เาลาที่หายไป - บทที่ 47 ตั้งแต่คริสและลลิตากลับจากเมืองไทยเที่ยวนี้ คุณธัญญาเห็นความผิดปกติระหว่างหนุ่มสาวทั้งสอง คริสนั้นเดินทางไปวอชิงตัน ดี.ซี ทันทีในเช้าวันรุ่งขึ้นโดยอ้างเรื่องงาน สีหน้าของเขาค่อนข้างเครียด แม้เขาจะพยายามทำตัวเป็นปกติ แต่คุณธัญญาก็รู้จักเขาดี หลังจากนั้นเธอได้เจอเขาอีกสองสามครั้ง สังเกตเห็นแววตาที่อ้างว้างและเป็นทุกข์ของเขา ยามเผลอตัวเขาก็มักจะถอนใจเหมือนมีเรื่องหนักอก วันหนึ่งคริสเข้ามาหาเธอถึงในห้องนอนและแจ้งว่า เขาต้องการให้จัดงานแต่งงานในกรุงนิวยอร์ค เมื่อคุณธัญญาถามว่าลลิตาต้องการอย่างนั้นหรือ เขาก็ตอบเธอว่าเป็นความคิดของเขาเอง ซึ่งลลิตาไม่ขัดข้องและจะพูดกับมารดาของเธอให้เข้าใจ ส่วนลลิตาก็มีท่าทางแปลกๆ หญิงสาวผู้นั้นยังคงยิ้มแย้มแจ่มใสตามปกติ พูดจาเอาอกเอาใจเธอและจอห์น รวมทั้งคุณนวลละออเหมือนที่เคย ยังอ่อนหวานกับคริสเหมือนเดิม แต่บางครั้งเวลาเผลอตัว คุณธัญญาเห็นลลิตามองคริสด้วยสายตาที่เจ็บปวด บางครั้งก็ตัดพ้อ หลายครั้งแววตานั้นแข็งกร้าวเหมือนแค้นเคือง ทำให้เธอแน่ใจว่าต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างที่อยู่เมืองไทย เพราะก่อนหน้านั้นเธอก็เห็นหนุ่มสาวทั้งสอง กลมเกลียวถ้อยทีถ้อยอาศัยเอาใจกันดี แต่เมื่อเขาไม่เล่าให้ฟังเธอก็ได้แต่คอยสังเกตอยู่เงียบๆ คุณธัญญาโทรศัพท์ไปพูดคุยกับคริสบ่อยขึ้น เธออยากฟังเสียงเขาดูเพื่อรู้อารมณ์เขา เพื่อที่จะสามารถประมวลเรื่องต่างๆได้บ้าง ส่วนลลิตานั้น แม้จะไม่ค่อยได้มาค้างที่อพาร์ตเมนท์ของเธอเหมือนสมัยก่อน เพราะมีที่อยู่ส่วนตัวแล้ว แต่ก็ยังพูดคุยกันทางโทรศัพท์อยู่เป็นประจำ แล้ววันหนึ่ง...ขณะนั่งดูรายการโทรทัศน์อยู่ตามลำพังในห้องนั่งเล่น คุณนวลละออ ลูกพี่ลูกน้องที่เคยช่วยดูแลคริสมาตั้งแต่เล็ก และตอนนี้ช่วยดูแลบ้านอยู่ เดินเข้ามาหาเธอด้วยท่าทางตื่นเต้นตกใจ ถืออะไรบางอย่างอยู่ในมือ “คุณธัญญ์คะ!! ดูอะไรนี่” คุณนวลละออลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งใกล้ๆเธอ ส่งของในมือให้ คุณธัญญาหยิบของสิ่งนั้นขึ้นมาดู เมื่อพบว่ามันคือรูปถ่ายขนาดโปสการ์ดปึกหนึ่ง เธอก็หยิบแว่นสายตาที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ตัวขึ้นมาสวม ก้มลงมองรูปปึกนั้นแล้วพลิกดูทีละใบ “นี่อะไร? รูปเด็กที่ไหน?” เธอมองลอดแว่นไปที่คุณนวลละออเป็นเชิงถาม “เมื่อกี้ฉันเข้าไปทำความสะอาดห้องนอนของคริส พอเปิดลิ้นชักตู้หัวเตียงก็เจอรูปพวกนี้ แล้วก็เสื้อตัวนี้” คุณนวลละออชูเสื้อในมือให้ญาติผู้น้องของเธอดู คุณธัญญาซึ่งยังมืดแปดด้านวางรูปในมือลงบนตัก รับเสื้อตัวนั้นมาคลี่ออกดูแล้วพบว่ามันคือเสื้อกล้ามตัวเล็กๆของเด็ก เธอมองเสื้อตัวนั้นแล้วหยิบรูปขึ้นมาดูอีกครั้งหนึ่ง อย่างพยายามหาความเกี่ยวโยงระหว่างกัน แล้วในที่สุด หลังจากพิจารณาหน้าตาของเด็กชายตัวเล็กๆ อายุประมาณขวบกว่า อย่างละเอียดละอออีกครั้งหนึ่ง เธอก็สะดุ้งอย่างตกใจ ไม่คาดคิด “นี่หมายความว่า...” เสียงของคุณธัญญาสั่นทีเดียว เธอไม่กล้าพูดสิ่งที่กำลังสันนิษฐานอยู่ในใจขณะนั้นออกมา “ค่ะ คุณธัญญ์ เราคงคิดตรงกัน” สีหน้าของคุณนวลละออยังไม่หายตื่นเต้น “หน้า ตาเด็กคนนั้นเหมือนคริสตอนเล็กๆมาก แหม... ฉันพูดอะไรไม่ออกเลยนะนี่ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้” คุณธัญญาหยิบเสื้อกล้ามสีขาวตัวนั้นขึ้นมาดูใหม่ คราวนี้เธอลองยกขึ้นดม ได้กลิ่นตัวเด็กผสมกลิ่นแป้งกำจายเข้ามาในจมูก แม้จะเบาบางแต่จมูกของเธอก็รับรู้ได้ เธอนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ลางสังหรณ์หรืออะไรบางอย่าง ที่แม้จะยังไม่ชัดเจนที่เริ่มก่อตัวขึ้น ทำให้คุณธัญญาต้องเตือนคุณนวลละออ “พี่นวลอย่าเพิ่งพูดอะไรกับใครนะ เก็บเงียบไว้ก่อน เรายังไม่รู้ว่าเด็กนี่เป็นใคร