28 09 2010
ผมอ่าน column ของ ดร.ศุภวุฒิ แล้วพึ่งจะเข้าใจเรื่องที่พี่มนพูดในงาน meeting
ที่ว่า ต่างชาติเข้ามาซื้อ bond เพราะ ...

ค่าเงินบาท : เข้าใจโจทย์ให้ถูกต้อง
โดย : ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

//www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/supavut/20100927/354639/%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97-:-%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87.html

กลับไปอ่านก่อนหน้านี้เป็นปีๆ ไม่มีใครเดาระยะสั้นๆออก
เราจะทราบเมื่อเวลามันผ่านไปแล้ว

3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 00:52:00
ตลาดหุ้นถึงจุดต่ำสุดแล้วหรือยัง?

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

กรุงเทพ ธุรกิจ ออนไลน์ : ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในสัปดาห์ที่แล้ว ปรับลดลงกว่าครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับต้นปี ทำให้พี/อีของตลาดลดเหลือเพียง 6 เท่า และผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 7.3% จึงทำให้หลายคนตั้งคำถามว่าหุ้นไทยน่าซื้อหรือยัง คำตอบคือไม่ทราบเพราะการหาจุดต่ำสุดของราคาหุ้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย บทความหนึ่งที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม สรุปว่าผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่คลุกคลีอยู่กับตลาดหุ้นเป็นเวลานานหลายสิบปี ก็ยังไม่สามารถบอกได้ โดยเชื่อว่าจุดต่ำสุดน่าจะเป็นภาวะการที่นักลงทุนขายหุ้นออกไปจนหมด และยอมจำนนต่อความตกต่ำของตลาดอย่างราบคาบ (capitulation) บางคนเชื่อว่าเป็นจุดที่มีการขายทิ้งหุ้นอย่างไม่ลดละในทุกๆ ราคา (วันที่หุ้นตกแรงๆ และปริมาณการซื้อ-ขายสูง) แต่บางคนก็โต้ว่าน่าจะเป็นภาวะซึ่งปริมาณการซื้อ-ขายเบาบางมาก เพราะเกือบทุกคนเจ็บตัวและเข็ดหลาบกับตลาดหุ้น หากจะให้เปรียบเทียบ คือ วันที่ราคาหุ้นถึงจุดต่ำสุดไม่ใช่วันที่นักมวยต่อสู้กันจนนักมวย (ผู้ขายหุ้น) สามารถน็อคคู่ต่อสู้ แต่จะเป็นวันที่นักมวยต่อยกันแม้จะมีคนดูมีน้อยคนเต็มที กล่าวคือ ตราบใดที่ยังมีคนพยายามถามไถ่ว่าหุ้นน่าซื้อหรือยัง ก็แปลว่าราคาหุ้นยังไม่ถึงจุดต่ำสุด ดังนั้น ราคาหุ้นจะถึงจุดต่ำสุดก็เมื่อปริมาณซื้อ-ขายเบาบางอย่างต่อเนื่อง

การประเมินหาจุดต่ำสุดของตลาดหุ้นตาม แนวข้างต้นไม่เป็นไปตามหลักวิชาการ แต่หากพิจารณาตามหลักวิชาการแล้ว ราคาหุ้นทั่วโลกต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานประมาณ 50% กล่าวคือ พี/อีของหุ้นทั่วโลกขณะนี้ประมาณ 8 เท่า แต่ในระยะยาวนั้นราคาหุ้นน่าจะอยู่ที่พี/อีประมาณ 12-14 เท่า จริงอยู่ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้ากำไรของหุ้นน่าจะต้องปรับลดลงเมื่อเศรษฐกิจโลกถดถอย ทำให้พี/อีเพิ่มขึ้นในปีหน้า แต่หากมองไปในระยะยาวก็ต้องสรุปว่า เมื่อความตกต่ำทางเศรษฐกิจผ่านพ้นไป (สภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจนั้นมักจะไม่ยืดเยื้อเกินว่า 12 เดือน) ผลกำไรของบริษัทกลับมาที่เดิม ราคาหุ้นก็น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจนกระทั่งพี/อีปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับเดิม เช่นกัน ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าหากตั้งใจซื้อหุ้นเพื่อลงทุนในระยะยาวตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป ก็น่าจะเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยและให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนประเภทอื่นๆ อย่างมาก อาทิเช่น ฝากเงินที่ธนาคารหรือซื้อพันธบัตรก็น่าจะได้รับดอกเบี้ยเกิน 4.5% ต่อปี แต่การซื้อหุ้นนั้นนอกจากจะมีเงินปันผลประมาณ 5-7% ต่อปีแล้ว ยังมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นได้อย่างมากด้วย

