Steve Jobs “จงหิวโหย จงโง่เขลา”
Steve Jobs “จงหิวโหย จงโง่เขลา”
________________________________________

อ้างอิงจาก Positioning Magazine ตุลาคม 2548

แปลและเรียบเรียงโดย คุณ เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์

สุนทรพจน์ที่สร้างความประทับใจไปทั่วโลกของ Steve Jobs ผู้ก่อตั้ง Apple และผู้สร้าง Macintoch

โอวาทที่ Steve Jobs ผู้สร้าง Macintosh แสดงในวันรับปริญญาของมหาวิทยาลัย Stanford เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา ไม่เพียงสร้างความประทับใจให้แก่บัณฑิตจบใหม่ในวันนั้น แต่ยังรวมไปถึงโลกคอมพิวเตอร์ที่ Silicon Valley และยังคงได้รับการชื่นชมและกล่าวขวัญไปทั่วโลกจนถึงวันนี้

สุนทรพจน์วันนั้น Jobs เพียงแต่เล่าถึงบทเรียนในชีวิตของเขา 3 บท แต่เป็น 3 บทที่ทำให้เขาซึ่งแม้แต่แม่ที่แท้จริงก็ไม่ต้องการ กลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของโลก

บทเรียนบทแรกของ Jobs ซึ่งเขาเรียกมันว่า “การลากเส้นต่อจุด” เริ่มต้นด้วยการเล่าว่า ตัวเขาเองไม่เคยเรียนจบมหาวิทยาลัย เพราะได้ลาออกหลังจากเรียนในมหาวิทยาลัย Reed College ไปได้เพียง 6 เดือน ส่วนเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยนั้น Jobs กล่าวว่า มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เขายังไม่เกิด

แม่ที่แท้จริงของเขา ซึ่งเป็นนักศึกษาสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่ต้องการเลี้ยงดูเขา และตัดสินใจยกเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่นตั้งแต่เขายังไม่ลืมตาดูโลก แต่เธอมีเงื่อนไขว่า พ่อแม่บุญธรรมของลูกของเธอจะต้องเรียนจบมหาวิทยาลัย Jobs เกือบจะได้เป็นลูกบุญธรรมของนักกฎหมายที่จบมหาวิทยาลัยและมีฐานะ ถ้าเพียงแต่พวกเขาจะไม่เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายว่า พวกเขาไม่ต้องการเด็กผู้ชาย

กว่า Jobs จะได้พ่อแม่บุญธรรม ซึ่งต่อมาเป็นผู้เลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ ก็อีกหลายเดือนหลังจากเขาเกิด เนื่องจากแม่ที่แท้จริงของเขาเกิดจับได้ว่า ว่าที่พ่อแม่บุญธรรมของ Jobs ได้ปิดบังระดับการศึกษาที่แท้จริงซึ่งไม่ได้จบมหาวิทยาลัย และพ่อบุญธรรมของ Jobs ไม่ได้เรียนมัธยมด้วยซ้ำ แต่ต่อมาเธอก็ได้ยอมเซ็นยก Jobs ให้แก่พ่อแม่บุญธรรม เมื่อพวกเขารับปากว่าจะส่งเสียให้ Jobs ได้เรียน มหาวิทยาลัย

17 ปีต่อมา Jobs ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยสมตามความต้องการของแม่ที่แท้จริง ผู้ไม่เคยเลี้ยงดูเขาแต่กลับต้องการกำหนดชะตาชีวิตของลูกที่ตนไม่เคยเลี้ยงดู เพียง 6 เดือนในมหาวิทยาลัย Jobs ใช้เงินเก็บที่พ่อแม่บุญธรรมซึ่งเป็นเพียงชนชั้นแรงงานได้สะสมมาตลอดชีวิต หมดไปกับค่าเล่าเรียนที่แสนแพง Jobs ตัดสินใจลาออก เพราะเขามองไม่เห็นคุณค่าของการเรียนมหาวิทยาลัย
ซึ่งไม่สามารถช่วยให้เขาคิดได้ว่า เขาต้องการจะทำอะไรในชีวิต

