ประสพชัยกับคริสมาถึงบ้านของวุฒิเลิศที่ซอยพร้อมพงศ์ ก่อนเวลานัดสิบห้านาที นายแพทย์หนุ่มใหญ่พารถแล่นผ่านประตูอัลลอยด์เข้าไปตามถนนที่นำไปสู่ตึกหลังใหญ่ สองข้างทางมีดอกไม้ปลูกอยู่เป็นกลุ่มๆหลากสีหลายพันธ์ มีต้นไม้ใหญ่ปลูกรวมกันเป็นดงคล้ายๆที่เวียงพุกาม สนามหญ้าขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ทางด้านขวาของถนน มีซุ้มกุหลาบเลื้อยปลูกอยู่เป็นช่วงๆ ระหว่างช่วงดังกล่าวมีเก้าอี้สนามสีขาวตั้งไว้เป็นระยะ
ประสพชัยขับรถผ่านเทอเรสหน้าตึกไปจอดตรงลานกว้างข้างตัวบ้าน ซึ่งเป็นที่จอดรถสำหรับแขก ทั้งสองลงจากรถเดินย้อนกลับมาที่เทอเรสซึ่งมีบันไดสามขั้น ขณะที่กำลังจะขึ้นบันไดคริสมองไปทางขวามือสุดปลายสนามโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาเห็นชิงช้าสนามสีขาวแบบที่มีหลังคาและมีที่นั่งเป็นเก้าอี้ยาวสองตัวหันหน้าเข้าหากัน มีโต๊ะสำหรับวางของอยู่ตรงกลาง บนชิงช้านั้นมีผู้หญิงรุ่นสาวนั่งอยู่ กำลังตักอาหารจากจานที่วางอยู่บนโต๊ะป้อนให้เด็กตัวเล็กๆที่นั่งอยู่บนตัก ชายหนุ่มมองผ่านๆโดยไม่ได้สนใจอะไร เมื่อเด็กรับใช้ออกมาต้อนรับ เขาก็เดินตามประสพชัยขึ้นไปบนตึก
วุฒิเลิศออกมาต้อนรับแขกของเขาที่ห้องโถงใหญ่ ซึ่งคงเป็นห้องรับแขกด้วย เพราะมีชุดรับแขกสไตล์หลุยส์โก้หรูตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง ห้องที่มีขนาดใหญ่นี้ตกแต่งประดับประดาอย่างโอ่อ่าสวยงามสมฐานะ เมื่อคริสยกมือขึ้นไหว้ทำความเคารพ เขาก็ทักว่า
“ดีใจมากที่ได้พบคุณอีกครั้งหนึ่ง เคน.เอ้อ.. คุณคริสใช่ไหม?” แล้ววุฒิเลิศก็มองเขาทั่วตัว “คุณเปลี่ยนไปมากเลยนะ นี่ถ้าเจอคุณที่อื่นผมคงจำไม่ได้”
วุฒิเลิศคิดว่านายเคนคนที่เขาเคยเห็นเพียงไม่กี่ครั้งที่เวียงพุกาม กับผู้ชายที่ประสพชัยบอกว่าชื่อคริสคนนี้ ถึงจะเป็นคนเดียวกันแต่ก็ดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นายคริสคนนี้ดูองอาจผึ่งผายหน้าตามีสง่าราศรี ท่าทางเชื่อมั่นในตัวเอง เขาอยู่ในชุดกางเกงขายาวสีดำและเสื้อยืดแขนสั้นสีเดียวกัน ดูคล่องแคล่วปราดเปรียวมีชีวิตชีวา ไม่เงียบเชียบถามคำตอบคำ บางครั้งดูเซื่องซึม เหมือนตอนที่เป็นนายเคน
