

จน 80 นี่ อิ่มครับ
ครึ่ง port เป็นหุ้นน้ำมัน

พอราคาน้ำมันขึ้นมา

เวลาอะไรก็ตามมันไม่ขึ้นเป็นเส้นแนวเดียว
มันจะขึ้นๆลงๆ แต่ก็ไปในทางสูงขึ้น
แล้วเราก็ค่อยๆดู

ผมดูบ่อยๆไม่ไหวครับ
ทำอย่างอื่นบ้างดีกว่า

ผมวาง plan ไว้ว่า
ผมทำงาน หาอะไรพิเศษทำบ้าง
ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และอย่างพอเพียง
มีเงินเหลือจากใช้จ่าย นำมาลงทุน
ค่อยๆลงทุนอย่างมีความสุข

และแล้วผม ก็พบ philosophy ของผม ครับ

ดูภาพนี้สิครับ
พี่เสื้อแดง(พี่เต่าผู้น่ารัก )ยืนสงบนิ่ง ขณะที่คนอื่นๆเค้าเคลื่อนไหว
สุดยอดจริงๆครับ (555 ช่างเข้าใจผูกเรื่องนะครับเนี่ย)


Photobucket
โดย: noooon010 วันที่: 25 กรกฎาคม 2552 เวลา:23:51:16 น.
  
มีความสุขกับการลงทุนและวันพักผ่อนนะครับผม

Photobucket



โดย: noooon010 วันที่: 25 กรกฎาคม 2552 เวลา:23:52:31 น.
  
น่าฟังจริงๆครับ

//radio.mcot.net/player/playProgramClip.php?id=53311

ผมชอบหนังสือ trend follower ที่เค้าบอกว่า

การลงทุนก็เหมือนเรายืนตีลูกเบสบอล

เราไม่ทราบว่า ลูกที่ pitcher ขว้าง จะเข้า strike (=ต้องตี)หรือ จะออกนอก strike zone (=ไม่ตีดีกว่า)

...ดังนั้น เราต้องมี philosophy ของเราเองในการตอบตัวเราว่า เราจะลงทุน หรือไม่ลงทุนครับ

ผมว่า กฎ10 ข้อ ของพี่สุมาอี้ ในหนังสือ วัดมูลค่าหุ้น work มากๆครับ

ตอนนี้ผมอ่านหนังสือ(ที่เกี่ยวกับการลงทุน) ดังนี้ครับ

- super stock ของ Ken. Fisher

ส่วนเล่มอื่นๆก็


IMG]//i287.photobucket.com/albums/ll146/noooon010/IMG_0025r.jpg[/IMG]

[IMG]//i287.photobucket.com/albums/ll146/noooon010/IMG_0029r.jpg[/IMG]

[IMG]//i287.photobucket.com/albums/ll146/noooon010/IMG_0028r.jpg[/IMG]

[IMG]//i287.photobucket.com/albums/ll146/noooon010/IMG_0027r.jpg[/IMG]

[IMG]//i287.photobucket.com/albums/ll146/noooon010/IMG_0030r.jpg[/IMG]


ผมว่า ใครอ่านเล่มไหนก็ได้
นำเล่มที่เข้ากับตัวท่านเองมาปรับใช้ครับ

ฝรั่งเค้าไม่เน้นจำ >> ทำตาม

แต่เค้าเน้น การเรียนแบบ ศึกษา แล้ว คิดต่อ แล้วประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมครับ(ดังนั้นบางทีก็ทำตรงข้ามกับที่ได้ศึกษามาก็มี แล้วแต่บุคคลครับ)


ผมว่า ใครอ่านเล่มไหนก็ได้
นำเล่มที่เข้ากับตัวท่านเองมาปรับใช้ครับ

ฝรั่งเค้าไม่เน้นจำ >> ทำตาม

แต่เค้าเน้น การเรียนแบบ ศึกษา แล้ว คิดต่อ แล้วประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมครับ(ดังนั้นบางทีก็ทำตรงข้ามกับที่ได้ศึกษามาก็มี แล้วแต่บุคคลครับ)

มีความสุขกับการอ่านหนังสือนะครับผม
มีความสุขกับการอ่านหนังสือนะครับผม

โดย: noooon010 วันที่: 25 กรกฎาคม 2552 เวลา:23:54:28 น.
  