แม้ว่าตอนนี้เมื่อมองกลับไปเขาจะรู้สึกว่า การตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา เพราะการลาออกทำให้เขาไม่ต้องฝืนเข้าเรียนในวิชาปกติที่บังคับเรียนซึ่งเขาไม่เคยชอบหรือสนใจ แต่สามารถเข้าเรียนในวิชาที่เขาเห็นว่าน่าสนใจได้

แต่เขาก็ยอมรับว่า นั่นเป็นชีวิตที่ยากลำบาก เมื่อเขาไม่ได้เป็นนักศึกษาจึงไม่มีห้องพักในหอพัก และต้องนอนกับพื้นในห้องของเพื่อน ต้องเก็บขวดโค้กที่ทิ้งแล้วไปแลกเงินมัดจำขวดเพียงขวดละ 5 เซ็นต์ เพื่อนำเงินนั้นไปซื้ออาหาร และต้องเดินไกล 7 ไมล์ทุกคืนวันอาทิตย์ เพื่อไปกินอาหารดีๆ สัปดาห์ละหนึ่งมื้อที่วัด Hare Krishna

อย่างไรก็ตาม เขาชอบที่หลังจากลาออก เขาสามารถที่จะไปเข้าเรียนวิชาใดก็ได้ที่สนใจ และวิชาทั้งหลายที่เขาได้เรียนในช่วงนั้น ซึ่งเขาใช้เวลาทั้งหมด 18 เดือน โดยเลือกเรียนตามแต่ความสนใจและสัญชาตญาณของเขาจะพาไป ได้กลายมาเป็นความรู้ที่หาค่ามิได้ให้แก่ชีวิตของเขาในเวลาต่อมา
และหนึ่งในนั้นคือ วิชา ศิลปะการประดิษฐ์และออกแบบตัวอักษร (calligraphy)

Jobs ยอมรับว่า ในตอนนั้นเขาเองก็ยังมองไม่ออกเช่นกันว่า จะนำความรู้ที่ได้จากวิชานี้ไปใช้ประโยชน์อะไรได้ในอนาคตของเขา แต่ 10 ปีหลังจากนั้น เมื่อเขากับเพื่อนช่วยกันออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์ Macintosh เครื่องแรก วิชานี้ได้กลับมาเป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างไม่เคยนึกฝันมาก่อน และทำให้ Mac กลายเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรก ที่มีการออกแบบตัวอักษรและการจัดช่องไฟที่สวยงาม

ถ้าหากเขาไม่ลาออกจากมหาวิทยาลัย เขาก็คงจะไม่เคยเข้าไปนั่งเรียนวิชานี้ และ Mac ก็คงไม่อาจจะมีตัวอักษรแบบต่างๆ ที่หลากหลาย หรือ font ที่มีการเรียงพิมพ์ที่ได้สัดส่วนสวยงาม รวมทั้งเครื่องพีซี ซึ่งใช้ Windows ที่ลอกแบบไปจาก Mac อีกต่อหนึ่งก็เช่นกัน คงจะไม่มีตัวอักษรสวยๆ ใช้อย่างที่มีอยู่ในตอนนี้

อย่างไรก็ตาม Jobs บอกว่า ในเวลาที่เขาตัดสินใจลาออกนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถ “ลากเส้นต่อจุด” หรือหยั่งรู้อนาคตได้ว่า วิชาออกแบบและประดิษฐ์ตัวอักษร (คอลิกราฟฟี่) จะกลายเป็นความรู้ที่มีประโยชน์ในการออกแบบ Mac เขาเพียงสามารถจะลากเส้นต่อจุดระหว่างวิชาลิปิศิลป์กับการคิดค้นเครื่อง Mac ได้อย่างชัดเจน ก็ต่อเมื่อมองย้อนกลับไปข้างหลังเท่านั้น

ในเมื่อไม่มีใครที่จะลากเส้นต่อจุดไปในอนาคตได้
ดังนั้นคำแนะนำของ Jobs ก็คือ คุณจะต้อง “ไว้ใจและเชื่อมั่น” ว่า จุดทั้งหลายที่คุณได้ผ่านมาในชีวิตคุณ มันจะหาทางลากเส้นต่อเข้าด้วยกันเองในอนาคต ซึ่งจะเป็นอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา โชคชะตา ชีวิต หรือกฎแห่งกรรม ขอเพียงแต่คุณต้องมีศรัทธาในสิ่งนั้นอย่างแน่วแน่

