รอบนี้ส่งการบ้านช้ากว่าที่ผ่านมาหลายวันเพราะไปเที่ยวเมืองเชียงใหม่มาค่ะ
ระหว่างพักที่โรงแรม เปิดบล็อกก็ถึงได้รู้ตัวว่า
ลืมส่งการบ้านงานตะพาบเสียนี่ ทั้งที่ไปโหวตโจทย์มาแต่ไม่ได้รับปากว่าจะต้องส่งทุกครั้งหรอกค่ะ
แต่มันคล้ายกับเป็น สัญญาใจ ที่ตัวเองผูกพันกับเพื่อนๆ ชาวตะพาบ
ฮ่าๆๆๆ ไม่มีใครโกรธใช่ไหมคะที่ไม่ได้ส่งทุกครั้งแต่ตัวเองเอาใจไปพันผูกเอง ก็สัญญา
ไม่ได้หมายถึงคำพูดที่ออกจากปากอย่างเดียวหรือเปล่า
สำหรับปุถุชนทั่วไป สัญญาคงหมายถึงการที่คนๆหนึ่ง รับปากว่าจะทำสิ่งหนึ่งให้กับคนๆหนึ่ง ใช่ไหมคะ
แต่ทางพุทธศาสนา สัญญา คือขันธ์หนึ่งใน 5 ขันธ์ และเป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง มี 2 ประเภทคือสัญญา 6
และสัญญา 10ในทางพระพุทธศาสนาถือว่าสัญญานั้นย้อนกลับไปได้ไม่สิ้นสุด
ซึ่งถ้าให้อธิบายและตีความก็ยากเกินไปสำหรับเราในตอนนี้
และบล็อกนี้จะยังไม่เอ่ยถึงสัญญาในแง่ศาสนาพุทธแต่จะขอพูดถึงในแง่ปุถุชนทั่วไป
ใครเป็นคนที่ยึดมั่นคำสัญญาบ้างคะ
อย่างน้อยก็มีเราคนหนึ่ง จขบ เป็นคนที่ยึดมั่นคำสัญญามากบอกใครไว้ก็จะทำให้ได้
หรือใครพูดอะไรไว้ก็จะยึดมั่นว่าเขาจะทำตามที่พูด
หลายครั้งที่ผิดหวังกับคำสัญญา จึงไม่คาดหวังกับคำสัญญาจากคนอื่น
แต่ในทางกลับกัน ตัวเองจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้เสมอ
จขบ เป็นแม่คนแล้วด้วย บางครั้ง บอกกับเด็กๆว่าจะทำนั่นทำนี่ให้ ก็ต้องรักษาสัญญา
จะไม่มีเหตุการณ์แบบพูดขอไปทีแล้วมาหาทางหลีกเลี่ยงทีหลังแน่
ถ้ารู้ตัวว่าทำตามที่พูดไม่ได้จะไม่ให้คำสัญญาเด็ดขาด
เด็กๆ ก็เสียใจเป็นนี่คะ และไม่อยากให้เขาเป็นคนไม่รักษาคำพูด
แม้ในทางพุทธศาสนาจะมองทุกสิ่งไม่จีรัง อย่าไปยึดมั่นถือมั่น
แต่หากการตกปากรับคำไปแล้วไม่ได้ทำตามที่พูดโดยจงใจก็ไม่ต่างกับการมุสา
ดังนั้น สัญญา ต้อง เป็นสัญญา ที่มาจากใจ จะดีกว่าสัญญาที่กระทำโดยการบังคับ
ก็คล้ายกับงานตะพาบนี่นะ รอบนี้ไม่มีเรื่องเล่า ไม่มีหักมุมและไม่มีตัวละครใดๆ
และไม่มีใครบังคับว่าต้องเขียน แต่กลายเป็นสัญญาใจไปแล้วล่ะสิ
แม้จะเลยวันไปหลายวันแล้ว ก็ยังขอทำตาม สัญญาใจที่ตัวเองผูกไว้ จนได้