เวลาที่หายไป - บทที่ 1 รถจิ๊ปเก่าคร่ำมะคร่า ที่ถูกฝุ่นสีแดงและโคลนตมจับจนเขรอะไปทั้งคัน เนื่องจากลุยฝนมาตลอดทาง วิ่งโขยกเขยกฝ่าสายหมอกตอนเช้าตรู่ลงมาตามลาดเขาเตี้ยๆ ที่วกเวียนเป็นชั้นๆมาจนถึงชายตลิ่งริมลำธาร ช่วงที่กระแสน้ำไหลเอื่อยลง เพราะถูกสะกัดกั้นด้วยเกาะแก่งโขดหินใหญ่น้อยที่ขวางอยู่กลางลำน้ำเป็นระยะๆ เมื่อรถจอดพรืดลงอย่างกระทันหันร่างเล็กๆผอมแกร็นของเด็กผู้ชายวัยประมาณสิบขวบ ก็กระโดดแผล็วลงมาพร้อมด้วยไฟฉายและถังพลาสติกใบย่อม ตาเรียวยาวของเขาเบิ่งมองไปรอบตัวอย่างหวาดๆ ขณะนั้นดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นแม้จะใกล้หกนาฬิกาแล้วก็ตาม บริเวณโดยรอบยังมืดสลัว ฝนที่ตกพรำๆมาตั้งแต่กลางดึกหยุดสนิทแล้ว แต่หมอกหนายังโรยตัวปกคลุมทั้งต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นหนาทึบอยู่บนฝั่งตรงข้าม และลำน้ำมืดทมึนที่ทอดตัวยาวคดเคี้ยวราวกับงู มาจากสันเขาที่อยู่ไกลออกไป ทอดตัวผ่านเข้าไปในป่า วกออกมาริมที่ราบแล้วไหลผ่านต่อไป อากาศเย็นเฉียบบาดผ่านเสื้อกันหนาวเข้าไปถึงผิวกาย เสียงน้ำค้างตกเปาะแปะสลับกับเสียงนกละเมอ เด็กชายเหลียวหน้าเหลียวหลังล่อกแล่กขณะค่อยๆย่องไปที่ตลิ่ง เมื่อถึงที่หมายเขาก้าวลงไปตรงชายน้ำ ที่เต็มไปด้วยกรวดก้อนเล็กก้อนน้อย ใช้ถังที่ถือมาจ้วงน้ำในลำธารเสียงดังโครมคราม ราวกับจะเอาเสียงช่วยปลอบใจ ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งก็ส่ายไฟฉายกวัดแกว่งไปมาอย่างสะเปะสะปะ แล้วทันใดนั้นหัวใจของเขาก็แทบหยุดเต้นด้วยความตกใจกลัว เสียงร้องที่แผดสนั่นไม่เป็นภาษาของเขา ทำให้คนขับรถจิ๊ปที่นั่งสัปหงกคอยอยู่ในรถกระโดดพรวดลงมา แล้ววิ่งตามเสียงไปด้วยความตระหนกไม่แพ้กัน “ เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น ” เจ้าของเสียงซึ่งอยู่ในกางเกงขายาวหลวมๆ เสื้อคลุมกันหนาวตัวใหญ่หลวมยาวสีมืด สวมหมวกแค็ปรัดกุม ร้องถามเสียงดังอย่างตกใจ เผ่นพรวดเดียวลงไปที่ชายฝั่ง ขณะนั้นท้องฟ้าที่ขมุกขมัวเริ่มสว่างรำไรขึ้นจากแสงอาทิตย์ ที่เริ่มแย้มแสงแรกผ่านก้อนเมฆที่ยังอุ้มฝนและหมอกที่เริ่มจางลงออกมา ทำให้บริเวณนั้นพ้นจากความมืดสลัว แต่ก็ยังไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ชัดเจน เด็กชายปล่อยถังน้ำในมือหลุดโครมลงไป โผเข้าเกาะเอวผู้มาใหม่ แล้วรัวคำพูดออกมาเป็นภาษาท้องถิ่น สลับกันไปกับภาษาภาคกลาง อย่างตื่นตระหนก “ โน่น ดูโน่น อันหยังก่อ” คนหรือผีที่นอนอยู่ตรงตีนโขดหินโน่น ” อีกฝ่ายซึ่งเขม้นมองไปตามมือที่ชี้ไปข้างหน้าของเด็กชาย แต่ก็ยังไม่เห็นอะไร นอกจากโขดหินน้อยใหญ่สีเทาที่เรียงรายกันเป็นกลุ่มอยู่กลางลำน้ำ ฉวยไฟฉายที่ยังอยู่ในมือของเด็กชาย มาส่องปราดไปยังจุดหมาย แล้วสองเสียงก็ร้องประสานออกมาพร้อมกัน “ โอ๊ะ คนนี่! ” “ แม่นก่อ ผีหรือเปล่า ไผจะมานอนอยู่ตรงนั้น ” เด็กชายร้องโวยวาย แต่ตาก็ยังจ้องเขม็งไปที่โขดหิน