เวลาที่หายไป - บทที่ 50 คริสขับรถเข้าไปถึงเวียงพุกามในตอนบ่าย จอดรถแอบไว้ตรงมุมหนึ่งของลานกว้างหน้าตึกใหญ่ เดินขึ้นบันไดหินห้าขั้น ลัดเลาะไปตามทางเดินที่ปูด้วยหิน เดินต่อไปเรื่อยๆจนถึงเทอเรสหน้าตึก แล้วก็เผชิญหน้ากับทิพย์สุรางค์ซึ่งกำลังเดินออกมาจากห้องโถงใหญ่ หญิงสาวทำหน้าตกใจเมื่อเห็นเขา พอตั้งสติได้เธอก็จ้องหน้าเขาด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างเครียด เพราะทันทีที่เห็นหน้าคริส ทิพย์สุรางค์ก็อดนึกแว่บไปถึงคำพูดหมิ่นหยามของคุณลักษณา ที่สิริมาถ่ายทอดให้ฟังไม่ได้ “คุณมาทำไม? เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือว่าจะไม่ติดต่อกันอีก ฉันบอกคุณแล้วนี่คะ ว่าไม่อยากมีเรื่องให้ใครเข้าใจผิดอีกแล้ว ตอนนั้นคุณก็รับปากแล้วไม่ใช่หรือ?” ทิพย์สุรางค์เหลียวหน้าเหลียวหลัง มองเข้าไปในห้องโถง หันกลับมามองเขา ก่อนจะรีบเดินนำหน้าพาเขาลงจากตึก คริสเดินตามเธอไปจนถึงด้านข้างของตึกซึ่งมีเก้าอี้สนามตั้งอยู่ ล้อมรอบไปด้วยกอไม้หลากสีที่กำลังออกดอกสะพรั่ง หญิงสาวหยุดอยู่ตรงหน้าเก้าอี้สนามตัวยาว มองเขาอย่างสงสัยว่าเขาบุกบั่นเข้ามาถึงเวียงพุกามทำไม ก็ไหนตกลงกันแล้วว่าจะไม่ติดต่อกันอีก “ทำไมคุณไม่รักษาสัญญา ไม่นึกว่าจะเป็นคนแบบนี้” เธอต่อว่าต่อขาน เพราะกลัวบริวารในบ้านจะรู้เห็นความลับที่เธอปกปิดมานาน “อย่าใจดำกับผมนักเลย ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณหนู” ชายหนุ่มทำเสียงออดๆ ผิดไปกว่าเคย ทิพย์สุรางค์ถอนใจ ไม่รู้ว่าเขามีเจตนาอะไรและจะทำอย่างไรกับเขาดี ท่าทางเขาดื้อและมีทีท่าว่าจะตื๊อไ่ม่เลิก ตอนนี้เธอรู้แล้วละว่าลูกชายตัวน้อยของเธอดื้อเหมือนใคร “ทำไมชอบทำอะไรตามใจตัวเองแบบนี้เล่าคะ คริส ฉันเบื่อไม่อยากจะยุ่งกับใครอีกแล้ว อุตส่าห์หนีมาถึงนี่ยังตามมาวุ่นวายอีก” พอนึกขึ้นได้เธอก็พูดต่อว่า “อ้อ...หรือพาภรรยามาฮันนีมูนที่เมืองไทย” คริสรู้ว่าเธอแกล้งเยาะเขา “พูดอะไรยังงั้น ผมยังไม่ได้แต่งงานสักหน่อย” “อ้าว..ไม่ใช่แต่งไปแล้วหรอกหรือ ฉันกำลังคิดจะแสดงความยินดีอยู่เชียว” เธอทำเสียงเยาะ “ผมจะแต่งงานได้ยังไง ถ้าไม่มาพบคุณหนูเสียก่อน” “เกี่ยวอะไรกับฉันเล่าคะ” “ทำไมจะไม่เกี่ยว เกี่ยวโดยตรงเชียวละ” แล้วคริสก็เปลี่ยนเรื่อง “ใจคอจะไม่ให้ผมขึ้นบ้านเลยหรือ สิงห์ล่ะ เขาอยู่ที่ไหน ผมอยากพบเขาหน่อย” “คุณจะพบเขาทำไม? เอ๊ะ..หมายความว่าไง เรื่องลูกเราก็ตกลงกันแล้วว่าคุณจะได้พบเขาแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันที่บ้านพี่ใหญ่ คุณก็ยอมรับทุกอย่างแล้วไม่ใช่หรือ เกิดอะไรขึ้นมาอีกล่ะ ฉันชักปวดหัวกับคุณแล้วนะ หรือว่าครั้งที่แล้วคุณแกล้งรับปากส่งๆไปยังงั้นเอง” หญิงสาวชักหงุดหงิดที่เขาทำท่าเหมือนพูดไม่รู้เรื่อง เธอคิดว่าอุตส่าห์ทำใจจนใกล้จะสำเร็จอยู่แล้ว อยู่ๆก็มาปรากฏตัวเสียเฉยๆอย่างนั้น เธออยากจะไล่เขากลับไปให้พ้นๆ แต่เมื่อนึกถึงคำพูดสบประมาทของคุณลักษณาที่ส่งผ่านมาทางพี่สะใภ้ของเธอ บางอารมณ์ ทิพย์สุรางค์ก็นึกอยากจะทดลองพลังของเธอขึ้นมาบ้างเหมือนกัน “ผมมีอะไรอยากจะขอคุณหนูหน่อย” เขาทำหน้ายิ้มๆ ไม่สนใจว่าเธอจะต่อว่าต่อขานเขาอย่างไร