เาลาที่หายไป - บทที่ 45
ตั้งแต่กลับจากการฝึกคอบร้าโกลด์ คริสเปลี่ยนไปมากในความรู้สึกของทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งลลิตา ตอนนี้เขาไม่เศร้าหมอง ทำท่าครุ่นคิด สีหน้าเป็นทุกข์ หรือดื่มเหล้าจัดผิดปกติอีกต่อไปแล้ว เขายังดื่มอยู่บ้างแต่ก็นานๆครั้ง เขาเอาอกเอาใจเธอมากขึ้น ซึ่งบางครั้งเธอคิดว่ามากเกินไปเสียด้วยซ้ำ เหมือนกับว่าเขาพยายามจะชดเชยให้เธอ สำหรับความผิดครั้งยิ่งใหญ่ของเขา

กำหนดการแต่งงานใกล้เข้ามาแล้ว หลังจากตกลงกันไม่ได้ระหว่างคุณลักษณาและคุณธัญญา ว่าจะจัดในกรุงนิวยอร์คหรือที่กรุงเทพฯ ในที่สุดลลิตาก็เป็นคนตัดสินใจโดยใช้วิธีการของเธอ ทำให้คริสต้องเป็นฝ่ายไปพูดกับคุณธัญญา เหมือนกับว่าเป็นความต้องการของเขาเองไม่เกี่ยวกับเธอ ว่าต้องการให้จัดงานในนิวยอร์ค

เหตุผลที่ลลิตารู้อยู่คนเดียวคือเธอไม่อาจรอได้ต่อไปอีกแล้ว เธอไม่ไว้ใจว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกหรือไม่ ที่จะทำใหการแต่งงานต้องเลื่อนออกไป ตัวคริสเองก็เป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ลลิตาต้องตัดสินใจรีบเลือกสถานที่จัดงาน ถ้าเป็นไปได้เธออยากจะเลื่อนให้เร็วขึ้นเสียด้วยซ้ำ ถึงคริสจะเปลี่ยนไปในทางดี แสดงความรักใคร่เอาอกเอาใจเธอมากขึ้น ไม่มีท่าทางที่ทำให้เธอหวาดระแวง แต่สัญชาติญาณอันฉับไวของลลิตาบอกเธอว่าเขาเคร่งขรึมมากขึ้น พูดน้อยลง จิตใจของเขาสงบขึ้นกว่าเดิมก็จริง แต่มันสงบนิ่งและเยือกเย็น เหมือนอาการปลงตกของผู้ทรงศีล เหมือนเขายอมรับชะตากรรม ไม่คิดจะต่อสู้กับมันอีกต่อไป

เขาพาเธอไปรับชุดแต่งงาน ที่สั่งตัดเอาไว้และค้างคามาเป็นเดือน พาไปเลือกอพาร์ตเมนท์ที่จะใช้เป็นเรือนหอ พาไปพูดคุยกับผู้ให้บริการจัดงานแต่งงานและอื่นๆ เขาไม่คัดค้านหรือออกความเห็นใดๆ ในสิ่งที่เธอเลือก คำพูดติดปากของเขาก็คือ ‘ตามใจลิตา’ ‘แล้วแต่ลิตาก็แล้วกัน’ หรือไม่ก็ ‘พี่น่ะยังไงก็ได้ ถ้าลิตาถูกใจพี่ก็โอเค’ หญิงสาวสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ขาดหายไปจากคริส นั่นคือความขี้เล่นกระตือร้นมีชีวิตชีวา ที่เคยเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของเขา เธอรู้ว่าเขายังไม่ลืมผู้หญิงคนนั้น

ถึงเขาจะไม่เคยแสดงอะไรให้เธอจับผิดได้ แต่ลลิตาก็เชื่อความรู้สึกของตัวเอง ทุกวันนี้แม้จะยังเคลือบแคลง ในความสัมพันธ์ของเขากับผู้หญิงคนนั้น แต่เธอก็พยายามที่จะไม่ขุดคุ้ย บอกตัวเองว่าถ้าเขาเคยมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน นั่นก็เป็นเพียงความสัมพันธ์ทางกายเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เธอจะพยายามคิดว่ามันเป็นความสัมพันธ์แบบฉาบฉวย หรือแบบที่ต้องใช้เงินแลกเปลี่ยน แล้วก็แล้วกันไป ไม่มีความผูกพันทางอารมณ์ ถ้าผู้หญิงคนนั้นอยากได้เขานัก เธอก็จะทำใจกว้างยอมแบ่งปันให้บ้างเป็นครั้งคราว สิ่งที่เธอหวงแหนคือหัวใจของเขาต่างหาก

