การเงินและเศรษฐกิจ (น่าอ่านมากๆ โดยเฉพาะช่วงนี้ครับ)
อ้างอิงจาก

//www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?p=436850#436850

คุณ Ryuga เขียนไว้น่าสนใจมากๆครับ

ที่สำคัญผมคิดว่าคนส่วนมากไม่ได้เข้าใจกระบวนการของอุปทานเงิน เงินตรา(ธนบัตรและเหรียญ) ที่หมุนเวียนใช้กันในระบบเศรษฐกิจนั้นเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยของปริมาณเงินทั้งระบบ การที่ต้องมีทุนสำรองเงินตราก็สามารถเข้าใจได้ง่ายๆ นั่นเพราะมันต้องเข้ามาหมุนเวียนจับจ่ายใช้สอยในระบบเศรษฐกิจ หากไม่มีอะไรสำรองเลยแล้วกระดาษเป็นใบๆ นั้นมันจะมีค่าได้อย่างไร

การสร้างปริมาณเงินหลักๆ แล้วธนาคารกลางจะดำเนินการผ่านช่องทางของธนาคารพาณิชย์/สถาบันการเงินทั้งระบบ หนี้สินเริ่มแรกจะอยู่ในรูปของเงินรับฝากในขณะที่ด้านสินทรัพย์เริ่มแรกจะเป็นสินเชื่อ ธนาคารพาณิชย์/สถาบันการเงินก็จะพากันเข้าสู่กระบวนการสร้างเงินฝากแล้วจากนั้นก็ปล่อยเงินกู้ สิ่งที่ค้ำประกันสินเชื่อสำหรับผู้กู้ภาครัฐก็คืออำนาจในการเก็บภาษี แต่สำหรับผู้กู้เอกชนมักจะเป็นอสังหาริมทรัพย์

สำหรับอสังหาริมทรัพย์ มันจะมีค่ามากน้อยเท่าไหร่ค้ำประกันเงินกู้ได้แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่า อสังหาริมทรัพย์แห่งนั้นสามารถสร้างกระแสเงินสดได้มากเท่าไหร่ (ไม่ว่าจะอยู่ในรูปการนำไปขาย เก็บค่าเช่า หรือลงทุนทำให้มันเป็นธุรกิจอะไรไปสักอย่างนึงก็แล้วแต่ ซึ่งทั้งหมดจะนำไปสู่ราคาประเมินของที่ดิน) จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ค้ำประกันสินเชื่อแท้จริงแล้วก็คือกระแสเงินสดรับของผู้กู้เงินตามสินเชื่อนั้นนั่นเอง

ขอให้พิจารณาเทียบกัน เงินตราถือเป็นหนี้สินของธนาคารกลางผู้ออก อีกด้านหนึ่งของหนี้สินจึงต้องมีสินทรัพย์ค้ำประกันในรูปของทุนสำรองเงินตรา ส่วนเงินรับฝาก+ตราสารหนี้+เงินกู้ยืมในระบบสถาบันการเงินทั้งหมดมีสินทรัพย์ในรูปของสินเชื่อค้ำอยู่ และสิ่งที่ค้ำมูลค่าของสินเชื่อก็คือกระแสเงินสดรับของผู้กู้

เห็นได้ว่าเงินตรานั้นถูกค้ำประกันด้วยสินทรัพย์เช่นทองคำหรือเงินตราต่างประเทศ ในขณะที่เงินส่วนใหญ่ของระบบทั้งหมด ณ ปัจจุบัน ถูกค้ำด้วยกระแสเงินสดที่จะได้รับในอนาคต (คืออยู่ในรูปเอาเงินมาค้ำเงินเป็นงูกินหาง) มูลค่าที่แท้จริงของเงินจึงไม่มี สิ่งที่มีมูลค่าจริงๆ ก็คือผลผลิต

