Seeking the source of Ebola (2) ปี 1967 หรือ 9 ปีก่อนที่จะค้นพบอีโบล่า ลิงอูกันดาถูกส่งออกเพื่องานวิจัย ไปยัง Frankfurt, Marburg เยอรมันนี และ Belgrad ยูโกสลาเวีย มีเจ้าหน้าที่ รวมไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องล้มป่วยรวม 32 ราย เสียชีวิต 7 ราย มันได้ชื่อตามเมืองที่เกิดเหตุว่า Marburg virus 8 ปีต่อมานักศึกษาคนหนึ่งไปรักษาตัวในโรงพยาบาลโยฮันเนสเบิร์กและเสียชีวิตลง หลังการท่องเที่ยวผ่านประเทศโรดีเซีย แต่แฟนสาวสามารถที่จะฟื้นตัว และรอดชีวิตมาได้ พบว่าทั้งสองคนมีกิจกรรมเกี่ยวข้องกับการนอนในทุ่งหญ้า การกินเนื้อละมั่ง การให้อาหารลิงในกรง การเข้าไปในถ้ำที่เต็มไปด้วยค้างคาว และการถูกแมลงต่างๆ กัดระหว่างการโบกรถท่องเที่ยว ปี 1980 วิศวกรคนหนึ่งเสียชีวิตจากไวรัส Marburg ในโรงพยาบาลที่ไนโรบีหลังการไปสำรวจถ้ำแห่งหนึ่ง ปี 1987 นักปีนเขาคนหนึ่งเสียชีวิตลงหลังจากไปสำรวจถ้ำเดียวกัน ต่อมารู้จักกันว่าเกิดจากไวรัส Ravn ที่ใกล้เคียงกับ Marburg Swanepoel นักไวรัสวิทยาจากแอฟริกาใต้ เริ่มสงสัยถึงความสัมพันธ์กับค้างคาว ปี 1995 คราวนี้เป็นการระบาดของไวรัสอีโบล่า โดยมีศูนย์กลางที่เมือง Kikwit ประเทศคองโก เริ่มต้นจากชายผู้ปลูกมันสำปะหลังและเผาถ่านจากต้นไม้ในป่า มีการติดต่อจากคนสู่คน จนมีผู้ติดเชื้อ 315 ราย เสียชีวิต 254 ราย Swanepoel เข้าร่วมกับทีมนักวิทยาศาสตร์บินไปที่นั่นเพื่อเก็บตัวอย่างเลือดและชิ้นเนื้อ นอกจากนี้ยังเก็บตัวอย่างจากสิ่งแวดล้อม เช่น ค้างคาว รวมถึงแมลงชนิดต่างๆ แต่ไม่มีตัวอย่างจากสิ่งแวดล้อมใดเลยที่ให้ผลเป็นบวก เค้าไม่ละความพยายาม ได้ทำการฉีดตัวอย่างไวรัสเข้าไปในพืช 24 ชนิด และสัตว์ต่างๆ อีก 19 ชนิด แต่ไม่พบว่าไวรัสสามารถที่จะเพิ่มจำนวนตัวเองในสัตว์หรือพืชชนิดใดๆ เลย มีเพียงการพบไวรัสที่หลงเหลืออยู่ในระดับต่ำเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 12 วัน ในค้างคาว 2 ชนิด คือค้างคาวกินผลไม้ และค้างคาว Angola free-tailed จึงเป็นหนึ่งในหลักฐานความเป็นไปได้ที่ค้างคาวอาจจะเป็นแหล่งกักโรค การระบาดใน Kikwit ทำให้เราเห็นความแตกต่างระหว่าง Marburg กับ Ebola Marburg มักจะระบาดจากถ้ำและเหมือง Ebola ระบาดจากการล่าและกินซากสัตว์ ดังนั้นไวรัสทั้งสองชนิดย่อมต้องการแหล่งกักโรคที่ต่างกัน หากเป็นไวรัส Marburg อาจเป็นค้างคาวที่อาศัยในถ้ำ หากเป็นไวรัส Ebola ก็น่าจะเป็นค้างคาวที่อยู่บนต้นไม้ ดูเหมือนว่าจะมีหลักฐานยืนยันในทฤษฎีนี้ เมื่อมีการระบาดของไวรัส Marburg ในช่วงปี 1998-2000 ที่มีศูนย์กลางที่เหมืองขุดทองในเมือง Durma ประเทศคองโก Swanepoel สืบหาหลักฐานการระบาดและพบว่า มันเริ่มต้นจากคนทำเหมือง ที่จำเป็นต้องลงไปทำงานใต้ดิน ในขณะที่คนงานบนพื้นดินส่วนใหญ่ปรกติ การระบาดชุดเล็กๆ ของอีโบล่าในปี 2001 และ 2003 เกิดขึ้นในหมู่บ้านชายป่า ของประเทศกาบองและคองโกที่ติดกับแม่น้ำคองโก มีผู้ติดเชื้อราว 300 คน 80% ตาย ในขณะเดียวกันก็พบการตายของลิงชิมแปนซี กอริล่า และกวางในช่วงเวลาเดียวกัน จุดเริ่มต้นของจุดที่ระบาดมักเกิดจากพรานป่าที่เข้าไปล่าเนื้อสัตว์มาเป็นอาหาร Swenepole เข้าร่วมทีมกับนักระบาดไวรัสวิทยาชาวฝรั่งเศส Eric Loeroy ที่ทำงานอยู่ในประเทศกาบอง พวกเค้าเก็บตัวอย่างกลับมาเป็นจำนวนมาก และทำการตรวจหาเชื้อไวรัสในตัวอย่าง ในแลปที่ทำงานของ Swenepole และ CDC ที่แอตแลนต้า สหรัฐอเมริกา ผลปรากฏว่าตัวอย่างให้ผลเป็นลบ Leroy และทีมได้กลับไปเก็บตัวอย่างอีกถึง 3 ครั้งมากกว่า 1000 ตัวอย่าง จากค้างคาว 679 ตัว พบว่ามี 16 ตัวอย่างจากค้างคาวกินผลไม้ 3 สายพันธ์ ที่พบว่ามีภูมิคุ้มกันต่อไวรัส นั่นแปลว่า พวกมันเคยมามีการติดเชื้ออีโบล่า และ 13 ตัวอย่างพบว่ามีรหัสสายพันธุกรรมสั้นๆ ของไวรัสอีโบล่า RNA มันเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่สามารถใช้ตั้งสมมุติฐานว่าค้างคาวเป็นแหล่งกักโรค แต่ก็ไม่ใช่ข้อสรุป เพราะว่ายังไม่สามารถที่จะเพาะเชื้อไวรัสตัวเป็นๆ ออกมาได้ Leroy ตีพิมพ์บทความลงในวาสาร Nature เรื่องไวรัสอีโบล่าในค้างคาวกินผลไม้ ผู้เขียนบทความได้ถาม Leroy ว่า เค้ายังคงพยายามที่จะแยกไวรัสออกมาอีกไหม Leroy ตอบว่า เค้าก็ยังคงพยายามที่จะยีนยันหลักฐานชิ้นนั้นอยู่ แต่ปัญหาสำคัญอย่างแรกคือ ปริมาณไวรัสที่พบนั้นมีปริมาณที่น้อยมากๆๆ ปัญหาอย่างที่สองคือ การติดเชื้อของแหล่งกักโรคนั้นเป็นแบบกระจาย หากเป็นกรณีนี้หมายความว่า ไม่ใช่ค้างคาวทุกตัวที่พบในป่าจะมีเชื้อไวรัส ปัญหาอย่างที่สามคือ การแยกเชื้อไวรัสจากตัวอย่างที่เก็บมามีราคาแพงมาก นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า เหตุใดปัจจุบันเราจึงยังไม่รู้ว่าอะไรคือแหล่งกักเก็บโรค เมื่อพบการระบาดของไวรัสมรณะ จะมีงบประมาณมหาศาลลงไปในพื้นที่ แต่การทำวิจัยภาคสนามในตอนที่ไม่มีการระบาดนั้นมีงบประมาณน้อยมาก ในขณะเดียวกันนักวิทยาศาสตร์ก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับไวรัสมากพอ เช่น ฤดูกาลนั้นมีผลต่อการระบาดหรือไม่ การหาไวรัสจึงเหมือนการงมเข็มในกองฟาง หนึ่งปีหลังจากการตายของ emile Ouamouno Fabian Leendertz พยายามที่จะเอาชนะความยากลำบากดังกล่าว โดยทำการสำรวจภาคสนามครั้งที่ 2 ครอบคลุมประเทศพื้นบ้าน อย่างไอวอรี่โคสต์ที่ซึ่งมีค้างคาว Angolan free tailed ที่ห้อยหัวอยู่ ใต้หลังคาของชุมชนคนในหมู่บ้านอย่างชุกชุม เค้ามุ่งความสนใจไปที่ 2 หมู่บ้านนอกเมือง Bouake ซึ่งเป็นชุมทางการค้าขาย Leendertz