แต่การลงทุนในหุ้นในขณะนี้มีความเสี่ยง สูงมาก เพราะในระหว่างที่ตลาดกำลังแสวงหาคำตอบว่า การถดถอยของเศรษฐกิจโลกครั้งนี้จะรุนแรงและยืดเยื้อมากน้อยเพียงใดนั้นราคา หุ้นจะผันผวนอย่างมาก ดังนั้น นักลงทุนจึงจะต้องศึกษาข้อมูลและติดตามข่าวสารอย่างระมัดระวังและละเอียดถี่ ถ้วนที่สุด หากต้องการลงทุนในหุ้นก็อาจพิจารณาค่อยๆ ลงทุนทีละน้อยเพื่อเฉลี่ยต้นทุน ทั้งนี้ จะทำในช่วงที่ราคาหุ้นยังปรับตัวลดลง หรือจะทำในช่วงที่ราคาหุ้นกำลังปรับตัวเพิ่มขึ้นก็ได้ แต่การทำอย่างแรกนั้นมักจะทำให้ตื่นเต้นเกินควร จึงต้องพิจารณาให้ดีว่าลักษณะการลงทุนดังกล่าวเหมาะสมกับนิสัยของท่านเพียง ใด

นอกจากนั้น ก็จะต้องเข้าใจว่าเมื่อราคาหุ้นปรับตัวถึงจุดต่ำสุดแล้ว ก็อาจจะอยู่ที่ระดับต่ำสุดดังกล่าวได้นานหลายเดือน ดังนั้น จึงต้องย้ำว่าการลงทุนนั้นจะต้องเป็นการลงทุนระยะยาวอย่างน้อย 3-5 ปี และหากเป็นไปได้ควรจะให้เวลา 10 ปีขึ้นไป การลงทุนในหุ้นจึงจะให้ผลตอบแทนเต็มที่ ซึ่งบางคนอาจโต้ว่าการรอผลตอบแทนนานถึง 10 ปีเป็นเรื่องยาก แต่หลายคนก็วินัยที่จะทำเช่นนั้นได้เห็นจากการยอมผ่อนเบี้ยประกันที่ยอมทำ สัญญานาน 10-15 ปี

การลงทุนเพราะมีคนบอกว่าหุ้นนี้ดีโดยมิ ได้ศึกษาอย่างลึกซึ้งนั้นเป็นการลงทุนที่อันตรายยิ่ง หากผู้ลงทุนคิดว่าตนเองไม่สามารถทำความเข้าใจกับตัวหุ้น ก็ควรจะเลือกซื้อกองทุนที่ลงทุนในหุ้นหลักๆ ซึ่งเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่และสภาพคล่องสูงเป็นต้น แต่หากต้องการซื้อหุ้นเป็นรายตัว แนวทางที่อาจนำมาใช้ในการเลือกหุ้นน่าจะเป็น 4 ข้อดังนี้

1. ความสามารถของผู้บริหาร ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอยนั้น สิ่งสำคัญที่สุด คือ ความสามารถของผู้บริหาร เพราะหากพลาดพลั้งบริษัทก็อาจล่มสลายได้ แต่หากมีความสามารถสูงนอกจากจะรอดตัวแล้ว ก็มักจะสามารถใช้วิกฤติเป็นโอกาสทำให้บริษัทแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิม ดังนั้น หากหุ้นของบริษัทปรับลงไปน้อยกว่าบริษัทอื่น ก็อาจจะเป็นเพราะว่าบริษัทนี้เป็นบริษัทที่ผู้บริหารมีคุณภาพ สามารถทำให้ราคาหุ้นในอนาคตสูงกว่าจุดสูงสุดในอดีต แตกต่างจากอีกบริษัทหนึ่งที่ราคาหุ้นตกต่ำลงอย่างมาก ทำให้นักลงทุนอยากซื้อหุ้นเพราะจะได้กำไรมากกว่าหากราคาหุ้นกลับไปสู่จุด เดิม แต่หากผู้บริหารไม่เก่งจริงก็อาจจะไม่สามารถนำพาบริษัทให้รอดจากสภาวะตกต่ำ ของเศรษฐกิจครั้งนี้ได้