คนที่เป็นผู้ใหญ่กว่ามองซ้ายมองขวา แล้วมองกลับไปกลับมาระหว่างชายฝั่งที่ยืนอยู่กับโขดหินที่อยู่กลางลำน้ำ ราวกับจะกะระยะทาง เท้าที่อยู่ในบู๊ตยางครึ่งน่องเริ่มก้าวลงไปในน้ำตื้น เด็กชายยึดมืออีกฝ่ายเอาไว้ ร้องถามอย่างตระหนกว่า “จะไปไหน ถ้าเป็นคนเขาอาจจะตายแล้วก็ได้เน้อ ถ้าตายแล้วก็ต้องเป็นผีสิ อย่าลงไปเลยนะ ” “ เด็กบ้า ผีมีที่ไหนกันล่ะ เราต้องลงไปดูก่อนซิ ว่าเขาตายหรือยัง อาจจะแค่สลบไปเท่านั้นก็ได้ ” “ ไม่เอา เฮาบ่ไปดอก คุณหนูก็อย่าไป ” “ ตรงนี้น้ำลึกไหม แกคงรู้สินะ แอบมาเที่ยวแถวนี้บ่อยๆนี่ ” เด็กชายไม่ตอบ เขาหันรีหันขวาง ก้าวเท้าออกเดินไปตามน้ำสองสามก้าว แล้วเปลี่ยนใจก้าวกลับขึ้นมาบนฝั่ง “ คุณหนูรอก่อนนะ ผมจะไปหาไม้ ” เขาร้องสั่งแล้ววิ่งปราดลัดเลาะไปบนพื้นดินเฉอะแฉะ ที่มีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นระเกะระกะ ขณะนั้นท้องฟ้าสว่างขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังมีเมฆหมอกอยู่มากพอที่จะเดาได้ไม่ยาก ว่าฝนอาจจะเทลงมาอีกเมื่อไรก็ได้ เขากลับมาภายในสามนาทีพร้อมไม้ไผ่ท่อนยาว ใช้มีดเดินป่าที่ชอบพกติดตัวเสมอ ออกมาตัดแบ่งไม้ออกเป็นสองท่อนขนาดใกล้เคียงกัน แล้วส่งท่อนหนึ่งให้ ‘คุณหนู’ “ใช้ไม้นี่หยั่งดูว่าตรงไหนน้ำลึกหรือตื้นแค่ไหน แล้วค่อยๆก้าว ” เขาสอนราวกับเป็นผู้ปกครองของอีกฝ่าย “ เดินตามผมมาดีกว่า น้ำแถวนี้ไม่ลึกหรอกฮะ แต่คุณหนูก็ต้องระวัง ” เด็กชายก้าวลงไปในน้ำ ใช้ไม้ในมือแหย่ลงไปจนถึงพื้นทราย เพื่อหาระดับความลึกของน้ำ แล้วโหย่งตัวก้าวไปทีละก้าวทีละก้าว โดยมีคุณหนูก้าวตามไปติดๆ ในไม่ช้าคนทั้งสองก็มาถึงโขดหินกลางน้ำ ตรงนั้นมีร่างของมนุษย์ผู้ชายคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่ ร่างกายท่อนล่างตั้งแต่เอวลงไปทอดอยู่ในน้ำ เสื้อผ้าขาดวิ่นเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด ซึ่งแม้จะเจือจางลงไปบ้างแล้วจากการชะล้างของสายน้ำ แต่ก็ยังมองออกว่าเป็นคราบโลหิต แขนทั้งสองข้างของเขาซึ่งอยู่ในเสื้อยืดแขนสั้น วางพาดเลยศีรษะไปพักอยู่กับแง่หิน คนทั้งสองมองร่างของมนุษย์ผู้ชายคนนั้น แล้วหันมาจ้องตากันอย่างประหวั่นพรั่นพรึง “กลับเถอะฮะ คุณหนู ” เสียงของเด็กชายกระเส่าอย่างหวาดกลัว “ เปิ้นคงตายแล้วแหงๆ ผมกลัว ” คุณหนูซึ่งก็มีสีหน้าประหวั่นพรั่นพรึงพอๆกัน เงียบไปชั่วขณะ แต่แล้วก็ตัดสินใจ “ ช่วยกันพลิกตัวเขาหน่อย จะได้รู้ว่าเขามีบาดแผลตรงไหนบ้างหรือเปล่า สงสัยจะกระแทกโขดหินมาตามทาง ยังหายใจอยู่หรือเปล่าเนี่ย ” เด็กชายทำท่าอิดเอื้อน แต่แล้วก็ยอมทำตามอย่างไม่เต็มใจนัก หลังจากทุลักทุเลกันอยู่พักใหญ่ คนทั้งสองก็สามารถพลิกร่างกำยำล่ำสันของคนผู้นั้นให้นอนหงายได้สำเร็จ เขาเป็นชายหนุ่มผิวขาว อายุประมาณยี่สิบห้าถึงยี่สิบแปดปี หน้าซึ่งรกไปด้วยหนวดเคราราวกับไม่ได้เจอมีดโกนมานานหลายวัน ขาวซีดราวกับปราศจากโลหิต ดวงตาปิดสนิทเห็นแต่ขนตาดกหนาเป็นแพแต่สั้นที่ทาบลงบนแก้ม