เวลาที่หายไป - บทที่ 46 แล้วสิริมากับทิพย์สุรางค์ก็ได้คุยกันเป็นการส่วนตัว ทิพย์สุรางค์ทั้งโกรธ อายและตกใจ กับการที่คุณลักษณาบุกมาโพนทนาเรื่องของเธอกับคริสถึงบ้านของพี่ชาย แถมยังมีรูปมาแสดงด้วย หลังจากที่สิริมาค่อยๆตะล่อมถามถึงผู้ชายคนที่เธออ้างว่าเป็นพ่อของสิงห์ และพูดตรงๆถึงความคล้ายคลึงกันระหว่างคริสกับลูกของเธอ ในที่สุดทิพย์สุรางค์ซึ่งอัดอั้นตันใจมานานกับเรื่องที่เกิดขึ้น ก็ตัดสินใจเล่าความจริงทั้งหมดให้พี่สะใภ้ฟัง ทั้งๆที่รู้สึกอัปยศอดสู เธอรู้ว่าสิริมาเป็นคนจิตใจดี รักและหวังดีต่อเธอเหมือนน้องสาวแท้ๆ เธอเองก็รักและเคารพพี่สะใภ้คนนี้เหมือนพี่สาวแท้ๆที่เธอไม่เคยมี สิริมาฟังแล้วก็นึกสงสารทิพย์สุรางค์เป็นอย่างมาก ที่ต้องเจอปัญหาชีวิตหนักหน่วงขนาดนี้ “พี่ใหญ่คงโกรธและผิดหวังในตัวน้องมาก” หญิงสาวกล่าวเศร้าๆ นึกเห็นใจพี่ชายอย่างที่สุด เขารักเธอมากก็ย่อมต้องเสียใจและผิดหวังมากเป็นธรรมดา “เรื่องโกรธน่ะคงไม่เท่าไหร่หรอก เท่าที่พี่รู้..คุณใหญ่โกรธคุณคริสมากกว่า ที่ไม่รับผิดชอบน้องทิพย์ พี่เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าน้องทิพย์เป็นฝ่ายที่ไม่ต้องการให้เขารับผิดชอบ แล้วนี่จะทำยังไงต่อไปกันดี” สิริมานี่งคิดถึงวาจาข่มขู่ของคุณลักษณาแล้วรู้สึกไม่สบายใจ ท่าทางผู้หญิงคนนั้นจะทำได้ทุกอย่างเสียด้วยสิ “ตอนนี้พี่ใหญ่อยู่ที่ไหนคะ? น้องอยากจะไปกราบขอโทษพี่ใหญ่สักหน่อย” “คงอยู่ในห้องนั่งเล่นนั่นแหละ น้องทิพย์ไปคุยกับเขาเองก็ดีแล้วละ ถึงเขาจะโกรธบ้างแต่น้องทิพย์ก็รู้นี่ว่าเขารักน้องทิพย์แค่ไหน ไม่มีทางที่เขาจะตัดเป็นตัดตายได้หรอก แต่เอาแบบนี้ดีไหม พี่จะเข้าไปเล่าเรื่องที่รู้จากน้องทิพย์ให้คุณใหญ่ฟังไว้ชั้นหนึ่งก่อน เขาจะได้มีเวลาพิจารณาเปรียบเทียบกับเรื่องที่ยายคุณลักษณานั่นพูด แล้วน้องทิพย์ค่อยเข้าไปขอโทษคุณใหญ่ มีอะไรก็คุยกันเสียให้หมด” ในที่สุดหลังจากที่สิริมาเข้าไปเล่าเรื่องทั้งหมดที่รู้จากเธอ ให้วุฒิเลิศได้รู้ความจริงแล้ว ทิพย์สุรางค์ก็เดินเข้าไปหาพี่ชายของเธอในห้องนั่งเล่น เขานั่งอยู่ในห้องที่ไม่ได้เปิดไฟ มีแต่แสงสลัวจากไฟถนนในบ้านที่ส่องผ่านกระจกเข้ามา ทำให้เห็นหน้าเขาได้ไม่ชัด วุฒิเลิศกำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่เงียบๆ ซึ่งแสดงว่าเขากำลังเครียดอย่างหนัก เพราะปกติเขาจะดื่มเฉพาะเวลาไปงาน หรือสังสรรค์กับเพื่อนฝูงเป็นครั้งคราวเท่านั้น หญิงสาวเดินตรงเข้าไปหา คุกเข่าลงตรงหน้าแล้วพนมมือกราบลงไปบนหัวเข่าของเขา “พี่ใหญ่ขา น้องมากราบขอโทษสำหรับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น รวมทั้งที่ปิดบังเรื่องพ่อของสิงห์ด้วย” เสียงเจือสะอื้นและน้ำตาที่กำลังไหลรินลงมาอาบแก้มของน้องสาวสุดที่รัก ทำให้วุฒิเลิศตกใจ เขารีบดึงตัวเธอขึ้นจากท่าคุกเข่าให้นั่งลงบนเก้าอี้ยาวตัวที่เขานั่งอยู่ แล้วกอดเธอไว้อย่างแสนสงสาร