ชายหนุ่มเพียงแต่ยิ้มรับคำทักทายของวุฒิเลิศอย่างสุภาพ ในระหว่างที่วุฒิเลิศกับประสพชัยทักทายกัน ตาที่มองกวาดไปรอบๆห้องของเขาไปสะดุดอยู่ที่รูปบนผนังใกล้ตัว เขาเห็นรูปสองรูปที่มีขนาดใหญ่เท่ากัน รูปแรกเป็นรูปเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี กำลังจูงมือเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อายุไม่เกินห้าขวบ ตัดผมม้าปิดลงมาเกือบถึงนัยน์ตากลมโต ส่วนอีกรูปหนึ่งเขามองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นรูปของคุณดนัย ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างวุฒิเลิศและทิพย์สุรางค์ซึ่งเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว คริสจ้องมองรูปของทิพย์สุรางค์อย่างเผลอไผล
วุฒิเลิศซึ่งคงมองตามสายตาเขาเดินเข้ามาหา อธิบายว่า “รูปนั้นผมถ่ายกับน้องสาว ตอนวันเกิดอายุห้าขวบของเขา”
ชายหนุ่มทำหน้าเก้อๆละสายตาจากรูป “อ้อ..ครับ” เขากำลังคิดว่าทิพย์สุรางค์ฉายแววความงามออกมาอย่างเด่นชัดตั้งแต่ยังเด็กแล้ว
พี่ชายของทิพย์สุรางค์บอกชายหนุ่มทั้งสองว่า “เข้าไปในห้องนั่งเล่นกันเถอะ เด็กเขาจัดเหล้ายาปลาปิ้งไว้ให้แล้ว”
พูดจบเขาก็เดินนำหน้าพาประสพชัยและคริสเข้าไปในห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ ที่ผนังด้านหนึ่งกรุกระจกใสมองออกไปเห็นน้ำพุเล็กๆ กลางสวนดอกไม้ที่กำลังออกดอกสะพรั่ง ในห้องนั้นมีเก้าอี้นวมนั่งสบายชุดใหญ่และอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงอยู่ครบครัน บาร์เหล้าตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง บนโต๊ะกลางระหว่างเก้าอี้นวมมีขวดวิสกี้ที่เปิดแล้ว ขวดโซดา ถังน้ำแข็งเล็กๆ น้ำเปล่า แก้วเหล้าและของแกล้มเหล้าสองสามจาน
วุฒิเลิศเชิญแขกของเขาให้นั่งลงที่เก้าอี้นวมชุดนั้น ทันทีที่นั่งลงประสพชัยก็คว้าแก้วเปล่าสองใบมาคีบน้ำแข็งใส่ลงไปแก้วละสองสามก้อน หยิบขวดวิสกี้มาเปิด เทเหล้าลงในแก้ว ส่งแก้วหนึ่งให้คริสแล้วยกอีกแก้วหนึ่งขึ้นจิบ ส่วนเจ้าของบ้านซึ่งคงนั่งจิบเหล้าไปพลางๆระหว่างรอแขก ก็ยกแก้วของเขาที่วางทิ้งไว้ตอนออกไปรับแขกขึ้นมาดื่มต่อ
“คุณคริส ผมดีใจด้วยนะที่คุณจำเรื่องเก่าๆได้ กลับไปอยู่กับครอบครัวคุณที่อเมริกาแล้ว” วุฒิเลิศพูดกับคริสตามที่รู้จากประสพชัย แล้วเขาก็ซักถามเกี่ยวกับครอบครัว หน้าที่การงานของชายหนุ่มอยู่พักหนึ่ง
ตอนหนึ่งของการสนทนาวุฒิเลิศพูดกับคริสว่า “ผมยังไม่รู้เลยว่าคุณนามสกุลอะไร”
“เลย์ตัน ครับ คริส เลย์ตัน”
วุฒิเลิศวางแก้วเหล้าลง ถามอย่างสนใจว่า “คุณเป็นอะไรกับจอห์น เลย์ตัน
คริสมองวุฒิเลิศอย่างสงสัย “ท่านเป็นพ่อผม คุณใหญ่รู้จักหรือครับ?”