ก็ตอนนี้เขามีกองหนุนแล้วนี่นา ทั้งจากทางฝ่ายเธอและฝ่ายเขา แล้วจะต้องกลัวอะไรอีกเล่า ทิพย์สุรางค์เหลียวไปมองทางตัวตึกอีกครั้ง ทำให้ชายหนุ่มนึกสงสัยว่ามีใครรอเธออยู่บนตึกหรืออย่างไร แต่เขาก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ “จะมาขออะไรฉันอีก ถ้าคุณมีอะไรจะพูดก็รีบๆพูดมา ฉันมีเรื่องต้องทำอีกเยอะแยะ” “แม่ผมอยากพบสิงห์” เขาโยนระเบิดให้เธอ พอขาดคำของคริส หญิงสาวซึ่งยังยืนอยู่ ก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้สนามตัวนั้นอย่างหมดเรี่ยวแรง หน้าของเธอซีดเผือด เพราะสิ่งที่เธอกลัวที่สุดคือกลัวว่าพ่อแม่ของเขาจะหาทางเอาลูกของเธอ ซึ่งก็เป็นหลานแท้ๆของพวกเขาไป มันเป็นความกลัวของผู้เป็นแม่เกือบทุกคน ที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับเธอ โดยไม่ต้องเอากฏหมายเข้ามาเกี่ยวข้องชี้ขาดเลย “หมายความว่ายังไงคะ ที่ว่าคุณแม่คุณอยากพบเขา? หรือ...หรือคุณบอกท่าน?” เสียงของทิพย์สุรางค์เริ่มสั่น “ไหนคุณรับปากว่าจะไม่บอกใครไงคะ คุณคิดยังไงของคุณกันแน่” คริสมองอาการตื่นตระหนกของเธอด้วยสีหน้ายิ้มๆอย่างเป็นต่อ “อย่าลืมว่าแม่ผมก็เป็นย่าของเขานะ กีดกันผมคนเดียวยังไม่พอ ยังจะกีดกันพ่อแม่ผมอีกหรือ?” “คุณ...คุณมีสิทธิอะไร? แล้วนี่คงเที่ยวโพนทนาไปทั่วแล้วสิ คู่หมั้นของคุณล่ะคะ บอกด้วยเหมือนกันใช่ไหม คุณนี่แย่มาก ฉันไม่รู้จะว่าอะไรคุณอีกแล้ว” ทิพย์สุรางค์ทั้งอาย ตกใจและโกรธ โกรธไปหมดทุกคน ทั้งพ่อแม่ของเขา คุณลักษณา คู่หมั้นของเขาและคนที่เธอโกรธมากที่สุดก็คือเขา “คริสคะ ฉันว่าคุณกลับไปดีกว่า ฉันไม่อยากให้ใครเข้าใจผิดอีก” พอพูดขาดคำเธอก็ลุกขึ้นยืน ทำท่าจะออกเดินหนีไป ชายหนุ่มซึ่งยืนขวางหน้าอยู่ดึงมือเธอไว้ พูดด้วยสีหน้ายิ้มๆที่ทำให้ทิพย์สุรางค์ตกใจมากขึ้นไปอีก “ผมเปลี่ยนใจแล้วละ ขอยกเลิกหมดทุกอย่างที่พูดกันวันนั้น วันนี้ผมตั้งใจมาทวงสิทธิของผม” เขาพูดดื้อๆ หญิงสาวพยายามสะบัดให้หลุดจากมือที่จับมือเธออยู่แต่ไม่สำเร็จ คริสใช้แขนข้างหนึ่งโอบไปรอบเอวดึงตัวเธอเข้ามากอด “บ้า! ปล่อยฉันนะ” เธอพยายามผลักไสใบหน้าที่ก้มต่ำลงมา แต่เขาก็จูบเธอจนได้ “ฟังผมก่อนสิ ไม่งั้นผมจะจูบคุณหนูอยู่อย่างนี้แหละ ให้ใครๆที่นี่เห็นกันให้หมดเลย จะได้รู้ความจริงกันเสียที” แล้วเขาก็ทำท่าจะจูบเธออีก ทิพย์สุรางค์ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้า บอกเขาว่า “ก็ได้ แต่ปล่อยฉันก่อน อย่ามาทำรุ่มร่ามที่นี่ อย่าลืมนะคะว่าฉันกับคุณไม่ได้เป็นอะไรกัน” “ถ้าคุณหนูคิดว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน เราก็มาเริ่มต้นกันดีไหมครับ เรามาแต่งงานกันดีกว่า” “เอ๊ะ! พูดตลกอะไรน่ะ คนที่จะแต่งงานกับคุณไม่ใช่ฉัน แล้วนี่คุณเอาเขาไปไว้เสียที่ไหนล่ะ ป่านนี้เขาคงรอคุณแย่แล้ว” “จะพูดถึงคนอื่นทำไม พูดเรื่องของเราดีกว่า ได้ยินหรือเปล่าที่ผมขอคุณหนูแต่งงานน่ะ” “อย่าพูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ฉันไม่อยากฟัง เชิญคุณกลับไปเถอะ ฉันกำลังยุ่ง ไม่มีเวลามาฟังเรื่องไร้สาระ” “คุณหนูจะใจแข็งไปถึงไหน ผมไม่กลับง่ายๆหรอก ยังไงๆผมก็ต้องพูดกับคุณหนูให้รู้เรื่องให้ได้ แล้วก็จะขอพบลูกด้วย” คริสทำหน้ายิ้มกริ่มมองเธอด้วยแววตาลึกซึ้ง สีหน้าท่าทางที่ดูแตกต่างไปจากทุกครั้งของเขา ทำให้ทิพย์สุรางค์ไม่อาจสบตาเขาได้ต่อไป หญิงสาวเดินแกมวิ่งออกไปจากที่ตรงนั้น โดยมีสายตาของคริสมองตามหลังไป เขาคิดว่าจะให้เวลาเธออีกสักหน่อยแล้วจึงจะตามขึ้นไปบนตึก ไปพบลูกของเขาและถามให้แน่ว่าตกลงเธอจะเอาอย่างไร อยากรู้เหมือนกันว่าคำแนะนำของมารดาและวุฒิเลิศจะได้ผลจริงหรือไม่ ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้สนาม ควักบุหรี่ออกมาจุดสูบ วางแผนว่าจะทำอย่างไรต่อไป อีกประมาณยี่สิบนาทีต่อมา คริสก็เดินขึ้นไปบนตึกแต่ไม่เห็นทิพย์สุรางค์และเด็กชายสิงห์ ความจริงเขารู้จากกร ตอนที่คุยกันทางโทรศัพท์ก่อนออกเดินทางมาเมืองไทยแล้ว ว่าทิพย์สุรางค์พาสิงห์และพี่เลี้ยงมาที่เวียงพุกามด้วย และได้รับคำยืนยันแบบเดียวกันอีกครั้งหนึ่งจากพี่ชายของเธอ เมื่อเห็นคำหล้าเดินออกมาจากห้องแพนทรี คริสก็ถามถึงทิพย์สุรางค์และได้รับคำตอบว่าเธอเพิ่งเดินขึ้นไปข้างบน แต่พอเขาถามถึงสิงห์ คำหล้าก็ทำท่าอึกอัก ตอนแรกเขาคิดว่าทิพย์สุรางค์คงพาลูกขึ้นไปข้างบนกับเธอด้วย อาจจะเพื่อป้องกันไม่ให้เขาพบเด็กชายคนนั้น ชายหนุ่มยืนรีรออยู่ครู่หนึ่ง ใจหนึ่งอยากจะขึ้นไปตามหาลูกที่บนชั้นสอง แต่ก็รู้ว่าไม่สมควรที่จะบุกรุกขึ้นไป โดยที่เจ้าของบ้านไม่ได้อนุญาตหรือเชื้อเชิญ แต่ในขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปรอทิพย์สุรางค์ในห้องนั่งเล่น เขาก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้โยเยแว่วออกมาจากห้องถัดไป คริสนิ่งฟังเสียงนั้นอยู่ครู่หนึ่งก็เดินไปที่หน้าประตูห้องนั้น เขาพบว่ามันเปิดแง้มอยู่ เมื่อมองเข้าไปเขาเห็นเด็กรุ่นสาวคนหนึ่งกับเด็กชายตัวเล็กๆ นั่งอยู่ด้วยกันบนพื้นห้อง ทันทีที่เขาเดินเข้าไป เด็กสาวคนนั้นซึ่งคงจะเป็นพี่เลี้ยงรีบลนลานอุ้มเด็กชายขึ้นจากพื้น เดินอย่างรวดเร็วจะออกไปทางประตูอีกบานหนึ่ง ซึ่งคงเปิดทะลุถึงอีกห้องหนึ่งได้ คริสเผ่นพรวดเดียวถึงตัวแม่พี่เลี้ยง ที่อุ้มเด็กชายเดินหนีเขาไปเกือบถึงประตูแล้ว ทันทีที่ถึงตัวเขาก็คว้าเด็กชายตัวน้อยมากอดไว้แนบอก แล้วพาเดินมาหยุดตรงหน้ากระจกเงาบานใหญ่ จ้องมองใบหน้าของเด็กชายและของตัวเองอย่างเปรียบเทียบ "สิงห์ครับ นี่พ่อของสิงห์นะครับ ดูโน่นสิ เห็นไหมว่าเราสองคนหน้าตาเหมือนกันเป๊ยบเลย" ทารกน้อยที่ถูกฉกตัวจากพี่เลี้ยงที่เขาคุ้นเคย มาสู่คนแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จัก มองเข้าไปในกระจกตามมือที่ชี้ไปของคริส แล้วทำหน้าเหยเกไม่ยอมรับรู้รับชี้อะไรด้วย ตอนแรกที่ถูกเอาตัวมาเขาคงจะงงจนร้องไห้ไม่ออก ตอนนี้เริ่มอาละวาดดิ้นรนเป็นการใหญ่ แผดเสียงร้องไห้ออกมาดังลั่น ขาและเท้าน้อยๆในรองเท้าสีแดงคู่เล็กกะจิ๊ดริดที่ห้อยระอยู่แถวเอวคริส เริ่มแกว่งไกวเตะถีบเขาเป็นพัลวัน แต่ชายหนุ่มไม่สนใจ เขาเฝ้าแต่เพ่งพิศดวงหน้าน้อยๆกลมป๊อก ที่แหงนขึ้นมองเขาพลางร้องไห้ไปพลาง จนน้ำมูกน้ำตาเปรอะแก้มขาวๆอย่างตื้นตันใจ รู้สึกเหมือนกำลังกอดตุ๊กตาเนื้อตัวนุ่มนิ่มหน้าตาน่ารักเป็นนักหนา กลิ่นแป้งเด็กผสมกลิ่นเหงื่อและอาจจะปนด้วยกลิ่นน้ำตา กำจายมาเข้าจมูก