เวลวที่หายไป - บทที่ 33 เจนนิเฟอร์ซึ่งนั่งอ่านเอกสารฆ่าเวลารออยู่ที่โต๊ะทำงาน มองตามร่างของทิพย์สุรางค์ ซึ่งหลังจากปิดประตูห้องที่เพิ่งเดินออกมาแล้ว ก็เดินแกมวิ่งผ่านเธอออกประตูใหญ่ไปโดยไม่แม้แต่จะชำเลืองมามองเธอ หญิงสาวคิดว่าเธอเห็นน้ำตาบนใบหน้าของทิพย์สุรางค์ ขณะที่กำลังงงงันอยู่นั้นก็เห็นคริสออกมาจากห้องที่พูดคุยกับทิพย์สุรางค์ หน้าตาของเขาหมองคล้ำท่าทางหดหู่สิ้นหวัง ผิดไปเป็นคนละคนกับตอนที่พบเธอหน้าห้อง เขาเดินช้าๆเข้ามาหาเธอ “คริส เกิดอะไรขึ้น !” เมื่อเห็นอาการของชายหนุ่มที่ไม่แตกต่างกับทิพย์สุรางค์สักเท่าไร หญิงสาวก็เริ่มร้อนใจ “คุณสองคนคุยกันยังไงนี่ ฉันเห็นทิปปี้ร้องไห้ด้วย ตกลงกันไม่ได้หรือไง” “เธอตัดขาดผม เธอไม่ต้องการพบผมอีกแล้ว” คริสกล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความทุกข์ “เจนนี่ ทำไมคุณไม่บอกผมว่าเธอมีลูก? ลูกของผมน่ะ” แล้วเขาก็พูดต่อไปโดยไม่รอคำตอบ “ ผมไม่เคยรู้เลยว่าผมทำบาปไว้กับเธอใหญ่หลวงขนาดนี้” “คริส ฉันขอโทษที่ไม่ได้บอกคุณ ทิปปี้ไม่ต้องการให้คุณรู้ หลังจากที่พบคุณในงานหมั้นเขาสั่งห้ามฉันเด็ดขาดไม่ให้บอกคุณ เพราะคุณมีคู่หมั้นและกำลังจะแต่งงานกัน ความจริงฉันก็อยากจะบอกคุณนะตอนที่คุณขอให้ฉันนัดเขา แต่ขัดเขาไม่ได้ แล้วอีกอย่างมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ถึงจะเป็นเพื่อนกันก็เถอะ ทิปปี้ห้ามไม่ให้ฉันบอกคุณ ฉันก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเขา” เจนนิเฟอร์มองคริสอย่างกังวล ท่าทางเขาเหมือนจะช็อคกับเรื่องที่เพิ่งรู้ เธอเห็นเขายืนนิ่งไม่มองหน้าเธออยู่ครู่หนึ่ง หญิงสาวไม่รู้หรอกว่าเขาตั้งใจจะถามเรื่องผู้ชายคนที่ทิพย์สุรางค์แต่งงานด้วย แต่เมื่อคิดว่าถึงถามก็คงไม่ได้คำตอบ เพราะเธอผู้นั้นคงกำชับเพื่อนไม่ให้บอกเขา และถึงจะรู้ว่าสามีของทิพย์สุรางค์เป็นใครก็คงไม่มีประโยชน์อะไร เพราะตอนนี้ทุกอย่างสายไปหมดแล้ว ทั้งทางฝ่ายเธอและฝ่ายของเขาเอง คริสจึงตัดสินใจที่จะไม่ถาม “ ผมไปก่อนละ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง” เจนนิเฟอร์มองตามหลังคริสที่เดินคอตกจากไปอย่างสงสาร ไม่เข้าใจว่าทิพย์สุรางค์คิดอย่างไรกันแน่ หญิงสาวรีบเก็บเอกสารเข้าแฟ้ม ปิดไฟล็อคกุญแจประตูกระจกแล้วเดินไปที่ห้องน้ำ ซึ่งเป็นห้องน้ำรวมที่อยู่อีกปีกตึกหนึ่ง คิดว่าเพื่อนของเธออาจจะอยู่ที่นั่น และจริงดังคาดหญิงสาวผู้นั้นยืนพิงเคาเตอร์ยาวหน้ากระจกเงาอยู่ ในห้องนั้นไม่มีใครเลย อาจจะเนื่องจากเป็นวันหยุด ที่ออฟฟิศทุกแห่งบนอาคารนี้ไม่ทำงาน ทิพย์สุรางค์เงยหน้าขึ้นยิ้มเศร้าๆกับเจนนิเฟอร์ ที่เดินเข้ามาโอบตัวเธอ “เป็นไงมั่งล่ะ ทิปปี้? คริสเพิ่งออกไปเมื่อกี้ ทำท่าเหมือนคนใกล้ตายไม่มีผิด” ทิพย์สุรางค์หันไปมองหน้าที่ซีดเผือดของตัวเองในกระจกเงา ตอบอย่างเยือกเย็นว่า “ก็สมควรแล้วนี่” “เธอบอกเขาเรื่องลูกหรือ? นึกยังไงถึงบอก ก็ไหนพูดมาตลอดว่าไม่ต้องการให้เขารู้ไง” หญิงสาวยักไหล่ สีหน้าของเธอมีแววสาแก่ใจเมื่อตอบว่า “ฉันยังไม่ได้เล่าให้เธอฟัง ก่อนหน้านี้แม่ของผู้หญิงคนนั้นมาหาฉัน เขาบอกว่าเขาเห็นฉันกับคริสกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่หน้าลิฟต์ คืนที่สองคนนั่นเขาหมั้นกันนั่นแหละ” เธอเน้นหนักตรงคำว่า ‘กอดรัดฟัดเหวี่ยง’ เจนนิเฟอร์ทำหน้าตกใจ “นี่หมายความว่าคนที่เดินสวนเธอออกมาจากลิฟต์คือแม่ของลลิตางั้นหรือ” เมื่อทิพย์สุรางค์พยักหน้ารับ หญิงสาวก็ยกมือขึ้นแปะหน้าผากตัวเอง “ตายแล้ว ! ป่านนี้เขาไม่เอาไปเล่าให้ลูกสาวเขาฟังหมดแล้วหรือ ยายลิตานั่นเขาไม่โกรธแย่หรือ?” “ฉันไม่สนใจหรอก มันเป็นปัญหาที่พวกเขาต้องแก้กันเอง” สีหน้าของทิพย์สุรางค์เต็มไปด้วยความสะใจ ทิพย์สุรางค์เล่าถึงการสนทนา ระหว่างเธอกับคุณลักษณาให้เจนนิเฟอร์ฟังโดยละเอียด รวมทั้งคำสนทนาบางตอนระหว่างเธอกับคริสด้วย เมื่อฟังจบหญิงสาวชาวอเมริกันก็ตั้งคำถามทันที “เธอเชื่อยายคุณลักษณานั่นหรือว่าคริสพูดยังงั้นจริง เป็นฉันๆไม่เชื่อหรอก ฉันว่าแกเมคเรื่องขึ้นมาบลั้ฟเธอมากกว่า ฉันดูออกว่าคริสแคร์เธอมาก เป็นไปไม่ได้หรอกที่เขาจะอยากพบเธอ เพื่อขอไม่ให้เธอเปิดเผยเรื่องระหว่างเธอกับเขา เรื่องนี้มันทะแม่งๆนะ ลองคิดดูให้ดีสิ” “ฉันก็เคยคิดเหมือนเธอนั่นแหละ แต่ก็ช่วยไม่ได้ สมมติว่าเขาไม่ได้พูดยังงั้นจริง แต่คนที่พูดแม้จะแต่งเรื่องขึ้นมาเอง ก็เป็นว่าที่แม่ยายของเขา เขาก็ควรต้องรับผิดชอบด้วย จริงไหมล่ะ? ก็เขาไม่ใช่หรือที่ทำให้เกิดเรื่องขึ้นมาน่ะ ถ้าเขาไม่ทำบ้าๆ วิ่งตามฉันออกมาแล้วยื้อยุดฉันไม่ให้เข้าลิฟต์ ยายคุณลักษณานั่นถึงจะเห็นเราที่หน้าลิฟต์ ก็ไม่มีเรื่องอะไรให้นำมาวิพากษ์วิจารณ์ให้ฉันเสียหายได้” “สรุปก็คือเธอเองก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ว่าคริสจะพูดอย่างนั้นจริง แต่เธอเหมาเอาว่าเขาเป็นพวกเดียวกับยายคุณลักษณานั่น เธอก็เลยโกรธเขาด้วย เพราะยายนั่นกล่าวหาเธอเสียๆหายๆหลายอย่าง แถมยังขู่ในทำนองว่าพ่อยายลลิตาเป็นผู้มีอิทธิพล จะทำอะไรเธอก็ได้ จริงไหม?” อีกฝ่ายยักไหล่ “ก็มีส่วน เธอก็รู้นี่ว่าฉันไม่เคยยอมให้ใครมาข่มขู่ฉันแบบนั้นแล้วลอยนวลไปเฉยๆ ต้องมีการตอบโต้กันบ้าง” “นี่..ถามจริงๆเถอะ ทิปปี้ เธอนัดพบกับคริสวันนี้ มีจุดประสงค์อะไรกันแน่” เจนนิเฟอร์คาดคั้นถาม ทิพย์สุรางค์ยิ้มอย่างเย้ยหยันคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น “บอกเธอตามตรงเลยนะ เจนนี่ ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องที่หน้าลิฟต์ แม้แต่ตอนอยู่ในงานที่เห็นการหมั้นของพวกเขา ฉันยังตั้งใจอยู่เลยว่าจบสิ้นกันเสียทีกับอดีตที่น่าอดสู เราจะต่างคนต่างไป เส้นทางของเราจะไม่มีทางมาบรรจบกัน ยิ่งกว่านั้นนะ เจนนี่ ตอนนั้นฉันยังอโหสิกรรมให้เขาไปแล้วด้วยซ้ำ” “คิดได้ยังงั้นก็ดีแล้วนี่ แล้วจู่ๆทำไมถึงเปลี่ยนใจล่ะ?” เจนนิเฟอร์ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี “พวกเขาหยามฉัน