ข้อคิดการลงทุนของคนเขลาคนหนึ่งครับ
นานๆจะว่างสักทีหนึ่ง เลยขออนุญาติมาแชร์ประสบการณ์นะครับผม :D

ก่อนหน้านี้ผมเคยเขียนเรื่องการลงทุน และคติที่ได้จากการลงทุนไว้เมื่อ กค. 2552 ครับ
//www.bloggang.com/viewblog.php?id ... 29&gblog=1

วันนี้ตื่นขึ้นมา หลังจากทำงานบ้านได้สักพัก ผมกลับมาอ่านหนังสือ Beating the street แล้วก็มาอ่านบทที่เขียนเกี่ยวกับ ความกังวลในช่วงสุดสัปดาห์

เมื่อคืนผมพึ่งเห็นข่าว Dow Jones ตก มากที่สุดตั้งแต่ต้นปี(พึ่งผ่านปีใหม่มาได้ 2 เดือนนิดๆ )

มีคนบอกว่า เค้ากังวลเรื่อง วิกฤติหนี้ยุโรป และกรีซ อีกแล้ว
ตกลงเมื่อไหร่จะจบเสียที

คำตอบที่ผมคิดได้ก็คือ

... จริงๆเราไม่ทราบหรอกครับ ว่าเมื่อไหร่ปัญหานี้มันจะจบ
และเมื่อปัญหานี้จบแล้ว จะมีปัญหาอื่นๆตามมาหรือไม่ และจะเกิดเมื่อไหร่

อาจารย์ของผม(พี่มนตรี นิพิฐวิทยา) เคยสอนผมไว้ว่า ให้บริหารความโลภ ให้พอๆกับ ความรู้ที่เรามี

มันเป็นความจริงอย่างหนึ่งเลยนะครับ
เพราะเวลา ตลาดร่วงลงมา เวลามีความกลัวเกิดขึ้น สิ่งที่เราคิดว่าเรารู้ดี กลับหายไป
ความมั่นใจในตัวเองมันจืดจาง

เช่นกันพอตลาดกลับมาดูดี หุ้นกลับมาขึ้นมากๆแล้ว เรามักจะบอกว่า รู้งี้ฯ
(รู้อพไรไม่สู้เท่า รู้งี้ )

แล้วนักลงทุนธรรมดาๆอย่างเราจะทำอย่างไรล่ะ

เวลาแบบนี้ ผมมักย้อนกลับมาที่ หลักการลงทุนที่ผมใช้
ผมรู้สึกได้ถึง ความความรู้สึกไม่มั่นใจในหลักการลงทุนที่ตนเองเคยใช้

ยิ่งฟัง ยิ่งอ่าน Big name ยิ่งเค้าบอกว่า หุ้นตัวนี้ไม่รีบขาย ระวังจะเสียจายยยย
(ไม่รีบล้าง port ตอน 380 จุด ระวังจะแย่น้า 555 ลงมา 2 ทีแล้ว .... ผมโดนแบบนี้อ่ะ ไม่ได้อยากขอความเห็นเล้ย)


ผมไม่เคยดูถูกตลาดเลยครับ เพราะจริงๆตลาดก็คือ การรวมกันของการกระทำของคนเป็นหลายๆล้านคน
แค่เราเดาความคิดของคนข้างๆเพียงไม่กี่คน เรายังเดาเค้าไม่ออกเลยครับ

แล้วเราจะเดา Mr Market ได้อย่างไร

บางคนใช้กราฟ(Technical Investment)
บางคนใช้ Fundamental Investmant

ผมว่า ใช้อะไรก็ได้ที่เหมาะสมกับเรา ที่เราถนัด
ข้อเสียอย่างหนึ่งที่ผมพบคือ เรามักนำหลักการลงทุนของคนอื่น มาใช้กับตัวเรา
และมักเปลี่ยนกระทันหัน ตอนที่เรารู้สึกว่า ไม่ไหวแล้วเฟ้ยยยย