พอดีวาดกราฟไม่เป็นครับ
งั้นใช้ กราฟของ s&p 500 ก็ได้ครับ

//www.bloomberg.com/apps/cbuilder?ticker1=SPX%3AIND

ลองสังเกตดูนะครับว่า
ทุกๆวัน ดัชนีมีขึ้น มีลง
และแล้ว ก็เป็น up trend

ระยะเวลาลงทุนของเรา นานขนาดไหนครับ

1 วินาที
1 นาที
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
1 ปี
1 ทศวรรษ ฯลฯ

กำหนดเป้าหมายการลงทุน
แล้วการลงทุนก็จะง่ายขึ้น เมื่อเราเข้าใจตัวเราเองครับ

มีคติมาฝาก(อีกแล้วครับ)

philosophy ในการลงทุน และการเรียนรู้สิ่งอื่นๆในชีวิตเรา(การเลือกคู่ การถ่ายภาพ การซื้อของกิน ฯลฯ)

...มันเปลี่ยนไปตาม ประสบการณ์ ของแต่ละคน
เราอ่านของคนนั้น คนนี้
แล้วรู้สึกว่า น่าจะ ok กับเรา

แล้วจริงๆใครจะตอบได้ดีที่สุดนอกจากตัวเราครับ

เมื่อวันวาน เราซื้อหุ้นเพราะเหตุผลหนึ่ง
อีกวันหนึ่ง เราอาจขายเพราะอีกเหตุผลก็ได้

เมื่อวันวานเราดู value
เราอาจขายเพราะเห็น market risk

เมื่อวันวานเราอยากดู transformer 2
วันนี้ อาจอยากดู หนีตามกาลิเลโอมากกว่า(เกี่ยวกันไงอ่ะ )

อย่าลืมแบ่งเวลาสำหรับการดำรงชีวิต
และตอบแทนสังคมนะครับ

คงจบการร่ายยาวเท่านี้นะครับ

จาก หนูอุ่น (noooon)
โดย: noooon010 วันที่: 25 กรกฎาคม 2552 เวลา:23:55:30 น.
  
บล็อคน่าสนใจดีครับ
ผมเองก็พึ่งเข้าสู่แวดวงการลงทุนได้ไม่นาน โชคดีนิดหน่อยที่ยังมาไม่ทันช่วงดัชนีรูดลงสองร้อยกว่าจุด
หากเล่นอยู่ตอนนั้น คงขยาดหุ้นแน่ๆเลย

ตอนนี้กำลังเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดหุ้นครับ (ก่อนหน้านี้เล่นแต่กองทุน)
ยินดีที่ได้รู้จักครับ
โดย: คนจนที่อยากรวย วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:09:50 น.
  
ผมย้อนกลับไปอ่าน finding the next starbucks หน้า 9

Warren Buffett กล่าวไว้ว่า

"If history books were the key to riches, The Forbes 400 would consist of librarians."

จริงๆแล้ว ประวัติศาตร์จะเกิดซ้ำๆเรื่องเดิมหรือไม่ ไม่มีคนตอบได้
ดังนั้น นักลงทุนมี แนวทางลงทุนอย่างไร กรณีที่เกิดซ้ำ และไม่เกิดซ้ำ
โดยที่ไม่ต้อง ระแวงจนเกิดไป และประมาทจนเกินเหตุ

ความพอดี และความพอเพียงของแต่ละคนไม่เท่ากัน

การลงทุน จึงเป็น "ศิลปะ" ครับ


เคยสังเกตเวลาที่เราทำสิ่งที่เราชอบไหมครับ เรามักจะสนุก และไม่เหนื่อย และรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

คนเราคงไม่สามารถเลือกทำเฉพาะสิ่งที่เราชอบ
แต่เราเลือกที่จะ ใช้ชีวิตอย่างไร ได้ครับ

มีใครเคยอ่านหนังสือรักไหมครับ ของน้อง ก๊ก(ผมอยู่ข้างหลังคุณ) รุ่นน้องผมเอง

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta

ผมชอบเรื่อง Christmas in August ครับ
จนป่านนี้ยังไม่มีบุญได้ดูสักที(4-5 ปีแล้ว ^^)