คิ้วหนาและยาวสีน้ำตาลเข้มเกือบดำขมวดมุ่น ราวกับอยู่ในความรู้สึกเจ็บปวด คุณหนูใช้มืออังที่จมูกของเขา สัมผัสได้ถึงลมหายใจที่บางเบา ราวกับจะขาดลงไปในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง เท่านั้นยังไม่พอ เธอก้มตัวใช้หูแนบลงไปบนแผ่นอกที่ซ่อนอยู่ในเสื้อยืดสีขาว ซึ่งขณะนี้ขาดวิ่นและเปลี่ยนสีไปแล้ว ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจที่ช้าและแผ่วเบา ตลอดเวลาดังกล่าว เด็กชายซึ่งถอยลงไปยืนแช่อยู่ในน้ำ พร้อมที่จะเผ่นออกจากตรงนั้นได้ทุกเมื่อ เบิ่งตาเล็กเรียวมองชายหนุ่มผู้นั้นและคุณหนูของเขาสลับกันไป “ เปิ้นตายหรือยังฮะ คุณหนู ” ในที่สุดเขาก็ส่งเสียงถามออกมา “ ยังหรอก แต่ก็คงจวนเต็มทีแล้ว ” เธอตอบ ใช้สายตาสำรวจไปตามร่างกายส่วนที่อยู่เหนือน้ำชายผู้นั้น ซึ่งมีบาดแผลเล็กๆน้อยๆ รอยฟกช้ำดำเขียวและรอยขูดข่วนเต็มไปหมด เด็กชายเริ่มขมีขมันเข้ามาช่วย หลังจากแน่ใจแล้วว่าชายผู้นั้นยังไม่ตาย ไม่ได้เป็นศพหรือผีอย่างที่เขากลัว มือเล็กๆแหย่ลงไปในบริเวณด้านข้างของเสื้อ ซึ่งมีรอยฉีกขาดเหมือนโดนของมีคม แล้วสะดุ้งโหยงชักมือออกแทบไม่ทัน “ โอ๊ยโหย่ ! อะไรกันเนี่ย ” ว่าแล้วเขาก็เลิกชายเสื้อของชายผู้นั้นขึ้น เปิดให้เห็นบาดแผลเหวอะหวะใต้ชายโครง ที่มีคราบเลือดเกรอะกรังจับตัวกันเป็นก้อนปิดปากแผลอยู่ คุณหนูมองตามมือเขา หน้าของเธอซีดเผือด “ สงสัยเปิ้นจะถูกใครแทงมา ” เด็กชายตั้งข้อสังเกต “ ทำไงดีล่ะ กร ” เมื่อเห็นคุณหนูทำหน้าเหมือนคิดอะไรไม่ออก เด็กชายก็เริ่มทำท่าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาทันที เขาชอบนักละเวลาที่คุณหนูทำอะไรไม่ถูก ต้องขอความช่วยเหลือจากเขา เขากระโดดขึ้นไปบนโขดหินก้อนที่อยู่สูงขึ้นไปแล้วออกคำสั่งกับเธอ “เราต้องช่วยพาเขาออกไปจากโขดหินนี่ก่อน คุณหนูยกหัวเขาขึ้น จับตัวเขาให้นั่ง แล้วเราก็ช่วยกันพยุงเขาคนละข้างไปที่ชายฝั่ง ” เขามองกลับไปที่ชายฝั่งซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก คุณหนูทำท่าถอดใจ “ ไหวเหรอ ตัวเขาใหญ่ขนาดนี้ ใครจะแบกไหวล่ะ ” “ไม่ได้แบกนี่ เราจะพยุงเขาไป ถ้าจำเป็นก็ต้องลากเขาไป ” “ มีหวังตายเสียก่อนถึงฝั่งละมัง ” คุณหนูว่า “ดีไม่ดีแผลเกิดฉีกเลือดไหลหมดตัวล่ะ ” เด็กชายกรทำหน้าเบื่อหน่าย เฮอะ..ผู้หญิง กลัวไปเสียหมด ไม่ยักทำเก่งเหมือนเก่าเลย เขาย่อตัวลงนั่งคุกเข่าบนพื้นหิน สอดแขนเข้าไปใต้ต้นคอของชายแปลกหน้า พยายามยกศีรษะของเขาขึ้น ในขณะที่คุณหนูเข้าช่วยประคองร่างกายส่วนบนของเขาให้ยืดตรง แต่ตัวของเขาก็อ่อนปวกเปียก เมื่อเด็กชายปล่อยมือ ศีรษะของเขาก็ซวนซบลงอิงอยู่กับบ่าของคุณหนู “ลองยกขาเขาดูซิ กร เผื่อเขาจะพอยืนได้บ้าง เราจะได้พยุงเขาข้ามน้ำไปได้ง่ายขึ้น ” คุณหนูสั่งขณะที่โอบแขนไปรอบเอวของชายผู้นั้น เพื่อรั้งเขาไว้ไม่ให้นอนลงไป เมื่อเด็กชายยกขาในกางเกงขายาวสีดำ ขาดกระรุ่งกระริ่งขึ้นสูงให้พ้นจากน้ำ ก็พบว่าขาข้างขวาของเขาบวมเป่งเขียวช้ำ คนทั้งสองช่วยกันพยุงเขาคนละข้าง ค่อยๆกระเถิบตัวจากโขดหินลงไปในน้ำอย่างทุลักทุเล น้ำหนักตัวของชายหนุ่มในวัยฉกรรจ์ ทำให้ร่างแบบบางทั้งสองที่พยุงเขาไว้คนละข้าง ซวนเซไปมาระหว่างการท่องน้ำ บางช่วงร่างที่ช่วยตัวเองไม่ได้ของเขา ลื่นไถลหลุดลงไปกองอยู่ในน้ำ ทำให้ผู้ช่วยทั้งสองต้องตะลีตะลานช่วยกันดึงตัวเขาให้ยืนขึ้นมาอีก โชคดีที่แถวนั้นมีโขดหินเล็กๆที่ช่วยปะทะกระแสน้ำเอาไว้ได้บ้าง ทำให้ร่างของคนทั้งสามไม่ถูกกระแสน้ำพัดพาไป แล้วในที่สุดหลังการลากจูงกันไปในน้ำที่เนิ่นนานใน ความรู้สึกของเด็กชายและคุณหนู คนทั้งสามก็มาถึงชายฝั่ง กรซึ่งเหนื่อยจนหอบแฮ่กๆ ปล่อยมือจากชายหนุ่ม ทำให้น้ำหนักตัวของเขาเทไปที่คุณหนูเต็มที่ แล้วเลยล้มลงไปด้วยกันบนพื้นดินปนทราย คุณหนูผลักร่างของชายแปลกหน้าที่ทับอยู่บนตัวเธอออกไป ผวาลุกขึ้นนั่ง ส่งสายตาเขียวปัดไปที่เด็กชาย แผดเสียงลั่นอย่างโกรธจัด “เด็กบ้า ปล่อยเขาได้ยังไง ไม่มีความคิด ! ” เด็กชายกรซึ่งขณะนั้นกระโดดห่างออกไปจากระยะที่เธอจะเอื้อมถึงแล้ว ค้อนขวับแต่ไม่กล้าเถียง เพราะรู้ฤทธิ์เดชของเธอดี ว่ามือเรียวๆขาวๆของเธอนั้นคว้าหมับเข้าที่ตรงไหน ตรงนั้นก็จะเขียวปัดขึ้นมาทันที หลังจากนั่งพักเหนื่อยกันชั่วครู่ คนทั้งสองก็ทุลักทุเลช่วยกันกึ่งลากกึ่งพยุง พาร่างของชายหนุ่มขึ้นไปบนรถจิ๊ปได้สำเร็จ ร่างของเขาถูกส่งเข้าไปนอนราบอยู่บนเบาะรถด้านหลัง เด็กชายค้นได้ผ้าห่มเก่าๆที่ซุกอยู่มุมหนึ่งของรถ แล้วโปะมันลงไปบนร่างซึ่งเย็นเฉียบและซีดขาวยิ่งกว่าเก่า เขายังคงนอนนิ่งไม่ไหวติงเหมือนเดิม ราวกับว่าวิญญาณได้หลุดลอยออกจากร่างไปแล้ว คุณหนูเข้าประจำที่คนขับ ในขณะที่กรกระโดดลงจากด้านหลัง เพื่อเข้าไปนั่งคู่กับเธอที่ด้านหน้ารถเหมือนขามาแต่เธอสั่งว่า “ไปนั่งกับเขาข้างหลังโน่น เอาหัวเขาหนุนตักแกไว้” เด็กชายทำท่าว่าจะปีนกลับขึ้นไปบนรถตามคำสั่ง แต่แล้วก็ชะงักกึกวิ่งกลับไปที่ลำธาร คว้าถังพลาสติกที่หล่นอยู่แถวนั้น จ้วงน้ำมาได้ครึ่งถังแล้วห้อแน่บกลับมาที่รถ ปีนขึ้นไปด้านหลัง ยกศีรษะของชายแปลกหน้าขึ้นวางบนตักเล็กๆของเขา แล้วใช้มือประคองให้อยู่กับที่ และก็เป็นตอนนั้นนั่นเอง ที่เขาสังเกตเห็นแผลเหวอะหวะอีกแผลหนึ่ง ใต้แนวผมใกล้กกหูของชายผู้นั้น “ โอ๊ย ตรงหัวนี่ก็มีแผลด้วย ! ” เขาโวยวายออกมา “ มีเลือดออกหรือเปล่า” คนขับหันมาถามอย่างละล้าละลัง กรก้มลงมองบริเวณบาดแผล ซึ่งปากแผลมีเลือดแห้งๆเกรอะกรัง “ มีแต่เลือดแห้งๆ ” “เอาละ รีบกลับบ้านกันเถอะ เราคงทำได้แค่นี้แหละ ” คุณหนูเริ่มปลง “ คุณหนูฮะ นี่ถ้าเราไม่มาตักน้ำที่นี่ ก็คงไม่มีใครเห็นเขา เพราะที่ตรงนี้ไม่ค่อยมีใครมา แล้วเขาก็คงต้องตายแหงแก๋ เป็นผีเฝ้าลำธาร เราเป็นฮีโร่ของเขาใช่ไหมฮะ ” คุณหนูสะบัดหน้าพรืดกับคำพูดเพ้อเจ้อของเขา เธอเริ่มโมโหตัวเองที่หลงเชื่อคำกล่อมของกร จนถึงกับยอมขับรถพาเขามาถึงลำธารแห่งนี้ เพื่อหาน้ำบ้าบออะไรก็ไม่รู้ไปเลี้ยงไก่ชนสองตัวของเขา โดยเขาอ้างว่ามีผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านใกล้ๆบอกว่า ถ้านำน้ำจากลำธารแห่งนี้ไปอาบและให้ไก่กิน มันจะแข็งแรงและต่อสู้ได้เก่งขึ้น เธอเดือดดาลที่หลงเชื่อคำพูดของเขาจนพากันมาถึงนี่ จนต้องมาพบและช่วยเหลือชายแปลกหน้าผู้นี้ อย่างลำบากยากเย็น แล้วคุณหนูก็ออกรถอย่างกระแทกกระทั้น จนร่างสองร่างที่อยู่ด้านหลังเซกรูดๆ หน้าผากของกรกระแทกเข้ากับเก้าอี้ข้างคนขับ ในขณะที่ศีรษะของชายแปลกหน้าลื่นหลุดจากตักลงไปที่พื้นรถ เด็กชายรีบกุลีกุจอยกศีรษะของเขาให้ขึ้นมาซบอยู่บนตักอีกครั้งหนึ่ง เลือดที่แผลบนศรีษะเริ่มซึมออกมาอีก คงเป็นเพราะแรงกระแทกเมื่อตะกี้ รถจิ๊ปเริ่มไต่เนินกลับขึ้นไปพร้อมๆกับฝนที่หยุดไปนานแล้ว เริ่มตกโปรยปรายลงมาอีกครั้งหนึ่ง อีกกว่าหนึ่งชั่วโมงต่อมา หลังจากไต่ขึ้นๆลงๆไปมาตามลาดเขาเตี้ยๆวกวน จนมาถึงไหล่เขาสุดท้าย ที่ลาดชันยกสูงขึ้นไปในอากาศ จิ๊ปที่มีสภาพสับปะรังเคคันนั้นก็เริ่มเลี้ยวเข้าทางแยกเล็กๆที่เป็นดินสีแดงปนทราย บุกสวบสาบไปตามทางแคบๆ เลียบกำแพงคอนกรีตเก่าๆสูงทมึนที่คดเคี้ยวไปมา จนถึงประตูบานใหญ่ทั้งกว้างและสูง ที่ทำจากท่อนซุงเรียงรายในแนวนอน ประตูบานนี้ใช้เป็นทางเข้าออกสำหรับผู้ที่พักอาศัยอยู่ในตึกใหญ่เท่านั้น ส่วนพวกคนงานและผู้ที่มาติดต่อทำธุระกับโรงบ่มใบยา ไร่ยาสูบหรือเรื่องอื่นๆ มีทางเข้าออกต่างหาก ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกด้านหนึ่งไม่เกี่ยวข้องกัน คนขับบีบแตรรถสองสามที แล้วเพียงครู่เดียวประตูบานหนาหนักนั้นก็เปิดออก คุณหนูพารถแล่นเข้าไปตามถนนปูน ที่นำไปสู่ลานกว้างปูลาดด้วยหินก้อนแบนๆสีส้ม ที่สีสันของมันเริ่มจางลงจากสีส้มแสดเจิดจ้า มาเป็นส้มอ่อนๆปนเขียว จากตะไคร่ที่เกาะติดอยู่ห่างๆตามรอยต่อของหิน ต่อจากลานหินกว้างใหญ่นี้ มีบันไดหินกว้างยาวห้าขั้นที่นำไปสู่ทางเดินปูด้วยหินชนิดเดียวกัน สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่หนาทึบ สูงเยี่ยมเทียมเมฆ มีทั้ง สัก เต็ง รัง ไทร ต้นตะแบกซึ่งกำลังออกดอกสีม่วงหวานพราวเต็มต้น ต้นคูณที่ดอกสีเหลืองสดสว่างไสวของมัน ชูช่ออรชรห้อยย้อยเป็นพวงลงมาเกือบระดิน ต้นกาสะลองซึ่งมีเถาเล็บมือนางอาศัยเลื้อยพัน ออกดอกสีชมพูปนขาวและแดงงดงาม ส่งกลิ่นหอมตระหลบ ต้นแคแสดดอกสีสดใสเจิดจ้า ตัดกับท้องฟ้าที่ยังมัวสลัวเพราะเมฆฝน ต้นก้ามปูหรือจามจุรีที่เต็มไปด้วยดอกสีชมพูอ่อนหวาน ต้นปีบซึ่งดอกขาวโพลนของมัน งามระเหิดระหงอ่อนช้อยราวกับนางระบำ ตามคาคบของต้นไม้เหล่านี้ มีกล้วยไม้ป่าสีต่างๆโผล่หน้าชูช่ออรชรออกมา บนพื้นดินริมทางเดินเต็มไปด้วยดอกไม้ป่าหลากสีและดอกหญ้า ซึ่งขึ้นแทรกอยู่เป็นกลุ่มๆ ทันทีที่รถจอดสนิทและคุณหนูกระโดดลงมา บริวารสี่ห้าคนที่ยืนเตร่อยู่แถวนั้นก็วิ่งปราดเข้ามา “ คุณหนูไปไหนแต่เช้าครับ ท่านถามหาอยู่ ” หนานคำ คนสนิทของบิดาเธอ เข้ามายืนค้อมกายไต่ถาม