(หมายถึงตอนที่ อยู่ดีๆหุ้นลงหนัก หรืแ อยู่ดีๆหุ้นขึ้นเยอะๆ ก็ไหนเค้าบอกว่า เศรษฐกิจมันแย่อยู่ไง)

ถ้าย้อนกลับมาอ่านที่หนังสือ Beating the street จะพบว่า แม้คุณจะรวบรวมเซียนหุ้นอย่าง ปีเตอร์ ลินซ์ ไมเคิล ไพรซ์ จิม โรเจอร์ ฯลฯ

หลายครั้ง เรามักให้เหตุผลตามอารมณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้น

พี่มนมักพูดว่า "เรามักหาเหตุ มาใส่ผลที่เกิด หลายครั้งเราไม่ทราบหรอกว่า เหตุจริงๆคืออะไร แต่เราก็หาเหตุมาใส่"

ผมคิดว่า จริงๆ คนเก่งๆในโลกการลงทุนมีมากมายครับ หลายคนคำนวนนู่นนี่แม่นยำ รู้จักบริษัทดีมากๆ
ผมเคยคุยกับ CEO บริษัทใหญ่บางคนโดยบังเอิญ เค้ารู้ทุกอย่างของบริษัท
แต่เค้ายังกลัวว่า มันจะไม่เป็นอย่างที่เค้ารู้

จริงๆธุรกิจ กับความไม่แน่นอน เป็นสิ่งคู่กันครับ(ลองอ่านจากหนังสือ เริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัว ของพี่โจ๊กดูนะครับ ^^)

แต่ความไม่แน่นอน เป็นเพื่อนกับนักลงทุนเสมอครับ

หลายครั้งกว่าเราจะรู้ว่า ผลของการกระทำของเราจะเป็นอย่างไร ก็ต่อเมื่อ เวลามันผ่านไปแล้ว

แต่ถ้าเราสนุกกับการเรียนรู้ และนำสิ่งที่ได้มาปรับปรุง นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
ผมว่า มันเป็นสิ่งดีมากๆนะครับ

โดยส่วนตัว ผมมี core idea อยู่ในใจ
ผมเริ่มใช้ ทดลอง และพิสูจน์ดู

ไปๆมาๆ ผมว่า มันโอเคนะครับ core idea ของผมก็คือการลงทุนแบบ fundamental แหละครับ

เพื่อนๆคงอ่านกันจนเบื่อแล้ว(เวปนี้มีข้อเขียนเหล่านี้เต็มไปหมด)

เพียงแต่ว่า การลงทุนเป็นศิลปะครับ
คนที่เรียนศิลปะร่วมกันมา ถ้าให้เค้าทำงานศิลปะสิ่งเดียวกัน

เช่นวาดรูปบ้านๆเดียวกัน

คนหลายๆคนก็วาดไม่เหมือนกันครับ

การลงทุนก็เช่นเดียวกันครับ

เลือกลงทุนในสิ่งที่ตนเองถนัด และอย่าลืมแบ่งเวลาไปกับสิ่งอื่นๆที่มีประโยชน์บ้าง
ให้เวลากับคนอื่นๆในครอบครัว กับคนรอบข้าง และสังคมบ้าง

ขอบคุณพี่มน และพื่ๆเพื่อนๆ น้องๆทุกๆท่านที่ร่วมกันสร้างเวปนี้ขึ้นมาครับ

สังคมจะดีได้ เราต้องช่วยสร้างสรรค์สิ่งดีๆขึ้นมา โดยเริ่มที่ตัวเราเองก่อนครับ

มีความสุขกับการลงทุนนะครับ :wink:

ปล.สิ่งหนึ่งที่ทำให้สติของเราเสียได้ นั่นคือการจ้องตัวเลขที่วิ่งๆกัน
หลายครั้ง ปรมาจารย์จึงบอกว่า หยุดดูราคาหุ้น real time ซะบ้างก็ดีนะ