ปัจจุบันเงินทั้งระบบของไทยมีมากกว่า 8.7 ล้านล้านบาท แต่ในจำนวนนี้เป็นเงินตราที่ออกโดยธนาคารกลางซึ่งมีทุนสำรองเงินตราค้ำไว้โดยประมาณเพียง 8 แสนล้านบาทเท่านั้น มากกว่า 90% ของเงินในระบบเศรษฐกิจไทยไม่มีทองคำหรือเงินตราต่างประเทศอะไรไปสำรองทั้งสิ้น นานาประเทศทั่วโลกเขาก็เหมือนกับเรานี่แหละ สิ่งที่ค้ำมูลค่าของเงินไว้คือเศรษฐกิจ ที่บ่นๆ มาทั้งหมดนี้เพราะผมเกิดเซ็งเล็กน้อยที่เขาชอบพูดตามๆ กันซะเหลือเกินว่าสหรัฐฯ พิมพ์เงินไม่มีทองคำสำรอง ประเทศอื่นมีทองคำสำรอง เอาแค่ไทยเรา ทองคำสำรองที่มียังไม่ถึง 1% ของปริมาณเงินในระบบเลย เศรษฐกิจยุคใหม่ที่มีแต่จะเจริญวัฒนาก้าวหน้าไปเรื่อยๆ นั้น ทองคำมันไม่ได้มีความสำคัญอะไรนักหนาหรอก

หมายเหตุ - เฉพาะทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยเรา ในอดีตเคยตกต่ำอย่างแรงเมื่อกรกฎาคม 2540 คือเหลือเพียง 1,144 ล้านเหรียญ (ปริมาณเงินทั้งระบบขณะนั้นมี 5.1 ล้านล้านบาท เป็นธนบัตร 3.25 แสนล้านบาท ข้อให้สังเกตว่า ณ เวลานั้น ทุนสำรองระหว่างประเทศซึ่งเป็นของ ธปท. เพียงส่วนหนึ่งนั้น รวมกันทั้งหมดยังไม่พอจะค้ำประกันธนบัตรซะด้วยซ้ำ) มาถึงปัจจุบันทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยมีมากกว่า 100,000 ล้านเหรียญ (3.5 ล้านล้านบาท) ในจำนวนนี้ส่วนหนึ่งเป็นทุนสำรองเงินตรา ที่เหลือก็ดำรงฐานะเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศนั่นแหละ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในอันจะไปค้ำประกันอะไรกับเงินในระบบของเรา (ว่าจะจบแล้วแต่ต่ออีกนิด เงินนั้นก็มีสองด้านคือด้านสินทรัพย์ กับด้านหนี้สิน+ทุน การออกเงินถือเป็นภาระหนี้สินจึงต้องมีสินทรัพย์ค้ำประกัน แต่การทำมาหาได้มากขึ้นอย่างที่ไทยเราเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมาต่อเนื่องก็เป็นการทำให้ส่วนทุนเพิ่มขึ้น ด้านสินทรัพย์ก็เพิ่มขึ้นพอๆ กัน มันจึงไม่ได้เป็นอะไรที่ค้ำกัน)
พี่ปรัชญา พี่โจ ฯลฯ อย่าเว่อสิครับ ผมมาช่วยพี่พอใจบ่นๆ บ้าๆ เท่านั้นเอง

เพราะว่าเงินนั้นถือกำเนิดขึ้นมาตามความประสงค์ของคน ฉะนั้นมันก็เลยคล้ายๆ กับสินค้าข้าวของทั่วไปนั่นเองที่ต้องตกอยู่ภายใต้แรงของอุปสงค์และอุปทาน

จริงๆ ผมถือว่าเราพูดกันเล่นๆ อย่างงั้นเองนะครับว่าแบงก์เขาเป็นแบงก์กงเต๊ก พิมพ์เงินเองได้เสรีไม่ต้องมีอะไรค้ำ เพราะยังไงก็ตามอุปทานเงินต้องสอดคล้องกับอุปสงค์เงิน มากไปก็ไม่ได้มันจะเฟ้อ น้อยไปก็ไม่ได้มันจะฝืด ถ้าเขาพิมพ์เงินได้เองแบบเสรีจริงๆ ทำไมเขาไม่เลือกวิธีที่ง่ายที่สุดอย่างที่เราชอบล้อเขา ก็แค่ให้ธนาคารกลางออกเงินเพิ่มเองแบบ face sideๆ จากนั้นก็เขวี้ยงๆ อัดๆ ให้สถาบันที่มีปัญหา ไม่ว่าจะในรูปให้กู้หรือบังคับเพิ่มทุนก็แล้วแต่ ทำไมต้องมาวุ่นวายรุงรัง ต้องทำเรื่อง ต้องออกกฎมาย ต้องผ่านสภา ให้สภารับรอง รับรองเสร็จเรียบร้อยเงินก็ยังไม่มีในกระเป๋า ต้องไปออกตั๋วเงินคลังพันธบัตรวุ่นวายอีก เห็นได้ว่าที่จริงเขาพยายามแก้ปัญหาตามกระบวนการนะครับ ไม่ได้ไปทำอะไรน่าเกลียดอย่างที่เราชอบแซวเขา