ทั้งแม่ของผู้หญิงคนนั้นและคริส” หญิงสาวยังยืนยันความคิดของตัวเอง “พวกเขาทำให้ฉันซึ่งทำใจได้แล้วกับเรื่องที่เกิดขึ้น ต้องลุกขึ้นมาตอบโต้” “แล้วเธอจะได้อะไร?” เจนนิเฟอร์ซัก “เธอคิดว่าพอคริสรู้เรื่องลูกแล้วเขาจะเลิกกับยายลลิตานั่นหรือไง” แต่แล้วเธอก็ยิ่งต้องงงมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อทิพย์สุรางค์ตอบว่า “เปล่าเลย ฉันไม่ได้ต้องการให้เขาเลิกกัน ตรงกันข้าม ฉันอยากให้เขาแต่งงานกันโดยเร็วด้วยซ้ำ” “เพื่ออะไร?” “เพื่อที่จะได้พบกับความทุกข์เหมือนที่ฉันเคยพบแล้ว ฉันบอกเขาเรื่องลูก เพราะฉันเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนรักลูกด้วยกันทั้งนั้น ถึงจะเป็นลูกที่เกิดมาโดยไม่ได้ตั้งใจก็ตาม” ตอนนี้เสียงของเธอมีรอยขื่น แล้วเธอก็ยิ้มราวจะเยาะอะไรบางอย่าง “เมื่อเขารู้ยังงี้แล้ว เธอยังคิดว่าเขาจะยังมีความสุขได้มากมายนักหรือ ฉันคิดว่าฉันรู้จักเขาดีพอสมควรว่าเขาเป็นคนยังไง มโนธรรมเรื่องลูกจะสะกิดเตือนเขาไปตลอดชีวิต แล้วเขาก็จะมีความสุขน้อยกว่าที่ควร เมื่อเขาไม่มีความสุขผู้หญิงที่แต่งงานกับเขาจะมีความสุขได้เต็มที่หรือ และถ้าลูกสาวไม่มีความสุข คนที่เป็นแม่ยังจะยิ้มระรื่นอยู่ได้อีกหรือ ฉันคิดของฉันยังงี้แหละ” อึ้งไปครู่หนึ่งหญิงสาวก็พูดต่อว่า “เจนนี่ ฉันอยากจะบอกเธอว่า ลำพังเรื่องที่ฉันกับเขามีอะไรกัน ฉันอาจจะทำเป็นลืมเสียก็ได้ เพราะสมัยนี้คงไม่มีใครเห็นเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตนัก ถ้าฉันหรือเขาไม่พูดเสียอย่างก็จะไม่มีใครรู้ ไม่มีหลักฐานอะไร แต่เรื่องลูกเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นหลักฐานสำคัญที่ฉันจะปิดไปตลอดชีวิตไม่ได้ เขาก็เป็นมนุษย์ มีตัวมีตน ถึงฉันจะเคยตั้งใจไม่ให้เขารู้เพราะคิดว่าถึงรู้ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร เขากำลังจะแต่งงานอยู่แล้ว แต่เหตุการณ์ต่างๆที่เพิ่งเกิดขึ้นทำให้ฉันต้องเปลี่ยนใจ ฉันเพียงต้องการให้เขารู้ว่าเขาทำความเสียหายให้ฉันมากกว่าที่เขาคิด เขาทำให้ชีวิตและอนาคตของฉันต้องพังพินาศ เขาก็ควรต้องรับผิดชอบรับกรรมที่เขาก่อขึ้นมาด้วยเหมือนกัน" ทิพย์สุรางค์หยุดคิดถึงผู้หญิงสาวสวยคนนั้นแล้วพูดต่อไปว่า "ความจริงฉันก็สงสารเขานะผู้หญิงคนนั้นน่ะ เขาไม่ได้มีความผิดอะไรเลย แต่เขาบังเอิญเข้ามาอยู่ในวงจรโดมิโนนี้ด้วย เมื่อตัวหนึ่งล้มตัวอื่นๆก็ต้องล้มตามไปด้วย ช่วยไม่ได้” เจนนิเฟอร์คิดทบทวนถึงแผนการของเพื่อนแล้วตั้งประเด็นว่า “ที่เธอคิดว่าเมื่อคริสรู้เรื่องลูกแล้วเขาจะไม่สามารถมีความสุขอยู่ได้ และจะทำให้คนอื่นหมดความสุขไปด้วยนั่นน่ะ เธอมองแค่มุมของตัวเองเท่านั้นหรือเปล่า เขาอาจจะรู้แล้วทำใจได้ก็ได้ ต่อไปเขาก็มีลูกใหม่ด้วยกัน แล้วยังงี้แผนการของเธอมิล้มเหลวหรอกหรือ” ทิพย์สุรางค์ยักไหล่ “ ก็แล้วแต่เขา ฉันทิ้งไพ่ใบสุดท้ายของฉันลงไปบนโต๊ะแล้ว อยู่ที่เขาว่าจะเลือกเล่นแบบไหน ถ้าเขาทำใจได้ฉันก็ไม่ว่า