พยายามที่จะจับค้างคาวเหล่านี้ไปตรวจหาเชื้อไวรัสให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะตอบคำถามสำคัญอันเป็นปริศนาว่า หากค้างคาวเป็นสัตว์กักโรค แล้วค้างคาวก็อยู่ใกล้ชิดมนุษย์ เหตุใดไวรัสอีโบลาจึงไม่เกิดการระบาดบ่อยๆ อย่างที่มันควรจะเป็น CDC สหรัฐอเมริกาผู้เขียนบทความได้โทรศัพท์ไปถามผู้เชี่ยวชาญJens Kuhn นักไวรัสวิทยาของ NIH ผู้เชี่ยวชาญด้าน Filoviruses ว่า หลังจากผ่านไป 39 ปี ทำไมเรายังไม่รู้ว่าอะไรที่เป็นแหล่งกักโรคไวรัสอีโบล่า คำตอบของเค้าคือ มันคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดและคาดไม่ถึง เพราะว่า หนึ่งจุดที่เป็นต้นกำเนิดของการระบาดในเวลาเกือบ 40 ปี มีไม่เกิน 24 จุด ซึ่งมันน้อยมาก และทุกจุดสามารถสืบกลับไปหาผู้ป่วยรายแรกได้แค่เพียง 1 คน ซึ่งน่าจะติดมาจากสัตว์ป่า จากนั้นจึงจะเป็นการติดต่อจากคนสู่คนในวงกว้าง ซึ่งเป็นรูปแบบที่แปลกประหลาด ต้องมีปัจจัยอื่นที่อยู่นอกเหนือการคาดเดา สองคือแม้ผ่านการระบาดมานานแล้วก็ตาม แต่รูปแบบของรหัสพันธุกรรม ของไวรัสกลับมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก ทั้งที่ไวรัสต้องอาศัยโปรตีนมนุษย์ ในการทำซ้ำเพื่อเพิ่มจำนวนตัวเอง ซึ่งเป็นโอกาสที่จะผิดพลาดและกลายพันธุ์ แปลว่า ไวรัสต้องมีแหล่งฟักตัวอยู่สักที่ ที่สามารถรักษาพันธุกรรมดั้งเดิมไว้ สมมุติฐานของเค้าจึงซับซ้อน โดยเชื่อว่าอาจะเป็นระบบสองพาหะ โดยสัตว์อย่างค้างคาวนั้นอาจถูกกัดโดยบังเอิญจากพวกเห็บหรือสัตว์ขาปล้อง ซึ่งมีถิ่นอาศัยที่จำเพาะมาก ทำให้ไวรัสยังคงรักษาความคงที่รหัสพันธุกรรมได้ หลักฐานคือแมงมุมในห้องทดลองสามารถติดไวรัสได้นาน 2 สัปดาห์ อีโบล่าเป็นไวรัสเพียงไม่กี่ชนิดที่เขย่าขวัญของชาวโลกได้ด้วยความร้ายแรง แม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะพยายามที่จะคิดค้นตัวยาที่จะใช้รักษาไวรัสมรณะนี้ แต่ในมุมของการป้องกันคงไม่มีสิ่งใดที่ดีไปกว่าการกำจัดแหล่งที่เป็นรังโรค และนั่นเรายังคงต้องรอคำตอบที่สำคัญว่า ไวรัสนั้นอาศัยอยู่ในสิ่งมีชีวิตชนิดใด เลนส์ ... เชียร์เทเลค่ะ ไวด์ก็ดี แต่ยังไงก็ชอบเทเลมากที่สุดอยู่ดีค่ะ
บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้ ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต คนบ้านป่า Home & Garden Blog ดู Blog เนินน้ำ Food Blog ดู Blog ผู้ชายในสายลมหนาว Education Blog ดู Blog ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 21 มกราคม 2559 เวลา:21:38:13 น.
โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา:12:34:02 น.
|
บทความทั้งหมด
|
มาคุยที่ไปเม้นท์
ใช่ค่ะ บ้านเค้าส่วนใหญ่เป็นห้องเล็กๆ กัน น้อยคนจะมีบ้านจริงๆ ทำให้การทำครัวเป็นเรื่องลำบาก ก็เน้นออกมาซื้อกินกันมากกว่าค่ะ
มีลักษณะของความเป็นคนเมืองใหญ่เยอะมากค่ะสิงคโปร์