2. บริษัทควรมีหนี้สินน้อยและเงินสดมาก วิกฤติสถาบันการเงินในสหรัฐและยุโรปที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ทำให้สถาบันการเงินต้องเพิ่มทุนอีก 1 ล้านล้านดอลลาร์ นอกจากนั้น ยังต้องลดความเสี่ยงโดยการลดการปล่อยกู้และการลงทุนอีกมาก ซึ่งไอเอ็มเอฟประเมินว่าสถาบันการเงินในยุโรปและอเมริกาต้องลดขนาดของตัวเอง ลงไปประมาณ 10 ล้านล้านดอลลาร์ แปลว่าการปล่อยสินเชื่อจะมีขอบเขตจำกัดอย่างมาก ดังนั้น บริษัทต่างๆ จึงจะต้องมีสถานะทางการเงินที่แข็งแรง มิฉะนั้นแล้วธนาคารจะไม่ปล่อยกู้ให้ และควรมีเงินสดของตัวเองที่เพียงพอที่จะรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคตอีก ด้วย ทั้งนี้ ประเทศไทยนั้นจะไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงเช่นที่ยุโรปและอเมริกา แต่ผมก็เชื่อว่า นักลงทุนสถาบันต่างชาติจะเลือกลงทุนในบริษัทที่มีหนี้สินน้อยก่อน

3. ธุรกิจที่ชัดเจนและมีแนวโน้มที่ดี เรื่องนี้เข้าใจได้ง่ายอยู่แล้ว แต่ก็ต้องอย่าลืมนำมาเป็นประเด็นพิจารณาว่าเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเฉพาะอย่าง ที่ตนเองมีความชำนาญ และเป็นธุรกิจที่มีอนาคต ทั้งนี้ บริษัทไม่ควรลงทุนในธุรกิจหลายประเภทที่ผู้บริหารมีความชำนาญน้อย เพราะการอยากไปลงทุนในธุรกิจประเภทอื่นๆ มักเป็นการสะท้อนว่าผู้บริหารเห็นว่าธุรกิจที่ตนทำอยู่นั้นไม่ค่อยจะมีอนาคต จึงต้องแสวงหาลู่ทางอื่นๆ

4. สามารถจ่ายเงินปันผลที่สูงและต่อเนื่อง นักลงทุนควรประเมินให้มั่นใจว่าบริษัทจะยังสามารถจ่ายเงินปันผลที่สูงใน อนาคตอย่างต่อเนื่อง หากทำได้ก็แปลว่าการซื้อหุ้นดังกล่าวนั้น นอกจากจะมีความเป็นไปได้สูงว่าราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในอนาคตแล้วก็ ยังจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าในระหว่างที่รอให้ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นอีก ด้วย โดยปกติเงินปันผลจะต่ำกว่าผลตอบแทนจากพันธบัตร อาทิเช่น พันธบัตรให้ผลตอบแทน 5% เงินปันผลมักจะเท่ากับ 2-3% แต่ในขณะนี้ พันธบัตรให้ผลตอบแทน 4-5% แต่เงินปันผลของหุ้นหลายตัวสูงถึง 6-7% ครับ

***

ผมคิดเอาเองว่า เราซื้อหุ้นที่

- อยู่ใน circle of competence ของเรา (ผมสะกดถูกไหมเนี่ย Embarrassed)
- อยู่ใน philosophy การลงทุนของเรา เช่นบัญชีไม่มี financial fraud มี business model ที่น่าสนใจ
- ซื้อโดยมี margin of safety ที่เพียงพอ (เป็นศิลปะ)
- ทบทวนการลงทุน และปรับปรุงให้เหมาะสมกับตัวเราเอง

มีสติและมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม



Create Date : 28 กันยายน 2553
Last Update : 28 กันยายน 2553 22:00:06 น.
Counter : 221 Pageviews.

2 comments
  
ในช่วงนี้ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมายังไม่ส่งผลกระทบให้เห็นชัดเจนนัก
แต่ถ้า ค่าเงินบาทแข็งในระดับ 30 บาทต่อดอลหรือต่ำกว่า และมีระยะเวลานานพอ
เราคงได้เห็นผลกระทบชัดๆ
โดย: kunjoja วันที่: 29 กันยายน 2553 เวลา:6:41:24 น.
  
ค่าเงินบาทน่าจะแข็งค่าเป็น 28 บาท/ 1 dollar ครับ
แนวโน้ม 25 บาท / dollar ก็เป็นได้ครับ

GDP ล่าสุด
ประเทศไทยของเรา 9.8 % เป็นอันดับ 6 ของโลก
และ set ช้ากว่าดัชนีอื่นๆมาก
ชาวบ้านเค้าไปไหนกันหมดแล้ว

ลงทุนอย่างมีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
โดย: noooon010 วันที่: 6 ตุลาคม 2553 เวลา:18:49:57 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

noooon010
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



สวัสดีครับผม ^^

slumdog millioanaire สุดยอดจริงๆครับ

คนทุกคน มีค่าเท่าๆกัน
คนที่ดูถูกคนอื่นเท่านั้น ที่เป็นการดูถูกตัวของคุณเอง

มาสร้างสิ่งดีๆให้โลกนี้กันดีกว่าครับ
Friends Blog
[Add noooon010's blog to your weblog]