คริสเคยสารภาพในคืนนั้นว่าเขาก็รักผู้หญิงคนนั้นเหมือนกัน แต่ลลิตาไม่เชื่อหรอก เป็นไปได้อย่างไรที่คนสองคนจะรักกันได้ ในระยะเวลาสั้นๆเพียงแค่นั้น มันเปรียบกันไม่ได้เลยกับความสัมพันธ์ของเธอกับคริส ที่ใช้เวลาเนิ่นนานถึงสิบปีกว่าจะถึงวันนี้ เขาคงเข้าใจผิดไปแน่ๆ อีกไม่นานเมื่อเขารู้ใจตัวเองดีแล้ว คริสก็จะเข้าใจได้ว่าสิ่งที่เขาเรียกว่าความรักที่มีต่อผู้หญิงคนนั้น แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงความหลงผิดชั่วคราว แล้วเขาก็จะลืมเจ้าหล่อนได้เอง หญิงสาวนึกขอบคุณมารดาที่สอนเธอว่า ให้ทำเฉยๆแล้วแต่งงานกับเขาไปโดยเร็วที่สุด

ลลิตาเฝ้าแต่ปลอบใจตัวเองให้คิดทุกอย่างในแง่ดี พยายามใจเย็นและอดทนเข้าไว้ เป้าหมายที่ตั้งเอาไว้เนิ่นนานถึงสิบปี ใกล้เข้ามาแค่มือเอื้อมแล้ว จะทุรนทุรายคิดมากไปทำไม เมื่อคิดเช่นนี้ได้หญิงสาวก็เริ่มรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจไร้อุปสรรค หารู้ไม่ว่ามารดาของเธอกำลังจะทำอะไรบางอย่าง เพื่อหาทางช่วยเหลือเธอ ตามวิธีการที่เคยทำและประสพความสำเร็จมาแล้ว...กับผู้หญิงของสามี


คุณลักษณาได้รับรายงานพร้อมรูปถ่ายจากนักสืบเอกชน ที่เธอจ้างให้ติดตามคริสแล้ว หลังจากวางแผนว่าจะทำอย่างไรต่อไปอยู่อีกสองสามวัน เธอก็ไปปรากฏตัวที่บ้านของวุฒิเลิศ ตามรายละเอียดแผนผังที่ตั้งของบ้านหลังนั้นที่ได้รับมา เมื่อให้คนขับรถลงไปแจ้งความประสงค์ ว่าจะมาหาผู้หญิงที่เธอรู้ภายหลังจากลลิตาว่าชื่อทิพย์สุรางค์ ยามที่ประตูก็แจ้งว่าเจ้าหล่อนผู้นั้นไม่อยู่บ้าน เพิ่งขับรถออกไปได้ไม่นาน ไม่ทราบว่าจะกลับเมื่อไหร่

เมื่อได้รับแจ้งจากคนขับรถของเธอตามนั้น คุณลักษณาก็กดปุ่มเลื่อนกระจกหน้าต่างรถลง กวักมือเรียกยามที่ยังยืนอยู่ใกล้ป้อมยามหลังบานประตูอัลลอยด์ ให้เข้ามาหาเธอที่รถ ซักไซ้ว่านอกจากทิพย์สุรางค์แล้วมีใครอีกไหม ที่เธอจะสามารถพูดธุระของเธอให้ฟังได้ เมื่อได้รับคำตอบว่าตอนนี้ มีแต่พี่สะใภ้ของทิพย์สุรางค์คนเดียวที่อยู่บ้าน สมองของคุณลักษณาก็แล่นปราดทันที เธอคิดว่าผู้หญิงคนนั้นไม่อยู่บ้านก็ดีแล้ว ถึงพูดกันอีกเจ้าหล่อนก็คงไม่รับฟังอยู่ดี พูดกับพี่สะใภ้ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็คงเป็นผู้ใหญ่พอที่จะรับฟังและห้ามปรามน้องสามี ไม่ให้ไปวุ่นวายกับผู้ชายของคนอื่นอีกต่อไป