ความรักความเอ็นดูที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน หลั่งไหลจากใจเขาเข้าสู่ทารกตัวน้อย ด้วยการกอดจูบลูบคลำไปทั่วใบหน้าและร่างป้อมๆที่อุ้มอยู่ ตอนนี้คริสไม่สนใจกับอะไรในโลกนี้อีกแล้ว นอกจากร่างน้อยๆของเลือดเนื้อเชื้อไขที่กำลังดิ้นรนอยู่ในอ้อมอก เด็กชายที่เบะปากร้องไห้เสียงดังจนหน้าตาเหยเก หันไปมองพี่เลี้ยงที่ยืนแอบอยู่ใกล้ประตูอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี แล้วใช้มือเล็กๆป้อมๆข้างหนึ่งแกว่งไหวๆ เหมือนจะเรียกเจ้าหล่อนให้เข้ามาช่วยรับตัวเขา ให้พ้นไปจากชายแปลกหน้า ที่ตั้งหน้าตั้งตากอดจูบลูบคลำเขาอยู่ไม่วางมือ เขาคงทั้งตกใจและทั้งกลัว หน้าตาของเขาบอกอย่างนั้น ในที่สุด เมื่อแม่พี่เลี้ยงก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้ ผู้ชายที่อุ้มเขาอยู่ก็ยังไม่ยอมปล่อยตัวเขา เด็กชายก็ใช้ฟันซี่น้อยๆที่มีอยู่ไม่กี่ซี่ กัดหมับลงไปตรงซอกคอของคริสที่อยู่ใกล้ปากที่สุด “โอ๊ย! แม่ลูกนี่ฤทธิ์มากพอๆกันเลย” ชายหนุ่มร้องออกมา ขาดคำของเขา ทิพย์สุรางค์ก็ปรากฏตัวเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าที่ตกใจ พอเห็นมารดา เด็กชายที่ตอนนี้กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นเบาๆ อย่างใกล้จะหมดแรง ก็กลับแผดเสียงขึ้นมาใหม่ แล้วพยายามจะโผไปหาเธอ แต่คริสยึดตัวเขาเอาไว้ หันมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวอย่างมีชัย ทิพย์สุรางค์เห็นหน้าของเขาแดงก่ำ สีหน้าของคริสเอิบอาบไปด้วยความสุข ความสมหวังและความตื่นเต้นดีใจ เธอมองลูกชายตัวน้อยในอ้อมแขนของเขา ที่ตอนนี้ยิ่งแผดเสียงดังขึ้นจนเส้นที่คอโป่งออกมา “ส่งเขามาให้ฉันเถอะ” ในที่สุดเธอก็บอกเขาด้วยเสียงเรียบๆ รู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะกีดกันเขาอีกแล้ว “เขาคงตกใจกลัวคุณ” แต่คริสยังไม่ยอมปล่อยเด็กชาย “ตกลง แต่คุณหนูต้องสัญญาก่อนว่าจะลงนั่งคุยกันดีๆ ไม่ลุกหนีไปไหนเสียก่อน” ทิพย์สุรางค์นิ่งอึ้งแต่แล้วก็ตัดสินใจ “ก็ได้” แล้วเธอก็ยื่นแขนไปรับลูกชายตัวน้อย ที่รีบโผเข้าหามารดา กอดคอเธอเอาไว้แน่นแล้วซบหน้าลงตรงซอกคอของเธอ แต่ก็ยังไม่วายยื่นหน้าเล็กๆมอมแมมด้วยคราบน้ำตา ออกมาแอบดูคริส กึ่งสนใจใคร่รู้...กึ่งกลัว คริสเดินไปที่ประตู ที่ขณะนี้แม่พี่เลี้ยงสาวรุ่นที่ยืนลับๆล่อๆอยู่หายตัวไปแล้ว ชายหนุ่มดึงประตูให้ปิดเข้ามาแล้วกดล็อค ทิพย์สุรางค์มองตามเขาไปแล้วพูดลอยๆว่า “ฉันอยากให้แสงดาวมาเอาตัวเขาไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า” แต่คริสที่เดินเข้ามานั่งใกล้กับเธอบนเก้าอี้ตัวยาวบอกเธอว่า “อย่าเพิ่งเลย ผมอยากอยู่กับเขาอีกสักพัก เขาเองก็ไม่เคยมีโอกาสได้อยู่พร้อมหน้าพ่อแม่เลยตั้งแต่เกิด” ตอนนี้น้ำเสียงของเขาเศร้าไป ในขณะที่ทิพย์สุรางค์เองก็น้ำตาซึมด้วยความสงสารทั้งเขาและลูก เด็กชายตัวน้อยที่ซุกหน้าอยู่กับอกของมารดา ตอนนี้หยุดร้องไห้และนั่งลงบนตักเธอแล้ว ดวงตากลมโตสีน้ำตาลใสแจ๋วที่ยังเปรอะเปื้อนน้ำตา เบิ่งมองคริสอย่างสนอกสนใจ แต่พอเขายื่นมือเข้าไปหา เด็กชายก็ร้องกรี้ด แล้วพยายามผลักไสมือเขาให้พ้นออกไป