เป็นลูกของคริสหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ ยังไงฉันจะลองคุยกับเขาดูก่อน รูปกับเสื้อนี่ฉันจะเก็บไว้เองจนกว่าจะพูดกับคริสรู้เรื่อง พี่นวลต้องระวังอย่าให้ลลิตารู้เรื่องนี้เป็นอันขาด” สีหน้าของคุณธัญญามีทั้งแววตื่นเต้นตกใจ ดีใจ คาดไม่ถึงและผิดหวัง เธอกำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร ถ้าเกิดเป็นเรื่องจริงขึ้นมา วันรุ่งขึ้นคุณธัญญาโทรศัพท์ไปบอกบุตรชายว่าเธอจะไปทำธุระบางอย่างในกรุงวอชิงตัน ก่อนกลับจะแวะไปหาเขาที่อพาร์ตเมนต์ เธอไม่คิดจะเรียกเขามาพบเธอในนิวยอร์ค เพราะถ้าคริสมาลลิตาก็ต้องรู้และติดแจอยู่กับเขาจนเธอพูดอะไรไม่ได้ เธอต้องการจะพบเขาตามลำพังเพื่อพูดคุยกันได้โดยสะดวก คุณธัญญาวางรูปปึกนั้นลงบนโต๊ะตรงหน้าบุตรชาย ถามด้วยเสียงที่แข็งกว่าปกติว่า “บอกแม่ซิว่านี่รูปใคร?” ชายหนุ่มมองรูปปึกนั้นแวบเดียวก็เข้าใจ รูปถ่ายของสิงห์ ที่หลังจากโหลดลงในมือถือแล้ว เขาก็เก็บรูปพวกนั้นไว้ในลิ้นชักตู้ข้างเตียงนั่นเอง คริสจำได้ว่าเขาใส่กุญแจลิ้นชักและเก็บลูกกุญแจดอกเล็กๆ ไว้ในกระเป๋าสตางค์ที่พกติดตัวอยู่ตลอดเวลา แต่ทำไมมันถึงมาอยู่ในมือของคุณธัญญาได้ แต่แล้วเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าคุณนวลละออซึ่งมีหน้าที่ดูแลบ้าน มีกุญแจทุกดอกในบ้าน เธอคงจะเข้าไปหาอะไรสักอย่างในห้องเขา หรือไม่ก็เข้าไปตรวจตราดูแลความสะอาดเรียบร้อย อย่างที่เคยทำอยู่เป็นประจำ สีหน้าที่ตกใจแกมละอายของคริส ทำให้คุณธัญญาต้องถอนใจยาวอย่างหนักอก ความจริงไม่จำเป็นต้องถามเธอก็รู้ว่าเด็กชายหน้าตาน่ารักน่าชังในรูปปึกนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้เลย นอกจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตะกูลเลย์ตัน หน้าตาของเขาถอดแบบมาจากจอห์น สามีของเธอโดยไม่ผิดเพี้ยน เขาเหมือนคริสเมื่อตอนเล็กๆ เพราะคริสเมื่อตอนนั้นก็เหมือนบิดาของเขามากเช่นเดียวกัน แต่ที่เธอไม่รู้คือ ถ้าเด็กคนนี้เป็นลูกของคริสจริง ทำไมเธอถึงไม่เคยระแคะระคายมาก่อนเลย ก่อนจะมาพบบุตรชาย เธอนั่งตรองแล้วตรองอีก ว่าควรจะไปถามเขาเรื่องเด็กในรูปพวกนั้นหรือไม่ เขาแอบไปมีลูกกับผู้หญิงคนไหนตั้งแต่เมื่อไร เมื่อคำนวณอายุโดยประมาณของเด็กในภาพถ่ายเหล่านั้น คุณธัญญาก็เชื่อว่าเธอคิดไม่ผิดว่าเรื่องทั้งหมดต้องเกิดขึ้น ในช่วงเวลาเกือบหนึ่งปีที่คริสหายสาปสูญไป เธอกังวลเกี่ยวกับผู้หญิงที่เป็นแม่ของเด็กคนนี้ เจ้าหล่อนเป็นใคร? ตอนนี้อยู่ที่ไหน เทือกเถาเหล่ากอเป็นอย่างไร ลูกชายเธอคิดจะทำอย่างไรกับเด็กคนนี้และแม่ของเขา ลลิตารู้เรื่องนี้หรือเปล่า ถ้ารู้แล้วหญิงสาวคนนั้นคิดอย่างไรและจะทำอย่างไรต่อไป ท่าทางนิ่งอั้นเหมือนพูดไม่ออกของคริส ทำให้คุณธัญญาต้องพูดกับเขาด้วยเสียงที่อ่อนลงอย่างปลอบประโลม “มีอะไรก็เล่าให้แม่ฟังได้นะ แม่พร้อมที่จะรับฟัง แม่เข้าใจไม่ผิดใช่ไหมว่าเด็กคนนี้เป็นหลานของแม่?” แววตาที่มองเธออยู่ในตอนนี้มีปะปนกันไปหมดทั้งเสียใจ ละอายและสำนึกผิด...และที่เธอคิดว่ามองเห็นแต่ยังไม่แน่ใจ คือ.. ความหวัง!! ชายหนุ่มจับมือมารดาเอาไว้ “แม่ครับ ผมเสียใจ ผมขอโทษ” พูดจบเขาก็นิ่งอั้น นัยน์ตาแดงก่ำ ท่าทางนิ่งอั้นพูดไม่ออกของเขา ทำให้คุณธัญญาคิดว่าคงเป็นการยากสำหรับเขาที่จะพูดออกมาเองได้ เธอจึงเปลี่ยนวิธีจากการรอให้เขาเล่า เป็นการตั้งคำถามให้เขาตอบ “แม่ของเด็กคนนี้เป็นผู้หญิงที่ลูกพบที่เมืองไทยใช่ไหม?” “ครับ” เขาตอบแค่นั้น “เขาเป็นใคร ลูกกับเขาไปพบกันได้ยังไง?” คริสมีท่าทางอึดอัดเมื่อได้ยินคำถามนั้น แต่ก็ตอบว่า “เธอเป็นคนที่ช่วยชีวิตผมไว้ ตอนที่ผมถูกทำร้าย” คุณธัญญาอึ้งไปทันที แวบแรกเธอมีความรู้สึกที่ดีต่อผู้หญิงคนนั้น แม่คนไหนบ้างเล่าที่จะไม่รู้สึกซาบซึ้งขอบคุณ คนที่ช่วยชีวิตลูกของตนเอาไว้ ทำให้เขาได้มีชีวิตอยู่ ได้กลับมาพบหน้าพ่อแม่พี่น้อง “ลูกกับเขาก็เลยสนิทสนมชอบพอกัน แล้วมีความสัมพันธ์กันยังงั้นหรือ?” “ไม่ใช่หรอกครับแม่” แล้วคริสก็ตัดสินใจเล่าให้มารดาฟัง “เธอเป็นลูกสาวของคุณดนัย เจ้าของเวียงพุกาม ที่ผมเคยเล่าให้แม่ฟังว่าไปอาศัยอยู่เกือบปีตอนที่หายไป เธอเป็นคนพบผมนอนหมดสติอยู่ที่ลำธารแล้วพาผมไปที่เวียงพุกาม" คุณธัญญาตกใจมากเพราะคาดไม่ถึง “นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะลูก แม่เพิ่งรู้จากคุณพ่อเมื่อเร็วๆนี้ ว่าเคยรู้จักคุณดนัยคนนี้ คุณพ่อบอกว่าเขาเป็นผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งในภาคเหนือ” คริสไม่ตอบ คุณธัญญาเลยคิดว่าเขาคงรู้อยู่แล้ว “แล้วคุณดนัยคนนี้เขารับได้หรือ ที่ลูกสาวของเขากับลูกมารักใคร่ชอบพอกัน ทั้งๆที่ตอนนั้นเขาก็ยังไม่รู้ว่าลูกเป็นใคร มีหัวนอนปลายเท้าอย่างไร” เธอนึกสงสัยเรื่องนี้มากว่าจะเป็นไปได้อย่างไร ที่คนระดับนั้นจะเห็นดีเห็นงาม กับความรักที่ต่างสถานภาพกันของคริสกับลูกสาวของเขา ก็คริสบอกเองไม่ใช่หรือ ว่าตอนนั้นเขาทำงานเป็นลูกจ้างของคุณดนัยอยู่ “แม่ครับ เธอไม่ได้รักผม ผม...” “ไม่ได้รัก?” เสียงของเธอแหลมทีเดียวเมื่อทวนคำพูดของเขา ” ลูกหมายความว่ายังไง? ไม่รักแต่ยอมมีอะไรด้วยจนมีลูกด้วยกัน แม่ไม่เข้าใจหนุ่มสาวสมัยนี้เลย อย่าบอกแม่นะว่าเขาเป็นผู้หญิงใจแตก ที่มีอะไรกับผู้ชายคนไหนก็ได้ แล้วก็แล้วกันไป” “ไม่ใช่ยังงั้นหรอกครับ แม่ เธอเป็นคนดีมีเมตตา” ชายหนุ่มขัดขึ้นอย่างร้อนใจ “แม่ครับ แม่คงเสียใจมากถ้ารู้ว่าลูกชายคนนี้ของแม่ ลูกที่แม่คอยอบรมสั่งสอนมาตลอดให้เป็นคนดี ได้ทำสิ่งที่เลวร้ายให้กับผู้หญิงคนหนึ่ง” เสียงของเขาเศร้าทีเดียวเมื่อพูดอย่างนั้น คุณธัญญามองเขาอย่างตกใจและไม่เข้าใจ “บอกแม่มาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น” เธอชักร้อนใจขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร “ตอนนั้นผมไม่สบาย นอนซมอยู่คนเดียว เธอคงเป็นห่วงเลยเอาผ้าห่มมาให้ คงจะมาดูอาการผมด้วยว่าเป็นอย่างไร แล้วผม...ผมก็ขาดสติล่วงเกินเธอ โดยที่เธอไม่ได้เต็มใจเลย” คุณธัญญาแทบไม่เชื่อเรื่องที่ได้ยิน ลูกชายของเธอน่ะหรือ ที่ทำเรื่องเลวร้ายน่าอับอายอย่างนั้นได้ ทั้งคุณนวลละออและตัวเธอเอง ก็ได้อบรมบ่มเพาะคุณธรรม รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมแบบไทยๆ ให้แก่เขามาตั้งแต่เยาว์วัย เขาเป็นลูกที่ไม่เคยทำให้เธอผิดหวัง เมื่อเติบโตเป็นหนุ่มมีคนรัก เขาก็เชื่อฟังเธอเป็นอย่างดีที่สัญญาว่า จะไม่ล่วงเกินลลิตาให้เสียหายก่อนเวลาอันควร พอนึกมาถึงตรงนี้คุณธัญญาก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาอีก เอ๊ะ! แล้วลลิตาล่ะ เขามีอะไรเกินเลยกับลลิตาโดยที่เธอไม่รู้หรือเปล่า? เธอเริ่มคลางแคลงใจเรื่องนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว “แล้วไง? พอท้องขึ้นมาแล้วลูกกับเขาทำยังไงต่อไป? พ่อเขาล่ะ? เขามิโกรธจนแทบจะฆ่าลูกเลยหรือ?” “ ตอนนั้นผมกับเธอไม่มีโอกาสได้พูดอะไรกันเลย หลังจากคืนที่มีเรื่อง พอเช้าวันรุ่งขึ้นเธอก็หนีไปกรุงเทพฯ หลังจากนั้นประมาณสามอาทิตย์ นักสืบของแม่ก็มาพาตัวผมกลับกรุงเทพฯ ส่วนคุณดนัยก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุในช่วงใกล้ๆกันนั้น ผมไม่เคยรู้ว่าเธอท้อง จนกระทั่ง...