หลังจากโทรศัพท์ติดต่อเข้าไปที่ตึกใหญ่ที่อยู่ลึกเข้าไปด้านใน ยามประตูผู้นั้นก็ออกมาเปิดประตูให้รถของคุณลักษณาแล่นเข้าไป หญิงวัยกลางคนเหลียวมองไปรอบบริเวณบ้านซึ่งใหญ่โตกว้างขวางและร่มรื่น นึกในใจว่า ‘ญาติพี่น้องของแม่คนนี้ฐานะไม่เลวเหมือนกัน’ 


สาวใช้คนหนึ่งออกมารับที่หน้าตึก พาเธอเข้าไปนั่งรอในห้องรับแขก เอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้แล้วก็ออกไป

สิริมาภรรยาของวุฒิเลิศปรากฏตัวเข้ามาในห้านาที นั่งลงตรงกันข้ามกับคุณลักษณา มองหน้าแขกที่มาขอพบอย่างสงสัย แน่ใจว่าไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้าผู้หญิงวัยกลางคน ที่แต่งตัวดีประดับอัญมณีราคาแพงหลายชิ้นบนร่างกาย ใบหน้าก็ได้รับการตกแต่งด้วยเครื่องสำอางค์อย่างดี จนดูสาวกว่าอายุคนนี้มาก่อนเลย


“ฉันชื่อลักษณา ภักดีวงค์ เป็นภรรยาของท่านรัฐมนตรีปราโมช คุณคงรู้จัก”
คุณลักษณาเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวเอง

สิริมาเคยได้ยินชื่อและเห็นภาพรัฐมนตรี คนที่แขกของเธออ้างว่าเป็นภรรยาของเขาจากหนังสือพิมพ์บ้าง โทรทัศน์บ้างมาแล้ว แต่ไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัว

“ค่ะ” เธอตอบรับตามมารยาท ทั้งๆที่ไม่เข้าใจเลยว่าหญิงวัยกลางคนผู้นี้มีธุระปะปังอะไรกับเธอ

“เห็นยามที่ประตูบอกว่าคุณเป็นพี่สะใภ้ของผู้หญิงที่ชื่อทิพย์สุรางค์” คุณลักษณาเข้าประเด็นทันทีตามนิสัยใจร้อนของเธอ

ภริยาของวุฒิเลิศยิ่งรู้สึกงงมากกว่าเก่า “คุณมาหาน้องทิพย์หรือคะ? แต่วันนี้เขาไม่อยู่บ้าน กว่าจะกลับก็คงอีกนาน”

แขกของเธอยกมือที่ประดับด้วยแหวนมรกตล้อมเพชรวงใหญ่ ขึ้นโบกเป็นทำนองปฏิเสธ “ยามที่ประตูบอกฉันแล้ว เขาไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร ดีเสียอีกที่จะได้พูดคุยอย่างเปิดอกกับคุณ ซึ่งคงจะเป็นผู้ปกครองของเขา”

คุณลักษณาเสยกแก้วน้ำส้มคั้นเย็นเฉียบ ที่อยู่ตรงหน้าขึ้นดื่มอย่างอ้อยอิ่ง ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในช่วงนั้น ประเมินผู้หญิงสาวสวยอายุไม่เกินสามสิบห้าปี ที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม ดูเธอบอบบางเป็นผู้ดี ท่าทางซื่อๆ แล้วก็สรุปเอาเองว่าคงไม่มีพิษสงอะไรนัก คงจะหน้าบางและพูดง่ายกว่าทิพย์สุรางค์

“คุณมีธุระอะไรกับน้องทิพย์หรือคะ?” เมื่อเห็นผู้หญิงที่ชื่อลักษณายังไม่พูดอะไรต่อ สิริมาก็ถามขึ้นมาเองอย่างสงสัย

“เดี๋ยวก่อนค่ะ ฉันขอถามคุณหน่อยนะคะ น้องสามีของคุณคนนี้อยู่ที่นี่กับคุณตลอดหรือเปล่าคะ?”