“รู้จักสิ จอห์นถือหุ้นในบริษัทผมเกือบสิบเปอร์เซนต์ แล้วก็ยังรู้จักกับคุณพ่อผมดีด้วย”
ทั้งคริสและประสพชัยมองหน้าวุฒิเลิศเป็นตาเดียวกัน ต่างก็รู้สึกตรงกันว่าโลกนี้ช่างแคบเสียจริง ไปๆมาๆก็อยู่ในแวดวงเดียวกันแทบทั้งนั้น
วุฒิเลิศพูดต่อไปว่า “ถ้าคุณเป็นลูกจอห์น คุณแม่คุณก็เป็นคนไทยน่ะสิ คุณพ่อผมเคยเล่าว่าภรรยาของจอห์นเป็นคนไทย”
“คุณใหญ่รู้จักแม่ผมด้วยหรือครับ?” ชายหนุ่มถามอย่างตื่นเต้น
“ไม่รู้จักหรอก ผมไม่เคยพบเธอ เคยพบแต่คุณพ่อคุณเท่านั้น”
วุฒิเลิศมองชายหนุ่มรุ่นน้องที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยความสนใจมากขึ้น เขารู้จักฐานะและชื่อเสียงของจอห์น เลย์ตันดี ว่าเป็นนักบริหารการเงินที่เก่งกาจ เป็นเศรษฐีเจ้าของธุรกิจหลายอย่าง รวมทั้งบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เลย์ตันในนิวยอร์ค
นิ่งกันไปครู่หนึ่งประสพชัยก็ถามว่า “มาดามของนายไม่อยู่หรือ?”
“เดี๋ยวออกมา กำลังคุมเด็กให้ทำกับแกล้มอยู่”
“แล้วนี่นายชวนใครมาอีกหรือเปล่า?” ประสพชัยถามต่อ
“ก็มีไอ้เพ้งอีกคนแล้วก็ชาคริต” แล้วเขาก็หันมาถามคริสว่า “คุณคงจำชาคริตได้ แต่ก่อนเขาไปที่เวียงพุกามบ่อยๆ”
“ครับ” ชายหนุ่มตอบเพียงแค่นั้น ยกแก้ววิสกี้ขึ้นดื่ม นึกในใจว่าจะลืมได้ง่ายๆอย่างไรเล่า ก็หนุ่มหน้าตาดีคนนี้ไม่ใช่หรือที่แวะเวียนมาหาทิพย์สุรางค์อยู่บ่อยๆเมื่อมีโอกาส
“อ้าว ถ้างั้นคุณหนูก็มาด้วยน่ะสิ” ประสพชัยร้องออกมา ทำให้คริสแทบสำลักเหล้าที่กำลังดื่มอยู่ ใจวูบลงไปทันที ทิพย์สุรางค์อยู่ในนิวยอร์คไม่ใช่หรือ? เธอมาเมืองไทยตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วทำไมจะมาพร้อมกับชาคริต! นี่หมายความว่าอย่างไรกันแน่ หรือว่าเจ้าผู้ชายที่เธอแต่งงานด้วยคือนายชาคริตคนนี้เอง!! ชาคริตนี่น่ะหรือที่ทิพย์สุรางค์ยกให้เป็นพ่อของลูกเขา!?
ประสพชัยพูดยังไม่ทันขาดคำ เด็กรับใช้ก็พาหนุ่มใหญ่คนหนึ่งเข้ามาในห้อง เขาเดินลิ่วเข้ามาที่คนทั้งสามนั่งอยู่ พร้อมกับยกมือทักทาย
“อ้าว..เพ้ง ทำไมมาช้านักวะ? นึกว่าจะไม่มาเสียแล้ว” ประสพชัยเอะอะทักทาย แล้วชี้ให้นายเพ้งหรือสาทิตเพื่อนสนิทของเขาและวุฒิเลิศ นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งใกล้กับเขา
“ไม่มาได้ไงวะ” นายเพ้งพูดเสียงดัง เมื่อเหลือบเห็นชายหนุ่มแปลกหน้าที่นั่งตรงข้ามกับวุฒิเลิศ เขาก็มองอย่างสงสัย ทำให้เจ้าของบ้านหนุ่มใหญ่ต้องรีบแนะนำคนทั้งสองให้รู้จักกัน
“นี่คุณคริส นายทหารจากสหรัฐฯ มาร่วมฝึกคอบร้าโกลด์ที่นี่” แล้วเขาก็บอกคริสว่า “นี่เพื่อนผม สาทิต แต่เพื่อนๆเรียกมันว่าไอ้เพ้ง เป็นวิศวกรใหญ่อยู่ปตท.”