แค่อ่านจากหนังสือของน้อง ก๊ก ก็เหมือนได้ดูหนังแล้วครับ

อ้างอิงจากหน้า 40 ครับ(มีรูปประกอบ ซึ่งผู้สนใจสามารถดูได้ในหนังสือ "หนังสือรัก"ครับ)

"คุณเคยถามตัวเองบ้างไหม ถ้าวันสุดท้ายในชีวิตของคุณใกล้มาถึง คุณอยากจะทำอะไร"

- เศร้า ท้อแท้ สับสน
- นอนไม่หลับ
- พาคนรักไปเที่ยว
- กินข้าวกับเพื่อนสนิท
- ถ่ายภาพหมู่กับกลุ่มเพื่อน
- นั่งดูภาพรำลึกอดีต
- ขอนอนกับคุณพ่อ คุณแม่ เป็นครั้งสุดท้าย
- สอนคุณพ่อ คุณแม่ ให้ช่วยเหลือตนเองได้เมื่อไม่มีคุณ

(ตัวเอกในเรื่อง สอนคุณพ่อให้อัด VDO จาก TV สอนไม่เข้าใจก็เผลอต่อว่าคุณพ่อ แล้วก็มานั่งเศร้า)

(เด็กดีไม่ควร ต่อว่า คุณพ่อคุณแม่นะครับ )

- ไปสถาณที่ที่คุณผูกพัน
- ถ่ายภาพ เพื่องานของตัวเอง

หากยังมีโอกาส ยังมีเวลา แล้วปล่อยให้เวลานั้นหายไปเพราะคิดว่า วันหลังค่อยทำก็ได้

สุดท้ายเราอาจต้องมาเสียใจถึงสิ่งที่ไม่มีโอกาสได้ทำ

ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ทีไร ร้องไห้ทุกทีครับ วันนี้ก็เช่นกัน
วันนี้ผมสอนคุณแม่ผม write vcd เพื่อใช้ในการสอนรำมวยเต้าเต๋อครับ
...แต่ว่า ผมสอนด้วยความสุขใจ ค่อยๆอธิบาย แล้วก็ทำให้เรื่องเล็กๆน้อยๆมีทั้งคุณค่า และมีความสุขครับ

สวัสดีครับ
โดย: noooon010 วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:12:08 น.
  
ทำอย่างไรเมื่อ ตกรถ

- ไป รพ. หาหมอ(= ไปทำใจก่อน เดี๋ยวใช้แต่อารมณ์ตัดสินใจ)
- ทำใจว่า ขึ้นรถไม่ทันแล้ว รอเที่ยวหน้าก็ได้
- โทรบอกเลื่อนคนที่นัดไว้(= เป้าหมาย) บอกว่า รอก่อนนะ
- หาแผนใหม่ ที่ทำให้ขึ้นรถทัน
- บางทีรีบขึ้นรถ ไปๆมาๆ ขึ้นผิดคัน รถพาไปส่ง ผิดที่ เซ็ง 2 ต่อ

(เขียนเล่นๆนะครับ ไว้อ่านแก้เหงา)
โดย: noooon010 วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:13:09:30 น.
  
วันนี้ผมเหลือบไปเห็นกระทู้ ปีที่ผ่านมาท่านทำผลการลงทุนได้กี่ %(ในไทย vi)

แปลกดีที่ผมคิดคำตอบใหม่ได้ว่า

จริงๆแล้ว เราจะชนะตลาด หรือจะชนะเซียนหุ้น(ทั้งๆที่เค้าก็เป็นแค่คนๆหนึ่ง)
...หรือจะแพ้ใครก็แล้วแต่

เราชนะใจตัวเองหรือยัง
และเราได้เรียนรู้อะไรในการลงทุนของเราบ้าง

มีความสุขกับการลงทุนนะครับ
โดย: noooon010 วันที่: 24 ตุลาคม 2552 เวลา:0:57:12 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

noooon010
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



สวัสดีครับผม ^^

slumdog millioanaire สุดยอดจริงๆครับ

คนทุกคน มีค่าเท่าๆกัน
คนที่ดูถูกคนอื่นเท่านั้น ที่เป็นการดูถูกตัวของคุณเอง

มาสร้างสิ่งดีๆให้โลกนี้กันดีกว่าครับ
Friends Blog
[Add noooon010's blog to your weblog]