คำถามนั้นทำให้พี่สะใภ้ของทิพย์สุรางค์ เริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลขึ้นมาทันที เธอตอบอย่างระมัดระวังว่า “ตอนนี้น้องทิพย์พักอยู่กับเราที่นี่”

“อ้าว! เขาไม่ได้อยู่ที่บ้านทางเหนือโน่นหรอกหรือคะ?” คุณลักษณาเริ่มรุก
“ก็กลับไปบ้างเป็นครั้งคราว ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรเกี่ยวกับเขาหรือคะ?”

สิริมาไม่เข้าใจว่าทำไมคุณลักษณาต้องถามอ้อมไปอ้อมมา เธอต้องการอะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆหญิงสาวสัมผัสได้ถึงความไม่เป็นมิตรต่อทิพย์สุรางค์ จากคำพูดของแขกของเธอ


“ฉันไม่รู้ว่าจะพูดดีไหม เพราะมันเป็นเรื่องไม่ค่อยดีเท่าไหร่” คุณลักษณาเริ่มกระตุ้นความอยากรู้ของคู่สนทนา

ภรรยาของวุฒิเลิศนิ่งอึ้ง เริ่มกังวลว่าทิพย์สุรางค์มีเรื่องอะไร ที่ทำให้หญิงวัยกลางคนผู้นี้ พูดด้วยสุ้มเสียงมีเลศนัยอย่างนั้น แต่ยังไม่ทันถามถึงเรื่องที่คุณลักษณาบอกว่าไม่ค่อยดี แขกของเธอก็พูดต่อไป 


“ฉันเคยเจอเขาสองครั้งที่อเมริกา เขาไปเรียนหนังสือที่โน่นใช่ไหมคะ?”

สิริมาตอบตามตรงว่า “ค่ะ ไปทำปริญญาโทที่โน่น” แล้วเธอก็รวบรัดบอกกับคุณลักษณา ซึ่งไม่รู้ว่าจะโยกโย้ไปอีกนานเท่าไรว่า “เอายังงี้ดีไหมคะ ถ้าคุณมีเรื่องอะไรเกี่ยวกับน้องทิพย์ที่อยากจะพูดกับฉัน ก็เชิญพูดได้เลยค่ะ”

คุณลักษณาทำหน้ายิ้มๆอย่างเป็นต่อ เปิดกระเป๋าถือใบใหญ่ หยิบรูปขนาดโปสการ์ดสองใบ ออกมาส่งให้เจ้าของบ้าน ซึ่งรับมาดูอย่างมืดแปดด้าน ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่าย สิริมาพลิกดูทีละรูป รูปแรกเป็นรูปที่ถ่ายบนเวที ผู้ชายหนุ่มคนหนึ่งที่สิริมารู้สึกว่าคุ้นหน้า กำลังสวมแหวนให้ผู้หญิงรูปร่างหน้าตาสะสวย

เมื่อดูแล้วดูอีกก็ยังมืดแปดด้าน เธอก็เงยหน้าขึ้นมองคุณลักษณาเป็นเชิงถาม ซึ่งฝ่ายนั้นก็รีบอธิบายทันที “

"นี่เป็นพิธีหมั้นของลูกสาวฉันที่อเมริกา ส่วนผู้ชายคนที่กำลังสวมแหวนให้ คุณคงรู้จักเขาดี”

สิริมารีบก้มลงมองหน้าตาของผู้ชาย คนที่คุณลักษณาบอกอีกครั้งทันที พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก็นึกออกว่าเป็นรูปของเคนหรือคริสนั่นเอง แต่ก็ยังงงอยู่ดีว่าแล้วมาเกี่ยวอะไรกับน้องสามีของเธอ

“คุณจำเขาได้แล้วใช่ไหม?”
“ค่ะ ฉันรู้จักเขา มีอะไรหรือคะ?” หญิงสาวก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
“ถ้าคุณยังไม่เข้าใจ ก็ลองดูรูปอีกใบสิคะ”

สิริมาหยิบรูปอีกใบขึ้นมาดูอย่างเริ่มสนใจ เธอเห็นคริสและทิพย์สุรางค์ ยืนมองหน้ากันอยู่ข้างๆรถเก๋งคันใหญ่สีดำ มองไปมองมาแล้วก็แน่ใจว่ารูปนี้ถ่ายที่บ้านของเธอเอง แต่จะถ่ายเมื่อไรและใครเป็นคนถ่ายเธอไม่รู้ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองคุณลักษณาอย่างไม่เข้าใจ