ถึงเธอจะทำเรื่องผิดพลาดเสื่อมเสียแต่เธอก็เป็นน้องสาวคนเดียวของเขา เขาอายุสิบสามปีแล้วตอนที่ทิพย์สุรางค์เกิด ยังจำได้ถึงความตื่นเต้นดีใจที่ได้น้องสาวตัวน้อยที่น่ารักเหมือนตุ๊กตา เขาคอยดูแลเธอ อนาทรร้อนใจกับทุกข์สุขของเธอมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการจากไปของมารดา บางครั้งเขารู้สึกราวกับว่าเธอเป็นลูกของเขามากกว่าน้องเสียด้วยซ้ำ “น้องรัก นิ่งเสียเถิดนะอย่าร้องไห้เลย พี่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว พี่จะคิดว่ามันเป็นเรื่องของเคราะห์กรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็แล้วกัน ตอนนี้เราควรมาช่วยกันคิดว่าจะทำยังไงต่อไปดีกว่า” สองพี่น้องพูดคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่พักใหญ่ ก่อนที่สิริมาจะมาเคาะประตูแล้วเดินเข้ามาในห้อง เธอเปิดไฟช่อบนเพดานกลางห้องที่ส่องแสงนุ่มนวลลงมาทำให้ห้องสว่างขึ้น วางจานผลไม้ที่ถือมาลงบนโต๊ะแล้วทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามกับสามีและทิพย์สุรางค์ “น้อยมาก็ดีแล้ว มาช่วยกันคิดหน่อยว่าจะทำยังไงดี” พี่สะใภ้ของทิพย์สุรางค์มองเธออย่างสงสารเห็นใจ ในขณะที่สามีของเธอถามน้องสาวของเขาว่า “แล้วน้องคิดว่าจะทำยังไงต่อไป” ทิพย์สุรางค์นิ่งอั้นอยู่นานก่อนจะตอบเบาๆว่า “น้องตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไป ลูกคนเดียวน้องเลี้ยงได้ แถมยังมีพี่ใหญ่กับพี่น้อยอีกสองคน ที่จะรักและช่วยดูแลเขา” สองสามีภรรยาสบตากัน วุฒิเลิศถามว่า “ที่น้องตัดสินใจอย่างนี้เพราะอะไร ในเมื่อเขาก็บอกแล้วว่าพร้อมที่จะรับผิดชอบน้องกับสิงห์ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้เรื่องลูก เขาคิดว่าน้องแต่งงานกับคนอื่นไปแล้วไม่ใช่หรือ?” วุฒิเลิศถามอย่างสงสัย แต่สิริมาเข้าใจดีว่าทำไมทิพย์สุรางค์จึงตัดสินใจแบบนั้น มันเป็นความซับซ้อนในหัวใจของผู้หญิงนั่นแหละ ที่ไม่ต้องการได้เขามาเพราะความเห็นแก่ลูกของเขาเท่านั้น เขาควรจะมาเพราะความรักด้วยมิใช่หรือ เมื่อทิพย์สุรางค์ไม่ตอบ วุฒิเลิศก็พยายามเกลี้ยกล่อมต่อ “หรือเพราะเขากำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น พี่เชื่อว่าถ้าเขาเสนอตัวมารับผิดชอบน้อง ก็หมายความว่าเขาจะไม่แต่งงานกับคู่หมั้นของเขา แล้วน้องจะต้องคิดอะไรให้มากเรื่องไปทำไม น้องควรต้องเห็นแก่สิงห์ เขาควรจะได้อยู่กับพ่อแม่ที่แท้จริงของเขา” “แต่น้องทำแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ พี่ใหญ่ เขาไม่ได้รักน้อง เรื่องของเขากับน้องเกิดขึ้นเพราะความผิดพลาด ไม่ใช่ความรัก เขาไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบกับสิ่งที่เขาไม่ได้ตั้งใจ” ความจริงวุฒิเลิศอยากจะถามว่า น้องสาวของเขารักผู้ชายคนนั้นหรือเปล่า แต่ก็รู้สึกเกรงใจและกลัวว่าเธอจะอายเลยไม่กล้าถาม เขาจึงพยายามเกลี้ยกล่อมทิพย์สุรางค์ต่อไป “พี่ขอพูดตรงๆเลยนะว่าถ้าเขายังเป็นแค่นายเคนที่เป็นลูกจ้างของเรา