เมื่อเห็นกรอยู่ในรถด้วย เขาก็ส่ายหน้าอย่างเอือมๆ “ คุณกรพาคุณหนูไปไหนแต่เช้า คนทางบ้านไม่มีใครรู้เรื่องเลย ” กรซึ่งยังประคองศีรษะของชายแปลกหน้าอยู่ ทำปากยื่น “ ใครบอก คุณหนูให้เราไปเป็นเพื่อนตังหากล่ะ ” คุณหนูไม่สนใจว่าเด็กชายจะแก้ตัวกับหนานคำว่าอย่างไร ตอนนี้เธอร้อนใจ ใคร่ปลดภาระความรับผิดชอบต่อคนแปลกหน้า ที่เธอเสนอตัวไปช่วยเขาออกไปเสียที “ช่วยพาคนเจ็บในรถขึ้นไปบนบ้านก่อน" เธอออกคำสั่งกับหนานคำ "คุณพ่อยังไม่ได้ออกไปไหนใช่ไหม ฉันจะไปเล่าให้ท่านฟังเอง ” คุณหนูก้าวผ่านบันไดหินห้าขั้น เดินไปตามทางเดินซึ่งค่อยๆยกระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆเหมือนขั้นบันได สุดทางเดินเป็นตึกหลังใหญ่ ที่ครึ่งล่างเมื่อมองจากภายนอก ก่อด้วยอิฐดินเผาเป็นก้อนๆสีน้ำตาลอมเหลือง ส่วนครึ่งบนเป็นไม้สักทอง ตีประกบเป็นแผ่นๆสูงขึ้นไปจนถึงหน้าจั่ว หลังคาตึกซึ่งมุงด้วยกระเบื้องโมเนียแผ่นหนาหนักสีน้ำตาลเข้ม หักมุมยักเยื้องไปมาตามรูปทรงของตึก ดูสลับซับซ้อนแต่สวยงาม ตึกหลังนั้นมีขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนเนินสูง รอบตัวบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพันธ์ ก่อนถึงประตูเข้าบ้าน มีระเบียงกว้างปูด้วยหินแกรนิตแผ่นใหญ่ สีน้ำตาลอ่อนเป็นมันวับ หญิงสาวก้าวผ่านประตูหน้าบ้าน ซึ่งเป็นบานไม้สักทองสิบสองบานแบบโบราณที่ขณะนี้เปิดกว้างอยู่ โดยที่บานประตูข้างละหกบานถูกผลักไปพับซ้อนกันไว้คนละข้าง เดินเข้าไปในห้องแรกซึ่งเป็นโถงกลางกว้างใหญ่ กรุทุกด้านด้วยแผ่นกระจกใส ม่านเนื้อหนักหนามันระยับสีครีมอ่อนที่กรุอยู่โดยรอบ ขณะนี้รูดเปิดหมดทุกด้าน เครื่องตกแต่งทุกชิ้นในห้องเป็นแบบล้านนาทั้งหมด ทั้งชุดเก้าอี้ไม้สักทอง สลักเสลาลวดลายวิจิตรพิศดารที่ตั้งอยู่กลางห้อง โต๊ะ ตู้ ตั่ง ขนาดใหญ่ที่รายล้อมอยู่รอบห้องก็ล้วนแล้วแต่สวยขรึมอลังการ ฉากสามตอนขนาดใหญ่ที่ตัวกรอบทำจากไม้สัก ตัวฉากแต่ละตอนเป็นรูปวาดแบบศิลปะล้านนา ที่ลงรักปิดทองอย่างประณีตงดงาม มุมหนึ่งของห้องมีแจกันรูปขวดใบสูงเท่าเอว มีดอกเอื้องช่อยาวๆหลากสีปักประดับอยู่ นาฬิกาโบราณทรงสูงตั้งอยู่อีกมุมหนึ่ง ส่งเสียงตึก ตึก ตึก เมื่อเข็มนาฬิกาค่อยๆเคลื่อนที่ไป คุณหนูเดินผ่านห้องโถงกลางไปตามทางเดินแคบๆ ซึ่งสองข้างมีห้องหลายห้องเรียงรายอยู่ เดินไปจนสุดทางแล้วลงบันไดเตี้ยๆไปยังทางเดิน ที่ปูด้วยหินแผ่นใหญ่ ที่นำไปสู่สนามหญ้าที่มีหญ้าเขียวขจี รอบสนามเต็มไปด้วยไม้ดอกสีสดใสหลากสีหลายพันธ์ ที่มีมากที่สุดคือกุหลาบเลื้อยต้นอวบสูง ออกดอกสะพรั่งเต็มต้น กุหลาบพันธ์พื้นเมืองที่ปลูกเป็นกอสลับสี ออกดอกใหญ่ขนาดจานข้าวใบย่อมๆ เพราะอากาศที่เย็นจัดและการดูแลอย่างดี บิดาของเธอเคยเล่าให้ฟังว่ากุหลาบพันธ์ดีพวกนี้ เป็นกุหลาบเก่าแก่ที่มารดาของเธอปลูกไว้ และเป็นที่ที่บิดาของเธอจะมาชื่นชมกับความงามของมันทุกวันถ้าอยู่บ้าน กุหลาบทุกดอกจะถูกตัดออกจากต้น