ผู้ชายทั้งสองกล่าวคำทักทายกันแล้วก็ร่วมดื่มเหล้ากันต่อไป กับแกล้มเหล้าเริ่มทะยอยถูกส่งเข้ามาเรื่อยๆ คริสดื่มเหล้าไปสามสี่แก้วแล้วตอนที่ชาคริตเดินเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มผู้นั้นรู้จักคุ้นเคยกับทุกคนในห้องนั้นเป็นอย่างดี แม้แต่สาทิตหรือนายเพ้ง เพราะเขาเอ่ยปากทักทายอย่างสนิทสนม
เมื่อชาคริตนั่งลงใกล้ๆกับคริส ประสพชัยก็ถามเขาว่า “จำเคนได้ไหม ชาคริต”
ชาคริตซึ่งเห็นคริสแล้วแต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร หันขวับมามองคริสที่นั่งอยู่ใกล้ๆ แล้วก็คงจะจำได้เพราะเขาพูดออกมาว่า “อ้าว เคนนี่เอง คุณเปลี่ยนไปมากจนผมจำแทบไม่ได้” เขามองหน้าคริสอย่างพิศวงในสิ่งที่เขาเห็น ก่อนจะยื่นมือออกมาให้จับ “ยินดีด้วยนะครับ เห็นพี่หมอบอกว่าคุณจำเรื่องเก่าๆของคุณได้หมดแล้ว เจอกับครอบครัวแล้วด้วย”
ถึงจะสะกิดใจเรื่องทิพย์สุรางค์กับชายหนุ่มผู้นี้ แต่คริสก็จับมือและพูดคุยกับเขาอย่างสุภาพ เขาเคยชอบชาคริตสมัยที่อยู่เวียงพุกาม เพราะเห็นว่าชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเขาคนนี้เป็นคนไม่ถือตัว มีอัธยาศัยไมตรีที่ดีต่อเขาและคนทั่วไป
นายแพทย์ประสพชัยถามชาคริตว่า “คุณหนูล่ะ ไม่ได้มาด้วยกันหรือ?”
“มาครับ เธอเข้าไปหาพี่สิริมาในครัว เดี๋ยวคงจะเข้ามา”
คำตอบของเขาทำให้คริสแน่ใจมากขึ้น ว่าชาคริตคงเป็นคนที่ทิพย์สุรางค์แต่งงานด้วย อีกสักครู่เธอคงจะลงมาสมทบกับพี่ชายและสามีของเธอ แล้วเขาล่ะ? ควรจะนั่งทำไม่รู้ไม่ชี้อยู่ตรงนี้อีกหรือเปล่า เธอรู้ล่วงหน้าหรือไม่ว่าพี่ชายเธอชวนเขามากินเหล้าวันนี้ เขาไม่อยากเห็นเธอทำหน้าตื่นเต้นตกใจเมื่อเห็นเขา ถ้าเธอไม่รู้มาก่อน
หลังจากนั้นอีกเพียงสิบนาที สิริมาก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับทิพย์สุรางค์ คริสลอบมองเธออยู่เงียบๆระหว่างที่เธอทักทายประสพชัยและสาทิต เขารู้สึกว่าทิพย์สุรางค์สดใสขึ้นกว่าตอนที่พบกันครั้งสุดท้ายในอเมริกา เธอยิ้มแย้มแจ่มใสให้กับคนที่เธอพูดด้วย เธอยังไม่เห็นเขา
แต่ทันทีที่วุฒิเลิศพูดกับภรรยาว่า “น้อย นี่ไงเคน จำได้ไหม? ชื่อจริงของเขาคือคริส” ทิพย์สุรางค์ก็หันขวับมาสบตาเขาพอดี
คริสเห็นอาการตกตะลึงของเธอ หน้าของเธอเผือดสีลงจนเห็นได้ชัด ดีที่ไม่มีใครทันสังเกตเพราะสิริมาหันมาทักทายต้อนรับเขา ด้วยมารยาทที่ดีของเจ้าของบ้าน
สิริมาลงนั่งคุยกับแขกของสามี เขาได้ยินเธอถามสาทิตหรือนายเพ้งอย่างสนิทสนมว่า “คุณเพ้ง เมื่อไหร่จะมีแฟนกับเขาเสียทีล่ะคะ”
นายเพ้งหัวเราะแหะๆ “กำลังสนใจผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง กะว่าวันหลังจะพามาให้คุณน้อยช่วยดูหน่อย”
“จริงหรือคะ? ถ้าจริงก็พามาเลย อยากรู้จังว่าผู้หญิงคนไหนทำให้คุณเพ้งเลิกเป็นฤาษีได้”
“คงต้องอีกสักพัก เพิ่งรู้จักกันไม่นาน ยังไม่รู้เลยว่าเขาคิดยังไงกับผม”
ประสพชัยหัวเราะก้าก แซวเพื่อนว่า “โธ่..ไอ้บ้า แค่นจะคุยว่าจะพามาให้คุณน้อยดูตัว ผู้หญิงเขายังไม่รู้เรื่องอะไรด้วยซักหน่อย”
ระหว่างที่สิริมาพูดคุยกับสาทิต คริสเห็นทิพย์สุรางค์ทำท่าอึดอัด เธอยืนก้มหน้าอยู่หลังเก้าอี้ของประสพชัยเพียงครู่เดียว ก็ขอตัวออกไปจากห้อง หลังจากอ้างอะไรบางอย่างกับพี่ชายของเธอ ซึ่งเขาไม่ได้ยิน
หลังจากนั้นอีกประมาณยี่สิบนาที เจ้าของบ้านฝ่ายหญิงก็เชิญแขกทั้งหมด เข้าไปในห้องอาหารซึ่งอยู่ถัดไป บนโต๊ะอาหารยาวที่มีเก้าอี้สิบสองตัวล้อมรอบ มีอาหารมากมายหลายชนิดตั้งเรียงรายอยู่อย่างสวยงามและเป็นระเบียบ
วุฒิเลิศนั่งลงที่เก้าอี้หัวโต๊ะ ภรรยาของเขานั่งบนเก้าอี้ทางด้านขวามือของเขา ประสพชัยนั่งทางด้านซ้ายของวุฒิเลิศ ถัดมาเป็นสาทิตแล้วต่อด้วยคริส ส่วนชาคริตลงนั่งห่างจากสิริมาโดยเว้นเก้าอี้ไว้หนึ่งตัว ซึ่งคริสเข้าใจว่าเขาคงเว้นไว้ให้ทิพย์สุรางค์ ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าหายไปไหน
ขณะที่คนรับใช้กำลังเตรียมจะตักข้าวให้แขกแต่ละคน วุฒิเลิศก็ถามขึ้นมาว่า “น้องหนูทำไมยังไม่มา” แล้วเขาก็ลุกขึ้นยืน “ทานกันไปก่อนนะ ผมขอตัวไปดูหน่อย”
วุฒิเลิศหายออกไปประมาณสองสามนาทีก็เดินกลับเข้ามาพร้อมทิพย์สุรางค์ ซึ่งเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ระหว่างสิริมากับชาคริต เธอไม่มองหน้าใครเลย แต่คริสสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเธอดูปกติกว่าเมื่อครู่ก่อน
ทุกคนรับประทานอาหารและพูดคุยกันอย่างสนิทสนมเป็นกันเอง ถ้ามีคนช่างสังเกตจะเห็นว่ามีคนสองคนในห้องนั้น ที่แทบจะไม่ได้พูดอะไรเลย ทิพย์สุรางค์ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารอยู่เงียบๆ คริสก็รับประทานเงียบๆเหมือนกัน แต่เขาเห็นการเอาอกเอาใจอย่างเปิดเผยของชาคริตต่อหญิงสาวผู้นั้น เขาคอยตักอาหารจากจานโน้นจานนี้ใส่ลงไปในจานข้าวของเธอ ซึ่งทิพย์สุรางค์ก็จะเงยหน้าขึ้นยิ้มอ่อนๆกับเขาแทนคำขอบคุณ
ชายหนุ่มรู้สึกเสียวปลาบในหัวใจเมื่อเห็นถ้อยทีถ้อยเอาใจของคนทั้งสอง ถามตัวเองว่าเป็นอะไรไปอีกล่ะ ทำไมภาพที่เห็นมันถึงได้บาดตาบาดใจได้ขนาดนี้ เขาหึงชาคริตหรือ? เขามีสิทธิอะไรที่จะไปหึงสามีของทิพย์สุรางค์ ก็ไหนว่าตัดใจลืมเธอได้แล้วไง?