หลายครั้งมันทำยาก แต่ต้องทำ
เพราะไม่เช่นนั้น เซียนหุ้น ก็คงทำผลตอบแทนได้แพ้เด็กประถม หรือ ซื้อหุ้นตามการปาเป้าของลิงครับ

ผมได้รับบทเรียนนี้มาแล้วหลายครั้งครับ ^^

ปล.2 ประโยคเด็ดในหน้า 145 ของหนังสือ ลงทุนสวนกระแสอย่าง....แอนโทนี่ โบลตัน แปลโดยพี่ WEB
คือ

เมื่อคุณมองไปในสถานการณ์อันเลวร้าย
และคุณรู้สึกว่า ระบบการเงินกำลังจะล่มสลาย
และคงไม่มีใครต้องการซื้หุ้นอีกแล้ว

นั่นแหละคือจุดที่ตลาดจะกลับตัว

ปล.3 สุดท้ายล่ะค้าบบบ ><

จากหนังสือ วัดมูลค่าหุ้นฯ ของพี่สุมาอี้(พี่โจ๊ก นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์)
ข้อที่3 ....

เรือทุกลำต้องเผชิญพายุเหมือนกันหมด
จงพยายามเลือกเรือลำที่ดีที่สุด แทนที่จะพยายามคาดเดาว่าพายุจะมาเมื่อไหร่




Create Date : 07 มีนาคม 2555
Last Update : 7 มีนาคม 2555 10:59:21 น.
Counter : 996 Pageviews.

3 comment
หลักการลงทุนแบบง่ายๆของผม
ปกติเราลงทุนเพราะอะไร เราลงทุนโดยมีระยะเวลานานเท่าไหร่ และเราจัดสรรค์เงินลงทุนอย่างไร

ข้อสำคัญคือ เราลงทุนในสิ่งที่เราเข้าใจมากน้อยแค่ไหนครับ



ผมว่า คนเราแต่ละคนมีนิสัยต่างกัน เวลา และ life style ก็ต่างกัน ความถนัด ความเข้าใจที่ต่างกันทำให้คนเราคิดไม่เหมือนกัน ไม่ต้องอะไรมากครับ แค่ตัวสเราเอง บางครั้งเรายังเคยไม่เข้าใจตัวเราเองเลยใช่ไหมครับ บางครั้งเรารู้สึกกับสิ่งต่างๆในวันนี้ ต่างไปจากวันก่อน



ผมเอง ลงทุนในหุ้นเป็นส่วนใหญ่ครับ และลงทุนในทองคำโดยซื้อกองทุนทองที่ลงทุนในทอง(ไม่ใช่ future นะครับ) และในระยะยาว ถ้า demand ทองคำเพิ่มขึ้น10 - 20% ต่อปี แต่เหมืองทองวผลิตทองเพิ่มขึ่้นได้แค่ 1-2% / ปี

(การขุดทอง ...กระบวนการคล้ายๆขุดเจาะน้ำมันเลยจริงๆนะครับ)



ถ้ามอง fundamental เราก็จะเห็นโอกาสการลงทุนเหมือนกัน แต่การลงทุนไม่ใช่การ"เกร็ง"กำไรนะครับ อย่าเข้าใจผิดครับ



Waren E.Buffett ชอบใช้ประโยชน์จาก Mr.Market มากๆครับ นิยามของ Mr.Market ของเค้าก็คล้ายๆประโยคนี้ครับ



"Mr.Market เหมือนสาวเจ้าอารมณ์ วันที่เธออารมณ์ดี ทุกๆอย่างก็ดูดี เวลาเธออารมณ์ร้าย ทุกอย่างก็ร้ายตาม"

เราก็ใช้ประโยชน์จากตอนที่เธออารมณ์ดีขายหุ้นที่ over value และซื้อหุ้นที่เป็รนบริษัทที่ตรง criteria ของวเรา ในราคา under value