บทเรียนชีวิตบทที่สองที่ Jobs เล่าต่อไปคือ ความรักและการสูญเสีย Jobs อายุเพียง 20 ปี เมื่อเขาเริ่มก่อตั้ง Apple กับเพื่อนที่โรงรถของพ่อ เพียง 10 ปีให้หลัง Apple เติบโตจากคนเพียง 2 คนกลายเป็นบริษัทใหญ่โตที่มีมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์และพนักงานมากกว่า 4,000 คน

แต่หลังจากที่เขาเพิ่งเปิดตัว Macintosh ซึ่งเป็นประดิษฐกรรมสร้างสรรค์ที่ดีที่สุดของเขา ได้เพียงปีเดียว Jobs ก็ถูกไล่ออกจากบริษัทที่เขาเป็นผู้ก่อตั้งเองกับมือ เมื่ออายุเพียงแค่ 30 ปี หลังจากเขาทะเลาะถึงขั้นแตกหักกับนักบริหารมืออาชีพ ที่เขาเองเป็นผู้ว่าจ้างให้มาบริหาร Apple และกรรมการบริษัทกลับเข้าข้างผู้บริหารคนนั้น

ข่าวการถูกไล่ออกของเขาเป็นข่าวที่ใหญ่มาก และเช่นเดียวกัน มันเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตของเขา Jobs กล่าวว่า เขาได้สูญเสียสิ่งที่เขาได้ทำมาตลอดชีวิตไปในพริบตา และเขารู้สึกเหมือนตัวเองพังทลาย เขาไม่รู้จะทำอะไรอยู่หลายเดือน และถึงกับคิดจะหนีออกจากวงการคอมพิวเตอร์ไปชั่วชีวิต

แต่ความรู้สึกอย่างหนึ่งกลับค่อยๆ สว่างขึ้นข้างในตัวเขา และเขาก็พบว่า เขายังคงรักในสิ่งที่เขาทำมาแล้ว ความล้มเหลวที่ Apple มิอาจเปลี่ยนแปลงความรักที่เขามีต่อสิ่งที่ได้ทำมาแล้วแม้เพียงน้อยนิด เขาจึงตัดสินใจที่จะเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ซึ่งต่อมาเขาพบว่า การถูกอัปเปหิจาก Apple กลับกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของเขา เพราะความหนักอึ้งของการประสบความสำเร็จได้ถูกแทนที่ด้วยความเบาสบายของการเป็นมือใหม่อีกครั้ง และช่วยปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ จนสามารถเข้าสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดในชีวิตของเขา

ช่วง 5 ปีหลังจากนั้น Jobs ได้เริ่มตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NeXT และ Pixar และพบรักกับ Laurence ซึ่งต่อมาเป็นภรรยาของเขา Pixar ได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องแรกของโลกนั่นคือ Toy Story และขณะนี้เป็นสตูดิโอผลิตการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก

ส่วน Apple กลับมาซื้อ NeXT ซึ่งทำให้ Jobs ได้กลับคืนสู่ Apple อีกครั้ง และเทคโนโลยีที่เขาได้คิดค้นขึ้นที่ NeXT ได้กลายมาเป็นหัวใจของยุคฟื้นฟูของ Apple

Jobs กล่าวว่า ความล้มเหลวเป็นยาขมแต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไข้ เมื่อชีวิตเล่นตลกกับคุณ จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณรัก Jobs เชื่อว่า สิ่งเดียวที่ทำให้เขาลุกขึ้นได้ในครั้งนั้น คือเขารักในสิ่งที่เขาทำ ดังนั้นคุณจะต้องหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ เพราะวิธีเดียวที่จะทำให้คุณเกิดความพึงพอใจอย่างแท้จริง คือการได้ทำในสิ่งที่คุณเชื่อว่ามันยอดเยี่ยม และวิธีเดียวที่คุณจะทำให้คุณสามารถทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมได้ก็คือ คุณจะต้องรักในสิ่งที่คุณทำ และถ้าหากคุณยังหามันไม่พบ อย่าหยุดหาจนกว่าจะพบ และคุณจะรู้ได้เองเมื่อคุณได้ค้นพบสิ่งที่คุณรักแล้ว