“นี่คุณยังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
“คุณบอกฉันมาดีกว่าค่ะ ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน”

“รูปใบแรกนั่นเป็นรูปลูกสาวฉันกับว่าที่เจ้าบ่าว ส่วนอีกรูปนั่นเป็นรูปน้องสามีคุณกับว่าที่ลูกเขยฉัน คุณไม่คิดว่ามันมีอะไรผิดปกติบ้างหรอกหรือ?” คุณลักษณาทำหน้ายิ้มแกมเยาะ

หญิงสาวพิจารณารูปสองใบนั้นอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังมองไม่เห็นว่ามีอะไรที่ผิดปกติ เธอรู้อยู่แล้วว่าน้องสาวสามีเธอกับนายเคนหรือคริสเคยรู้จักกันมาก่อน เขาอาจจะแวะมาเยี่ยมทิพย์สุรางค์ หลังจากวันที่มากินข้าวที่บ้านเธอ ตามประสาคนรู้จักกันก็ได้ ไม่เห็นจะมีอะไรแปลกประหลาด

คุณลักษณากำลังนึกในใจว่า ผู้หญิงคนนี้แกล้งทำเป็นไม่รู้หรือว่าไม่รู้จริงๆ เพราะถูกทิพย์สุรางค์หลอกหรือปิดบัง ถ้าอย่างนั้นก็เป็นหน้าที่ของเธอที่จะโพนทนาให้รู้เสียเลย จะได้จัดการห้ามปรามกันเสีย ไม่ให้มาวุ่นวายกับว่าที่ลูกเขยของเธออีก

“ถ้าคุณไม่รู้จริงๆฉันก็จะบอกให้ แม่ทิพย์สุรางค์คนนี้น่ะ รู้ทั้งรู้ว่าคริสเป็นคู่หมั้นของลูกสาวฉัน ยังมาตามตื้อคริสไม่ยอมเลิกรา...”

สิริมาซึ่งตกใจกับเรื่องที่คุณลักษณากำลังพูด ยกมือขึ้นเป็นเชิงห้าม 


“คุณพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไงคะ? คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า?”

“เข้าใจผิด? ฉันนี่น่ะหรือจะเข้าใจผิด ถ้าคุณเป็นญาติกับเขาจริงก็ต้องรู้สิ ว่าคริสน่ะเคยไปอาศัยอยู่ที่เวียงพุกามของพวกคุณตั้งเกือบปี แล้วก็เลยไปรู้จักสนิทสนมกับแม่...” พอเห็นสายตาไม่พอใจของอีกฝ่าย คุณลักษณาก็รีบเปลี่ยนสรรพนามทันที “เอ้อ...ทิพย์สุรางค์ อยู่บ้านเดียวกันมานานเป็นปี ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าเขาสองคนมีอะไรกันมากน้อยแค่ไหน แต่ถึงเคยมีฉันก็ไม่สนใจหรอก ผู้ชายก็เหมือนกันทุกคนแหละ ก่อนจะแต่งงานเป็นเรื่องเป็นราวกับคนที่เหมาะสมคู่ควร ก็ต้องเคยผ่านผู้หญิงมาหลายคนด้วยกันทั้งนั้น แล้วก็แล้วกันไป ไม่ได้มีความหมายอะไร ผู้หญิงพวกนี้ก็ควรจะรู้ตัว ว่าเป็นได้แค่อาหารว่างชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ต้องรู้ว่าจบก็คือจบ ไม่ใช่คอยตามตื๊อไม่ยอมเลิกราแบบนี้”

สีหน้าของสิริมาซีดเผือดแต่แววตากลับแข็งกร้าวขึ้นมาทันที 


“คุณพูดจาน่าเกลียดแบบนี้ได้ยังไงคะ นี่คุณกำลังสบประมาทน้องทิพย์อยู่นะคะ คุณพูดยังกับว่าน้องทิพย์กับคุณคริสเคยมีอะไรกัน คุณก็เป็นผู้ใหญ่ผมสองสีแล้วนะคะ จะพูดจากล่าวหาใครลอยๆตามใจชอบไม่ได้ ไม่ใช่ว่าสามีคุณเป็นคนใหญ่คนโต แล้วคุณจะมีอภิสิทธิมาด่าว่าหาเรื่องคนอื่นเขาพล่อยๆ ให้เสียหายแบบนี้ได้”