ปากน้อยๆก็ร้องว่า “แม่! แม่!” ราวจะฟ้องหรือขอให้ทิพย์สุรางค์ช่วยเขา “ปล่อยให้เขาอยู่เงียบๆสักพัก เขายังไม่คุ้นกับคุณ” เธอบอกคริสอย่างนึกสงสาร ที่เขาอยากจะใกล้ชิดกอดจูบลูกน้อยที่เพิ่งจะได้พบหน้า ในขณะที่ลูกที่ไร้เดียงสาผู้ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้สัมผัสไออุ่นจากอ้อมอกของพ่อผู้ให้กำเนิด ตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาดูโลกจนกระทั่งถึงวันนี้ที่เกือบจะสองขวบแล้ว ก็หวาดผวากลัวเขา เหมือนเขาเป็นคนแปลกหน้า หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง พยายามปรับอารมณ์ตัวเองให้เป็นปกติ ก่อนบอกเขาด้วยเสียงเรียบๆว่า “คุณมีอะไรจะพูดกับฉันก็รีบๆพูดเสีย ใกล้จะค่ำอยู่แล้ว กว่าจะออกไปถึงในเมืองก็จะดึกเกินไป” คริสทำไม่รู้ไม่ชี้ กับคำพูดเป็นเชิงไล่ของเธอ “ผมยังไม่กลับหรอก เรื่องที่ผมจะพูดมันยาว แต่ตอนนี้ผมหิวมากยังไม่ได้กินอะไรเลย หวังว่าคุณหนูคงไม่ใจดำไล่ผมไป ไม่ให้กินข้าวกินปลา เหมือนที่เคยไล่นายเคนจอมซื่อบื้อคนนั้นหรอกนะ” หญิงสาวทำตาเขียว “เมื่อไหร่? ฉันเคยไล่คุณไม่ให้กินข้าวกินปลาเมื่อไหร่” เธอถามแบบเอาเรื่องเหมือนสมัยก่อนไม่มีผิด ชายหนุ่มอมยิ้ม หันไปพยักเพยิดกับเด็กชายที่กำลังแอบมองเขาอยู่ “สิงห์ ดูแม่สิลูก ทำท่ายังกับแม่เสือแน่ะ” ทิพย์สุรางค์ลืมตัวยื่นมือออกไป หมายจะบิดเนื้อเขาแบบที่เคยทำกับกรจนเคยตัว แต่คริสจับมือเธอเอาไว้และไม่ยอมปล่อย แม้เธอจะพยายามดึงให้หลุดจากการเกาะกุมของเขา ตอนนี้หญิงสาวเริ่มประหม่าเพราะแววตาท่าทางของเขาเปลี่ยนไป ดวงตาคู่ที่เธอเคยเห็นว่าซื่อและสุภาพอ่อนโยนกลายเป็นกรุ้มกริ่ม รอยยิ้มที่เคยดูซื่อๆและจริงใจของนายเคนคนนั้น เปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มที่มีเล่ห์เหลี่ยมและขี้โกง คริสมีท่าทางเหมือนมั่นอกมั่นใจอะไรบางอย่าง เธอขยับตัวเพื่อจะลุกขึ้นแต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ “จะหนีไปไหนอีกล่ะ ยังไม่ได้คุยกันเลยก็จะหนีเสียแล้ว” “ก็คุณหิวไม่ใช่หรือ? ฉันจะไปบอกเด็กให้จัดอาหารให้ แล้วก็จะพาสิงห์ไปให้แสงดาวอาบน้ำให้ด้วย” เธออธิบายโดยพยายามไม่สบตาเขา ที่เธอรู้ว่ามีรอยยิ้มขันๆปนอยู่ “ไปเถอะ” เขาบอกเธอด้วยสีหน้ายิ้มๆ “แต่ผมจะทานพร้อมคุณหนู ไม่ต้องจัดให้ผมต่างหากตอนนี้หรอก” คริสจูงมือทิพย์สุรางค์ซึ่งยังอุ้มลูกชายตัวน้อยไว้ในวงแขน พาเดินไปที่ประตู เปิดออก รุนตัวเธอออกไปแล้วเขาก็เดินตามไปด้วย หลังรับประทานอาหารเย็นและแสงดาวพาเด็กชายสิงห์ขึ้นไปข้างบนแล้ว ชายหนุ่มก็ชวนทิพย์สุรางค์เข้าไปในห้องนั่งเล่น เขานั่งลงบนเก้าอี้นวมตัวหนึ่ง แต่เธอยังไม่ยอมนั่ง ทำท่าเหมือนจะออกไปจากห้อง แต่เขายึดมือเธอเอาไว้ “คุณหนูครับ นั่งลงก่อน” คริสดึงมือทิพย์สุรางค์ให้นั่งลงบนเก้าอี้นวมตัวที่อยู่ใกล้ๆ “ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ที่ผ่านมาเราแทบจะไม่ได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราวเลย พูดกันได้ไม่กี่คำก็ทะเลาะกันแล้ว หรือไม่ก็คุณหนูวิ่งหนีไปไม่ยอมให้ผมพูด ผมตั้งใจว่าจะเล่าทุกอย่างที่เกี่ยวกับผมและลิตาให้คุณหนูฟัง ความจริงน่าจะเล่าเสียนานแล้ว แต่คุณหนูก็ไม่เคยเปิดโอกาสให้ผมพูดเลย เมื่อเราไม่พูดกันเสียให้หมด เราก็จะไม่มีวันเข้าใจกันได้” หญิงสาวยอมนั่งลงตามแรงฉุดของเขา แต่แล้วด้วยมารยาหญิงเธอก็ทำหน้าปั้นปึ่ง “เชิญ มีอะไรอยากจะพูดก็พูดมา พูดจบแล้วเราก็จะได้ต่างคนต่างไป ฉันก็ไปตามทางของฉัน ส่วนคุณก็กลับไปหาคู่หมั้นของคุณ” ชายหนุ่มรู้สึกเหนื่อยใจกับทิฐิของเธอ แต่จะทำอย่างไรได้ เขาก็ทำกับเธอไว้มากมายถึงจะไม่ได้ตั้งใจก็เถิด เขาไม่เชื่อหรอกว่าทิพย์สุรางค์ไม่อยากรู้เรื่องระหว่างเขากับลลิตา ก็เขาเองยังเคยอยากรู้เรื่องของเธอกับผู้ชาย คนที่เธออ้างว่าแต่งงานกับเขาไปแล้วเลยนี่นา คริสมองใบหน้างามที่ทำเป็นเมินไปทางอื่นที่ไม่มีเขา “คุณหนูก็คงรู้ว่าผมกับลิตาชอบกันมาหลายปี เราพบกันตอนที่ผมอายุยี่สิบ ลิตาอ่อนกว่าผมสองปี คุณน้าลักษณาแม่ของลิตาเป็นเพื่อนสนิทของแม่ผม ลิตาไปเรียนมหาวิทยาลัยที่อเมริกา อยู่ในความดูแลของพ่อแม่ผม” เขาหยุดสำรวจสีหน้าเธอ เมื่อเห็นยังปกติดีอยู่ก็พูดต่อไปว่า “สรุปก็คือเรารักกัน” ทิพย์สุรางค์รู้สึกยอกแปลบในหัวใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรู้สึกอย่างนั้น ในเมื่อเธอก็รับรู้และเห็นด้วยตาตัวเองมานานแล้ว ว่าเขารักกันและกำลังจะแต่งงานกัน อย่างไรก็ตาม เธอนิ่งฟังต่อไป “ก่อนไปราชการที่อิรัคผมขอลิตาแต่งงาน แล้วมอบแหวนให้” คริสเล่าตามความเป็นจริง พยายามที่จะให้ทิพย์สุรางค์เห็นความจริงใจของเขา ที่สัญญาว่าจะเล่าให้เธอฟังทุกเรื่อง แต่เขาไม่เข้าใจหรอกว่าผู้หญิงอาจจะบอกว่าฟังได้ทุกเรื่อง แต่ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากฟังว่าผู้ชายของเธอหรือที่คิดว่าเป็นของเธอ สารภาพว่ารักหรือเคยรักผู้หญิงคนอื่นมากถึงขั้นขอแต่งงาน หัวใจของเธอเริ่มเจ็บปวดขึ้นมาอีก “หลังจากนั้นก็อย่างที่คุณหนูรู้ ผมถูกส่งมาทำงานใกล้ประเทศไทย ถูกทำร้ายแล้วคุณหนูกับคุณกรก็ช่วยผมเอาไว้ ผมเสียความจำแต่ก็โชคดีที่ได้พบคุณหนู” แล้วเขาก็รีบสรุปเอาใจเธอว่า “แล้วก็รักคุณหนู” ทิพย์สุรางค์หันมาจ้องหน้าเขาแล้วทำเสียงเยาะๆ “แปลว่าคุณเป็นผู้ชายใจโลเล รักผู้หญิงพร้อมๆกันสองคนงั้นหรือ?” ทำไมเขาไม่พูดว่าเมื่อพบเธอแล้วเขาก็ลืมผู้หญิงอีกคนไปจนหมดสิ้น รักเธอแต่เพียงคนเดียวล่ะ? ชายหนุ่มหน้าเจื่อน “คุณหนูก็รู้ว่าผมจำอะไรไม่ได้เลย ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าลิตากำลังรอผมอยู่ ผมจำไม่ได้ว่าเคยสัญญาอะไรไว้กับเขา ผมเข้าใจว่าหัวใจของผมมีสิทธิที่จะรักคุณหนู ผมก็เลยมอบหัวใจให้คุณหนูไป ถึงคุณหนูจะทำให้ผมว้าวุ่นสับสนอยู่ตลอดเวลาก็ตาม” เขาทำเสียงออดอ้อนฝากเนื้อฝากตัว “แต่เมื่อคุณจำอดีตได้ กลับไปหาครอบครัวและคู่หมั้นของคุณ คุณก็ลืมเวียงพุกาม ต่อมาคุณก็ประกาศหมั้นกันอย่างเป็นทางการเสียใหญ่โต แล้วตอนนี้ก็กำลังจะแต่งงานกัน จริงไหม? ถึงคุณจะมาทำแก้เกี้ยวว่าอย่างไร แต่คุณก็คงปฏิเสธไม่ได้หรอกนะ ว่าคุณกับเขากำลังจะแต่งงานกันเร็วๆนี้ ด้วยความเต็มใจของคุณและความเห็นชอบของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ” เธอทั้งท้าวความทั้งกล่าวหาเขา ด้วยคำพูดและสีหน้าที่เยาะหยัน “คุณหนูครับ ผมก็เคยบอกคุณหนูแล้วไม่ใช่หรือ เรื่องอุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้นน่ะ คุณหนูก็รู้แล้วนี่ครับว่าผมเที่ยวตามหาคุณหนูนานแค่ไหน ทุกข์ทรมานใจอย่างไร โปรดอย่าแกล้งทำเป็นไม่รู้ ถ้าคุณหนูยอมให้ผมรับผิดชอบเสียตั้งแต่ตอนที่เราได้พูดคุยกันครั้งแรกในวันนั้น เรื่องทั้งหมดก็คงจบไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่คุณหนูกลับปฏิเสธทุกอย่างที่ผมเสนอ แม้แต่เรื่องลูกก็พยายามจะตัดผมกับเขา ให้ขาดจากกันเหมือนไม่ใช่พ่อใช่ลูก ที่สำคัญคือคุณหนูหลอกให้ผมเข้าใจผิดว่าแต่งงานแล้ว ทำให้ผมเสียใจที่สุดในชีวิตและไม่มีทางไหนให้เลือก นอกจากกลับไปหาลิตา ไปรับผิดชอบเขาตามหน้าที่ เพราะคนที่ผมอยากรับผิดชอบไม่ยอมให้ผมรับผิดชอบ” สีหน้าแววตาของชายหนุ่มมีรอยเศร้าเมื่อนึกถึงลลิตา ผู้ไม่มีความผิด คริสพูดยังไม่ทันจบ ทิพย์สุรางค์ซึ่งรู้สึกหมั่นไส้ เมื่อเห็นความเศร้าในดวงตาเขาเมื่อพูดถึงผู้หญิงคนนั้น ก็ประชดขัดขึ้นมาด้วยสุ้มเสียงเยาะหยัน ทั้งๆที่สีหน้าซีดเผือดด้วยความสะเทือนใจ “ก็ดีแล้วนี่ ถูกต้องเหมาะสมแล้วนี่ที่กลับไปหาเขา แล้วตอนนี้คุณมาหาฉันทำไม? กลับไปทำหน้าที่ของคุณด้วยการแต่งงานกับเขาเสียสิ รักกันมากไม่ใช่หรือ? กลับไปตอนนี้ก็ยังไม่สาย ถ้าฉันจำไม่ผิดรู้สึกจะมีคนบอกฉันว่า พวกคุณกำลังจะแต่งงานกันในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้า” คริสจับมือเธอเอาไว้ “โธ่ คุณหนู ไม่เอาน่า อย่าโกรธเลยนะ ผมยอมรับว่าผมสงสารลิตามาก ผมเป็นคนผิดที่ทรยศต่อความไว้วางใจของเขา แต่ผมแต่งงานกับเขาไม่ได้ ผมตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่ากลับไปนี่ผมจะไปพูดกับลิตา ผมคิดว่าเขาคงจะเข้าใจ” ทิพย์สุรางค์นิ่งฟังที่เขาพูด แม้จะรู้ว่าเขาพูดความจริงแต่ก็อดน้อยใจไม่ได้ ตามประสาผู้หญิงที่หวงไปหมดทุกอย่าง แม้แต่ความสงสารเล็กๆน้อยๆที่เขามีให้ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง จนต้องขอประชดสักนิดสักหน่อยก็ยังดี แต่ยังมีอีกบางเรื่องที่เขายังไม่เคยพูดเลย เรื่องพ่อแม่ของเขาที่เธอรู้จากเจนนิเฟอร์ว่ารักใคร่เอ็นดูผู้หญิงคนนั้นมาก นอกจากนั้นคุณธัญญามารดาของเขา ก็ยังเป็นเพื่อนสนิทกับคุณลักษณามารดาของลลิตา มารดาของเขาจะยินดีหรือที่เขาทำอะไรแบบหักหาญไม่เห็นแก่หน้าผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย แล้วยังพี่ชายพี่สะใภ้ของเธออีกเล่า ถ้าคริสต้องการแต่งงานกับเธอจริง เขาควรจะไปพบพี่ชายและพี่สะใภ้ของเธอก่อนไม่ใช่หรือ เพื่อแสดงความจริงใจที่จะรับผิดชอบเธอและลูก รวมทั้งขอโทษในสิ่งที่เขาทำกับเธอ จนทำให้เธอและครอบครัวต้องเสียหาย ต้องถูกคุณลักษณาว่าที่แม่ยายของเขาหยาบหยามอีกด้วย พวกเขาจะคิดอย่างไรถ้าเธอตกปากรับคำ ยอมแต่งงานกับคริสลับหลังเขา พี่ชายของเธอซึ่งยึดมั่นในศักดิ์ศรีของครอบครัว ที่เป็นที่รู้จักนับถือกันอย่างกว้างขวางในภาคเหนือ จะยินดีด้วยหรือ ถ้าคริสกระทำการประหนึ่งมองข้ามหัวเขาไป ที่คิดเช่นนี้เพราะทิพย์สุรางค์ยังไม่รู้เรื่องที่คริสกับพี่ชายเธอ ได้พูดจาตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เขาจะเดินทางมาหาเธอ “ตกลงนะ” เขาออด “ถ้าผมเคลียร์ทุกอย่างได้แล้ว