บันทึกการเดินทาง ฉบับ โลกไม่สวย
ในวันสุดท้าย ...
ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งข้างทะเลสาบพุชการ์
วิวจากชั้นสองของที่นี่เมื่อมองออกไป
ก็จะเห็นผืนน้ำและสิ่งก่อสร้างรายรอบ
พร้อมกับวิวภูเขาขนาดย่อมเป็นพื้นหลัง
ฉันตั้งใจมานั่งดูพุชการ์ส่งท้ายจากมุมนี้
ก่อนที่จะออกไปจากรัฐราชาสถาน
มีคนที่มานั่งกินอาหารก่อนหน้าอยู่สองคน
พวกเขาไม่ได้มาด้วยกัน และนั่งอยู่คนละโต๊ะ
หนึ่งในนั้นเป็นสาวเอเชียตะวันออก
กำลังสาละวนกับแลปทอปของตัวเอง
ส่วนอีกโต๊ะก็เป็นชายชาวตะวันตก
ที่เอาผ้าพันคอมาโพกพันหัวไว้
ฉันเลือกที่นั่งไม่ไกลไปจากระเบียงนัก
และกำลังนั่งดูรายการอาหารว่าควรสั่งอะไรกินดี
"นี่ ... ระวังนะถ้าคิดจะสั่งอาหารอินเดีย!"
เสียงจากชายตะวันตกคนนั้นร้องทักขึ้นมาก่อนที่จะพูดต่อ
"เมื่อวานเย็นผมลองสั่งอะไรมากินหนนึงเข้าห้องน้ำทั้งคืนเลย"
ฉันหันไปมองเจ้าของคำพูดนั้น
และเหลือบไปดูอาหารบนโต๊ะของเขา
ก็พอเดาไว้ว่าหมอนี่สั่ง ทาลี (อาหารที่ใส่เป็นถาด) เป็นมากิน
สำหรับอินเดียฉันไม่ใช่หน้าใหม่
เลยไม่ค่อยตื่นเต้นกับคำพูดนั้นนัก
ได้แต่นึกบ่น ๆ ในใจว่ามาอินเดียทั้งที
จะให้สั่ง ผัดกระเพราเต้าหู้ทอดมากินรึไง?
ก่อนที่เด็กเสิร์ฟจะมาจดเมนูที่เลือกไป
ถัดมาไม่นาน...อิตานั่นก็ย้ายมานั่งคุยที่โต๊ะด้วย
คงไม่ใช่เป็นเรื่องที่ประหลาดอะไรนัก
กับการพูดคุยกับคนแปลกหน้าเมื่อเราต้องเดินทางลำพัง
แต่เจ้าคนอเมริกันที่แนะนำตัวเองว่าชื่อ Long way นี่สิ
ดูเป็นคนประหลาดพิกล
เขาเล่าเรื่องที่มาเที่ยวเมืองไทยช่วงเดือนก่อน
ตั้งแต่พบรักที่พัทยาและตีตัวจากสาวที่นั่น
กระทั่งได้มาถึงอินเดีย
เขาชวนเล่นทายความคิดจากโจทย์ต่าง ๆ ไปเรื่อย
แบบไม่ได้มองเลยว่าฉันจะบรรจงฉีกจาปาตี
คีบตักกวาดกิน มาไลกุฟต้า ใส่ปากได้สะดวกไหม
จะไล่เจ้านี่ไปยังไงดีฟระ ... ฉันกำลังหาทางออกอยู่
โชคดีที่ตอนนั้นพวกเด็กเสิร์ฟสองคนของร้านคอยยืนมองอยู่ห่าง ๆ
และยังมีสาวหมวยที่นั่งพิมพ์อะไรบางอย่างเงียบเชียบด้านหลัง
เลยปล่อยให้แพล่มไปสักพักถ้าไม่มีเรื่องคุยต่อเดี๋ยวก็คงไปเอง...
ผิดคาดเขากลับเริ่มมีเรื่องพูดซุบซิบขึ้นมาเรื่อย ๆ
และเริ่มทำเป็นพูดเสียงเบา คล้ายกับมีเรื่องลับลมคมในจะบอก
เก้าอี้นั่งถูกเลื่อนขยับประชิดใกล้ขึ้น ๆ
จากที่ตอนแรกยังมีระยะห่างที่พอควร
มือไม้ก็เริ่มมา เขาทำทีจับมือดูกำไลที่ฉันใส่
และเริ่มโมเมทำทีถาม โอ มันคือจิวเวลรี่เหรอ
มันก็แค่ ลูกปัด ธรรมดา (ว้อย) ฉันตอบ
เริ่มมั่นใจแล้วว่า ไม่ได้มาดีแหง
หลังกินอาหารจนหมด คงไม่ต้องมัวคิดจะนั่งเตร่ชมวิวต่อ
ทางออกสุดท้ายฉันลุกขึ้นพรวดจากที่นั่งดื้อ ๆ
"ไปละ ต้องเตรียมไปเก็บข้าวของ ขึ้นรถไฟเย็นนี้"
ตัดบท จบค่ะ
เมื่อลุกออกไปแล้ว... ก่อนที่จะเดินลงบันได
ฉันแอบเห็นเขาย้ายตัวเองไปนั่งเกาะขอบระเบียง
จิบน้ำอัดลมชมวิวทอดสายตาไปทางทะเลสาบอย่างเงียบ ๆ
ฉันแอบเคืองในใจว่าเจ้าหมอนี่มันทำเสียบรรยากาศซะจริง
ส่วนแม่สาวโต๊ะหลังเธอคงจะพอรู้ทางหนีทีไล่หลังจากนี้แน่นอน
หากตานั่นจะทำทีท่าไปนั่งคุยด้วย
เราเองนั้นไม่รู้ว่าคนแปลกหน้าที่พบเจอนั้นเป็นใครมาจากไหนกัน
ฉันไม่เชื่อเรื่องจุดเริ่มต้นของมิตรภาพจะมาโดยการตีสนิท
ในการเดินทางที่มีมากขึ้นเริ่มทำให้ฉันไม่ค่อยอยากไว้ใจใครนัก
สิ่งที่คิดอยู่ในใจของใครแต่ละคนมันก็ไม่สามารถตีความหมาย
หรือตัดสินได้ในท่าทีแรกได้หรอก
ฉันได้นามบัตรของเควิน หรือนายลองเวย์ มาหนึ่งใบ
มีที่อยู่เวปไซด์ขายอาหารเสริม (supplement)
ที่เป็นธุรกิจของเขาและเฟสบุค ส่วนตัว ....
มีสเตตัสที่ตั้งเป็นโพสสาธารณะเยอะทีเดียว
อะไรบางอย่างในนั้น พอบอกตัวตนของเขาได้บ้าง
อาทิเช่น...
เมื่อวานนี้ ตอนที่ผมได้ไปเดินเที่ยวรอบ ๆ อุทัยปูร์ (อุทัยปุระ)
ได้พบกับสาวฝรั่งเศสที่เป็นเจ้าของร้านแห่งหนึ่ง
เราก็เริ่มพูดคุยกัน ... ผมหยอกไปว่า
เธอเนี่ยเป็นผู้หญิงต่างชาติคนเดียวที่ได้เห็นในเมืองนี้เลยนะ
จากนั้นก็เริ่มออกปากชวนว่า เราควรไปหาอะไรดื่มกัน
เธอกลับบอกปัด...ยังไปไม่ได้หรอกเพราะติดงานอยู่
ดังนั้นผมก็เลยบอกว่า ไว้หลังเลิกงานก็ได้
เธอบอก "โอเค ...."
ผมเลยเสนอเวลานัดเจอ
โดยบอกถึงเวลาปิดของร้านรวงแถวนี้ก็คงจะราว ๆ สี่ทุ่มครึ่ง
แต่สาวฝรั่งเศสดันกลับตอบว่า ร้านของเธอปิดตอนห้าทุ่ม
ผมเดินออกไป และได้ย้อนกลับมาอีกครั้งก่อนสี่ทุ่มครึ่ง
ร้านของเธอดันปิดเป็นที่เรียบร้อย
ผมยืนคอยพักใหญ่ แม่สาวผู้นั้นก็ไม่ปรากฏ
เช้าวันถัดมาผมเจอเธอและถามว่าเกิดอะไรขึ้น ?
แม่สาวนั่นกลับตอบว่าเธอแค่พูดเล่นไม่ได้จริงจังอะไร
และในตอนนั้นก็ดันมีคนอื่นอยู่ด้วยกับเธอซะด้วย
จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม
เธอบอกมาว่า ...ตัวเองรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก
ผมได้แต่พูดกลับไป "โอ มันช่างแย่เสียจริง!"
จากนั้นเมื่อผมกลับไปที่โรงแรมก็จัดการฉี่ใส่ถ้วย
และเดินย้อนไปที่ร้าน ยัยนั่น อีกครั้ง
ผมเขวี้ยงใส่ไปทางหน้าต่าง
หวังว่าร้านของแกคงจะอบอวลไปด้วยกลิ่นฉี่
นังฝรั่งเศสจองหอง!
เหวยยย ไอ้บ้านี่มันน่ากลัวจริง ๆ ด้วย !!!!