โดยเราอาจค่อยๆขายหุ้น และเช่นเดียวกัน ค่อยๆซื้อหุ้นครับ



ผมชอบบทความของพี่มนมากๆครับ



อย่าจับจังหวะตลาด : พี่มนตรี นิพิฐวิทยา

//www.bloggang.com/viewblog.php?id=seina&date=22-02-2011&group=17&gblog=4



หลายครั้งนักลงทุนถูก Mr.Market ทำให้เขว



อาจเป็นเพราะ เรานั่งหน้าจอเกินไปหรือเปล่า การเว้นระยะห่างให้เหมาะสมกับตลาดหุ้นเป็นสิ่งสำคัญ พอๆกับ การลงทุึนในสิ่งที่เราเข้าใจครับ



เช่นเดียวกัน ระยะเวลาการลงวทุนของเราก็สำคัญครับ

คนที่หวังลงทุนภายในระยะเวลาสั้นๆ เช่น 1-2 วัน มันคาดคะเนอะไรไม่ได้ 100% หรอกครับ

การคาดคะเนระยะยาวๆ 1-3- 5 ปี อาจทำได้มากกว่า ถ้าเรามอง และเข้าใจ business model ของบริษัทที่เราลงทุนได้ถูกต้องครับ



มีข้อคิดที่ผมชอบมากๆข้อหนึ่ง



"Master of Investor always do wrong ,but they admit it"

เซียนหุ้นที่เก่งๆ มักทำผิดพลาดได้บ่อยๆ แต่เค้าจะเรียนรู้ จดจำ และพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความผิดพลาดเหล่านั้นขึ้นอีกครับ



Sir Richard Branson กล่าวไว้ใน "Screw it, Let's do it" ว่า

"Looking, listening, learning" - these are things we should do all our lives, not just at school.



หลักการลงทุนที่ผมศึกษา ผมว่า มันง่าย และเรานำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน(นำมาใช้กับเรื่องอื่นๆได้)ครับ



มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับ



และอย่าลืมว่า เราไม่ได้แข่งกับใครครับ

ความสนุกของการลงทุนเป็นสิ่งจำเป็น พอๆกับความสนุกของกีฬาฟุตบอลที่ทำให้ Osora Tsubasa เล่น football ครับ



....โอ้ว โยงกันได้นะเนี่ย ^^




Create Date : 10 มิถุนายน 2554
Last Update : 10 มิถุนายน 2554 18:59:46 น.
Counter : 422 Pageviews.

2 comment
เพื่อนรักของผม ^^
วันนี้ผมไปทานข้าวกับเพื่อนรักของผม เค้าลงทุนหุ้นมานานกว่าผมมากๆ
เรามักแลกทัศนะคติเรื่องลงทุนเสมอๆ

เค้าเป็น VI ของแท้สำหรับผมครับ
แต่เค้าก็อ่านหนังสือลงทุนแนวอื่นๆด้วย

เค้าพูดถึง jessi livermore

เค้าบอกว่า การลงทุนนั้น แม้เป็นการเก็งกำไร
แต่คุณต้องรู้จักบริษัทนั้นๆ ต้องอ่านงบการเงินบริษัทนั้นๆมาแล้ว

และที่สำคัญ เค้าจะไม่เก็งกำไรตามข่าว
เค้าจะไม่เก็งกำไรโดยใช้ insider trading เพราะเจ้ามือมักจะหลอกเรามารับของไม่ดี/ของร้อน

สู้เก็งกำไรในสิ่งที่เรารู้จัก เราเข้าใจ

แม้เราจะเสียน้ำตาไปบ้าง ก็ขอเสียน้ำตากับสิ่งที่เราคิดตัดสินใจลงทุนเองครับ

.....จ๊าบจริงๆครับ



Create Date : 16 มกราคม 2554
Last Update : 16 มกราคม 2554 23:26:52 น.
Counter : 249 Pageviews.

