Thailand Mega Flood 2011 : ทรัพย์สมบัติทางใจจะไม่ถูกทำลายอย่างเด็ดขาด

หลังจากที่ผมบอกว่าคงจะหยุดเขียนไปซักพักหลัง blog สุดท้าย
ซึ่งอาทิตย์ต่อมาก็ป่วยจนลุกไม่ขึ้น ต้องไปนอนรักษาตัวอยู่หนึ่งอาทิตย์
นอนดูข่าวทีวี อ่านเรื่องข่าวน้ำท่วมอยู่คนดียวโดยที่ไม่ได้คุยกับใคร
แต่ก็เตรียมตัวยกของขึ้นที่สูง และเอารถไปจอดที่ห้างสรรพสินค้า
หลังจากหายป่วยกลับมาอยู่บ้าน แต่น้ำก็ไล่ต้อนเข้ามาเขยิบมาจ่อหน้าประตู
กรุงเทพมหานครมากขึ้นทุกที ความกดดันมากขึ้น ชนิดที่ว่าเปิดทีวีทิ้งไว้
มือจับ iPad เปิดโปรแกรม tweetdeck ที่รวมTwitter และ facebook
เข้าด้วยกัน อ่านจบ เปิดห้องโต๊ะข่าวของ Pantip วนไปวนมาจนหมดวัน
จนรู้สึกได้ว่าเครียดมากที่สุดในชีวิต บ้านเราจะโดนน้ำท่วมไหม
สูงแค่ไหน เมื่อไหร่ หรือว่าเราจะรอด ? ทุกวินาทีมีแต่ข้อมูล
เรื่องทำงานไม่ต้องพูดถึง น้ำท่วมหน่วยงานอื่นที่อยู่ข้างนอกไปหมดแล้ว
เข้าสู่โค้งสุดท้ายของเดือนตุลาคม น้ำทะลักเข้ามาในเขตกรุงเทพจนได้
คำพูดของรัฐบาล ดูจะไม่มีใครเชื่อถืออีกต่อไป ทุกคนต้องช่วยตัวเอง
การกลายเป็นผู้ประสบภัยคงไม่ใช่สิ่งที่น่าประทับใจเป็นแน่
เพราะหากบ้านน้ำท่วม แต่ที่ทำงานไม่หยุด แล้วคนกรุงจะอพยพไปไหน
หลังจากจมปลักในความทุกข์ หลับฝันเลอะเทอะแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
พร้อมกับการสะดุ้งตื่นกลางดึกมาเป็นอาทิตย์ จนสามวันก่อนผมก็เจอกระทู้
ข้อความจากคนญี่ปุ่นชาวเมืองอิชิโนะมากิที่ประสบภัยสีนามิเพื่อให้กำลังใจชาวไทย
ผมกด play เพื่อดู MV ประกอบบทเพลง Himawari ที่แปลว่าดอกทานตะวัน
ตอนต้นนั้นเป็นภาพชาวเมือง Ishinomaki จังหวัด Miyagi ถือป้ายที่เขียนข้อความ
ให้กำลังใจเป็นภาษาไทยที่แปลออกมาแปลกๆ ชวนขำ เช่นรักใหญ่ประเทศไทย
อะไรอย่างนี้ แล้วก็ตัดเข้าสู่ภาพน้ำท่วมทีเราเห็นจนชินตา
ราวหนึ่งนาทีภาพก็เปลี่ยนมาเป็นเหตุการณ์ Tsunami เมื่อเดือนมีนาคม
ภาพคนญี่ปุ่นยืนมองความพินาศของเมืองที่กลายเป็นกองขยะขนาดใหญ่
ตัดกลับมาที่เมืองไทย มีการระดมเงินบริจาคในโครงการ Pray for Japan
ผมนึกถึงภาพที่เอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ได้หลั่งน้ำตาในความซึ้งใจ
มีก้อนเล็กๆ จุกในลำคอที่รู้สึกว่า ผู้ประสบภัยในคราวนั้นยังไม่ได้ลืมเลือน
ประเทศเล็กๆ อย่างเราไป ภาพตัดกลับมาที่ผู้คนในเมืองที่ประสบภัย
ยืนถือแผ่นป้ายให้กำลังใจคนไทยอีกครั้ง น้ำตาผมเริ่มปริ่มอยู่ที่ขอบตาสองข้าง
ในท้ายเพลงหากสังเกตุจะพบว่า ฉากที่อยู่ข้างหลังนั้นเปลี่ยนไป
จากที่ยืนถือป้ายหน้าบ้านหรือในห้อง เป็นรูปเด็กๆ ที่ยังคงอาศัยอยู่ในบ้านชั่วคราว
ภาพของชายหนุ่มและหญิงสาว ที่ถือป้ายอยู่หน้าบ้านที่กำลังสร้างขึ้นบนซากปรักหักพัง
น้ำตาที่เอ่อท้นของผมนั้นได้ไหลรินออกมา
ในขณะที่น้ำท่วมยังให้เวลาเราเตรียมตัวขนของขึ้นไปยังที่ปลอดภัย
แต่เหตุการณ์ tsunami ของญี่ปุ่นมีเวลาเตือนภัยน้อยมาก
ในขณะที่น้ำท่วมของไทยเมื่อมันผ่านไป เราก็แค่ปัดกวาดเช็ดถู
แต่เหตุการณ์ tsunami ของญี่ปุ่นนั้น ไม่เหลือแม้แต่สิ่งที่เคยเป็นบ้าน
ผมโชคดีกว่าคนญี่ปุ่นมาก และได้เตรียมตัวพร้อมทุกอย่างแล้ว
หากน้ำจะมา มันก็มา พออยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็อพยพ ก็เท่านั้นเอง
เวลาดูซีรีย์ญี่ปุ่นในช่วงสุดท้าย เมื่อตัวเอกต้องเผชิญอุปสรรคที่สำคัญ
เราจะเห็นการให้กำลังใจจากคนรอบข้าง ผมว่ามันตลก แค่นั้นจะช่วยอะไร
แต่วันนี้ผมรู้แล้วว่า กำลังใจนั้นคือสิ่งสำคัญที่สุด
สมบัตินอกกายอาจจะเสียหายได้ แต่ทรัพย์สมบัติทางใจนั้น
เราจะไม่มีวันสูญเสียมันไปตลอดกาล ...
เป็นกำลังใจให้ค่ะ