ไม่มีหัวนอนปลายเท้า จำอดีตของตัวเองไม่ได้คนนั้น พี่ก็คงยอมให้น้องไปแต่งงานด้วยไม่ได้ ถึงเขาจะเป็นพ่อของหลานพี่ก็ตาม แต่เรื่องก็เกิดขึ้นมาแล้วและตอนนี้เขากลายเป็นอีกคนหนึ่งที่มีทุกสิ่งทุกอย่างเพียบพร้อม ไม่ได้ด้อยกว่าเราเลย พี่จึงเห็นว่าถ้าน้องยึดเอาความถูกต้องสำหรับลูกเป็นหลัก ปัดเรื่องอื่นทิ้งไปเสียแล้วยอมให้เขารับผิดชอบ เรื่องทั้งหมดก็จะจบลงด้วยดี” สิริมาซึ่งเห็นทิพย์สุรางค์นิ่งเงียบ ก้มหน้ามองพื้นไม่พูดอะไรเลย ถามสามีว่า “แล้วเรื่องยายคุณลักษณาเล่าคะ คุณใหญ่ ท่าทางแกนักเลงมาก แกอาจจะเอาเรื่องนี้ไปประจานให้น้องทิพย์เสียหายมากขึ้น ถ้าเป็นแบบนั้นเราจะทำยังไงคะ” สามีของเธอยิ้มเหี้ยมๆเมื่อตอบว่า “ถ้าน้องหนูตัดสินใจจะให้นายนั่นรับผิดชอบ ผมก็ไม่กลัวหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าแกโพนทนาเรื่องนี้ก็เท่ากับประจานลูกสาวตัวเองด้วยเหมือนกัน คนอย่างแกเป็นเมียนักการเมืองใหญ่โต คงไม่กล้าทำให้ผัวตัวเองเสียหน้าหรอก แกก็เป็นคนประเภทชอบข่มขู่คนที่ยอมแกนั่นแหละ แกอาจจะคิดว่าเราก็มีหน้าตาที่ต้องรักษาเหมือนกัน เลยพยายามเอาเรื่องนี้มาขู่ พอเราเอาจริงเข้าแกอาจจะถอยกรูดๆเสียด้วยซ้ำ ดีไม่ดีกลายเป็นว่าลูกสาวแกเป็นฝ่ายไม่เอานายคริสมากกว่า” สิริมาเห็นท่าทางของทิพย์สุรางค์แล้วก็คิดว่า ตอนนี้ไม่ควรจะพยายามกดดัน ให้เธอรับข้อเสนอของคริสมากไปกว่านี้ ควรจะให้เวลาเธอได้ไตร่ตรองตามลำพังสักพักหนึ่งก่อน ถึงอย่างไรหญิงสาวคนนี้ก็มีความดื้ออยู่ในตัวมากและไม่ชอบการถูกบีบบังคับ เธอจึงพูดกับทิพย์สุรางค์เป็นสัญญาณส่งถึงสามีของเธอไปพร้อมกัน “ตอนนี้น้องทิพย์ก็ลองไปคิดดูเอาเองแล้วกันว่าจะตัดสินใจยังไง คุณใหญ่กับพี่จะไม่บังคับให้น้องทิพย์ทำอะไรที่ไม่อยากทำหรอก เพียงแต่ขอให้คิดถึงสิงห์ให้มากๆ ถึงพี่จะไม่เคยมีลูกแต่ก็รู้ว่าพ่อแม่ทุกคนรักลูก ต้องการให้ลูกได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น แม้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ก็ตาม” คืนนั้นทิพย์สุรางค์นอนไม่หลับ เธอลุกขึ้นนั่งบนเตียงมองลูกชายตัวน้อยที่นอนหลับอยู่ในเตียงเล็กๆของเขาใกล้เตียงเธอ มองความคล้ายคลึงของหน้ากลมๆนั้นกับพ่อของเขา พ่อที่เด็กชายไม่เคยรู้จัก พ่อที่ยังไม่เคยเห็นหน้าลูกที่ทำให้เกิดมา พ่อที่เพิ่งจะรู้ว่ามีลูกก็ตอนที่เขาอายุได้ขวบกว่าแล้ว เขามีแม่อยู่คนเดียวตั้งแต่วันที่ลืมตาดูโลกจนถึงวันนี้ แม่ที่เคราะห์กรรมเล่นตลก ให้ต้องพลาดท่าเสียทีต่อเกมชีวิตอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แม่ที่เคยนึกเกลียดชัง ตั้งแต่เขายังเป็นก้อนเลือดเล็กๆอยู่ในครรภ์ ถึงขนาดแสดงเจตจำนงค์ที่เหี้ยมเกรียมเอาไว้ชัดแจ้ง ในใบสมัครเข้ารับบริการที่สถาบันฯแห่งนั้น ว่าไม่ประสงค์จะเลี้ยงดูเขาหลังคลอด ตอนที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้น