ส่วนบทเรียนชีวิตบทสุดท้ายในโอวาทของเขาคือ ความตาย เมื่ออายุ 17 ปี Jobs ประทับใจในข้อความหนึ่งที่เขาได้อ่านมา ซึ่งเสนอแนวคิดให้คนมีชีวิตอยู่โดยคิดว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต และตลอด 33 ปีที่ผ่านมา Jobs จะถามตัวเองในกระจกทุกเช้าว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขา เขาจะยังคงต้องการทำสิ่งที่เขากำลังจะทำในวันนี้หรือไม่ ถ้าหากคำตอบเป็น “ไม่” ติดๆ กันหลายวัน เขาก็รู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลง

Jobs กล่าวว่า วิธีคิดว่าคนเราอาจจะตายวันตายพรุ่ง เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดเท่าที่เขาเคยรู้จักมา ซึ่งได้ช่วยให้เขาสามารถตัดสินใจครั้งใหญ่ๆ ในชีวิตได้ เพราะเมื่อความตายมาอยู่ตรงหน้า แทบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังของคนอื่น ชื่อเสียงเกียรติยศ ความกลัวที่จะต้องอับอายขายหน้าหรือล้มเหลว จะหมดความหมายไปสิ้น เหลือไว้ก็แต่เพียงสิ่งที่มีคุณค่าความหมายและความสำคัญที่แท้จริงเท่านั้น

วิธีคิดเช่นนี้ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้คุณไม่ตกลงไปในกับดักความคิดที่ว่า คุณมีอะไรที่จะต้องสูญเสีย เพราะความจริงแล้ว เราทุกคนล้วนมีแต่ตัวเปล่าๆ ด้วยกันทั้งนั้น

เมื่อปีที่แล้ว เขาได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งที่ตับอ่อนชนิดที่รักษาไม่ได้ และจะตายภายในเวลาไม่เกิน 3-6 เดือน แพทย์ถึงกับบอกให้เขากลับไปสั่งเสียครอบครัวซึ่งเท่ากับเตรียมตัวตาย

แต่แล้วในเย็นวันเดียวกัน เมื่อแพทย์ได้ใช้กล้องสอดเข้าไปตัดชิ้นเนื้อที่ตับอ่อนของเขาออกมาตรวจอย่างละเอียด ก็กลับพบว่า มะเร็งตับอ่อนที่เขาเป็นนั้นแม้จะเป็นชนิดที่พบได้ยากก็จริง แต่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ด้วยการผ่าตัด และเขาก็ได้รับการผ่าตัดและหายดีแล้ว

นั่นเป็นการเข้าใกล้ความตายมากที่สุดเท่าที่ Jobs เคยเผชิญมา และทำให้ขณะนี้เขายิ่งสามารถพูดได้เต็มปาก เสียยิ่งกว่าเมื่อตอนที่เขาเพียงแต่ใช้ความตายมาเตือนตัวเองเป็นมรณานุสติว่า ไม่มีใครที่อยากตาย แม้แต่คนที่อยากขึ้นสวรรค์ก็ยังไม่อยากตายก่อนเพื่อจะไปสวรรค์ แต่ก็ไม่มีใครหลีกหนีความตายพ้น และเขาคิดว่า มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น Jobs เห็นว่า ความตายคือประดิษฐกรรมที่ดีที่สุดของ “ชีวิต” ความตายคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิต ความตายกวาดล้างสิ่งเก่าๆ ให้หมดไปเพื่อเปิดทางให้แก่สิ่งใหม่ๆ

ดังนั้น Jobs บอกว่า เวลาของคุณจึงมีจำกัด และอย่ายอมเสียเวลามีชีวิตอยู่ในชีวิตของคนอื่น จงอย่ามีชีวิตอยู่ด้วยผลจากความคิดของคนอื่น และอย่ายอมให้เสียงของคนอื่นๆ มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ และที่สำคัญที่สุดคือ คุณจะต้องมีความกล้าที่จะก้าวไปตามที่หัวใจคุณปรารถนาและสัญชาตญาณของคุณจะพาไป เพราะหัวใจและสัญชาตญาณของคุณรู้ดีว่า คุณต้องการจะเป็นอะไร