หลังงานประกาศหมั้นของผมกับลิตา” คุณธัญญาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ “นี่ลูกหมายความว่าเขาใจเด็ด อุ้มท้องลูกไม่มีพ่ออยู่คนเดียวจนคลอดเลยหรือ? ลูกไม่เคยคิดที่จะรับผิดชอบเขามั่งเลยหรือ?” เธอชักไม่เข้าใจลูกชายของเธอขึ้นมาบ้างแล้ว เขากลายเป็นคนใจร้ายใจดำไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนี่ “แม่ครับ แม่คงจำได้ที่ผมเดินทางไปเมืองไทยหลายครั้ง หลังจากที่กลับมาบ้านผมไปตามหาเธอเพื่อขอรับผิดชอบเธอ แต่เธอไม่อยู่ที่เวียงพุกามแล้ว ผมเพิ่งมารู้หลังจากวันงานว่าเธออยู่ในกรุงนิวยอร์คตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยเจอกัน เธอพยายามปิดบังทุกอย่าง เธอคลอดลูกที่นี่ แล้วส่งลูกกลับไปบ้าน ให้พี่ชายกับพี่สะใภ้ช่วยดูแล” “อยู่ที่นี่? คลอดลูกที่นี่?” คุณธัญญารู้สึกเหมือนกับว่าเธอกลายเป็นคนพูดอะไรไม่เป็น ฟังอะไรไม่รู้เรื่อง จนต้องคอยทวนคำพูดของเขาอยู่เรื่อยๆ “ครับ เธออยู่ที่นี่ตลอดเวลาที่ผมเที่ยววิ่งวุ่นตามหาเธอ เธออยู่กับเพื่อนสนิทที่เคยเรียนหนังสือมาด้วยกันหลายปีที่สวิสเซอร์แลนด์” “แล้วที่บอกแม่ว่าเพิ่งรู้เรื่องเขากับเด็กหลังงานหมั้น หมายความว่ายังไง ? ลูกพบเขาหลังงานหมั้นหรือ? พบกันได้ยังไง ในเมื่อลูกก็บอกเอง ว่าเขาพยายามปิดบังไม่ให้รู้ว่าอยู่ที่ไหน” “ผมเจอเธอในงานวันนั้น เธอมากับเพื่อนอเมริกันที่ชื่อเจนนิเฟอร์” เจนนิเฟอร์ ... เจนนิเฟอร์ สมองของคุณธัญญาทำงานอย่างรวดเร็ว มากับเจนนิเฟอร์ แล้วทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ “ลูกหมายถึงเจนนิเฟอร์ ลูกสาวบ๊อบใช่ไหม? บ๊อบ โฮเวิร์ด ที่เป็นเพื่อนกับคุณพ่อน่ะ” คริสเงยหน้าขึ้นสบตาเธอแล้วถามอย่างสงสัยว่า “มีอะไรหรือครับ?” คุณธัญญาคิดว่าเดาไม่ผิดเมื่อกล่าวว่า “ถ้างั้นก็คงเป็นผู้หญิงคนนั้นนั่นเอง เจนนิเฟอร์พาเพื่อนคนหนึ่งมาแนะนำกับคุณพ่อและแม่ก่อนงานจะเริ่ม” พูดแล้วเธอก็นึกถึงรูปร่างหน้าตาที่สะสวย บุคคลิกที่งามสง่าเหมือนนางพญา ที่เธอและสามีมองตามหลังไปอย่างชื่นชมแกมทึ่ง ผู้หญิงคนนั้นนั่นเอง !! ไม่ใช่ผู้หญิงชาวบ้านยากจนไร้การศึกษา ที่เธอคิดวาดภาพอย่างหวาดระแวงในตอนแรก ถึงจะไม่ชื่นชอบกับพฤติกรรมของบุตรชาย แต่ด้วยวิสัยของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ที่ย่อมปรารถนาแต่สิ่งดีๆให้ลูก เธออดนึกไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่เลวเลย นอกจากสวยและมีการศึกษาแล้ว ฐานะทางบ้านเท่าที่รู้จากสามี ก็สมน้ำสมเนื้อกับครอบครัวของเธอ ไม่ได้ด้อยไปกว่าลลิตาเลย “แล้วยังไงต่อไป? เขาบอกเรื่องลูกตอนที่เจอกันในงานคืนนั้นน่ะหรือ?” “เปล่าครับ ยังไม่ได้บอก เธอไม่ยอมพูดกับผมด้วยซ้ำ หลังจากที่ผมรู้ว่าเธอเป็นเพื่อนกับเจนนิเฟอร์ ผมก็พยายามติดต่อขอพบเธอ ผ่านทางเจนนิเฟอร์” ชายหนุ่มอธิบาย คุณธัญญามองบุตรชายของเธอ อย่างจะค้นหาว่าเขาคิดอย่างไร “ตอนนั้นลูกกับลิตาก็หมั้นกันเป็นทางการแล้ว แขกเหรื่อญาติพี่น้องก็รับรู้กันหมดแล้ว ทำไมยังพยายามกลับไปติดต่อกับเขาอีก?” “ผมอยากอธิบายให้เธอเข้าใจว่าผมไม่ได้ผิดสัญญากับเธอ ผมได้พยายามติดตามหาเธอเพื่อรับผิดชอบเธอ แต่การที่เธอปิดบังเหมือนไม่ต้องการให้ผมหาเธอเจอ ผมเลยคิดว่าเธอคงไม่ได้ต้องการให้ผมรับผิดชอบ เธออาจจะรังเกียจผม เธออาจได้พบและแต่งงานกับคนอื่นไปแล้ว ผมคิดว่าหมดหวังแล้วเลยตัดสินใจจะแต่งงานกับลิตา เพื่อให้เรื่องต่างๆจบลง” คริสอธิบายด้วยเสียงเศร้าๆ “สัญญาอะไร? ไหนลูกบอกว่าไม่เคยมีโอกาสได้พบปะพูดจาอะไรกับเขาเลยหลังจากเกิดเรื่อง แล้วไปสัญญิงสัญญากันได้ยังไง” คุณธัญญาซักละเอียดยิบราวกับเป็นทนาย “ก่อนออกจากเวียงพุกามผมเขียนจดหมายฝากไว้ให้เธอฉบับหนึ่ง บอกเธอว่าผมพร้อมที่จะรับผิดชอบทุกอย่าง ที่ทำให้เธอเสียหาย ผมสัญญาว่าจะกลับไปหาเธอทันที ที่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร มีที่มาที่ไปอย่างไร” คุณธัญญาฟังแล้วก็รู้สึกว่าอย่างน้อยลูกชายของเธอถึงจะทำผิด แต่เขาก็ยังมีจิตสำนึกพอที่จะรับผิดชอบกับการกระทำของตัวเอง แต่เธอก็ยังต้องการรู้ต่อไปว่า ทำไมผู้หญิงคนนั้นจึงเพิ่งจะโผล่มาบอกเขาเรื่องลูกเอาป่านนี้ “ตอนที่พบกัน เขาบอกลูกหรือเปล่าถึงเหตุผลที่ยอมพบลูก ทั้งๆที่เขาก็รู้ก็เห็นว่าลูกหมั้นกับลิตาแล้ว? “ คุณธัญญาเป็นคนฉลาด