ต่อเมื่อมันเริ่มโรยราแล้วเท่านั้น คุณหนูพบบิดาของเธอกำลังยืนเอามือไขว้หลัง ก้มลงพิจารณากุหลาบดอกหนึ่งบนเถากุหลาบเลื้อย ซึ่งลำต้นของมันอวบสูง เจ้าของอาณาจักรเวียงพุกามซึ่งเป็นบิดาของเธอ อยู่ในชุดเสื้อม่อฮ่อมสีน้ำเงินและกางเกง ที่มีลักษณะคล้ายกางเกงชาวเลสีเดียวกัน เขาหันมามองเมื่อเธอเดินเข้าไปใกล้ เขาเป็นชายร่างสูงใหญ่ในวัยหกสิบกลางๆ ผิวสองสีออกไปทางเหลือง กรามใหญ่ คิ้วดกและตาคมเฉียบ ที่มีลักษณะดุและทรงอำนาจ “คุณท่านคะ คุณหนูมาแล้วค่ะ ” เธอรายงานตัว รู้ว่าตอนนี้ต้องอ้อนเขาบ้างเพราะมีเรื่องกวนใจมาให้แก้ และการอ้อนที่จะทำให้เขาอารมณ์ดีได้ ก็คือการใช้สรรพนามแบบนี้แหละ คุดนัยเงยหน้าขึ้นมองธิดา แม้กำลังอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว ที่เธอหายออกไปจากบ้านในยามเช้าตรู่โดยไม่บอกไม่กล่าวใคร แต่ความรักอย่างลึกซึ้งต่อเลือดเนื้อเชื้อไขที่เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจ ก็ยังแสดงออกมาจากสายตาที่เพ่งมองเธอ “เช้านี้ไปไหนมาล่ะ พ่อตื่นมาก็ไม่เจอลูกแล้ว ไอ้เจ้ากรมันคงมาชักชวนล่ะสิท่า ไม่ไหวแล้ว สงสัยต้องส่งมันไปเข้าโรงเรียนประจำที่กรุงเทพฯเสียแล้วละ ” “ คุณหนู ” หรือทิพย์สุรางค์เดินเข้าไปกอดแขนบิดา รั้งเขาให้เดินไปนั่งที่เก้าอี้สนามตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด เมื่อนั่งลงด้วยกันเรียบร้อยแล้วเธอก็บอกเขาว่า “ คุณหนูมีอะไรจะบอกค่ะ ” “ อะไรหรือ ” เขาถามพลางมองธิดาอย่างพินิจพิจารณา แล้วก็ขมวดคิ้ว "เดี๋ยวก่อน ทำไมเลอะเทอะยังงี้ล่ะ แล้วไอ้เสื้อกางเกงพวกนี้น่ะ พ่อบอกให้ทิ้งไปตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมยังใส่อยู่ได้ เดี๋ยวคงต้องเรียกนังบัวศรีมาชำระความเสียแล้ว ” นังบัวศรีของคุณพ่อหรือแม่บัวศรีของเธอ เคยเป็นต้นห้องคนสนิทของมารดาเธอ ได้รับมอบหมายจากคุณดนัยให้ดูแลเธอมาตั้งแต่อายุสามขวบ หลังจากที่มารดาเสียชีวิต แม่บัวศรีคนนี้แหละ ที่ทำให้คุณหนูเรียกบิดาว่า 'คุณท่าน' และเรียกตัวเองว่า 'คุณหนู' เพราะได้ยินแม่บัวศรีเรียกบิดาของเธออย่างนั้นและเรียกเธอว่า 'คุณหนู' เธอจึงเรียกตามมาตลอด เธอจึงกลายเป็นคุณหนูของคนทั้งในบ้านและคนงานทุกคนในไร่และโรงงาน ไม่เว้นแม้แต่เด็กชายกร ไม่ว่าเธอจะอายุสามขวบหรือยี่สิบสามขวบ เธอก็ยังเป็น 'คุณหนู' อยู่เหมือนเดิม คุณหนูยิ้มหวานให้บิดา ยิ้มของเธอเป็นยิ้มที่ทรงเสน่ห์ มันทำให้ดวงหน้าที่กำลังมอมแมมอยู่นั้นสว่างกระจ่างใสขึ้นมาทันที คุณดนัยเห็นแล้วก็ต้องกล้ำกลืนความกำสรด รอยยิ้มของทิพย์สุรางค์ถอดแบบมาจากมารดาของเธอไม่ผิดเพี้ยน เขารักเธอนักหนา แม้เธอจะจากไปยี่สิบปีแล้ว เขาก็ไม่เคยคิดที่จะหาใครมาแทนที่ ระหว่างเขากับเธอมีประวัติศาสตร์อันยาวนานระหว่างกัน “ พ่อขา ฟังเรื่องที่ลูกจะเล่าก่อนนะคะ เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง เช้านี้คุณหนูกับนายกร ไปที่ลำธารใกล้ๆกับเวียงพุกามของเรานี่แหละ แล้วก็ไปเจอผู้ชายคนหนึ่ง นอนหมดสติใกล้ตายอยู่บนโขดหินกลางน้ำ เขาคงถูกใครทำร้ายมา เราก็เลยช่วยกันพาเขามาที่นี่ ให้พ่อได้มีโอกาสช่วยเหลือเขาไงคะ ” เรื่องอะไรเธอจะบอกความจริง ว่าไอ้ลำธารที่ว่านั่นน่ะอยู่ห่างจากบ้านมากกว่าหนึ่งชั่วโมงโดยทางรถ ดวงตาดำใหญ่คมปลาบจ้องมองเขาอย่างพยายามคาดคะเนอารมณ์ แล้วรีบพูดต่อไปโดยเร็ว “ก็พ่อเคยสอนลูกไม่ใช่หรือคะ ว่าต้องช่วยเหลือคนที่ประสบเหตุเพทภัย หรือช่วยตัวเองไม่ได้ให้พ้นอันตรายเสียก่อน แล้วค่อยมาวิเคราะห์หาเหตุผลทีหลัง เพราะชีวิตคนสำคัญที่สุด ” บิดาของเธอพูดไม่ออก เพราะเป็นความจริงที่เขาคอยพร่ำสอนเธอให้เป็นคนดี มีจิตเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลก “ แล้วลูกไปที่ลำธารนั่นทำไมล่ะ” พูดจบเขาก็ลุกขึ้นยืน “เอาละ เดี๋ยวพ่อจะไปดูหน่อย ใครคงพาเขาขึ้นมาบนบ้านแล้วละ ไม่ต้องวุ่นวายเรื่องนี้แล้ว ปล่อยให้หนานคำเป็นคนจัดการ ” นิยายเรื่อง "เวลาที่หายไป" นี้เป็นนิยายเรื่องแรก และเขึยนลงใน bloggang .ในปี 2551 ตอนแรกมีคนเข้ามาอ่านน้อยมาก แต่ต่อมาก็มีคนเข้ามาอ่านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีการคอมเม้นท์บ้างเล็กน้อย เพราะผู้อ่านส่วนใหญ่คงไม่ชอบแสดงตัว แล้วต่อมาในปี 2558 ก็แก้ไชปรับปรุงเนือเรื่องให้กระขับขื้น และแก้ไขตัวสะกดให้ถูกต้อง การปรับปรุงแก้ไขครั้งที่ 3 เริ่มต้นในว้นที่ 6 กันยายน 2566 นี้ต่ะ หวังว่าจะมีคนเข้าอ่านพอสมควรนะคะ ที่เอานิยาวเก่ามาอัพเดทไหม่มานำเสนอในตอนนี้ เพราะมีนิยายใหม่ที่กำลังแต่งค้างอยู คือเรื่อง "กรรมเก่า" เพิ่งแตงได้ 10 บทเท่านั้น จึงต้องขอเวลาแตงไปเรื่อยๆ จึงได้นำนิยายเล่มแรกสุดนี้มาให้อ่านแทนไปก่อน คนที่เคยอ่านมาแล้วก็คงไม่อยากอ่าน แต่คิดว่าคงจะมีคนใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยอ่านเข้ามาอ่านพอสมควร
โดย: ดอยสะเก็ด
![]() สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด
กำลัง งง ๆ ว่า บล็อกที่แล้ว อ่านเรื่อง"กรรมเก่า" ตอนที่ 1 นี่นา พอ มาอ่านคำอธิบายของเธอ ก็เลยถึง บางอ้อ อิอิ ครูยังไม่เคยอ่าน จ้ะ และจะอ่านไปเรื่อง ๆ เปิดเรื่องตอนที่ 1 มาแล้ว ก็จะติดตามอ่านต่อไป จ้ะ เปิดตัวละครมา 4 ตัว แล้ว คุณหนู นี่ สงสัยจะ เป็นตัวนางเอก เนาะ อิอิ ติดตามตอนต่อไปว่า คนที่ คุณหนูช่วยมานั้น เขาเป็นใคร ทำไมถูกทำร้ายมา จ้ะ อย่าลืมมาชวน นะจ๊ะ โหวดหมวด งานเขียน ฯ โดย: อาจารย์สุวิมล
![]() ![]() ขอบคุณมากค่ะ เรื่องนี้
คุณตุ้ยส่งมาให้เป็นเล่มเลยค่ะ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() โดย: หอมกร
![]() ![]() ผมมาอ่านเหมือนกันครับแต่ผมไม่ค่อยเม็นต์ ยังอ่านไม่ครบเดี๋ยวค่อย ๆ ทยอยอ่านนะครับ
โดย: The Kop Civil
![]() ![]() เรื่องนี้ เคยอ่านจนเกือบลืม จำได้เลือนราง คนที่บาดเจ็บเป็นพระเอกเป็นทหารสายลับใช่ไหมครับ
โดย: สองแผ่นดิน
![]() ![]() |
บทความทั้งหมด
|