0 comment
สวัสดีปีใหม่ครับ ^^
ขออนุญาติสวัสดีปีใหม่เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ นักลงทุนทุกๆท่านนะครับผม
เผลอแป๊บเดียวก็ถึงวันสุดท้ายของปี 2553 แล้ว

ปีที่ผ่านมา มีหลายๆอย่างผ่านเข้ามาในชีวิตการลงทุน
มีข้อคิดมากมายให้ได้เรียนรู้

มี pole แสดงให้เห็นผลตอบแทน ว่ามาก น้อยเพียงใด

สำหรับผมเอง ผมชอบที่จะเข้ามาอ่านข้อเขียนของ อ.นิเวศน์ครับ

ผมชอบข้อเขียนนี้มากๆครับ
บัฟเฟต์ข้างบ้าน
//thaipick.com/i/cDM

ในที่สุดแล้ว การที่เราสร้างผลตอบแทน มาก / น้อยแค่ไหน
เราสามารถทำแบบนั้นได้ยั่งยืน และสม่ำเสมอเท่าใด

ที่สำคัญคือ

เราให้เวลากับสิ่งอื่นๆรอบตัวเราบ้างไหม
เรารวยขึ้นจากการหลอกใครหรือไม่ เพราะเงินที่ได้มาจากความไม่บริสุทธิ์
สุดท้ายก็จะหายไป พร้อมความทุกข์ที่มีเข้ามา

ผมเห็นนักลงทุนหลายท่านหายใจเข้าออกเป็นหุ้นๆๆ

แต่ไม่สนใจแม้กระทั่งคนรอบๆข้างจะเจ็บป่วย
หรือมีใครรอเราเข้าไปกอด ไปพาเค้าเที่ยวข้างนอก ฯลฯ

ผมว่า ชีวิตคนเราไม่ได้ติดกับตลาดหุ้นขนาดนั้นนะครับ

....อย่าลืมว่า การลงทุน ต้องมีทั้งสติ มีความสุข
และสุดท้าย เราต้องมีชีวิตของมนุษย์ปกติที่ไม่เบียดเบียนใครเค้าครับ

สวัสดีปีใหม่ 2554 ครับ



Create Date : 31 ธันวาคม 2553
Last Update : 31 ธันวาคม 2553 10:09:51 น.
Counter : 348 Pageviews.

10 comment
28 09 2010
ผมอ่าน column ของ ดร.ศุภวุฒิ แล้วพึ่งจะเข้าใจเรื่องที่พี่มนพูดในงาน meeting
ที่ว่า ต่างชาติเข้ามาซื้อ bond เพราะ ...

ค่าเงินบาท : เข้าใจโจทย์ให้ถูกต้อง
โดย : ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

//www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/supavut/20100927/354639/%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97-:-%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87.html

กลับไปอ่านก่อนหน้านี้เป็นปีๆ ไม่มีใครเดาระยะสั้นๆออก
เราจะทราบเมื่อเวลามันผ่านไปแล้ว

3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 00:52:00
ตลาดหุ้นถึงจุดต่ำสุดแล้วหรือยัง?