เธอรู้สึกได้ทันทีด้วยสัญชาติญาณ ว่าผู้หญิงคนนั้นคงไม่ได้มาพบกับลูกชายของเธอโดยไม่มีแผนการอะไร เก็บตัวเงียบมาได้เป็นปี อยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นมาเฉยๆแบบนั้น แล้วเธอก็ถามต่อด้วยความหวังว่า “หรือเขาคิดจะยกลูกให้เรา?” คราวนี้คริสทำท่าอ้ำอึ้งเหมือนไม่อยากเล่า แต่แล้วก็ยอมเล่า ซึ่งคุณธัญญาคิดว่าคงเพราะความอัดอั้นตันใจของเขานั่นเอง “ไม่ใช่ยังงั้นหรอกครับแม่ เธอบอกว่าที่ยอมพบผมก็เพื่อจะบอกเรื่องลูก เพื่อแก้แค้นผมที่ทำให้เธอเสียหายแล้วหายหน้าไป ไม่เคยกลับไปรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้น แม้ผมจะพยายามอธิบายทุกอย่าง แต่เธอก็ไม่ยอมฟัง เธอคิดว่าผมแก้ตัว” ยิ่งฟังคุณธัญญาก็ยิ่งคิดว่าเรื่องนี้ยุ่งยากมากขึ้นเรื่อยๆ ฟังจากที่คริสเล่าแล้ว เธอก็นึกเห็นใจลูกของเธอว่าเขาเองก็ได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว “แก้แค้นเอาตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร? เขาจะได้อะไร? ลูกกับลิตาก็กำลังจะแต่งงานกันเร็วๆนี้อยู่แล้ว” เธอรำพึงอย่างมืดแปดด้าน ไม่เข้าใจว่าผู้หญิงคนนั้นมีจุดประสงค์อะไร “หรือเขาเพิ่งคิดได้ว่าจะให้ลูกรับผิดชอบเขากับลูก?” คราวนี้เธอเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของคริส ซึ่งเธอดูออกว่าเยาะหยัน จะเยาะผู้หญิงคนนั้นหรือตัวเขาเองเธอก็ไม่แน่ใจ “แม่ครับ แม่อย่าตีค่าผมสูงขนาดนั้นเลย เธอบอกว่าไม่ต้องการอะไรทั้งนั้นจากผม ไม่ต้องรับผิดชอบแม้แต่ลูก เพราะมีคนรับผิดชอบเป็นพ่อให้ลูกเธออยู่แล้ว” เสียงของเขาบ่งบอกถึงความขมขื่นอย่างชัดแจ้ง คุณธัญญาตกใจขึ้นมาอีก “หมายความว่าเขาแต่งงานแล้วหรือ?” นึกถึงหลานตัวน้อยของเธอขึ้นมาทันที “เธอหลอกผมว่าแต่งงานแล้ว...” “หลอก? หมายความว่าไง? แล้วทำไมต้องหลอก?” คุณธัญญาถามขัดขึ้นมาก่อนที่คริสจะพูดจบ ยิ่งฟังเธอก็ยิ่งงง รู้สึกว่าไม่เข้าใจหนุ่มสาวสมัยนี้เลย เอ๊ะ!! นี่ผู้หญิงคนนั้นคิดจะทำอะไรกับลูกชายของเธอกันแน่ “ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกครับว่าเธอหลอกผม ผมมารู้ความจริงทีหลัง ว่าเธอยังไม่ได้แต่งงานกับใครทั้งนั้น” แต่คุณธัญญายังติดใจเรื่องการหลอกอยู่ เธอถามเสียงแข็งว่า “เขามีเหตุผลอะไรที่ต้องหลอกว่าแต่งงานแล้ว?” “เธอกลัวว่าถ้าไม่บอกว่าแต่งงานแล้ว ผมอาจจะไม่ยอมเลิกรา จะตามไปวุ่นวายกับเธอและลูกอีก” “อ้าว!! งั้นเขามาบอกเรื่องลูกทำไม จะรับผิดชอบก็ไม่ยอมให้รับ อะไรๆก็ไม่เอาสักอย่าง” เธอชักโมโหเมื่อคิดถึงความโยกโย้ของผู้หญิงคนนั้น “เธอคงแค้นผมมาก เพราะเข้าใจผิดว่าผมไม่แคร์เธอ ไม่เคยกลับไปพบหน้าเธอ” คริสพูดอย่างเศร้าใจ “อ้อ! ต้องการแก้แค้น” คุณธัญญาพึมพำ “ที่ว่าเขาแค้นนักแค้นหนานั่นน่ะ นอกจากที่คิดว่าลูกหนีหน้า ไม่ยอมกลับไปรับผิดชอบเขาแล้ว มีอะไรอีกหรือ ที่ทำให้เขาแค้นจนอยากจะแก้แค้นแบบนั้น” ชายหนุ่มนิ่งคิด “แม่ครับ ความจริงผมก็เข้าใจและเห็นใจเธอมาก คุณหนูเธอต้องอุ้มท้อง....” “ลูกเรียกเขาว่าอะไรนะ คุณหนูหรือ?” มารดาของเขาถามขัดขึ้นมาเพราะรู้สึกแปลกหู “ครับ เธอชื่อทิพย์สุรางค์ แต่ทุกคนที่โน่นแม้แต่คุณพ่อของเธอ เรียกเธอว่าคุณหนู” แล้วเขาก็พูดต่อว่า “ เธอบอกผมว่าตอนที่รู้ว่าท้องเธออยู่ในอเมริกากับเพื่อนของเธอแล้ว เธอเสียใจและตกใจมากจนคิดที่จะไปทำแท้ง เพราะเธออับอายไม่อาจจะทนสู้หน้าใครได้ เธอ....” มารดาของเขาทำท่าเหมือนจะเป็นลมลงไปเดี๋ยวนั้น เธอรีบเปิดกระเป๋าถือที่วางอยู่ใกล้ตัว ควานหายาดมจนเจอ ยกขึ้นสูดดมติดๆกันหลายที คุณธัญญากำลังตกใจทีเดียวเมื่อคิดถึงเด็กน้อยในรูป โธ่เอ๋ย! หลานรักของย่า เกือบจะไม่ได้เกิดเสียแล้วหรือนี่ เธอคิดอย่างโกรธแค้นแม่ของเขา แต่แล้วอึดใจต่อมา ใจที่เป็นธรรมและความเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ทำให้เธออดนึกเห็นใจ ‘คุณหนู’ ของลูกชายไม่ได้ ถ้าเธอเป็นผู้หญิงคนนั้นและตกอยู่ในสภาพแบบนั้น เธอก็อาจจะคิดทำแท้ง เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเหมือนกันก็ได้ เรื่องแบบนี้ใครไม่โดนเข้ากับตัวเองไม่มีทางเข้าใจหรอก “เฮ้อ..