Jobs ปิดท้ายสุนทรพจน์ของเขา ด้วยการหยิบยกวลีที่อยู่ใต้ภาพบนปกหลังของวารสารฉบับสุดท้ายของวารสารเล่มหนึ่งที่เลิกผลิตไปตั้งแต่เมื่อ 30 ปีก่อน ซึ่งเขาเปรียบวารสารดังกล่าวเป็น Google บนแผ่นกระดาษ และเป็นประดุจคัมภีร์ของคนรุ่นเขา วารสารดังกล่าวมีชื่อว่า The Whole Earth Catalog จัดทำโดย Stewart Brand ส่วนวลีนั้นคือ “จงหิวโหย จงโง่เขลาอยู่เสมอ” ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาหวังจะเป็นเช่นนั้นเสมอมา


Fortune ฉบับเดือนกันยายน 2548




Create Date : 17 มิถุนายน 2551
Last Update : 17 มิถุนายน 2551 16:55:55 น.
Counter : 331 Pageviews.

2 comment
Stay Hungry. Stay Foolish
Stay Hungry. Stay Foolish

ผมชอบบทความนี้ของ ดร.นิเวศน์มากๆครับ
นำมาให้อ่านกันครับผม

อ้างอิงจาก//www.thaivi.com/article/value-investor/495-stay-hungry-stay-foolish.html

Stay Hungry. Stay Foolish
โลกในมุมมองของ Value Investor
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 25 ธันวาคม 2550

นักลงทุนจำนวนมากหรือเกือบทั้งหมดต่างก็เคยหรือประสบกับความล้มเหลวจากการลงทุน จำนวนมากทิ้งตลาดหุ้นและหันหลังจากการลงทุนในหุ้นอย่างสิ้นเชิง จำนวนที่มากกว่าอาจจะหนีตลาดหุ้นไปชั่วคราวและกลับมาใหม่เมื่อบาดแผลและความเจ็บปวดจางลงหรือลบเลือนไป

นั่นไม่ใช่หลักการลงทุนที่ดี การลงทุนที่ดีก็คงเหมือนกับการทำงานหรือการใช้ชีวิต เราต้องยืนหยัด รักในสิ่งที่ทำ มีศรัทธา มีกำลังใจ ไม่ท้อถอย และไม่น้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา

บทเรียนสำหรับ Value Investor ที่ผมจะพูดถึงในวันนี้ เป็นเรื่องของ สตีฟ จ็อบส์ ซีอีโอของ Apple Computor และเป็นบุคคลที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นผู้นำคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมาสู่ประชาชนคนธรรมดาทั้งโลก ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกชื่อของเขาในระนาบเดียวกับหรือเหนือกว่า บิล เกต เจ้าพ่อไมโครซอพท์ แต่ก่อนที่เขาจะมายืนอยู่ตรงจุดนี้ ชีวิตของเขาไม่ได้ราบเรียบแต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ชีวิตเขาไม่ได้มี “แต้มต่อ” เลยสักนิด และต่อไปนี้คือสิ่งที่เขาเล่าให้เราฟังเนื่องในโอกาสที่เขาได้รับเชิญให้ไปกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีรับปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในเดือนมิถุนายน 2005 ซึ่งต่อมานิตยสาร ฟอร์บ ได้นำมาตีพิมพ์เพราะได้รับการเรียกร้องจากผู้อ่านมาก

เนื่องจากสุนทรพจน์ครั้งนั้นเป็นที่ประทับจับใจมาก และผมเชื่อว่ามันคงจะถูกบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์ว่า เป็นสุนทรพจน์ที่จะช่วยสร้างกำลังใจให้กับคนที่ดีที่สุดบทหนึ่ง และต่อไปนี้คือใจความสรุปของเหตุการณ์ในชีวิต 3 เรื่องที่เขานำมาเปิดเผย

เรื่องแรกคือชีวิตที่เกิดมา จ็อบส์ บอกว่า เขาเกิดจากแม่ที่เป็นนักศึกษาที่ท้องโดยไม่ได้แต่งงานและตัดสินใจยกลูกให้กับคนอื่นโดยมีเงื่อนไขว่าคนที่รับไปจะต้องจบปริญญา แต่โชคไม่เข้าข้าง พ่อแม่บุญธรรมที่รับจ็อบส์ไปเลี้ยงกลับเป็นคนชั้นผู้ใช้แรงงานซึ่งสัญญาว่าจะให้จ็อบส์ได้เรียนจนจบปริญญาตามความตั้งใจของแม่ที่แท้จริงที่อยากให้ลูกกับคนที่มีการศึกษาที่ดี 17 ปีผ่านไป จ็อบส์ ก็ได้เข้ามหาวิทยาลัยจริง