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

กรุงเทพ ธุรกิจ ออนไลน์ : ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในสัปดาห์ที่แล้ว ปรับลดลงกว่าครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับต้นปี ทำให้พี/อีของตลาดลดเหลือเพียง 6 เท่า และผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 7.3% จึงทำให้หลายคนตั้งคำถามว่าหุ้นไทยน่าซื้อหรือยัง คำตอบคือไม่ทราบเพราะการหาจุดต่ำสุดของราคาหุ้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย บทความหนึ่งที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม สรุปว่าผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่คลุกคลีอยู่กับตลาดหุ้นเป็นเวลานานหลายสิบปี ก็ยังไม่สามารถบอกได้ โดยเชื่อว่าจุดต่ำสุดน่าจะเป็นภาวะการที่นักลงทุนขายหุ้นออกไปจนหมด และยอมจำนนต่อความตกต่ำของตลาดอย่างราบคาบ (capitulation) บางคนเชื่อว่าเป็นจุดที่มีการขายทิ้งหุ้นอย่างไม่ลดละในทุกๆ ราคา (วันที่หุ้นตกแรงๆ และปริมาณการซื้อ-ขายสูง) แต่บางคนก็โต้ว่าน่าจะเป็นภาวะซึ่งปริมาณการซื้อ-ขายเบาบางมาก เพราะเกือบทุกคนเจ็บตัวและเข็ดหลาบกับตลาดหุ้น หากจะให้เปรียบเทียบ คือ วันที่ราคาหุ้นถึงจุดต่ำสุดไม่ใช่วันที่นักมวยต่อสู้กันจนนักมวย (ผู้ขายหุ้น) สามารถน็อคคู่ต่อสู้ แต่จะเป็นวันที่นักมวยต่อยกันแม้จะมีคนดูมีน้อยคนเต็มที กล่าวคือ ตราบใดที่ยังมีคนพยายามถามไถ่ว่าหุ้นน่าซื้อหรือยัง ก็แปลว่าราคาหุ้นยังไม่ถึงจุดต่ำสุด ดังนั้น ราคาหุ้นจะถึงจุดต่ำสุดก็เมื่อปริมาณซื้อ-ขายเบาบางอย่างต่อเนื่อง

การประเมินหาจุดต่ำสุดของตลาดหุ้นตาม แนวข้างต้นไม่เป็นไปตามหลักวิชาการ แต่หากพิจารณาตามหลักวิชาการแล้ว ราคาหุ้นทั่วโลกต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานประมาณ 50% กล่าวคือ พี/อีของหุ้นทั่วโลกขณะนี้ประมาณ 8 เท่า แต่ในระยะยาวนั้นราคาหุ้นน่าจะอยู่ที่พี/อีประมาณ 12-14 เท่า จริงอยู่ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้ากำไรของหุ้นน่าจะต้องปรับลดลงเมื่อเศรษฐกิจโลกถดถอย ทำให้พี/อีเพิ่มขึ้นในปีหน้า แต่หากมองไปในระยะยาวก็ต้องสรุปว่า เมื่อความตกต่ำทางเศรษฐกิจผ่านพ้นไป (สภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจนั้นมักจะไม่ยืดเยื้อเกินว่า 12 เดือน) ผลกำไรของบริษัทกลับมาที่เดิม ราคาหุ้นก็น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจนกระทั่งพี/อีปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับเดิม เช่นกัน ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าหากตั้งใจซื้อหุ้นเพื่อลงทุนในระยะยาวตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป ก็น่าจะเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยและให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนประเภทอื่นๆ อย่างมาก อาทิเช่น ฝากเงินที่ธนาคารหรือซื้อพันธบัตรก็น่าจะได้รับดอกเบี้ยเกิน 4.5% ต่อปี แต่การซื้อหุ้นนั้นนอกจากจะมีเงินปันผลประมาณ 5-7% ต่อปีแล้ว ยังมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นได้อย่างมากด้วย

แต่การลงทุนในหุ้นในขณะนี้มีความเสี่ยง สูงมาก เพราะในระหว่างที่ตลาดกำลังแสวงหาคำตอบว่า การถดถอยของเศรษฐกิจโลกครั้งนี้จะรุนแรงและยืดเยื้อมากน้อยเพียงใดนั้นราคา หุ้นจะผันผวนอย่างมาก ดังนั้น นักลงทุนจึงจะต้องศึกษาข้อมูลและติดตามข่าวสารอย่างระมัดระวังและละเอียดถี่ ถ้วนที่สุด หากต้องการลงทุนในหุ้นก็อาจพิจารณาค่อยๆ ลงทุนทีละน้อยเพื่อเฉลี่ยต้นทุน ทั้งนี้ จะทำในช่วงที่ราคาหุ้นยังปรับตัวลดลง หรือจะทำในช่วงที่ราคาหุ้นกำลังปรับตัวเพิ่มขึ้นก็ได้ แต่การทำอย่างแรกนั้นมักจะทำให้ตื่นเต้นเกินควร จึงต้องพิจารณาให้ดีว่าลักษณะการลงทุนดังกล่าวเหมาะสมกับนิสัยของท่านเพียง ใด