นักการเมืองเลยต้องออกมาโวยวายว่าเป็นการเอาภาษีประชาชนไปอุ้มพวกเอกชนที่โลภมาก สังเกตนะครับว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นมีบทบาทสำคัญมากในห่วงโซ่ของอุปทานเงิน อุปสงค์เทียมต่ออสังหาริมทรัพย์สามารถทำให้เกิดอุปทานเงินสูงเกินที่ควรจะเป็นได้ ในชณะที่อุปสงค์เทียมต่อสินค้าข้าวของอย่างอื่นปกติแล้วจะทำแบบนี้ไม่ได้ (เพราะธนาคารไม่ยอมให้เอาสินค้าข้าวของไปค้ำประกันเงินกู้) ผมเรียกวิธีการของเขาว่าเป็นการกระทำที่ไร้วินัยเพราะรากฐานของปัญหาที่แท้จริงมันมาจากการบริโภคเกินตัวของคนอเมริกัน ตราบใดที่เขายังไม่ลดการบริโภคลง(หรือผลิตให้มากขึ้นจนมีผลชดเชยกัน) ปัญหาก็จะยังคงอยู่ตราบนั้น แต่ยังไงก็ตามในระยะสั้นๆ ก็ต้องรักษาตามอาการไปก่อน

เมื่อเรื่องมันผ่าน สิ่งที่ตามมาก็คือสภาพคล่องในตลาดเงินทั้งในและนอกสหรัฐฯ จะถูกดูด เงินที่เคยไหลออกไปแล้วในรูปการใช้จ่ายจะไหลกลับเข้าไปในรูปของเงินกู้ ค่าเงินก็จะไม่อ่อนลง ทั้งนี้วางอยู่บนพื้นฐานว่าหน้าตาเขายังขายได้ (ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างงั้น) เขาพยายามแก้ปัญหาจากการก่อหนี้มากเกินไปของตัวเองด้วยการก่อหนี้ก้อนใหม่ถมลงไปอีก อเมริกาทุกวันนี้ทำตัวเป็นลูกหลานคนร่ำคนรวยที่จมไม่ลง รู้สึกว่าคุณปู่บัฟก็เคยพูดเรื่องพวกนี้ที่ WPO (Washington Post) เมื่อ 21 ปีก่อน ผลสุดท้ายจะเป็นยังไงจะขึ้นอยู่กับการเลือกของเขา

1. เขาเกิดพุทธิปัญญา เกิดเห็นซึ้งทางธรรมตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจึงลดการบริโภคของตนเองลงจนสมดุล ผลจากกระทำแบบนี้ย่อมเจ็บในระยะสั้นแต่ยั่งยืนในระยะยาว ทรัพยากรโลกซึ่งเคยถูกสหรัฐฯ ผลาญอย่างน่าสะพรึงกลัวก็จะอยู่ในสถานการณ์ที่ดีขึ้น ที่สำคัญเพราะการบริโภคมากเกินไปของเขามันไปกระตุ้นให้เกิดการผลิตมากเกินไปด้วยเช่นกัน การหดตัวของสหรัฐฯ กลับจะทำให้ต้องเจ็บพร้อมกันทั่วโลก ข้อดีของวิธีนี้คือสหรัฐฯ จะยังคงรักษาเอกราชทางเศรษฐกิจของตนเองไว้ได้ แต่เชื่อเถอะ ผมคิดว่ามันจะไม่เกิดขึ้นหรอก

2. เขาจะเสมอต้นเสมอปลาย เคยทำตัวยังไงก็ทำตัวยังงั้น หนี้สินของเขาจะบานออกบานออกจนท้ายที่สุด เมื่อเขาไม่เหลือหน้าตาอะไรที่จะขายอีกแล้ว ไม่มีอะไรที่จะให้เจ้าหนี้เชื่อมั่นอีกแล้ว การยึดสหรัฐอเมริกาครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น (เรียกว่าแปลงหนี้เป็นทุน) แล้วเมื่อนั้นเราจะได้เห็นว่าชาวเอเชียผิวเหลืองหัวดำได้มีข้าทาสบริวารเป็นชาวอเมริกา (เมื่อสำนึกเสียใจก็สายเกิน)



Create Date : 29 กันยายน 2551
Last Update : 29 กันยายน 2551 20:56:20 น.
Counter : 456 Pageviews.