ยิ่งฟังแม่ก็ยิ่งกลุ้มใจ ฟังแล้วก็นึกสงสารเขาเหมือนกัน พ่อแม่ก็ไม่มีให้ปรึกษาหารือ อายุก็ยังน้อย แต่ก็ยังดีที่เขาไม่ไปทำแท้ง ยอมอุ้มท้องอยู่คนเดียวจนคลอด” คุณธัญญาอดสังเกตไม่ได้ว่า ตอนนี้ลูกชายของเธอมีสีหน้าดีขึ้นกว่าตอนเริ่มคุยกันใหม่ๆ เขาเริ่มพูดมากขึ้นโดยที่เธอไม่ต้องคอยตั้งคำถามให้เขาตอบ “แล้วพอใกล้จะคลอด เธอก็คิดจะยกลูกให้ครอบครัวอื่นเอาไปเลี้ยงดูอีก เพราะตอนนั้นพี่ชายเธอยังไม่รู้เรื่องเลย เธอรักและเกรงใจเขามาก แต่พอเห็นหน้าลูก เธอก็เปลี่ยนใจยกเขาให้คนอื่นไม่ได้ เธอก็เลยเลี้ยงเขาเอง ต่อมาก็ส่งเขาไปให้พี่ชายกับพี่สะใภ้ที่เมืองไทยช่วยเลี้ยงให้” มารดาของเขาถอนใจเฮือกใหญ่ พึมพำว่า “ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็อย่างนี้แหละ ทิ้งลูกไม่ลงหรอก แม่ถึงได้บอกลูกอยู่บ่อยๆ ว่าอย่าไปทำให้ผู้หญิงดีๆที่ไม่ได้คิดจะจริงจังกับเขาต้องเสียหาย ถ้าเกิดมีลูกมีเต้าขึ้นมาแล้วต้องหาทางออกด้วยการทำแท้ง เป็นเรื่องที่บาปกรรมอย่างมาก” แล้วทั้งคุณธัญญาและคริสต่างก็นิ่งอึ้งไปด้วยกันทั้งคู่ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องหลานของเธอขึ้นมาได้ คุณธัญญาก็ถามอย่างกระตือรือร้น “ตอนที่ไปกรุงเทพฯครั้งที่แล้วลูกได้เจอเขาหรือยัง หลานของแม่น่ะ? เขาเป็นยังไงมั่ง?” ชายหนุ่มส่ายหน้า “เธอไม่ยอมให้ผมพบเขา บอกแต่เพียงว่าเมื่อเขาโตขึ้นเธอจะบอกความจริงให้เขารู้ เธอจะไม่กีดกันไม่ให้เราพบกัน แต่แม่ครับ ผมไม่คิดว่าผมจะรอได้จนถึงวันนั้นหรอก” เขาสารภาพ คุณธัญญาถอนใจยาว “นั่นสิ แม่เองก็อยากเห็นเขาหมือนกัน แล้วจะทำยังไงกันดี” “เธอบอกว่าเขาเรียกแม่ได้แล้ว ตอนนี้กำลังหัดเดิน เขาแข็งแรงดีและซนมาก” สีหน้าของคริสเต็มไปด้วยความสุขความห่วงหาอาทร เมื่อพูดถึงเด็กชายคนนั้น ทำให้คุณธัญญาพลอยเป็นสุขและนึกวาดภาพหลานของเธอตามไปด้วย “ก็เหมือนกับลูกเมื่อตอนเล็กๆนั่นแหละ แล้วเขาชื่ออะไร?” “ชื่อสิงห์ครับแม่” “ก็เก๋ดีนะ สั้นๆดี” แต่แล้วเมื่อนึกถึงลลิตาขึ้นมาได้ คุณธัญญาก็ถามว่า “ลิตารู้เรื่องนี้หรือเปล่า?” คริสหน้าเสียไปหน่อยและมีท่าทางอึดอัดขึ้นมาอีก “เพิ่งรู้ตอนที่ไปเมืองไทยพร้อมกับผมนี่แหละครับ แต่ไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับคุณหนู และไม่รู้เรื่องลูก” “แล้วลิตาว่ายังไง?” ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว ถึงสาเหตุที่ลลิตามีท่าทางเปลี่ยนไป คุณธัญญารู้สึกกลุ้มใจขึ้นมาอีกเมื่อนึกถึงหญิงสาวคนนั้น ที่เธอรักและเอ็นดูเหมือนลูกสาวแท้ๆ แต่ขณะเดียวกันเธอก็นึกเห็นใจคริส ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับเรื่องที่เกิดขึ้น มิน่าเล่า...เขาถึงได้มีท่าทางกลัดกลุ้ม เหมือนคนแก้ปัญหาไม่ตกอยู่เกือบตลอดเวลา มันอย่างนี้นี่เอง “แม่ครับ แม่อย่าตกใจนะครับ ถ้าผมจะบอกว่าลิตาเสียใจและเครียดมาก กินยากล่อมประสาทเข้าไปหลายเม็ด จนต้องส่งโรงพยาบาลเพื่อล้างท้อง เธอบอกผมว่าไม่ได้จะฆ่าตัวตาย เพียงแต่ต้องการหลับเพราะไม่อยากคิดมาก แต่อาจจะกินมันเข้าไปหลายเม็ดหน่อยเท่านั้น” มารดาของเขาอ้าปากค้าง มองหน้าเขาอย่างคิดไม่ถึง “โธ่! ลิตา ไม่น่าเลย ทำไมถึงคิดสั้นแบบนั้น” “ทำไมแม่พูดยังงั้นเล่าครับ? หรือแม่คิดว่าลิตาคิดจะฆ่าตัวตายจริงๆ?” ชายหนุ่มเริ่มกังวลเมื่อคิดว่าหรือลลิตาต้องการจะตายจริงๆ “แม่ก็ไม่ถึงกับแน่ใจหรอก แต่มันก็เป็นไปได้ไม่ใช่หรือ” แล้วในที่สุดคุณธัญญาก็ตัดสินใจถามคริส ถึงเรื่องที่เธอเริ่มหวาดระแวง “คริส แม่ขอถามตรงๆ แล้วก็ขอให้ลูกตอบแม่ตามตรงด้วย