ดีเสียอีกที่ได้รู้ว่าตัวตนจริงๆของเขาเป็นยังไง แล้วฉันก็จะอยู่ได้อย่างมีความสุข หมดสิ้นสิ่งติดค้างในหัวใจ” เมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของอีกฝ่าย หญิงสาวก็ยิ้มเศร้าๆ “เจนนี่ รู้ไหมว่าบางครั้งการที่เราคาดหวังว่าใครสักคนเป็นคนดี มันทำให้เราตัดใจลำบาก เราจะคอยคาดหวังให้เขาทำแต่สิ่งดีๆตลอดไป แต่เมื่อไรก็ตามที่เรารู้ว่าเขาคนนั้นไม่ได้ดีจริงอย่างที่คิด เราก็จะเลิกหวังแล้วตัดใจได้ เรื่องนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเขาทำใจได้และอยู่กันอย่างมีความสุข ฉันก็จะขออนุโมทนาด้วย แล้วใจของฉันก็จะได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ ไม่มีอะไรติดค้าง หมดหนี้สินซึ่งกันและกัน” เจนนิเฟอร์เห็นท่าทางแค้นปนเศร้าของทิพย์สุรางค์ ก็เกิดความสงสัยถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเพื่อน จนต้องลองถามว่า “นี่..ทิปปี้ อย่าว่าฉันวุ่นวายเลยนะ สมมตินะ..สมมติว่าคริสเลิกกับยายลลิตาแล้วกลับมาหาเธอ เธอจะว่าไง?” ทิพย์สุรางค์ฝืนยิ้มก่อนตอบเนือยๆว่า “ไม่ว่าไงหรอก” “ไอ้ที่บอกว่าไม่ว่าไงน่ะแปลว่าอะไร?” อีกฝ่ายยักไหล่ทำท่าไม่แยแส “ไม่เห็นต้องแปลอะไรนี่ ไม่ว่าไงก็คือไม่สนใจ ไม่ต้องการไงล่ะ” “อ้าว..เกิดจะเล่นตัวขึ้นมาเสียอีก ก็แผนทั้งหมดของเธอนี่ ไม่ใช่เพื่อให้เขากลับมาหาเธอหรอกหรือ?” “เปล่าเลย เธอเข้าใจผิดแล้วละ เจนนี่” สาวอเมริกันมองหน้าทิพย์สุรางค์อย่างมืดแปดด้าน “ตกลงที่เธอทำทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้คริสกับคู่หมั้นเขาไม่มีความสุขเท่านั้นเองเหรอ” อีกฝ่ายเพียงแต่ยิ้มนิดๆ มีแววหมายมาดอยู่ในดวงตา “ทำนองนั้นแหละ” สาวอเมริกันมองหน้าเพื่อนอย่างไม่เห็นด้วย แย้งว่า “เธอไม่คิดถึงลูกมั่งหรือ? เด็กควรจะได้อยู่กับพ่อแม่ที่แท้จริงของเขานะ ฟังที่เธอเล่า คริสก็เต็มใจจะรับผิดชอบทั้งเธอและลูกนี่นา เขาก็บอกแล้วว่าพร้อมที่จะตัดยายนั่นออกไป แล้วทำไมเธอยังคิดจะทำอะไรแผลงๆอีกล่ะ? ไม่เข้าใจเธอเลยจริงๆ จะเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับเขาให้เรื่องมันวุ่นวายขึ้นไปอีกทำไม ถ้าฉันเป็นเธอฉันจะเห็นแก่ลูก ละทิษฐิ ยอมรับข้อเสนอของเขา ให้ลูกได้มีพ่อ” “ฉันทำยังงั้นไม่ได้หรอก เจนนี่ ฉันไม่คิดจะแย่งผู้ชายของใคร” เจนนิเฟอร์ทำหน้าหมั่นไส้เพื่อน “นี่..คริสน่ะ ตอนนี้ไม่ใช่ผู้ชายของใครแล้วนะ แต่เป็นพ่อของเด็กคนหนึ่ง เขาเองก็ไม่ได้ปฏิเสธความเป็นพ่อด้วย เขาเต็มใจที่จะรับผิดชอบลูกเขาและแม่ของลูก คิดอะไรให้มันไกลๆหน่อย วันนี้เธออาจจะคิดแบบมีทิษฐิ แต่วันหน้าล่ะ? วันที่เขาหลุดลอยไปเป็นของคนอื่นแล้วเธอจะทำยังไง? ลูกเธอล่ะ? ไม่คิดว่าเขาจะอยากมีอยากอยู่กับพ่อแท้ๆของเขา เหมือนเด็กคนอื่นมั่งหรือไง? ฉันหมายถึงตอนที่เขาโตรู้ความแล้วน่ะ ระวังให้ดีเถอะ เธออาจจะต้องมานั่งแก้ปัญหาเรื่องลูกอีก แล้วจะเสียใจ” ทิพย์สุรางค์อึ้งไปนานก่อนจะกล่าวว่า “ทำไมฉันจะไม่เคยคิดล่ะ เรื่องลูกน่ะ” “แล้วไง? ถ้าคิดแล้วทำไมจะทำแบบนี้อีกล่ะ?” อีกฝ่ายคาดคั้นต้องการคำตอบ “เจนนี่ ฉันจำเป็นต้องทำแบบนี้ อย่าถามว่าเพราะอะไร มันเป็นเหตุผลส่วนตัวที่คงไม่มีใครเข้าใจหรอก” “ไหน? เหตุผลส่วนตัวอะไร? ทำไมถึงคิดว่าฉันจะไม่เข้าใจ? ลองแจงให้ฟังหน่อยซิ” เจนนิเฟอร์ไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แม้ทิพย์สุรางค์จะออกปากไว้ก่อนแล้วว่าไม่ต้องถาม อีกฝ่ายนิ่ง ปากที่เม้มแน่นและสีหน้าแววตาบอกความดื้อดึงที่ผู้เป็นเพื่อนรู้จักดี ว่าจะไม่ยอมปริปากเป็นอันขาด เห็นแล้วเจนนิเฟอร์ก็ยกมือขึ้นกุมขมับ “เฮ้อ..ตามใจเธอก็แล้วกัน จะเอายังไงก้อ ฉันละกลุ้มกับเรื่องของเธอจริงๆเลย แล้วนี่มีแผนจะทำอะไรต่อไปอีกล่ะ” “คืนพรุ่งนี้ฉันจะกลับบ้าน จองตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว ความจริงอยากจะกลับตั้งแต่คืนนี้ด้วยซ้ำ แต่จองไฟลท์ไม่ได้ กะทันหันเกินไป” ทิพย์สุรางค์ตอบเรียบๆ “กลับบ้าน! บ้านที่เมืองไทยน่ะหรือ?” เจนนิเฟอร์ตกใจกับความปุบปับของอีกฝ่าย “ทำไมต้องกลับ?” “ฉันคิดว่าเขาจะต้องพยายามหาให้ได้ว่าลูกอยู่กับใคร ที่ไหน เขาบอกยังงั้น ซึ่งก็หมายความว่าเขาอาจจะมาพบฉันอีก ฉันจึงต้องไปจากที่นี่สักพักหนึ่ง หลังจากเขาแต่งงานกันแล้วฉันอาจจะกลับมา” “โอย..ฉันเวียนหัวกับเธอจริงๆ ถ้าเขาหาเธอไม่เจอเขาก็ต้องมาคาดคั้นเอากับฉันอีกน่ะสิ ถ้าเขามาเธอจะให้ฉันบอกเขาว่ายังไง?” เจนนิเฟอร์เริ่มรู้สึกปวดหัว “บอกเขาไปตามตรงก็ได้ว่าฉันกลับบ้าน เขาคงไม่บ้าตามไปถึงโน่นหรอก” แล้วต่างฝ่ายต่างก็เงียบไป แต่พอนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ทิพย์สุรางค์ก็รีบกล่าวต่อโดยเร็วว่า “เจนนี่ มีอีกเรื่องที่เธอต้องช่วยปิดให้สนิท อย่าให้คริสรู้ความจริงเป็นอันขาด” “มีความลับอะไรอีกล่ะ? เธอชอบทำให้ฉันงงอยู่เรื่อยเลยนะ ทิปปี้” เจนนิเฟอร์ทำท่าอ่อนใจ “ฉันบอกเขาว่าฉันแต่งงานแล้ว ฉัน...” “แต่งงานแล้ว?!!” เจนนิเฟอร์ร้องขัดขึ้นมาอย่างตกใจ อึ้งไปอึดใจเต็มอย่างคาดไม่ถึง “ทำไมต้องหลอกเขาว่าแต่งงานแล้ว? บ้าหรือเปล่า? เอ๊ะ..ทิปปี้ ฉันงงไปหมดแล้วนะ เธอคิดอะไรของเธอน่ะ?” อีกฝ่ายยิ้มนิดๆ แม้สีหน้าจะเผือดซีด “ฉันจำเป็นต้องหลอกเขา...” “เพื่ออะไร? เธอจะได้อะไรที่หลอกเขาแบบนั้น? ที่ฉันอยากให้เธอกับเขาได้พบกันก็เพื่อปรับความเข้าใจกันเสีย เผื่อจะมีทางแต่งงานแต่งการกัน ไหนๆก็มีลูกด้วยกันแล้ว แต่เธอดันไปตัดหนทางตัวเองเสียหมด “ เจนนิเฟอร์ซักต่ออย่างไม่ลดละ รู้สึกโกรธว่าเพื่อนทำอะไรไม่เข้าท่า “เจนนี่ ฉันจำเป็นจริงๆนะ เธอก็รู้จักฉันดีไม่ใช่หรือว่าฉันไม่ใช่คนที่จะเที่ยวพูดจาเหลวไหล หรือหลอกลวงใคร" “ใช่ ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนแบบนั้น แล้วอยู่ๆลุกขึ้นมาทำยังงี้ได้ยังไง จำเป็นบ้าบออะไร? ไหนลองอธิบายมาซิ เผื่อเพื่อนโง่ๆคนนี้จะเข้าใจบ้าง” “เจนนี่ อย่าโกรธเลยนะ ลองคิดดูดีๆสิ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขามีลูก ถ้าเขารู้ว่าฉันยังไม่มีคนอื่นเขาก็อาจจะพยายามมาวุ่นวายกับฉันอีก เรื่องก็ต้องคาราคาซังต่อไป แล้วคู่หมั้นเขาล่ะ จะทำอย่างไร? ฉันไม่...” "อ้อ..เห็นแก่ยายลลิตานั่น ถ้างั้นเธอไปบอกคริสทำไมล่ะว่าเขามีลูกกับเธอ”อีกฝ่ายร้องขัดขึ้นมาทันที ทิพย์สุรางค์ถอนใจยาวอย่างอัดอั้น “ฉันบอกเขาเพราะต้องการให้เขาเจ็บปวดเหมือนที่ฉันเจ็บปวด มันเป็นเรื่องระหว่างฉันกับคริสสองคนเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น ลลิตาไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ แล้วก็ไม่ใช่เพราะเห็นแก่เขาหรอก..เจนนี่ เพียงแต่ฉันไม่ได้คิดจะทำร้ายเขาถึงขนาดให้เขาต้องเลิกกัน ที่ฉันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ก็ถือว่าเป็นกรรมมากพอแล้ว ไม่อยากจะสร้างเวรสร้างกรรมให้ต้องมาตามใช้กันอีก” “ แต่วันหนึ่งคริสก็ต้องรู้ว่าเธอหลอกเขา” “รู้ก็ไม่เป็นไร ฉันขอแค่ตอนนี้เท่านั้น พอเขาสองคนแต่งงานกันแล้ว ถึงคริสจะรู้ว่าฉันยังไม่ได้แต่งงานก็สายไปแล้ว เขาไม่มีทางจะกลับเข้ามาวุ่นวายในชีวิตฉันได้อีก” เจนนิเฟอร์มองหน้าทิพย์สุรางค์อยู่นาน ก่อนจะถอนใจยืดยาวอย่างอ่อนใจ กับเรื่องราวทั้งหมดของเพื่อน “คบกันมาตั้งนานเพิ่งจะรู้ว่าเพื่อนฉันเป็นนักวางแผน เอาเถอะ แล้วแต่เธอ ถ้าคิดว่านี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว” ทิพย์สุรางค์ฟังเสียงเหมือนไม่เห็นด้วย แต่จำเป็นต้องปลงให้ตกของอีกฝ่ายแล้วก็หันมากอดเจนนิเฟอร์ “ขอโทษนะเจนนี่ ที่ทำให้เธอต้องวุ่นวายไปด้วย แต่ฉันคิดว่าเรื่องของฉันกับเขาคงจะจบแล้วละ ขอบใจมากนะที่ยืนเคียงข้างฉันตลอดมา ขอบใจมากเพื่อนรัก” เจนนิเฟอร์กอดตอบ “ ทำไงได้ล่ะ ถึงฉันจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับแผนของเธอ แต่ฉันก็ต้องช่วยเธออยู่ดี รู้ไหมทิปปี้ จบเรื่องนี้แล้วสงสัยฉันต้องไปล้างบาปเสียแล้วละ” ส่วนคริสนั้น เมื่อเดินเหมือนคนไร้วิญญาณไปถึงรถที่จอดอยู่บนลาน ก็เข้าไปนั่งในรถ แล้วแทนที่จะขับออกไปเขากลับนั่งจมอยู่อย่างนั้น สมองของเขาตึงเครียดหัวใจของเขาแตกสลาย ผู้หญิงที่เขาไม่เคยรู้ตัวว่ารักและลูกที่เขาไม่เคยรู้ว่ามี ลูกที่เรียกชายอื่นว่าพ่อ ลูกที่เมื่อรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจะเคียดแค้นชิงชังเขาไปชั่วชีวิต ชายหนุ่มไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่าความรักความซาบซึ้งดื่มด่ำที่มีต่อเลือดเนื้อเชื้อไขนั้น จะรุนแรงทรงอิทธิพลได้ถึงเพียงนี้ มันยิ่งใหญ่ดื่มด่ำกว่าความรักอื่นมากมายนัก ไม่มีความรักแบบใดที่จะสามารถนำมาเทียบเคียงหรือทดแทนได้ เมื่อมองดูมือตัวเองเห็นซองสีน้ำตาลใบนั้น เขาก็หยิบรูปในซองออกมาดูอีกครั้งด้วยนัยน์ตาที่พร่าพราย ดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกอิริยาบทโดยไม่เบื่อหน่าย ในขณะที่หัวใจก็คร่ำครวญว่า ‘ ลูกของเรา นี่ลูกของเราหรือนี่ ‘ แล้วหัวใจที่แทบจะระเบิดเพราะเรื่องราวที่คาดไม่ถึง