คุณลักษณาทำหน้ายิ้มเยาะ มองอีกฝ่ายที่พูดด้วยเสียงสั่นๆด้วยความโกรธ อย่างเวทนาว่าช่างงี่เง่าเสียเหลือเกิน 


“ฉันเข้าใจและเห็นใจว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่คุณต้องโกรธ แต่ฉันพูดเรื่องจริงที่ว่าเขาตามตื๊อคริส ส่วนที่ว่าเขาจะมีอะไรกันถึงขั้นนั้นหรือเปล่า ฉันก็บอกแล้วนี่ว่าฉันไม่รู้ ฉันแค่ยกตัวอย่างให้ฟังเท่านั้น ว่าผู้ชายน่ะมันก็เหมือนกันทั้งโลกแหละ ได้ก็ดี แล้วก็แล้วกันไป ฉันไม่ได้พูดเจาะจงถึงน้องสามีคุณนี่”

สิริมาฟังคำพูดแบบเอาข้างเข้าถูของคุณลักษณา ด้วยความไม่พอใจ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดอะไร อีกฝ่ายก็กล่าวต่อไป

“ความจริงฉันเคยพูดจาขอร้องน้องสามีคุณมาแล้วให้ปล่อยคริสเสีย แต่เขาก็ไม่ฟัง ยังตามตื๊อไม่เลิก ตั้งแต่อเมริกายันพัทยา”

เมื่อเห็นแววตาเหมือนไม่เชื่อถืออย่างสิ้นเชิงของสิริมา คุณลักษณาก็เลยเล่าเรื่องทั้งหมด ตั้งแต่เหตุการณ์ที่หน้าลิฟต์ในวันหมั้น การเจรจาระหว่างเธอกับทิพย์สุรางค์ และการปรากฏตัวอยู่กับคริสสองต่อสองที่พัทยา ตามที่รู้จากลลิตาให้อีกฝ่ายฟังจนหมดสิ้น รวมทั้งไม่ลืมพรรณาถึงความรักความผูกพันกันมาเนิ่นนาน ของคริสกับลูกสาวเธอให้อีกฝ่ายรับรู้ด้วย

สิริมารู้สึกตกใจมาก หูของเธออื้ออึงไปด้วยคำพูดของคุณลักษณา ตาก็พร่าพราย สมองของเธอเฝ้าแต่คิดว่า นี่มันอะไรกันมีเรื่องร้ายแรงขนาดนี้ได้อย่างไร แต่ก็นั่นแหละจะจริงเท็จแค่ไหนก็ยังไม่รู้เลย ตอนนี้ก็เท่ากับฟังความข้างเดียวแท้ๆ

“ที่คุณว่าเขาไปเจอกัน ในงานหมั้นของลูกสาวคุณและแม้แต่ที่พัทยา ฉันฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าจะเป็นเรื่องน่าเกลียดอย่างที่คุณคิดได้อย่างไร เขาอาจมีเรื่องต้องพบปะพูดจากันก็ได้ไม่ใช่หรือคะ ในฐานะเพื่อนฝูงหรือคนรู้จัก”

สิริมาพยายามแก้ต่างให้ทิพย์สุรางค์ แม้จะรู้สึกแปลกๆอยู่บ้างก็ตาม

“แต่ถึงอย่างไรฉันก็คิดว่าคุณอาจจะตีความไปเอง ทางที่ดีเราควรจะพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเจ้าตัวเขา เขาจะได้มีโอกาสเคลียร์ตัวเอง จริงไหมคะ?”

อีกฝ่ายยักไหล่ “ ฉันไม่คิดที่จะพบปะพูดจาอะไรกับเขาอีกแล้ว ท่าทางเขาอวดดี ไม่ใช่คนที่จะยอมเข้าใจอะไรง่ายๆ ฉันต้องขอโทษด้วยที่มาทำให้คุณไม่สบายใจ ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะมาวุ่นวายอะไรกับคุณหรอก แต่ก็จำเป็นต้องมา เพื่อขอร้องให้คุณห้ามปรามเตือนสติเขาบ้าง ผู้ชายดีๆในโลกนี้ยังมีอีกมากมาย ตัวเขาเองก็ทั้งสาวทั้งสวย มีสกุลรุนชาติ ฐานะเท่าที่เห็นก็ไม่เลว คงหาผู้ชายสักคนได้ไม่ยาก คุณอาจจะไม่รู้ว่าคริสน่ะรักลูกสาวฉันมาก อีกไม่นานเขาก็จะแต่งงานกันแล้ว ทุกอย่างเตรียมเสร็จเกือบหมดแล้ว ไม่มีทางพลิกล้อคหรอก ถึงยังไงน้องสามีคุณ ก็ไม่มีทางแยกเขาสองคนออกจากกันได้ อย่าเสียเวลาเปล่าเลย”