แต่แล้วเขาก็อดค่อนขอดอย่างหมั่นไส้อยู่ในใจไม่ได้ว่า “แต่งงานกันมากี่ปีแล้วนี่ อย่างน้อยก็คงปีกว่า ยังมาทำหวานอวดคนอื่นอยู่ได้”
หลังอาหาร เจ้าของบ้านเชิญแขกกลับเข้าไปในห้องนั่งเล่นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งตอนนี้คนรับใช้ได้นำชุดกาแฟกระเบื้องเคลือบลายทองเนื้อดีครบชุด มาวางเตรียมไว้ให้แล้วบนเคาเตอร์บาร์
“ใครจะดื่มกาแฟก็บริการตัวเอง ใครจะดื่มเหล้าต่อก็จัดการได้เลย”
วุฒิเลิศพูดแล้วก็ลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม รินเหล้าแจกพวกผู้ชาย ทิพย์สุรางค์เดินมากับชาคริตแล้วลงนั่งด้วยกันบนเก้าอี้นวมตัวยาว คริสคิดว่าเธอคงปรับอารมณ์ได้แล้วตอนนี้ เพราะเธอเริ่มพูดคุยกับคนโน้นคนนี้บ้างแล้ว โดยไม่เหลือบแลมาทางที่เขานั่งอยู่เลย ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนอย่างนั้นแหละ ชายหนุ่มคิดอย่างพาลๆ
“น้องจ๋า “ พี่ชายของเธอซึ่งคงเริ่มมึนบ้างแล้วเพราะดื่มเข้าไปหลายแก้วพูดกับเธอ “ทำไมไม่คุยกับคุณคริสบ้างล่ะ น้องยังไม่เคยพบเขาเลยไม่ใช่หรือ ตั้งแต่ที่เขาออกจากเวียงพุกามไปน่ะ?”
ทั้งคริสและทิพย์สุรางค์หน้าเจื่อนพอๆกัน แต่แล้วชายหนุ่มซึ่งดื่มเข้าไปหลายแก้วแล้วเหมือนกัน ก็มองหน้าผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา แต่เยื้องห่างออกไปอย่างท้าทาย
“คุณทิพย์สุรางค์อาจจะยังไม่หายโกรธผม ที่ทำเหมือนคนไม่รู้จักบุญคุณ ไปจากเวียงพุกามโดยไม่ได้ร่ำลาและไม่ได้ขอบคุณเธอ ที่ช่วยให้ที่พักพิงแก่ผมเกือบหนึ่งปี”
เขาพูดด้วยเสียงและสีหน้าที่สุภาพ มีรอยยิ้มนิดๆบนริมฝีปากรูปงาม แต่ทิพย์สุรางค์เห็นความคมดุของดวงตาที่จ้องหน้าเธอเขม็ง ราวกับจะให้ทะลุไปถึงหัวใจ หญิงสาวใจไม่ดีไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหน หรือว่าเขาจะเมา เพราะเธอเห็นหน้าเขาค่อนข้างแดง
ประสพชัยซึ่งก็คงจะมึนพอๆกับวุฒิเลิศ เอะอะขึ้นมาว่า “เออ คุณหนู ตอนที่คุณหนูอยู่เมืองนอกน่ะ เคน เอ้อ..คริสน่ะ เคยไปหาผมที่โรงพยาบาลสองสามครั้ง ไปถามว่าเขาจะติดต่อกับคุณหนูได้ยังไง เขาอยากจะขอบคุณที่เคยช่วยเหลือเขา ถ้าจะโกรธเรื่องนี้ก็เลิกโกรธได้แล้ว ผมยืนยันได้ว่าเขาพยายามจะมาขอบคุณคุณหนูจริงๆ แต่คุณหนูไม่ได้อยู่ให้เขามีโอกาสได้ขอบคุณเองนี่นา”
คราวนี้ทั้งคริสและทิพย์สุรางค์ต่างก็ตีหน้าเก้อไปตามๆกัน อึ้งไปด้วยกันครู่หนึ่งชายหนุ่มก็กล่าวว่า “ไม่เป็นไรครับ ถ้างั้นวันนี้ผมขออนุญาตขอบคุณคุณทิพย์สุรางค์เสียเลย สำหรับความกรุณาทุกอย่างของเธอต่อผม ถึงแม้ตอนนั้นผมจะเป็นเพียงคนพเนจรไร้อดีต ไม่มีหัวนอนปลายเท้า แต่เธอก็ยังให้ความเมตตาผมโดยไม่ถือเนื้อถือตัวเลย” แล้วเขาก็จ้องมองทิพย์สุรางค์ตรงๆเมื่อพูดต่อว่า “ขอบคุณมากครับ คุณทิพย์สุรางค์”
เสียงของเขาสุภาพตามปกติก็จริง แต่แววตาของเขาดุและสีหน้ามีรอยยิ้มนิดๆที่ไม่มีใครเข้าใจความหมายของมัน ยกเว้นทิพย์สุรางค์ที่คิดว่าเธอเข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร เลือดเริ่มฉีดขึ้นหน้า จนแก้มของเธอแดงระเรื่อขึ้นมาทันทีด้วยความโกรธ
หญิงสาวรู้สึกอึดอัดอยากจะออกไปจากห้องนั้นเต็มที แต่ก็กลัวว่าจะส่อพิรุธให้คนอื่นเห็น ในขณะที่วุฒิเลิศและภรรยาลอบสบตากันอย่างเริ่มคลางแคลงใจ แต่โชคดีที่สาทิตซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรกับเรื่องที่กำลังพูดกันอยู่ เปลี่ยนไปพูดถึงปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังวิกฤติ ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลก ที่ถีบตัวสูงขึ้นเรื่อยๆโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง ทำให้ทุกคนเปลี่ยนไปพูดคุยกันในเรื่องดังกล่าว
แล้วในที่สุดการเลี้ยงก็เลิกรา ประสพชัยและคริสเป็นคู่แรกที่ขอตัวกลับก่อนเมื่อเวลาประมาณยี่สิบสี่นาฬิกา นายแพทย์หนุ่มใหญ่อาสาจะไปส่งคริสถึงบ้าน หลังจากสอบถามแล้วรู้ว่าเขาจะไม่กลับไปที่หน่วยงาน แต่จะกลับบ้านมารดาของเขาซึ่งอยู่แถวถนนสาธร ถึงแม้ชายหนุ่มจะเกรงใจและขอต่อแท็กซี่ไปเองก็ตาม
ระหว่างนั่งรถไปด้วยกัน คริสซึ่งยังไม่ลืมภาพบาดตาที่บ้านของวุฒิเลิศ ถามประสพชัยว่า “คุณหนูกับคุณชาคริต อยู่บ้านเดียวกับคุณวุฒิเลิศหรือครับ?”
ประสพชัยซึ่งกำลังขับรถค่อนข้างเร็ว ผ่อนคันเร่งลงแล้วเหลียวมามองอีกฝ่ายด้วยท่าทางงงๆ “ว่าไงนะ? “
เขาถามย้ำเหมือนไม่เข้าใจคำถาม แต่แล้วก็ตอบว่า “คุณหนูน่ะอยู่กับเจ้าวุฒิ ส่วนชาคริตก็อยู่บ้านเขาสิ ทำไมคุณถามยังงั้นล่ะ?”
คราวนี้คริสกลับเป็นฝ่ายงงบ้าง “ผมเข้าใจว่าคนที่แต่งงานกันแล้วก็น่าจะอยู่ด้วยกัน ไม่ใช่หรือครับ?”
คราวนี้ประสพชัยถึงกับเหยียบเบรคหยุดรถเลย เพราะขณะนั้นรถวิ่งอยู่บนเลนซ้ายสุดและถนนในยามดึกมีรถวิ่งจำนวนน้อย
“คุณหมายความว่าไง ใครกับใครแต่งงานกัน? หรือคุณคิดว่าคุณหนูกับชาคริต...” แล้วเขาก็ทำหน้าว่าเข้าใจ “อ๋อ..คุณคงคิดว่าเขาสองคนแต่งงานกันแล้ว เปล่าหรอก..ยังไม่ได้แต่ง คุณหนูเธอคงไม่แต่งกับใครง่ายๆหรอก ชาคริตน่ะมันชอบคุณหนูมานานแล้วละ เจ้าวุฒิมันก็ไม่รังเกียจถ้าจะมาเป็นน้องเขย แต่คุณหนูน่ะดูยาก เธอวางตัวเฉยๆกับเจ้าหนุ่มทุกคนแหละ ไม่ได้มีแต่ชาคริตคนเดียวหรอกนะ ที่เทียวไปเทียวมาบ้านเจ้าวุฒิน่ะ”
ประสพชัยร่ายยาวแล้วขับรถต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้หรอกว่าใจของคริสเต้นรัว รู้สึกราวกับว่าหัวใจที่ถูกกระชากออกจากอกตกลงไปที่พื้น กลับคืนเข้ามาในที่ในทางของมันอีกครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มดีใจที่รู้ความจริงว่าทิพย์สุรางค์ยังไม่ได้แต่งงานกับใคร แต่แล้วก็ถามตัวเองว่าแล้วทำไมเธอจึงบอกเขาว่าเธอแต่งงานแล้ว เธอมีเหตุผลอะไร ? เธอหลอกเขางั้นหรือ? งั้นเรื่องลูกล่ะ เธอพูดความจริงหรือเปล่า ? ถ้าจริงแล้วตอนนี้เธอเอาเขาไปไว้ที่ไหน ?