ทำให้เขานึกโกรธทิพย์สุรางค์ เป็นไปได้อย่างไรที่เธอปิดบังเรื่องนี้แล้วยังไปแต่งงานกับใครก็ไม่รู้อีก เธอแต่งงานเพื่อหาพ่อให้ลูกอย่างนั้นหรือ? แล้วเขาล่ะ? เขาซึ่งเป็นพ่อแท้ๆเธอเอาไปไว้เสียที่ไหน ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งเสียใจ แค้นใจและโกรธเธอ ผู้หญิงอะไรช่างใจดำเสียเหลือเกิน เขากลับไปหาเธอทันทีไม่ได้ก็เพราะมีเรื่องราวความจำเป็นมากมาย มาเป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้เขากลับไปหาเธอได้ แต่ทันทีที่สามารถจะไปได้เขาก็รีบรุดไปหาเธอ แล้วเธออยู่รอเขาหรือเปล่าเล่า? ก็เปล่าเลย เธอหนีไปต่างประเทศเสียนานแล้ว มิหนำซ้ำยังให้คนอื่นช่วยกันปิดด้วยว่าเธออยู่ที่ไหน ทำไมเธอจึงโยนเรื่องทั้งหมดให้เขาเป็นฝ่ายผิดแต่เพียงผู้เดียวเล่า ถ้าเธอเชื่อใจเขาสักนิด เธอก็น่าจะรออยู่ที่เวียงพุกามโน่นสิ หรือไม่ก็ไม่ต้องให้ใครๆช่วยกันปิดบังที่อยู่ของเธอ ถ้าตอนนั้นเขารู้ว่าเธออยู่ที่ไหน ต่อให้สุดขั้วโลกเขาก็จะต้องดั้นด้นไปหาเธอ ก็เขาสัญญาไว้ในจดหมายฉบับนั้นแล้วไม่ใช่หรือ ว่าเขาจะกลับไปหาเธอ ขอเพียงให้เธอเชื่อใจเขาเท่านั้น ผู้หญิงอะไรเอาแต่ใจตัวเองได้ถึงขนาดนี้ นึกถึงแต่ใจตัวเอง ไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่นบ้างเลย ชายหนุ่มคิดกลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้ด้วยความโกรธและน้อยใจทิพย์สุรางค์ แต่อีกครู่ต่อมาใจที่เป็นธรรมก็เริ่มอ่อนลง แล้วหวนกลับไปนึกสงสารและเห็นใจเธอ เธอต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน หลบลี้หนีหน้าผู้คนมาอยู่ไกลถึงอเมริกา ต้องทนอุ้มท้องและเลี้ยงดูลูกของเขาตามลำพังเหมือนลูกไม่มีพ่อ ถ้าไม่มีเพื่อนดีๆอย่างเจนนิเฟอร์ เธอและลูกจะเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย เขาก่อกรรมทำเข็ญให้เธอด้วยความขาดสติเพียงครั้งเดียว แต่เธอต้องรับกรรมที่เขาเป็นผู้ก่อไปตลอดชีวิต แล้วเขายังจะโกรธและโทษเธออีกหรือ เธออาจจำเป็นต้องแต่งงาน เพื่อรักษาหน้าตัวเองและครอบครัวเอาไว้ก็ได้ อ้าว..แล้วลูกของเขาล่ะ? ทำไมเธอต้องทำให้ลูกของเขา กลายเป็นลูกของไอ้บ้าคนไหนก็ไม่รู้ที่เธอแต่งงานด้วยเล่า? พอคิดมาถึงตรงนี้เขาก็เริ่มแค้นใจขึ้นมาอีก คิดหาวิธีว่าทำอย่างไรจึงจะมีโอกาสได้เห็นหน้าลูกสักครั้ง สำหรับทิพย์สุรางค์น่ะเขาจนปัญญาแล้ว คงจะเอาเธอกลับคืนมาไม่ได้ เพราะเธอไปแต่งงานกับผู้ชาย ที่เธอบอกว่าแสนดีแสนมีคุณธรรมคนนั้นเสียแล้ว ถึงจะเสียใจเพียงใดเขาก็ยังไม่บ้าพอที่จะไปแย่งเมียคนอื่น ชายหนุ่มคิดอย่างเสียใจระคนแค้น คริสคิดพลุ่งพล่านวกไปวนมาอยู่อย่างนี้อีกนาน จนกระทั่งโทรศัพท์ที่เพิ่งกดปุ่มให้ทำงานได้ตามปกติของเขาดังขึ้น ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เหลือบดูชื่อผู้โทร.