ทิพย์สุรางค์ทำใจให้ไม่ยินดียินร้ายกับเด็กที่กำลังเจริญเติบโตอยู่ในครรภ์ เฝ้าแต่ภาวนาให้วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนถึงวันที่เธอจะคลอดเด็กคนนั้นออกมาพ้นท้องเสียที ต่อจากนั้นทางสถาบันฯจะทำอย่างไรกับเขาหรือเอาเขาไปยกให้ใคร ก็แล้วแต่จะจัดการกันเอง ดีเท่าไหร่แล้วที่เธอเลิกล้มความคิดที่จะทำแท้งเขาเสีย ที่เธอยอมอุ้มท้องเขาอยู่นี่ก็ถือว่าเป็นความเมตตาอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่แล้ววันหนึ่ง..เมื่ออายุครรภ์ของเธอได้สี่เดือนกว่า หญิงสาวก็ต้องสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ เมื่อรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของเด็กในครรภ์เที่ทำให้เธอตระหนักว่า สิ่งที่อยู่ในตัวเธอนี้ ไม่ได้เป็นเพียงก้อนเนื้อธรรมดา ที่เธอพยายามบอกตัวเองมาตลอดตั้งแต่วันที่รู้ว่าตั้งครรภ์ แต่เขาเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตเช่นเดียวกับเธอ เขาเองก็กำลังต่อสู้ดิ้นรนเพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่เหมือนกัน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาทิพย์สุรางค์ก็สัมผัสถึงความมีชิวิตของเขา ได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ จากการเคลื่อนไหวดิ้นไปทางโน้นทีทางนี้ที การเตะถีบหน้าท้องเธอเบาบ้างแรงบ้าง เขาเจริญเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ เห็นได้จากหน้าท้องของเธอที่ขยายตัวใหญ่ขึ้น หญิงสาวไม่รู้ตัวว่าเฝ้าสังเกตเขาอยู่ตลอดเวลา เธอรู้สึกเฉยๆเวลาที่เขาเคลื่อนไหวและทำเป็นไม่สนใจ แต่วันใดที่เขาเงียบกริบ ไม่มีการเคลื่อนไหวเหมือนทุกวัน ทิพย์สุรางค์ก็จะเริ่มตื่นตระหนกว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือเปล่า หรือเขาหมดแรงดิ้นรนแล้ว หรือเขาตายแล้ว? ถ้าเขาไม่มีชีวิตอยู่แล้วก็น่าจะเป็นการดีสำหรับเธอน่ะสิ ก็เธอไม่ต้องการเขาไม่ใช่หรือ? เธอเฝ้าแต่สาปแช่งเขาที่เกิดมาเพื่อทำลายเธอไม่ใช่หรือ? แต่ทำไมเธอจึงไม่ดีใจเลยเล่า ตรงกันข้ามเธอกลับเรียกร้องให้หมอมาตรวจดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ใจของเธอรอนๆ ด้วยความวิตกกังวล เฝ้าภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลายในสากลโลก ให้ช่วยปกปักรักษาเขา อย่าให้เขาเป็นอะไรเลย เมื่อหมอบอกว่าเขาปกติดีแล้วต่อมาเขาเริ่มเคลื่อนไหวอีก เธอก็รู้สึกทั้งดีใจและโล่งใจ ทิพย์สุรางค์ไม่รู้หรอกว่านั่นคือสัญชาติญาณความรักความผูกพันของแม่กับลูก ที่ไม่สามารถจะตัดขาดจากกันได้ง่ายๆ แล้วในที่สุด เมื่อตั้งครรภ์ครบแปดเดือน หญิงสาวก็แจ้งกับพนักงานของสถาบันฯ ที่มาสอบถามเธอเป็นครั้งสุดท้าย ว่าเธอยังยืนยันที่จะยกลูกให้ครอบครัวอื่นเอาไปเลี้ยงดูอีกหรือไม่ คราวนี้เธอไม่ลังเลเลยที่จะบอกเขาว่าเธอจะเลี้ยงดูลูกที่กำลังจะออกมาดูโลก ในอีกประมาณหนึ่งเดือนข้างหน้าด้วยตัวเอง ทิพย์สุรางค์ยังจำได้ไม่มีวันลืมถึงวันที่เธอให้กำเนิดเด็กชายคนนั้น