แต่อยู่ได้เพียง 6 เดือน เงินที่พ่อแม่สะสมไว้ก็หมด ทำให้เขาต้องพักการเรียนและใช้ชีวิตเตร็ดเตร่เข้าเรียนแบบไม่นับหน่วยกิตในวิชาที่ตนเองชอบอยู่อีก 18 เดือนก่อนที่จะออกจากมหาวิทยาลัยจริง ๆ ชีวิตในช่วงที่เรียนและเตร็ดเตร่ในมหาวิทยาลัยของเขาเป็นช่วงชีวิตที่ยากลำบาก เขาต้องไปอาศัยอยู่กับเพื่อน เก็บกระป๋องโค๊กไปขายเพื่อหาเงิน และต้องเดินทางฝ่าอากาศที่หนาวเหน็บถึง 7 ไมล์ในวันอาทิตย์เพื่อที่จะได้กินอาหารดี ๆ ที่โบสถ์พราหมณ์จัดเลี้ยง

ในตอนนั้น เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาประสบและเรียนจะเอาไปใช้อะไรได้ แต่เมื่อมองย้อนกลับ มันก็ให้อะไรกับเขามากมาย ตัวอย่างเช่นวิชาการออกแบบตัวอักษรที่เขาเลือกเรียนซึ่งต่อมาเมื่อเขาออกแบบคอมพิวเตอร์รุ่นแมค เขาก็ได้นำความรู้นั้นมาใช้จนทำให้คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันที่เลียนแบบจากแมคมีตัวอักษรที่สวยงาม

จ็อบส์ สรุปว่า ในชีวิตคนเรานั้น เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก็เหมือนจุด ๆ หนึ่ง ที่เราต่อมันไปเรื่อย ๆ เราไม่รู้ว่าจุดข้างหน้าจะเป็นอะไร เรารู้ว่ามันเป็นอะไรก็ต่อเมื่อเรามองย้อนหลัง เราต้องเชื่อมั่นหรือศรัทธาในอะไรสักอย่าง ความกล้าหาญ สัญชาติญาณ ชะตาชีวิต หรือ กรรม สิ่งนี้ทำให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างที่เป็นอยู่

เรื่องที่สองเกี่ยวกับความรักและการสูญเสีย จ็อบส์บอกว่าเขาโชคดีที่พบกับสิ่งที่รักจะทำตั้งแต่วัยหนุ่ม เขาก่อตั้งบริษัท Apple ในโรงรถของพ่อแม่ตอนอายุ 20 ปี ภายใน 10 ปี แอปเปิลก็กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ คอมพิวเตอร์แมคอินทอชก็เป็นคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุด แต่แล้วเขากลับถูกไล่ออกจากบริษัทที่เขาเป็นคนก่อตั้ง

โดยคนที่ทำให้เขาถูกปลดก็คือคนที่เขารับเข้ามาทำงานเอง เหตุการณ์ที่เขาถูกคณะกรรมการปลดนั้นเป็นเรื่องที่โด่งดังมาก ในตอนนั้นเขารู้สึกว่าเขาไม่เหลืออะไรเลย เขาคิดจะออกจากธุรกิจไอที แต่สุดท้ายเขาก็คิดว่าเขายังรักในสิ่งที่เขาทำและได้กลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งอย่างคนที่ดูเหมือนไม่มีต้นทุนอะไรที่จะต้องสูญเสียอีก

ในช่วง 5 ปีต่อมาเขาก็ได้สร้างบริษัทใหม่คือ Next และ Pixar และได้แต่งงานกับผู้หญิงที่เป็นภรรยาตอนนี้ Pixar ผลิตภาพยนตร์แอนนิเมชั่นเรื่องแรกของโลกคือ Toy Story และเป็นสตูดิโอที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก ส่วน Next นั้นก็ได้มารวมกับ Apple และจ็อบส์ก็ได้กลับมาคุม Apple อีกครั้งหนึ่งอย่างไม่น่าเชื่อ จ็อบส์สรุปว่า สิ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จถึงวันนี้ได้นั้น มาจากการที่เขารักในสิ่งที่เขาทำและเชื่อว่างานที่เขาทำเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มีความหมาย

