Seeking the source of Ebola (1) ![]() หากจำบล็อกก่อนหน้า ที่เขียนเกี่ยวกับการระบาดของอีโบล่าได้ ซึ่งลงท้ายด้วยสมมุติฐานว่า ค้างคาวกินผลไม้อาจจะเป็นตัวแพร่โรค มีบทความน่าสนใจจาก national geographic : Seeking the source of Ebola ที่มีรายงานการศึกษาระบาดวิทยาถึงจุดกำเนิดการระบาดในครั้งนั้น ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการหาต้นตอว่าโรคนั้นมาจากที่ใด มันจะทำให้เราเข้าใจถึงแหล่งกักเก็บก่อนการระบาดของไวรัสมรณะ เพื่อที่จะควบคุมและจำกัดการแพร่ระบาดโรคร้ายแรงถึงตาย และเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์อันเลวร้ายขึ้นอีกในครั้งต่อไป แม้บทความดังกล่าวจะถูกตีพิมพ์ในอินเตอร์เนท แต่การแปลบทความเป็นภาษาไทยนั้นยังคงเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์อยู่ดี เรื่องไวรัสอีโบล่านี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจทุกครั้งเมื่อมันเกิดการระบาด การแปลบทความที่เต็มไปด้วยศัพท์วิทยาศาสตร์คงเป็นการให้ที่ดีที่สุด เพราะผมเองก็อยากรู้เรื่องนี้เช่นกัน จึงได้แปลมันออกมาอ่านให้เข้าใจ เพื่อไม่ให้สิ่งที่ทำนั้นสูญเปล่า เพื่อเป็นการเผยแพร่รู้แก่สาธารณะ คงเป็นส่วนหนึ่งของการเผยแพร่สิ่งที่เจ้าของบทความเขียนอย่างลำบาก ให้เป็นสิ่งที่เป็นองค์ความรู้แก่คนไทยที่อาจจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัว ![]() ย้อนกลับไปในเดือนธันวาคม ปี 2013 มีเด็กชายคนหนึ่งในหมู่บ้าน Meliandou ประเทศกินี ทางแอฟริกาตะวันตกเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้น โดยมีอาการตัวแข็ง ไข้สูง ถ่ายดำ อาเจียน ซึ่งเป็นอาการที่ไม่จำเพาะ เพราะโรคมาเลเรียก็มีอาการเช่นนี้ได้ เช่นเดียวกับประชากรในแถบนี้ ที่การสาธารณสุขยังไม่เจริญ เด็กคนนี้ได้เสียชีวิตลงโดยไม่มีใครรู้ว่า มันจะมีผลตามมาอย่างร้ายแรง เพราะในเวลาไล่เลี่ยกันพี่สาวของเด็กคนนั้นก็ล้มป่วยและเสียชีวิตเช่นกัน ต่อมาแม่ ยาย และนางพยาบาลในหมู่บ้านก็เสียชีวิตตามมา และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการระบาดไวรัสอีโบล่าครั้งที่ร้ายแรงที่สุด ปริศนาสำคัญคือ นับแต่มนุษย์รู้จักไวรัสมรณะนี้เป็นครั้งแรกในปี 1976 มันได้เกิดการระบาดเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ขึ้นเป็นครั้งคราว แต่ไม่พบการยืนยันถึงการเสียชีวิตของโรคนี้เลยเป็นเวลา 17 ปี (1977-1994) ซึ่งหากโรคนี้เป็นโรคระบาดจากมนุษย์สู่มนุษย์ มันคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะไวรัสคงไม่สามารถอยู่รอดได้ในธรรมชาติโดยไม่ต้องการผู้ติดเชื้อ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าอย่างไรไวรัสก็ต้องการแหล่งกักโรคซึ่งเป็นสัตว์อื่น เพื่อฟักตัวรอเวลาที่จะมีมนุษย์ที่โชคร้ายได้รับมันเข้าไป และเข้าสู่วงจร ปัญหาก็คือ เรายังไม่รู้ว่าพวกมันไปหลบอยู่ที่ใดในระหว่างช่วงเวลานั้น สิ่งมีชีวิตนั้นคงไม่ใช่ลิงแชมแปนซี หรือลิงกอริล่า เพราะในช่วงการระบาด ลิงเหล่านี้ก็ติดเชื้อและล้มตายเหมือนมนุษย์ จากการผ่าซากพบว่าให้ผลบวกต่อเชื้อไวรัส แสดงว่ามันก็ตายจากการติดโรค และการกินซากสัตว์เหล่านี้เองก็เป็นหนึ่งในช่องทางการติดเชื้อมายังมนุษย์ ดังนั้นมันต้องเป็นสิ่งมีชีวิตอื่น แหล่งรังโรคต้องเป็นสัตว์ที่สามารถติดเชื้อได้ แต่ไม่แสดงอาการ ลิงสามารถเป็นแหล่งเก็บโรคไข้เหลืองได้ ค้างคาวกินผลไม้ ก็ถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นแหล่งเก็บโรค Nipah ที่เกิดระบาดในมาเลเซีย นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งเก็บกักไวรัส Hendra ที่ระบาดในออสเตรเลีย กว่า 30 ปีหลังการค้นพบไวรัสอีโบล่า เรายังไม่รู้ว่าสัตว์ปริศนานี้คืออะไร ![]() Fabian Leendertz สัตวแพทย์ชาวเยอรมัน ทำงานอยู่ที่สถาบัน Robert Koch ในเบอร์ลิน เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดสัตว์สู่คนชนิดร้ายแรงในสัตว์ป่า เป็นเวลากว่า 15 ปี ที่ศึกษาลิงชิมแปนซีและสัตว์อื่นๆ ในอุทยานแห่งชาติ Tai เดือนเมษายน 2014 หลังการแพร่ระบาดในประเทศกีนีใต้ Leendertz พร้อมทีมงานเดินทางมาถึง และได้เข้าไปเก็บข้อมูล ในหมู่บ้านที่พบการระบาดของอีโบล่า นอกจากนี้ยังได้สำรวจสัตว์ป่าอีกด้วย จากการเชื่อมโยงข้อมูลพบว่าเด็กชาย Emile Ouamouno คือผู้ป่วยรายแรก พวกเค้าได้ยินเรื่องต้นไม้ที่มีโพรงอันเต็มไปด้วยค้างคาว มันเป็นค้างคาวขนาดเล็กที่กินแมลงเป็นอาหาร ชาวพื้นเมืองเรียกว่า lolibelo แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว เพราะหนึ่งสัปดาห์ก่อนการระบาดคนไปจุดไฟเผาเพื่อเก็บน้ำผึ้ง มีค้างคาวจำนวนมากที่ตกลงมาตาย ชาวบ้านเก็บมันใส่กระสอบเพื่อไปทำอาหาร แต่โชคดีที่ทางการได้ประกาศห้ามการบริโภคเนื้อสัตว์ป่าเมื่อพบว่ามีอีโบล่าระบาด ต้นไม้ต้นนี้เองที่ชาวบ้านเล่าว่า เป็นสถานที่วิ่งเล่นของพวกเด็กๆ รวมทั้ง Ouamouno ซึ่งพวกเค้าจะเอาหนังสติ๊กมายิงค้างคาวเล่น บางครั้งก็นำมาพวกมันกินอีกด้วย Leendertz ได้เก็บตัวอย่างดินและน้ำรอบๆ ต้นไม้เพื่อตรวจหา DNA ของไวรัส เป็นไปได้ว่าค้างคาวกินแมลง Angolan free-tailed อาจเป็นแหล่งกักเก็บโรค ว่าจะถาม กินบัวลอยไม่เป็นจริงๆ เหรอคะ
นี่เป็นเพื่อนบล็อกผู้ชายคนที่สองแล้วที่ไม่กินบัวลอย ทำไมง่ะค้าาา อร่อยออกกกกก โดย: สาวไกด์ใจซื่อ
เพราะมีเชื้อโรคร้ายทั้งพัฒนาตัวเอง ทั้งเชื้อใหม่ วงการวิทยาศาสตร์ และการแพทย์ เลยไม่เคยหยุดนิ่ง คงแบบนี้มังคะ
** ปี 1977 - 1994 ค่ะ ![]() โห สะดวกขนาดนั้นเลยเหรอคะ สั่งทาง fb ได้ด้วย น่าสนค่ะ โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ
555
อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ ยังไม่ได้เช็คว่าญี่ปุ่นมีจริงหรือเปล่าค่ะ แหะๆ ไม่ถึงขนาดนั้นค่ะ แต่สิงคโปร์เป็นประเทศที่เราไปเที่ยวเองบ่อยสุดค่ะ รวมไปทัวร์อีกก็..ตามนั้นนะคะ โดย: สาวไกด์ใจซื่อ
ทั้งการ์ดทั้งซอง สวยเลยค่ะ พอได้รับปุ๊บ ยิ้มตั้งแต่เห็นหน้าซองแล้ว แต่ลืมสแกนซองมาลงด้วยซะงั้นค่ะ
![]() บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้ ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต PZOBRIAN Book Blog ดู Blog ที่เห็นและเป็นมา Home & Garden Blog ดู Blog sawkitty Photo Blog ดู Blog phunsud Food Blog ดู Blog ผู้ชายในสายลมหนาว Education Blog ดู Blog ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ
ผู้ชายในสายลมหนาว Science Blog ดู Blog
เป็นโรคที่น่ากลัวค่ะ เมื่อได้อ่านก็เปลี่ยนที่เคยคิดว่าเพราะลิงน่ะค่ะ โดย: tuk-tuk@korat
|
BlogGang Popular Award#21
![]() ผู้ชายในสายลมหนาว
ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?]บทความทั้งหมด
|









ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [
แต่บนความอยู่รอดนั้น ก็ต้องทำให้มนุษย์ สัตว์ตายแหละนะคะ