ถ้าประมวลเอาเองจากที่เธอเล่าในวันสุดท้ายที่พบกัน ก็หมายความว่าเธอคลอดลูกที่อเมริกา แล้วเธอทำอย่างไรกับเด็กที่คลอดออกมา หรือว่า...หรือว่า...เธอยกเขาให้ใครไปแล้ว? ชายหนุ่มใจหายวูบทีเดียวเมื่อนึกมาถึงตรงนี้ เขารู้ว่าในสหรัฐฯการยกเด็กให้ครอบครัวอื่นนำไปอุปการะเลี้ยงดูทำได้ไม่ยาก หรือเธอยกลูกของเขาให้คนอื่นไปแล้ว แล้วก็กลับมาทำตัวเป็นสาวใหม่ที่เมืองไทยนี่?
ทันใดนั้นคริสก็นึกขึ้นมาได้ถึงเด็กตัวเล็กๆ ที่พี่เลี้ยงหรือคนรับใช้กำลังป้อนข้าวให้บนชิงช้า ที่เขาเห็นไกลๆตอนที่กำลังจะเดินขึ้นไปบนตึก เขาตัดสินใจถามประสพชัย ทั้งๆที่คิดว่านายแพทย์หนุ่มใหญ่อาจจะสงสัยความสนใจของเขาต่อครอบครัวของวุฒิเลิศ
“คุณวุฒิเลิศกับคุณสิริมามีลูกไหมครับ?”
ประสพชัยชะงักกึก ถามอย่างตะกุกตะกักคล้ายจะถ่วงเวลาว่า “เอ้อ คุณถามทำไมหรือ?”
ท่าทางอึดอัดของประสพชัยทำให้ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่า เขาเข้าใกล้ความจริงเข้าไปแล้ว “ผมบังเอิญเห็นเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งที่บ้านนั้น คิดว่าอาจจะเป็นลูกของคุณวุฒิเลิศ ก็เลยถามดูเท่านั้นเอง”
นายแพทย์หนุ่มทำท่าตกใจที่ไม่รอดพ้นจากสายตาของคริส เขาอ้อมแอ้มอธิบายว่า “สองคนนั่นเขาแต่งงานกันหลายปีแล้วแต่ยังไม่มีลูก เห็นว่าตอนนี้รับอุปการะหลานที่เป็นลูกของญาติห่างๆคนหนึ่งเอาไว้ กำลังทำเรื่องขอเป็นลูกบุญธรรมอยู่ สงสัยจะเป็นเด็กคนที่คุณเห็นนั่นแหละ”
ใจของคริสเต้นรัวราวกับตีกลองเมื่อเห็นท่าทางมีพิรุธของประสพชัย เป็นไปได้สูงทีเดียวที่หลังจากคลอดลูกที่อเมริกา ทิพย์สุรางค์ส่งลูกของเธอมาให้พี่ชายกับพี่สะใภ้เลี้ยงดู และคงตัดสินใจจะยกเขาให้เป็นลูกบุญธรรมของคนทั้งสองต่อไป ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเด็กตัวเล็กๆอายุประมาณขวบกว่าๆที่เขาเห็นวันนี้ก็เป็นลูกของเขาน่ะสิ
ตอนนี้คริสรู้สึกสับสนวุ่นวายใจมาก ความรู้สึกของเขาปะปนยุ่งเหยิงกันไปหมด ทั้งตื่นเต้นดีใจ แค้นใจและแน่นอน...โกรธ โกรธใคร? จะมีใครเสียอีกล่ะ ก็ผู้หญิงแสนสวยแสนใจร้ายคนนั้นนั่นแหละ แล้วนี่เขาจะทำอย่างไรต่อไป?!!