ความจริงแม่ก็ไม่อยากละลาบละล้วงถึงขนาดนั้น แต่แม่จำเป็นต้องถาม” เขามองหน้าเธออย่างสงสัยว่าเธอจะถามเรื่องอะไร “แม่ถามมาเถิดครับ ผมไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังแม่” เธออึกอักเล็กน้อย ไม่อยากจะถามเพราะเป็นเรื่องส่วนตัวมากเกินไป แต่ก็เห็นว่าควรจะต้องถามให้หายสงสัยไปเลย “ลูกกับลิตาน่ะ มีอะไรกันเกินเลยกว่าการเป็นคู่หมั้นหรือเปล่า?” และเขาก็ตอบทันทีอย่างเต็มปากเต็มคำ สบตาเธออย่างแสดงความบริสุทธิ์ใจ “ไม่มีครับแม่ ผมเคยสัญญาเรื่องนี้กับแม่ ตั้งแต่ตอนที่ผมกับลิตารักกันใหม่ๆ แม่ก็รู้ว่าผมไม่เคยผิดคำพูด” คุณธัญญาถอนใจยาวอย่างโล่งอก เธอไม่สงสัยในคำพูดของเขาเลย เธอรู้ว่าเขาเป็นคนรักษาคำพูดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เมื่อโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง ก็มาถึงประเด็นสำคัญที่เธออยากรู้มากที่สุด “งั้นแม่ขอถามอีกเรื่องหนึ่ง” เธอหยุดพูด พยายามสังเกตสีหน้าตอนที่เขาจะตอบคำถามเธอ “บอกแม่มาตามตรงว่าลูกรักคุณหนูคนนั้นหรือเปล่า” เธอเห็นสีหน้าคริสที่เปลี่ยนแปลงไปทันที มันเผือดซีดแล้วก็กลับแดง มิหนำซ้ำเขายังทำหน้าเก้อๆไม่สบตาเธอ จนเธอต้องย้ำว่า “บอกแม่มาเถิด ตอนนี้ลูกควรจะบอกแม่ตามตรง ว่ารู้สึกยังไงกับเขา ถ้ารักเขาก็อย่าอมพะนำเอาไว้เลย” คริสอ้ำอึ้งและยังไม่ยอมมองหน้าเธอ เขาอึกอักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกเธอว่า “แม่ครับ ผมสัญญาว่าจะแต่งงานกับลิตา ผมก็ต้องแต่งกับเธอ ผมทรยศต่อความรักความไว้ใจของเธอ ทำให้เธอเสียใจที่สุดในชีวิตมาแล้ว แล้วผมควรจะหักหลังเธอด้วยการไปรักผู้หญิงอื่นอีกหรือครับ?” คุณธัญญารู้ว่าเขาเจตนาเลี่ยงไม่ตอบคำถามเธอ โดยยกเรื่องคำมั่นสัญญากับลลิตามาอ้าง เขาไม่ได้ตอบทันทีเหมือนตอนที่เธอถาม เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลลิตา “เรื่องแต่งงานก็เรื่องหนึ่ง เรื่องความรักก็อีกเรื่องหนึ่ง บางครั้งคนเราก็จำเป็นต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก จะเพราะความสงสาร เพราะเคยสัญญากันเอาไว้อย่างนั้น หรือเพราะเหตุผลอื่นใดก็ตาม มันก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกถ้าเราไม่ได้รักคนอื่นอยู่” เธอพูดช้าๆอย่างระมัดระวัง เริ่มรู้สึกว่าเขามีพิรุธ เมื่อถูกถามว่ารักผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า คุณธัญญาคิดว่าคริสยังปิดบังอะไรบางอย่างเอาไว้ “แม่เคยเห็นคนบางคน ที่แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักหรือหมดรักไปแล้ว ต้องมานั่งเสียใจไปตลอดชีวิต เพราะเพิ่งค้นพบใจตัวเองว่ารักคนอื่น แต่มันก็สายไปแล้ว” คริสนิ่งอีก เมื่อเห็นสายตาที่คาดคั้นต้องการคำตอบของมารดา เขาก็พูดโดยไม่มองหน้าเธอว่า “ผมจะรักเธอหรือไม่ก็ไม่สำคัญหรอกครับ เพราะเธอไม่ได้รักผม ไม่เคยรักและไม่คิดจะรัก” คุณธัญญาสังเกตว่าคริสเน้นทุกคำที่พูดออกมา ซึ่งเธอสงสัยว่า...เพราะความน้อยใจ “ลูกรู้ได้ยังไงว่าเขาไม่ได้รักลูก? ลูกเคยถามเขาบ้างหรือเปล่า?” คุณธัญญารุกต่อ “ไม่เคยครับ แม่ เธอไม่ยอมให้ผมพูดอะไรทั้งนั้น มีแต่จะเสือกไสไล่ส่งให้ไปจากเธอตลอดเวลา แล้วแม่จะให้ผมทำยังไง ให้ผมวิ่งไล่ตามตื้ออยู่ยังงั้นน่ะหรือ? ผมไม่มีศักดิ์ศรี ความน่าเชื่อถืออะไรบ้างเลยหรือ?” คุณธัญญาลอบถอนใจ เธอค่อยๆเข้าใจเขาทีละน้อยแล้ว แต่เธอก็ต้องพยายามคุ้ยแคะความลี้ลับในหัวใจของเขาต่อไป ตอนนี้เธอรู้สึกว่าเขาเหมือนคริสตอนเด็กๆ ที่มีเรื่องอะไรก็ต้องวิ่งมาหาเธอ มาเล่าให้เธอฟัง แล้วเธอก็จะปลอบโยนชี้แจงเหตุผลให้เขาฟัง ซึ่งตั้งแต่เขาเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นจนถึงเติบโตเป็นผู้ใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขายอมเปิดใจให้เธอได้รับรู้ แต่คุณธัญญาก็เชื่ออีกนั่นแหละว่าเขาจะไม่มีวันเล่าอะไรให้เธอฟังเลย ถ้าคุณนวลละออไม่บังเอิญไปเจอรูปพวกนั้น แล้วเธอนำมันมาเปิดประเด็นกับเขา และอีกเหตุผลหนึ่งที่เขายอมพูด ก็คงเนื่องมาจากมันเป็นปัญหาหนักอก ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะทำอย่างไร จะปรึกษาใครก็ไม่ได้ เมื่อเธอยอมรับฟังปัญหาของเขา แสดงความเข้าใจและเห็นใจ เขาก็คงจะรู้สึกสบายใจขึ้นบ้างจนยอมเล่าให้เธอฟัง “ลูกล่ะ เคยบอกเขามั่งไหมว่ารักเขา?” คุณธัญญาพยายามขุดคุ้ยต่อไป “ทำไมต้องบอกอีกเล่าครับแม่ การกระทำทั้งหมดของผมยังไม่พออีกหรือครับ?” หน้าเขาขมวดมุ่นทีเดียวเมื่อพูดเช่นนั้น แต่ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วละว่าเขารู้สึกอย่างไรกับผู้หญิงคนนั้น ส่วนที่ว่าเขาจะรู้ใจตัวเองหรือไม่ เธอยังไม่แน่ใจ “วันนี้คุยกันแค่นี้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวแม่ต้องกลับบ้านแล้ว อีกสองสามวันคุณพ่อก็คงจะกลับ” สามีของเธอเดินทางไปประชุมที่ฝรั่งเศสหลายวันแล้ว คุณธัญญาลุกขึ้นยืน “รูปพวกนี้แม่ขอยืมไว้ก่อนนะ จะคืนให้ทีหลัง” เธอหยิบรูปปึกนั้นใส่ลงไปในกระเป๋าถือ “ไม่ต้องส่งมาให้ผมหรอกครับ แม่เก็บไว้ในลิ้นชักตู้ข้างเตียงในห้องผมตามเดิมก็ได้” แล้วเขาก็ถามเรื่องที่สงสัย “ผมจำได้ว่าเก็บรูปพวกนี้ไว้ในลิ้นชัก ล็อคกุญแจด้วย แม่ไปพบได้ยังไงครับ หรือว่าแม่ไปหาอะไรในห้องผม?” “เปล่า แม่ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ป้านวลเอากุญแจไปไขเปิดตู้ทุกตู้ในห้องลูก เพื่อทำความสะอาด เหมือนที่เคยทำเดือนละครั้ง ก็เลยไปเจอรูปพวกนี้ ป้านวลเลยเอามาให้แม่ดู ” คริสขับรถไปส่งมารดาที่สนามบินเพื่อกลับบ้านที่นิวยอร์ค ก่อนที่จะลงจากรถด้วยกัน ชายหนุ่มก้มกราบลงไปบนอกของคุณธัญญา “แม่ครับผมขอโทษแม่ด้วย ที่ทำให้แม่ต้องเสียใจและผิดหวังกับการกระทำของผม ผมไม่บังอาจขอให้แม่ยกโทษให้ แต่ผมอยากให้แม่ทราบว่าผมเสียใจที่สุดในชีวิต ที่ทำเรื่องเลวร้ายนี้ขึ้นมาให้พ่อแม่และคนรอบตัวผม ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย” คุณธัญญาตบศีรษะลูกชายของเธอเบาๆอย่างให้กำลังใจ “แม่รู้ว่าลูกเสียใจมาก แต่แม่ก็ไม่อยากให้ลูกคิดมากจนเกินไป ปัญหาทุกอย่างมีทางออกเสมอถ้าเราแก้มันด้วยสติ แม่คงจะต้องปรึกษาเรื่องนี้กับคุณพ่อว่าจะทำอย่างไรต่อไป ระหว่างนี้ลูกก็พยายามอย่าเครียดมากจนเกินไป เดี๋ยวจะเสียงานเสียการ จำไว้อย่างหนึ่งนะลูก ว่าใครก็อาจทำผิดทำพลาดได้ด้วยกันทั้งนั้น ในกรณีของลูกแม่เชื่อว่าลูกไม่ได้ตั้งใจจะทำผิด แต่เมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว ก็คงต้องหาทางแก้ไขเสียให้ถูกต้อง โดยมีผลกระทบต่อคนที่เกี่ยวข้องน้อยที่สุด ซึ่งก็คงไม่ง่าย ในขณะเดียวกัน ลูกก็ควรใช้ความผิดนั้นเป็นบทเรียนที่จะไม่ทำผิดซ้ำซากอีก" คริสมองตามหลังมารดาที่เดินผ่านเข้าไปในบริเวณทางออกไปขึ้นเครื่อง ด้วยความรู้สึกที่เศร้าหมอง เสียใจและอับอายกับการกระทำของตัวเอง ที่ทำให้บุพการีผู้มีพระคุณล้นฟ้าต้องผิดหวังในตัวเขา แต่ในขณะเดียวกันก็อดโล่งใจไปเปลาะหนึ่งไม่ได้ที่ตอนนี้มารดา ซึ่งเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องหลอกเธออีกต่อไป ว่าเขาเป็นลูกที่ไม่เคยทำอะไรผิด ชายหนุ่มได้แต่หวังว่ามารดาจะเข้าใจในสภาพของเขา ที่ขยับตัวทำอะไรไม่ได้เลย ผู้หญิงคนหนึ่งเอาแต่ปฏิเสธไม่ต้องการให้เขามีโอกาสได้ไถ่โทษ ส่วนผู้หญิงอีกคนหนึ่งซึ่งไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ใช้สิทธิโดยชอบของเธอ ที่จะเดินหน้าแต่งงานกับเขาต่อไป โดยไม่ได้คิดจะลงโทษกับความผิดร้ายแรงของเขาด้วยการทิ้งเขาไปเสีย เธอรักเขามากจนสามารถอภัยให้ได้ทุกอย่าง แล้วเขาจะทำอะไรได้มากไปกว่านี้??? สวัสดียามเช้าค่ะ
![]() โดย: tanjira
![]() ![]() |
บทความทั้งหมด
|