“ฉันก็ยังคิดว่าคุณเข้าใจผิดอยู่ดีแหละค่ะ” สิริมาแย้งเสียงแข็งทันทีอย่างไม่พอใจ “น้องทิพย์ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะไปต่อสู้แย่งผู้ชายกับใคร แล้วเรื่องที่คุณเล่านั่นอาจจะเป็นการใส่ร้ายเขาก็ได้ ตอนนี้เขาไม่อยู่ คุณจะพูดยังไง เล่ายังไงก็ได้นี่คะ ถ้าคุณสุจริตใจจริง ไม่ได้ต้องการกล่าวหาเขาลับหลัง คุณก็น่าจะรอให้น้องทิพย์กลับมาเสียก่อน แล้วพูดกันให้รู้เรื่องไปเลยว่าเรื่องจริงเป็นยังไง ไม่ใช่มาพูดอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้”

มารดาของลลิตามองหน้าสิริมาเขม็ง นึกในใจว่า ‘แม่คนนี้ก็ร้ายไม่ใช่เล่นเหมือนกันนี่ เห็นหน้าตาซื่อๆนึกว่าจะพูดง่าย ที่แท้ก็ร้ายพอๆกับแม่คนนั้น’ แล้วเธอก็โต้กลับทันที

“ไม่รู้ว่าคุณจะแก้ตัวแทนเขาไปทำไม เขาเที่ยวตะลอนๆไปอยู่ที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง ส่วนคุณก็คงจะอยู่ที่นี่เสียเป็นส่วนใหญ่ แล้วคุณจะรู้ได้ยังไงว่าเขาไปทำอะไรเอาไว้ที่ไหนบ้าง คุณอาจจะคิดว่าน้องสามีคุณดีเลิศประเสริฐศรี ไม่คิดจะแย่งผู้ชายของใคร คุณเองก็อายุไม่น้อยแล้ว คงจะรู้จักคำพังเพยที่ว่า ‘ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก’ บ้างละมัง ถ้ารู้จักก็คงเข้าใจว่าฉันหมายความว่ายังไง

ฉันไม่ได้มากล่าวหาเขา แต่พฤติกรรมต่างๆของเขาที่ทำตัวเป็นมือที่สาม ทำให้ฉันจำเป็นต้องมาที่นี่วันนี้ คุณควรจะเก็บเอาคำพูดของฉันทั้งหมดไปไตร่ตรองให้ดี แล้วคุณอาจจะได้รู้ได้เห็นอะไรดีๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับน้องสามีของคุณคนนี้ก็ได้”

เมื่อพูดจบและเห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดมากขึ้นทุกทีของเจ้าของบ้าน ที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจกับคำพูดของเธอ คุณลักษณาก็ขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ เธอได้พูดหมดทุกอย่างที่อยากพูดแล้วนี่ ถึงเวลากลับได้แล้ว ขืนอยู่ต่อไปใครจะรู้ ว่าจะไม่ถูกเอ่ยปากไล่อย่างผู้ดีให้ออกไปจากบ้าน

“ฉันจะกลับละ ขอบใจมากที่อุตส่าห์ฟังจนจบ ฉันหวังว่าเมื่อคุณรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว ก็คงรู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป อย่าทำไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะคะ ฉันจะเตือนครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น ต่อไปจะไม่มีการเตือนกันอีกแล้ว คุณคงเข้าใจว่าฉันหมายความว่าอย่างไร”

แล้วเธอก็เดินออกจากห้องรับแขก โดยมีสิริมาซึ่งกำลังเครียดอย่างมาก กับข้อกล่าวหาของคุณลักษณา ฝืนใจเดินตามไปส่งแขกตามมารยาทของเจ้าของบ้าน ก่อนจะก้าวขึ้นรถที่คนขับรถลงมาเปิดประตูให้ คุณลักษณาหันมาทำหน้ายิ้มๆให้สิริมาแล้วตบท้ายว่า