ส่วนการที่เขาถูกไล่ออกจากแอปเปิลนั้น กลับกลายเป็นสิ่งที่ดีที่เกิดขึ้น เขาบอกว่าบางทีชีวิตก็เล่นกับเราแรง แต่ขอให้เราอย่าเสียความเชื่อมั่นศรัทธา

เรื่องสุดท้ายก็คือ เรื่องเกี่ยวกับความตาย เขาบอกว่าเมื่อตอนอายุ 17 ปี เขาประทับใจกับคำพูดของคน ๆ หนึ่งที่บอกว่า “ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนกับเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของคุณ สักวันคุณจะดีขึ้นอย่างแน่นอน” ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาจะถามตัวเองทุกเช้าว่าถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้าย เขาอยากจะทำอะไรบ้าง และถ้าคำตอบคือ เขาไม่รู้จะทำอะไรติดต่อกันหลาย ๆ วัน เขาก็รู้ว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างแล้ว การทำแบบนี้ จะทำให้เขานึกถึงแต่สิ่งที่เป็นแก่นในชีวิตจริง ๆ เท่านั้น

เพราะเกือบจะทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังจากคนภายนอก ความภูมิใจ การกลัว การเสียหน้า หรือความล้มเหลว ล้วนแต่ไม่เป็นสาระทั้งสิ้นเมื่อเราต้องเผชิญกับความตาย ตอนท้ายของเรื่องนี้ จ็อบส์เล่าว่า เขาเคยถูกตรวจพบว่าตนเองเป็นมะเร็งที่ตับอ่อนและหมอลงความเห็นว่าจะต้องตายภายใน 3-6 เดือน แต่แล้วเมื่อมีการตัดชิ้นเนื้อพิสูจน์กลับปรากฏว่าเขาโชคดีที่เป็นมะเร็งที่สามารถรักษาได้และเขาก็รอดมาได้

เขาไม่อยากตายและเชื่อว่าไม่มีใครอยากตายแม้ว่าจะได้ไปสวรรค์ แต่เขาคิดว่าความตายเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ดีที่สุดของชีวิตเพราะมันช่วยกำจัดคนเก่าเพื่อเปิดทางให้คนใหม่ ซึ่งตอนนี้ก็คือ พวกนักศึกษาทั้งหลายที่จะค่อย ๆ แก่ไปในที่สุด

เพราะฉะนั้นชีวิตของคนมีเวลาจำกัด จงอย่าเสียเวลาใช้ชีวิตอยู่บนชีวิตของคนอื่น อย่าให้คนอื่นมากดความต้องการที่แท้จริงภายในใจเรา จงมีความกล้าหาญที่จะก้าวเดินตามสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง

บทจบของสุนทรพจน์ จ็อบส์ ยกคำบรรยายภาพของนิตยสาร The Whole Earth Catalog ฉบับสุดท้ายที่เขาเคยอ่านในช่วงกลางทศวรรษที่ 1970 ซึ่งเขามีอายุเท่า ๆ นักศึกษาตอนนี้ คำ ๆ นั้นอยู่ใต้ภาพถนนในชนบทยามเช้า เขียนว่า Stay Hungry. Stay Foolish จงหิวโหย จงโง่เขลา

ผมคงไม่ต้องอธิบายความหมาย เพียงแต่อยากเพิ่มเติมสำหรับนักลงทุน Stay Calm. Stay Invest จงสงบ จงลงทุน ไม่ว่าจะเกิดอะไรกับตลาดหุ้น





Create Date : 17 มิถุนายน 2551
Last Update : 17 มิถุนายน 2551 16:53:48 น.
Counter : 414 Pageviews.

0 comment

noooon010
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



สวัสดีครับผม ^^

slumdog millioanaire สุดยอดจริงๆครับ

คนทุกคน มีค่าเท่าๆกัน
คนที่ดูถูกคนอื่นเท่านั้น ที่เป็นการดูถูกตัวของคุณเอง

มาสร้างสิ่งดีๆให้โลกนี้กันดีกว่าครับ
Friends Blog
[Add noooon010's blog to your weblog]