อย่างซังกะตาย ก่อนจะตอบรับด้วยน้ำเสียงที่อ่อนเนือย “ลิตาหรือ? มีอะไรหรือเปล่า?” เสียงจากปลายสายอีกด้านหนึ่งนิ่งชะงักไปชั่วครู่ ก่อนถามกลับมาว่า “มีอะไรหรือเปล่าคะ เสียงพี่เหนื่อยจังเลย” “ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่ลิตามีธุระอะไรหรือเปล่า?” “ลิตาโทรมาหาพี่หลายครั้งแต่พี่ไม่รับโทรศัพท์เลย ลิตาเป็นห่วงน่ะ” เสียงหวานๆและจริงใจของเธอผู้นี้เคยเป็นสิ่งที่เขาชอบฟัง แต่วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา ทำไมเขาจึงรู้สึกเหนื่อยหน่าย ไม่อยากพูดหรือฟังอะไรทั้งนั้น เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบจากเขาลลิตาก็ถามว่า “ พี่เสร็จธุระหรือยัง คืนนี้พี่จะมาหาลิตาหรือเปล่าคะ?” คริสนิ่งอึ้ง ตอนนี้เขาไม่อยู่ในสภาพที่จะไปที่ไหนได้ทั้งสิ้น เขาอยากอยู่ตามลำพังเงียบๆกับความสูญเสียที่กำลังได้รับ แต่ความเกรงใจให้เกียรติเธอคนนี้ที่เป็นคู่รักกันมานานหลายปี รอคอยการกลับมาของเขาอย่างซื่อสัตย์อดทน และตอนนี้มีฐานะเป็นคู่หมั้นที่มีกำหนดจะแต่งงานกันในอีกไม่ช้า ทำให้เขาอึกอัก การนิ่งของคริสทำให้ลลิตาซึ่งรู้จักเขาดี รู้ว่าไม่ใช่เวลาที่จะเซ้าซี้เขา เธอจึงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะบอกเขาอย่างอ่อนโยนว่า “พี่คงเหนื่อยแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ ความจริงแม่ของลิตามีธุระกับพี่ แต่เอาไว้ก่อนก็ได้ พรุ่งนี้ลิตาจะโทรไปใหม่นะคะ “ หลังจากนั้นชายหนุ่มก็โทรศัพท์ไปหาเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่อยู่ในกรุงนิวยอร์ค ชวนออกไปกินเหล้าที่ผับเล็กๆแห่งหนึ่ง กินกันตั้งแต่บ่ายยันดึกจนเมาแทบพับไปด้วยกัน แล้วในที่สุดก็ซมซานกลับอพาร์ตเมนท์ของบิดามารดา ด้วยอาการหมดทั้งแรงกายสิ้นทั้งแรงใจ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขับรถกลับจากผับแห่งนั้นได้อย่างไร โดยไม่เกิดอุบัติเหตุหรือถูกใบสั่งเสียก่อน แวะมาอ่านค่ะค่ะ
โดย: อุ้มสี
![]() ![]() อ.เต๊ะ ว่าลึกๆ น้องทิพ ก็เจ็บปวดไม่เบาหรอกนะครับ
ผู้หญิง ลองได้รักใคร ขนาดมีลูกด้วยกันนี่ ลืมเขาไม่ได้ง่ายๆหรอกครับ เห็นหน้าลูก ก็ต้องนึกถึงเขาตลอด ตอนนี้น้องทิพ อาจจะอยากแก้แค้น แต่ลึกๆ ก็คงอยากให้เขากลับมาอยู่ด้วยกัน ปากไม่ตรงกับใจนะครับ เรื่องแบบนี้ ปิด อ.เต๊ะ ไม่ได้นะคะ เอ๊ย นะครับ อ.เต๊ะ ดูละครบ่อย เรื่องชาวบ้าน คืองานของเรา แฮร่ คุณตุ้ยบอก เอ็งนี่มัน ผู้ช่วยนางเอกชัดๆ มาๆเดี๋ยวข้าจะเพิ่มบทให้เอ็งเลยก็แล้วกัน เย้ย 555 ![]() ![]() ![]() โดย: multiple
![]() สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด
ตามมาอ่านและให้กำลังใจแล้วจ้ะ เพิ่งอ่านจบจ้ะ แหม ครูเดาถูก ด้วยนะ ว่า ทิพย์สุรางค์โกหก ว่า แต่งงานแล้ว อิอิ อ่านคำสนทนาะหว่างเจนนี่ และ ทิพย์สุรางค์ แล้ว เห็นนิสัยทิพย์ สุรางค์เลยว่า เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นมากเกินไป ไม่ฟังเหตุผลของ คริส ของเจนนี่ คนแบบนี้ น่ากลัวเนาะ อิอิ รอติดตามตอนต่อไป จ้ะ โหวดหมวด งานเขียนฯ โดย: อาจารย์สุวิมล
![]() ![]() |
บทความทั้งหมด
|