นอกจากนั้น ก็จะต้องเข้าใจว่าเมื่อราคาหุ้นปรับตัวถึงจุดต่ำสุดแล้ว ก็อาจจะอยู่ที่ระดับต่ำสุดดังกล่าวได้นานหลายเดือน ดังนั้น จึงต้องย้ำว่าการลงทุนนั้นจะต้องเป็นการลงทุนระยะยาวอย่างน้อย 3-5 ปี และหากเป็นไปได้ควรจะให้เวลา 10 ปีขึ้นไป การลงทุนในหุ้นจึงจะให้ผลตอบแทนเต็มที่ ซึ่งบางคนอาจโต้ว่าการรอผลตอบแทนนานถึง 10 ปีเป็นเรื่องยาก แต่หลายคนก็วินัยที่จะทำเช่นนั้นได้เห็นจากการยอมผ่อนเบี้ยประกันที่ยอมทำ สัญญานาน 10-15 ปี

การลงทุนเพราะมีคนบอกว่าหุ้นนี้ดีโดยมิ ได้ศึกษาอย่างลึกซึ้งนั้นเป็นการลงทุนที่อันตรายยิ่ง หากผู้ลงทุนคิดว่าตนเองไม่สามารถทำความเข้าใจกับตัวหุ้น ก็ควรจะเลือกซื้อกองทุนที่ลงทุนในหุ้นหลักๆ ซึ่งเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่และสภาพคล่องสูงเป็นต้น แต่หากต้องการซื้อหุ้นเป็นรายตัว แนวทางที่อาจนำมาใช้ในการเลือกหุ้นน่าจะเป็น 4 ข้อดังนี้

1. ความสามารถของผู้บริหาร ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอยนั้น สิ่งสำคัญที่สุด คือ ความสามารถของผู้บริหาร เพราะหากพลาดพลั้งบริษัทก็อาจล่มสลายได้ แต่หากมีความสามารถสูงนอกจากจะรอดตัวแล้ว ก็มักจะสามารถใช้วิกฤติเป็นโอกาสทำให้บริษัทแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิม ดังนั้น หากหุ้นของบริษัทปรับลงไปน้อยกว่าบริษัทอื่น ก็อาจจะเป็นเพราะว่าบริษัทนี้เป็นบริษัทที่ผู้บริหารมีคุณภาพ สามารถทำให้ราคาหุ้นในอนาคตสูงกว่าจุดสูงสุดในอดีต แตกต่างจากอีกบริษัทหนึ่งที่ราคาหุ้นตกต่ำลงอย่างมาก ทำให้นักลงทุนอยากซื้อหุ้นเพราะจะได้กำไรมากกว่าหากราคาหุ้นกลับไปสู่จุด เดิม แต่หากผู้บริหารไม่เก่งจริงก็อาจจะไม่สามารถนำพาบริษัทให้รอดจากสภาวะตกต่ำ ของเศรษฐกิจครั้งนี้ได้

2. บริษัทควรมีหนี้สินน้อยและเงินสดมาก วิกฤติสถาบันการเงินในสหรัฐและยุโรปที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ทำให้สถาบันการเงินต้องเพิ่มทุนอีก 1 ล้านล้านดอลลาร์ นอกจากนั้น ยังต้องลดความเสี่ยงโดยการลดการปล่อยกู้และการลงทุนอีกมาก ซึ่งไอเอ็มเอฟประเมินว่าสถาบันการเงินในยุโรปและอเมริกาต้องลดขนาดของตัวเอง ลงไปประมาณ 10 ล้านล้านดอลลาร์ แปลว่าการปล่อยสินเชื่อจะมีขอบเขตจำกัดอย่างมาก ดังนั้น บริษัทต่างๆ จึงจะต้องมีสถานะทางการเงินที่แข็งแรง มิฉะนั้นแล้วธนาคารจะไม่ปล่อยกู้ให้ และควรมีเงินสดของตัวเองที่เพียงพอที่จะรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคตอีก ด้วย ทั้งนี้ ประเทศไทยนั้นจะไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงเช่นที่ยุโรปและอเมริกา แต่ผมก็เชื่อว่า นักลงทุนสถาบันต่างชาติจะเลือกลงทุนในบริษัทที่มีหนี้สินน้อยก่อน

3. ธุรกิจที่ชัดเจนและมีแนวโน้มที่ดี เรื่องนี้เข้าใจได้ง่ายอยู่แล้ว แต่ก็ต้องอย่าลืมนำมาเป็นประเด็นพิจารณาว่าเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเฉพาะอย่าง ที่ตนเองมีความชำนาญ และเป็นธุรกิจที่มีอนาคต ทั้งนี้ บริษัทไม่ควรลงทุนในธุรกิจหลายประเภทที่ผู้บริหารมีความชำนาญน้อย เพราะการอยากไปลงทุนในธุรกิจประเภทอื่นๆ มักเป็นการสะท้อนว่าผู้บริหารเห็นว่าธุรกิจที่ตนทำอยู่นั้นไม่ค่อยจะมีอนาคต จึงต้องแสวงหาลู่ทางอื่นๆ

4. สามารถจ่ายเงินปันผลที่สูงและต่อเนื่อง นักลงทุนควรประเมินให้มั่นใจว่าบริษัทจะยังสามารถจ่ายเงินปันผลที่สูงใน อนาคตอย่างต่อเนื่อง หากทำได้ก็แปลว่าการซื้อหุ้นดังกล่าวนั้น นอกจากจะมีความเป็นไปได้สูงว่าราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในอนาคตแล้วก็ ยังจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าในระหว่างที่รอให้ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นอีก ด้วย โดยปกติเงินปันผลจะต่ำกว่าผลตอบแทนจากพันธบัตร อาทิเช่น พันธบัตรให้ผลตอบแทน 5% เงินปันผลมักจะเท่ากับ 2-3% แต่ในขณะนี้ พันธบัตรให้ผลตอบแทน 4-5% แต่เงินปันผลของหุ้นหลายตัวสูงถึง 6-7% ครับ

***

ผมคิดเอาเองว่า เราซื้อหุ้นที่

- อยู่ใน circle of competence ของเรา (ผมสะกดถูกไหมเนี่ย Embarrassed)
- อยู่ใน philosophy การลงทุนของเรา เช่นบัญชีไม่มี financial fraud มี business model ที่น่าสนใจ
- ซื้อโดยมี margin of safety ที่เพียงพอ (เป็นศิลปะ)
- ทบทวนการลงทุน และปรับปรุงให้เหมาะสมกับตัวเราเอง

มีสติและมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม



Create Date : 28 กันยายน 2553
Last Update : 28 กันยายน 2553 22:00:06 น.
Counter : 221 Pageviews.

2 comment
1  2  3  

noooon010
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



สวัสดีครับผม ^^

slumdog millioanaire สุดยอดจริงๆครับ

คนทุกคน มีค่าเท่าๆกัน
คนที่ดูถูกคนอื่นเท่านั้น ที่เป็นการดูถูกตัวของคุณเอง

มาสร้างสิ่งดีๆให้โลกนี้กันดีกว่าครับ
Friends Blog
[Add noooon010's blog to your weblog]