1 comment
Value Investing...ที่เรายังไม่รู้จัก
Value Investing...ที่เรายังไม่รู้จัก

//www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=33959

ลองอ่านดูนะครับ ได้ข้อคิดดีๆเยอะเลยครับ
ขอบคุณพี่โหน่งมากๆนะครับกับความตั้งใจในการทำสิ่งดีๆให้แก่นักลงทุนเสมอมาครับ



Create Date : 07 มิถุนายน 2551
Last Update : 7 มิถุนายน 2551 16:39:20 น.
Counter : 241 Pageviews.

0 comment
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ

//www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=33509&postdays=0&postorder=asc&start=0

เป็นกระทู้ดีๆที่อยู่ในคลังกระทู้คุณค่าครับ
เพื่อนๆที่สนใจลองเข้าไปอ่านดูนะครับผม

มีความสุขกับการลงทุนนะครับ



Create Date : 07 มิถุนายน 2551
Last Update : 7 มิถุนายน 2551 16:22:46 น.
Counter : 534 Pageviews.

1 comment
1 ใน กระทู้คุณค่า เรื่องการเป็น VI พันธ์แท้ขอถามคุณมน คุณวิบูลย์ คุณครรชิต....
เรื่องการเป็น VI พันธ์แท้ขอถามคุณมน คุณวิบูลย์ คุณครรชิต....

//www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=6848

ขออนุญาตินำคำตอบของพี่วิบูลย์ และพี่มน มาอ้างอิงนะครับ
ได้ใจผมไปเต็มๆ


Posted: Fri Nov 05, 2004 10:51 am Post subject: Re: เรื่องการเป็น VI พันธ์แท้ขอถามคุณมน คุณวิบูลย์ คุณครรชิต

--------------------------------------------------------------------------------

ForrestGump wrote:

โดยเฉพาะคุณวิบูลย์ กับ คุณมน จะเน้นย้ำมากๆ เลยสองเรื่องคือ
1. หลักการที่ดี พื้นฐานแนวคิดที่แน่น "สำคัญกว่า" วิธีการและสูตรสำเร็จ เพราะการลงทุนไม่มีสูตรสำเร็จ เป็นศิลป์มากกว่าศาสตร์
2. คุณภาพกิจการ "สำคัญกว่า" การวิเคราะห์เชิงปริมาณเช่นงบการเงิน หรือ ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ

มือใหม่มักต้องการสูตรสำเร็จ ซึ่งทั้งสองท่านบอกว่าไม่มี ต้องศึกษา ประยุกต์ หาประสบการณ์และบ่มเพาะให้เป็นแนวทางการลงทุนของตัวเอง

รบกวน คุณวิบูลย์ คุณ มน คุณ ครรชิต คุณฉัตรชัย และท่านผู้รู้อื่นๆ กรุณา ชี้แนะแนวทางการศึกษาการลงทุนของแต่ละท่าน ว่าผมควรจะทำอย่างไร ให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงแนวทาง VI ด้วยเถิดครับ

ขอบพระคุณทุกท่านครับ


VIB007 (พี่วิบูลย์)


ผมจะเล่านิทานให้ฟัง

มีคนอยู่คนหนึ่งอ่านหนังสือตำราการว่ายน้ำอย่างขมักเขม้น
อ่านอยู่เป็นเวลานานจนหนังสือเกี่ยวกับการว่ายน้ำอ่านจนหมดทุกเล่ม
เขาซาบซึ้งเกี่ยวกับการว่ายน้ำและรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับวิธีการว่ายน้ำที่ถูกต้อง
แต่เขาไม่เคยแม้แต่เอาขาจุ่มน้ำสักครั้ง!!!!