เราจะแต่งงานกัน” “ทำไมคุณถึงอยากจะแต่งงานกับฉัน?” เมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าเขาตัดสินใจที่จะตัดขาดจากผู้หญิงอีกคนหนึ่ง มาแต่งงานกับเธอ ทิพย์สุรางค์ก็หวังที่จะได้ยินสิ่งที่เธอรอคอยมานาน “อ้าว ก็เรามีลูกด้วยกันแล้วนี่ ถ้าไม่แต่งกับแม่ของลูกแล้วจะไปแต่งกับใครล่ะ?” ชายหนุ่มตอบอย่างที่คิดว่าดีที่สุดและน่าจะถูกใจเธอที่สุด แต่เปล่าเลย คำตอบของเขายิ่งทำให้ทิพย์สุรางค์เป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาอีก ทำไมเขาไม่พูดในสิ่งที่เธออยากฟังมากที่สุด??? “อ้อ! นี่หมายความว่าจะแต่งเพราะตกกระไดพลอยโจนงั้นหรือ?” แล้วเธอก็พรวดพราดลุกขึ้นยืน “ ไม่ต้องมาแต่งกับฉันเพื่อลูกหรอก กลับไปเสียเถอะ กลับไปแต่งงานกับคู่หมั้นของคุณเสีย ป่านนี้เขาคงร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือดแล้ว” พอขาดคำหญิงสาวก็เดินแกมวิ่งออกจากห้องไปทันที สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด
ตามมาอ่านจบแล้ว จ้ะ ลุ้นตลอดว่า คริส จะได้พบลูกไหม จะ เจรจาสำเร็จไหม โถ ! มาตกม้าตายตอนจบ คือไม่เอ่ยคำว่า รัก กับ ทิพย์สุรางค์ ที่ผู้หญิงทุกคนต้องการได้ยินคำว่า รัก จากผู้ชายที่เธอรัก ทั้งนั้น อิอิ กลายเป็นว่าต้องแต่งงานเพราะเธอมีลูก เลยต้องรับผิดชอบ เลยงอนไปอีก อิอิ จะรอติดตามตอนต่อไป จ้ะ โหวดหมวด งานเขียน ฯ โดย: อาจารย์สุวิมล
![]() ![]() {🔴 [2.21] มนุษย์เอ๋ย จงเคารพภักดีพระผู้อภิบาลของสูเจ้า ผู้ทรงบังเกิดสูเจ้า และบรรดาก่อนหน้าสูเจ้า เพื่อสูเจ้าจะได้สำรวมตน จากความชั่ว
🔵 [2.22] ผู้ทรงทำแผ่นดิน ให้เป็นพื้นสำหรับสูเจ้า และชั้นฟ้าเป็นหลังคา และทรงส่งน้ำมาจากฟากฟ้า และทรงให้ผลไม้ต่าง ๆ งอกเงยออกมา เพราะเหตุนั้น เพื่อเป็นเครื่องยังชีพสำหรับสูเจ้า ดังนั้นเมื่อสูเจ้ารู้ดีอยู่แล้ว ก็จงอย่าตั้งสิ่งใดเคียงคู่กับอัลลอฮ์ 🔴 [2.23] และถ้าหากสูเจ้า ยังคงคลางแคลงสงสัย ในสิ่งที่เราได้ส่งมาแก่บ่าวของเรา ก็ขอให้สูเจ้า จงแต่งขึ้นมาสักซูเราะฮ์หนึ่ง ที่เหมือนกับสิ่งนี้ สูเจ้าอาจจะเรียกใครอื่น นอกจากอัลลอฮ์มาช่วยเหลือสูเจ้าก็ได้ ถ้าหากสูเจ้าแน่จริง (ในความสงสัยก็จงทำ) 🔵 [2.24] แต่ถ้าหากสูเจ้าไม่ทำ และสูเจ้าก็ไม่มีทางที่จะทำได้ด้วย ดังนั้น จงระวังไฟ ที่ถูกเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธ ซึ่งจะมีมนุษย์และหินเป็นเชื้อเพลิง 🔴 [2.25] และ (มุฮัมมัด) จงแจ้งข่าวดี แก่บรรดาผู้ศรัทธา และประกอบการดีทั้งหลายว่า สำหรับพวกเขา คือสวนสวรรค์หลากหลาย ที่เบื้องล่าง มีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน คราวใดที่พวกเขา ได้รับผลไม้จากที่นั่นเป็นปัจจัยยังชีพ พวกเขาจะกล่าวว่า นี่เป็นสิ่งที่เราได้ถูกประทานมาก่อน และพวกเขา จะถูกประทานให้เยี่ยงนั้น และจะมีคู่ครองที่บริสุทธิ์ สำหรับพวกเขาในนั้น และพวกเขาทั้งหลาย จะพักอยู่ในนั้นตลอดไป} ❤ ประโยชน์บางประการของศาสนาอิสลาม 💙 https://justpaste.it/b790p โดย: ศาสนาอิสลาม IP: 172.96.141.81 วันที่: 26 กันยายน 2567 เวลา:17:19:48 น.
|
บทความทั้งหมด
|
พี่สะใภ้ภรรยากับแม่ของตัวอุตส่าห์บอกไว้ก่อนแล้ว