เธอเจ็บท้องอยู่นานถึงหนึ่งวันเต็มๆ เธอรู้สึกตื่นตระหนกเมื่อแพทย์ที่ทำคลอดแจ้งให้ทราบว่า การคลอดด้วยวิธีปกติไม่อาจทำได้ เพราะเด็กไม่ยอมกลับตัว ในที่สุดหลังจากปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด แพทย์ได้สรุปให้เธอฟังว่า จำเป็นจะต้องทำคลอดด้วยวิธีผ่าตัดหน้าท้อง ตอนนั้นไม่ว่าหมอจะให้ทำอะไรเธอก็ยอมทั้งนั้น ขอเพียงให้ลูกของเธอได้คลอดออกมาอย่างปลอดภัยก็พอแล้ว ทันทีที่ลืมตาตื่นฟื้นจากฤทธิ์ยาสลบ หญิงสาวจำได้ว่าคำถามแรกที่ผ่านเข้ามาในสมองที่ยังสลึมสะลือของเธอ คือถามถึงลูกว่าเขาปลอดภัยดีหรือเปล่า แล้วหลังจากนั้นอีกหกชั่วโมง เมื่อพยาบาลนำเขาเข้ามาวางลงในอ้อมแขนของเธอ ทิพย์สุรางค์ก็ก้มลงมองทารกตัวน้อยๆ ด้วยดวงตาที่พร่าพรายไปด้วยน้ำตา น้ำตาแห่งความสุขความดีใจอย่างสุดซึ้ง ความรู้สึกเป็นเจ้าของใครคนหนึ่งที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ไหลท่วมท้นเข้ามาในหัวใจจนเต็มตื้น ความรู้สึกดังกล่าวนั้นยิ่งท่วมทวีมากขึ้น เมื่อเธอโอบอุ้มให้นมเขาเป็นมื้อแรกแล้วเขาตั้งหน้าตั้งตาดูดดื่มอย่างหิวโหย ถึงจะรู้สึกเจ็บแต่เธอก็กัดฟันทน ขอเพียงให้เขาได้อิ่ม เจ็บยิ่งกว่านี้เธอก็ทนได้ ระหว่างที่ให้นมลูก ทิพย์สุรางค์ก็เพ่งพิศหน้าตาเขาไปด้วย มองแล้วก็สะท้อนใจคิดไปถึงผู้ชายคนนั้น หน้าตาของทารกในอ้อมแขนของเธอ ถอดแบบมาจากเขาไม่ผิดเพี้ยนทั้งจมูก ปากและตา ผมสีน้ำตาลเข้มของเขาหยิกเป็นขอดๆ แนบศีรษะเล็กๆที่มีลักษณะทุยตั้งแต่เกิด แล้วโดยห้ามใจตัวเองไม่ทัน หญิงสาวรู้สึกได้ถึงความผูกพันกับผู้ชายคนที่ให้กำเนิดทารกคนนี้ร่วมกับเธอ ที่พุ่งปราดขึ้นมาเป็นครั้งแรก น้ำตาที่บังคับไม่ได้ไหลออกมาและตกต้องลงไปบนร่างน้อยๆ ที่กำลังดื่มกินอาหารจากอก นี่คือลูกของเขา แล้วตอนนี้เขาไปอยู่เสียที่ไหน ทำไมจึงปล่อยให้เธอได้มีโอกาสชื่นชมกับทารกน้อย ตัวกระจ้อยร่อยแสนน่ารักเหมือนตุ๊กตาคนนี้อยู่เพียงคนเดียว ป่านนี้เขาอาจจะกลับไปอยู่กินอย่างมีความสุขกับภรรยาที่เขาอาจจะมีแล้ว ก่อนหน้าที่จะหลงลืมความจำ จนต้องมาอาศัยอยู่ที่เวียงพุกามของเธอเกือบหนึ่งปีเต็ม หรือเขาอาจจะแต่งงานกับผู้หญิงสักคนที่รอเขาอยู่ไปแล้วก็ได้ หลังจากกลับคืนไปสู่ครอบครัวของเขา เขาอาจจะลืมไปแล้วจนหมดสิ้น ถึงความเสียหายที่เธอได้รับจากความขาดสติของเขา คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปเรียกร้องหาความรับผิดชอบจากเขา เท่าที่รู้...ตั้งแต่ที่จากเวียงพุกามไปเขาไม่เคยหวนกลับมา ไม่เคยมีใครที่โน่นแม้แต่กรพูดอะไรถึงเขา เมื่อเขาเจตนาจงใจที่จะทำประหนึ่งว่าเธอไม่เคยมีตัวตน เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากตัดเขาเสีย ตัดให้หมดทุกอย่างแม้แต่ความเป็นพ่อของทารกน้อยคนนี้ สงสารก็แต่ลูกเท่านั้น ที่จะต้องเติบโตขึ้นมาโดยปราศจากอ้อมอกที่อบอุ่นของพ่อ ไม่ผิดจากเธอที่ไม่มีอกของแม่ให้ซุกซบตั้งแต่อายุเพียงสามขวบ แต่ถึงอย่างไรชีวิตก็ต้องเดินต่อไป เธอตั้งใจที่จะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด จะเป็นทั้งพ่อและแม่ให้เขา แม้จะรู้ว่ามันคงลำบากยากเข็ญและต้องเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส บางครั้งอาจจะนึกท้อและสาปแช่งโชคชะตา ที่พลิกผันชีวิตอันเรียบง่ายของเธอให้วุ่นวายสับสน แต่เธอก็จะไม่ย่อท้อ จะเผชิญกับอุปสรรคทุกรูปแบบ เพื่อให้ลูกของเธอได้มีทุกสิ่งทุกอย่าง เท่าที่เธอจะหามาให้เขาได้ ให้เขาได้เติบโตเป็นชายหนุ่มที่ดีมีคุณธรรม อย่างเดียวเท่านั้นที่เธอไม่อาจหามาให้เขาได้ คือพ่อที่แท้จริงของเขา พ่อผู้ให้กำเนิดเขาแล้วทิ้งไปไม่ดูดำดูดี หลังจากทารกน้อยอายุได้สามเดือนกว่าเธอก็หอบเขากลับบ้าน ท่ามกลางความตระหนกตกใจจนแทบช็อคของวุฒิเลิศและสิริมา คนทั้งสองนั่งเงียบกริบฟังเรื่องที่เธอจำเป็นและจำใจต้องแต่งขึ้นมาหลอก เพื่อไม่ให้พวกเขาต้องเจ็บปวดมากกว่านี้ ถ้าได้รู้ว่าพ่อของลูกเธอ เป็นเพียงผู้ชายเลวๆไร้ความรับผิดชอบ ไม่มีแม้แต่หัวนอนปลายเท้าและชื่อเสียงเรียงนาม คนที่เคยซัดเซพเนจรมาพึ่งพิงเวียงพุกาม ในฐานะลูกจ้างต๊อกต๋อยคนนั้น แล้วพี่ชายและพี่สะใภ้ที่แสนดีของเธอก็สงบปากสงบคำ ไม่พยายามซักไซ้ไล่เลียงหารายละเอียดเรื่องพ่อของเด็ก เธอไม่รู้ว่าคนทั้งสองเชื่อเรื่องที่เธอเล่าหรือไม่ แต่ทิพย์สุรางค์ยอมแต่งเรื่องมาหลอก ดีกว่าจะเปิดเผยความจริงให้พวกเขาต้องเจ็บปวดหนักขึ้นไปอีก แม้จะทำใจให้ตัดขาดจากผู้ชายคนนั้นและตัดความสัมพันธ์ฉันท์พ่อลูก ระหว่างเขากับลูกของเธอไปแล้ว โดยคิดว่าเส้นทางของเธอและเขาจะไม่มีวันมาบรรจบพบกันอีก แต่ ในที่สุดเธอก็ได้พบกับเขา ถ้าถามว่าดีใจหรือไม่ ทิพย์สุรางค์ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าแม้ใจหนึ่งจะเคียดแค้นเขา แต่อีกใจหนึ่งของเธอก็โลดขึ้นมาด้วยความดีใจ ที่อย่างน้อยที่สุดเธอก็ไม่ได้ดูเขาผิด เขากลายเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อม มีทุกอย่างๆที่เธอเคยแอบหวัง เขามีพื้นฐานเทือกเขาเหล่ากอที่ไม่ได้ด้อยกว่าเธอ ที่จะไม่ทำให้ลูกของเธอต้องมีปมด้อย นอกจากนั้นเขายังได้เสนอตัวที่จะรับผิดชอบเธอและลูก เขาคงได้พยายามติดตามหาเธอจนสุดความสามารถแล้ว แต่คงจะเป็นชะตากรรมนั่นเองที่ทำให้เกิดอุปสรรคนานาประการมาขวางกั้น และที่สำคัญคือทิษฐิของเธอที่ปิดบังซ่อนเร้นตัวเองไม่ให้เขาตามพบ ปฏิเสธแม้แต่ความรับผิดชอบเรื่องลูกที่เขาเสนอมา เพราะอะไรหรือ? ก็คงเพราะความรู้สึกลี้ลับในหัวใจของผู้หญิงนั่นแหละ ที่ต้องการลงโทษเขา ต้องการให้เขาดิ้นรนต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรค พาตัวเองเข้ามารับผิดชอบเธอและลูก โดยมีเงื่อนไขสำคัญที่บอกใครไม่ได้ว่า ถึงจะมีลูกหรือไม่มีเขาก็ควรจะกลับมาหาเธอ มารับผิดชอบเธอ ด้วยความรักเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทิพย์สุรางค์คิดย้อนหลังไปถึงบางครั้ง ที่ลูกน้อยของเธอเกิดตัวร้อนจัดจากพิษไข้ ต้องพาไปหาหมอกลางดึก ก็ได้พี่ชายและพี่สะใภ้นี่แหละที่คอยช่วยเหลือ แม้จะมีคนขับรถประจำบ้านพาไปโรงพยาบาล แต่ไม่มีแม้สักครั้งที่วุฒิเลิศหรือสิริมาจะไม่ไปเป็นเพื่อนด้วย มันทำให้บางครั้งเธอเคยคิดอย่างเจ็บปวดเคียดแค้น ว่าคนที่ควรจะมารับผิดชอบเด็กชายและทำหน้าที่นี้ไม่ได้อยู่ตรงนั้น ตลอดเวลาที่ผู้ชายคนนั้นพยายามที่จะกลับเข้ามาสู่ชีวิตเธอ มีหลายครั้งที่ทิพย์สุรางค์เกือบจะใจอ่อน กับคำวิงวอนขอรับผิดชอบเธอและลูก เพราะถึงอย่างไรเธอก็มีลูกที่ควรจะได้มีพ่อเหมือนเด็กอื่น หญิงสาวรู้ซึ้งว่าชีวิตของเด็กที่ขาดพ่อหรือแม่ย่อมอ้างว้างว้าเหว่ พ่อไม่อาจแทนที่แม่ได้ในกรณีของเธอฉันใด เธอซึ่งเป็นแม่ของเด็กชายสิงห์ ก็ไม่อาจแทนที่คริสซึ่งเป็นพ่อของเขาได้ ถึงคุณดนัยจะรักใคร่ใส่ใจดูแลเธอขนาดไหน แต่เขาก็ไม่สามารถแทนที่มารดาของเธอได้ เธอไม่สามารถจะคุยเรื่องของผู้หญิงกับเขาได้ทุกเรื่อง และในทำนองเดียวกัน ลูกของเธอก็คงไม่สามารถจะคุยกับเธอได้ทุกเรื่อง เพราะบางเรื่องก็เป็นเรื่องที่ผู้ชายต่อผู้ชายต้องคุยกันเอง แต่ทุกครั้งที่ใจอ่อนมันก็กลับเข้มแข็งขึ้นมาได้ด้วยความละอายใจ เมื่อนึกถึงผู้หญิงคนนั้นของเขาที่ไม่มีความผิด บางครั้งคุณลักษณาว่าที่แม่ยายของเขา ทำให้ทิพย์สุรางค์โกรธจนคิดจะเอาชนะ ดึงเขากลับมาหาเธอ แต่แล้วเธอก็ได้เผชิญหน้ากับผู้หญิงที่ชื่อลลิตา ที่มองคริสอย่างเจ็บปวดและมองเธออย่างเหยียดหยาม ทำให้เธอละอายใจจนหน้าชาแล้วชาอีก ที่ทำตัวเหมือนแมวขโมยปลาย่างยามที่เจ้าของเขาเผลอ เมื่อคิดอย่างไรก็ไม่เห็นทางออกที่เหมาะสม หญิงสาวจึงจำเป็นต้องพบคุยกับคริสเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อลาจากกันอย่างถาวร วันที่เขามาลาเธอกลับไปอเมริกา เป็นวันที่เธอคิดว่าเป็นวันสุดท้ายที่จะพบเจอกับเขา แล้ววันนี้เธอและครอบครัวของเธอ ก็ต้องถูกเหยียบย่ำเหยียดหยามอีกครั้งหนึ่ง โดยผู้หญิงวัยกลางคนๆเดิม ที่เคยดูหมิ่นศักดิ์ศรีเธอมาแล้ว มารดาของลลิตาทำให้เธอจำเป็นต้องเปิดเผยความจริงทั้งหมด ระหว่างเธอกับคริสให้พี่ชายและพี่สะใภ้ของเธอรู้ ความจริงที่เธอคิดจะปกปิดไปตลอดชีวิต ทำให้วุฒิเลิศกับสิริมาต้องพยายามเกลี้ยกล่อมเธอให้ยอมรับข้อเสนอของคริส แต่เธอจะรับได้อย่างไร ในเมื่อเธอยังไม่เคยได้ถึงรู้หัวใจที่แท้จริงของเขาเลย ว่ารักเธอบ้างหรือเปล่า หรือจำใจต้องยอมรับผิดชอบเธอเพราะเห็นแก่ลูก แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไปดี จึงจะไม่ทำให้พึ่ชายและพี่สะใภ้ผู้แสนดีของเธอต้องเสียใจมากขึ้นไปอีก อีกสองวันต่อมาเมื่อกรกลับมาถึงบ้าน เขาก็นำของขวัญที่คริสฝากไว้มาให้ทิพย์สุรางค์ ถึงไม่อยากจะรับแต่หญิงสาวก็ไม่กล้าปฏิเสธให้เด็กชายสงสัย เธอเพียงแต่ซักถามเขาเล็กน้อยพอเป็นพิธี แล้วก็เข้าห้องส่วนตัว ดึงกระดาษที่ห่อกล่องใบใหญ่ออก และพบว่ามันคือของเล่นซึ่งเขาคงฝากมาให้สิงห์ ส่วนของขวัญกล่องเล็กที่เธอแน่ใจว่าสำหรับเธอ ทิพย์สุรางค์ถือมันเอาไว้ในมือและนั่งมองอยู่นาน กว่าจะตัดสินใจเปิดออกดูแล้วพบว่ามันคือสายสร้อยทองคำขาว ห้อยจี้เพชรเล็กๆรูปหัวใจสามดวงซึ่งมีขนาดลดหลั่นกันลงมา หัวใจสามดวงนี้เชื่อมติดกันเอาไว้เหมือนหัวใจดวงเดียว เธอหยิบขึ้นมาดูใกล้ๆ รู้ได้จากขนาด ประกายแวววับและสีของเพชรว่ามันมีราคาสูงลิบ ไม่มีโน๊ต นามบัตรหรือจดหมายใดใดแนบมาด้วย แต่หญิงสาวก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณ ว่ามันคือของขวัญชิ้นแรกและชิ้นสุดท้ายจากคริส เพราะมันคือ..ของขวัญหรือของที่ระลึกแทนคำจากลาของเขา!! หลังจากนั้นอีกสามวัน ทิพย์สุรางค์พร้อมเด็กชายสิงห์และแสงดาวพี่เลี้ยงประจำตัวของเขา ก็ออกเดินทางไปเวียงพุกาม โดยหญิงสาวบอกวุฒิเลิศและสิริมาว่า เธออยากจะกลับไปอยู่บ้านสักพักหนึ่ง เพื่อใช้เวลาคิดทบทวนถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเธอ ไม่มีใครกังวลเรื่องเด็กชายตัวน้อย เพราะคนทางเวียงพุกามเข้าใจมานานแล้ว ตามที่วุฒิเลิศต้องการให้พวกเขาเข้าใจ นั่นคือระหว่างอยู่ต่างประเทศทิพย์สุรางค์ได้แต่งงานกับคนที่เธอรัก แต่หลังจากคลอดเด็กชายสิงห์แล้ว คนทั้งสองก็แยกกันอยู่ชั่วคราว เนื่องจากปัญหาส่วนตัวบางอย่าง ดังนั้น แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่คนที่นั่นจะได้มีโอกาสเห็นลูกของเธอ ก็จะไม่มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับกำเนิดของเด็กชาย ทิพย์สุรางค์ไม่มีโอกาสได้รู้ว่าพี่ชายของเธอมีแผนการอย่างหนึ่งอยู่ในใจ วุฒิเลิศนั้นตั้งใจเอาไว้แล้วว่า แม้น้องสาวของเขาจะปฏิเสธ ไม่ต้องการความรับผิดชอบจากคริส แต่เขาในฐานะพี่ชายและหัวหน้าครอบครัว จะยอมให้เธอทำตามอำเภอใจในเรื่องใหญ่ขนาดนี้ไม่ได้ เขารู้ว่าทิพย์สุรางค์เป็นคนทิษฐิสูง แต่เรื่องนี้ไม่ได้มีเธอเกี่ยวข้องอยู่เพียงคนเดียว หลานตัวน้อยของเขาล่ะ? เกียรติยศชื่อเสียงของวงค์ตระกูลอีกล่ะ? วุฒิเลิศคิดว่าจะให้เวลาชายหนุ่มผู้นั้นอีกพักเดียว ที่จะกลับมารับผิดชอบน้องสาวกับหลานของเขา เขาจะต้องหาข้อมูลเรื่องกำหนดแต่งงานของคริสให้ได้ก่อน ถ้าคริสยังเพิกเฉยเมื่อเลยกำหนดเส้นตายที่วุฒิเลิศตั้งใจเอาไว้ เขาก็จะบินไปพบจอห์น เลย์ตันด้วยตัวเอง ให้มันรู้ไปว่าเขาจะเอาตัวผู้ชายคนนั้นกลับมารับผิดชอบไม่ได้ ไม่ว่าทิพย์สุรางค์จะต้องการคริสหรือไม่ก็ไม่สำคัญ เขาคิดว่าอย่างน้อยหลานของเขาก็ต้องมีพ่อ กรรมใดใครก่อคนนั้นก็ต้องรับไป!!!
สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด
อ่านจบแล้ว ซาบึ้งถึงความรักของแม่ที่มีให้ลูกได้มากจริง ๆ ขนาดที่ยังไม่เห็นหน้าลูก อยู่ในท้องแ่ แม่ก็ห่วงมากขนาดนั้น เนาะ เรื่องนี้ คงต้องจบลงอย่างมีความสุข เนาะ ยายแม่ ลักษณา เป็นตัวแปร ของเรื่อง ที่จะให้จบลงอย่างสวยงาม อิอิ รออ่าน จ้ะ เขียนเร็ว ๆ นะจ๊ะ โหวดหมวด งานเขียน ฯ โดย: อาจารย์สุวิมล
![]() ![]() |
บทความทั้งหมด
|
ความรักไม่ใช่เรื่องของคนสองคนนะคะ