วันหนึ่งเขาเดินไปที่สะพานไม้เหนือแม่น้ำในหมู่บ้าน
เห็นเด็กๆดำผุดดำว่ายแบบตามีตามเกิด

เขาบอกเด็กเหล่านั้นเด็กพวกนั้นว่ายผิดวิธี
ผิดจากตำรา

เด็กคนหนึ่งบอกเขาว่า ถ้าแน่จริงก็มาว่ายแข่งกันไหม

เขาคิดว่า ว่ายน้ำไม่น่าจะยากอะไร
เขาศึกษาหนังสือทุกเล่มเกี่ยวกับการว่ายน้ำมาแล้ว
เขามั่นใจเต็มที่

ว่าแล้วก็ถอดเสื้อกระโดดลงแม่น้ำทันที

เขาพยายามจะทำตามที่หนังสือบอก
แต่กลับทำไม่ได้

เขาพยายามตะเกียกตะกาย
แต่....สุดท้ายเขาก็จมลง
เพราะเขาไม่เคยแม้แต่เอาขาจุ่มน้ำมาก่อน

แต่โชคยังมี
เด็กที่เขาดูถูกไว้นั้นเป็นผู้ช่วยให้เขารอดจากการจมน้ำตาย

สุดท้ายเขาก็ขอบคุณเด็กพวกนั้น และไม่เคยว่ากล่าวใครอีกเลย

การลงทุนก็เหมือนการว่ายน้ำ
คุณจะไม่มีวันรู้จักการว่ายน้ำ ถ้าคุณไม่เคยลงมือว่าย
ถ้าคุณลงสระ แล้วคุณจะรู้เองว่า คุณควรจะทำอย่างไร
แต่ที่สำคัญ....อย่ากระโดลงแม่น้ำ ถ้าคุณยังไม่เคยลงสระตื้นๆ

ขอให้โชคดีครับ


Mon money (พี่มน)

หลักการมากับความหนักแน่นของจิตใจครับ เชื่อว่าคุณมีหลักการที่ดีแล้วเห็นว่ากำลังฝึกจิตใจให้มั่นคง ลองเล่นเก็งกำไรกับหุ้นที่ขึ้นลงแรงๆและไม่ไหวหวั่นบ้างไหมละครับ แต่บอกก่อนนะว่าไม่เป็นผลดีต่อสุ๘ภาพจิตและกระเป๋าของคุณ ทางที่จะฝึกจิตใจที่ดีที่ผมใช้ได้ผลคือ เมื่อพบหุ้นดีๆ ตรวจสอบแล้วว่าซื้อได้ ผมจะยังไม่ซื้อเลย แต่เฝ้ามองนานแค่ไหนก็รอและมองทุกวันด้วย เมื่อVolumeจางๆ ราคานิ่งๆไม่ไหวติงเป็นเวลานานแรมเดือนแล้วผมถึงจะลุย เมื่อก่อนเจอก็ลุยเลย จุกเหมือนกัน อันนี้ต้องทนกว่าอันแรก ผมชอบหุ้นดีๆที่กำลังลง ไม่ชอบหุ้นที่ดีที่กำลังขึ้น ผมชอบรอ

ทั้งหลักการและวิธีการต้องเหมาะกับคุณ ว่ายน้ำก็ต้องมีท่าที่คุณถนัดที่สุด ต้องลองถึงจะเจอ ส่วนผมกับคุณวิบูลย์ลองมาแล้วทุกกระบวนท่า สรุปว่าเราเหมาะกับการรอและอดทนจริงๆ เราไม่ใช่นักรบประจันบาน เราคือเสนาธิการวางแผนในกระท่อมบัญชาศึกหมื่นลี้ครับ ดังนั้นประจันบานทีไรตายสนิททุกที

แนวของผมเอาไปใช้ได้ไม่ว่า แต่ต้องหาตัวเองให้เจอนะ



Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2551 19:56:47 น.
Counter : 343 Pageviews.

1 comment

noooon010
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



สวัสดีครับผม ^^

slumdog millioanaire สุดยอดจริงๆครับ

คนทุกคน มีค่าเท่าๆกัน
คนที่ดูถูกคนอื่นเท่านั้น ที่เป็นการดูถูกตัวของคุณเอง

มาสร้างสิ่งดีๆให้โลกนี้กันดีกว่าครับ
Friends Blog
[Add noooon010's blog to your weblog]