“หวังว่าคุณจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ไม่เช่นนั้นฉันอาจจะต้องมาจัดการเอง ซึ่งถ้าถึงตอนนั้นฉันก็รับรองไม่ได้ว่าจะมีใครอีกนอกจากน้องสามีคุณ ที่จะต้องพลอยเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะถูกประจานไปด้วย อีกอย่าง...ที่ฉันต้องมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ก็เพราะไม่อยากให้รู้ไปถึงหูสามีฉัน เขาเป็นคนใจร้อน ขี้โมโห คงไม่ยอมให้น้องสามีคุณมาทำลายงานแต่งของลูกสาวเขาหรอก ดีไม่ดีเขาโกรธขึ้นมา สามีของคุณอาจจะเดือดร้อนก็ได้ ฉันรู้มาว่าเขามีกิจการใหญ่โตที่ต้องพึ่งภาครัฐอยู่บ้างไม่ใช่หรือ ลองคิดดูให้รอบคอบนะคะ ฉันลาละ”

สิริมานิ่งฟังวาจาข่มขู่ของสตรีวัยกลางคนอย่างอดทน ตอนนี้เธออยากให้คุณลักษณารีบขึ้นรถ ออกไปจากบ้านโดยเร็วที่สุด ก่อนที่สามีของเธอจะกลับมา เพราะยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี เธอยังไม่พร้อมที่จะเล่าเรื่องนี้ให้วุฒิเลิศฟัง ต้องการจะพูดจากับทิพย์สุรางค์ให้รู้เรื่องเสียก่อน

แต่โชคไม่เข้าข้างเธอ เพราะทันทีที่คุณลักษณาขึ้นรถเรียบร้อย คนขับกำลังจะนำรถออก รถของวุฒิเลิศก็เข้ามาพอดี พอเห็นผู้ชายหนุ่มใหญ่หน้าตาดีในชุดสากล ก้าวออกจากรถเดินไปหาสิริมา คุณลักษณาซึ่งเดาได้ว่าหนุ่มใหญ่ผู้นั้นเป็นใคร รีบสั่งคนขับให้หยุดรถ กดปุ่มกระจกให้เลื่อนลง ยื่นหน้าออกไปพูดกับสิริมาซึ่งกำลังตกใจว่า

“ถ้ายังไงก็ปรึกษาหารือกับสามีคุณ เรื่องน้องสาวเขาด้วยนะคะ ช่วยกันคิดแล้วทำให้เรียบร้อยด้วย อย่าให้ฉันต้องเสียเวลามาที่นี่อีกครั้ง"

ทันทีที่พูดจบเธอก็กดปุ่มกระจกให้เลื่อนปิด แล้วรถของคุณลักษณาก็แล่นไปตามถนน ออกประตูใหญ่หายลับตาไป หลังจากที่ได้ทิ้งระเบิดลูกใหญ่เอาไว้ให้เจ้าของบ้านทั้งสองแล้ว

วุฒิเลิศมองหน้าภรรยาอย่างสงสัย 


“มีเรื่องอะไรกัน ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร? พูดจาชอบกล”

สิริมาซึ่งตอนนี้มีสีหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจและกังวล ฝืนยิ้มให้สามี เธอจำเป็นต้องบอกเขาถึงเรื่องที่ได้ยินจากคุณลักษณา เพราะวุฒิเลิศจะเอาใจใส่ในเรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับน้องสาว เธอรู้ว่าเขารักและเป็นห่วงทิพย์สุรางค์มาก 


“คุณใหญ่ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า เดี๋ยวน้อยจะเล่าให้ฟัง”

ระหว่างที่วุฒิเลิศอยู่ในห้องน้ำ สิริมาก็ยกถาดอาหารว่างที่เตรียมไว้แล้ว เข้าไปในห้องนอนด้วยตัวเอง เธอไม่อยากจะพูดเรื่องดังกล่าวที่ข้างล่าง เพราะเกรงว่าคนรับใช้บนตึกซึ่งมีอยู่หลายคนจะบังเอิญมาได้ยินเข้า

หลังจากรับประทานอาหารว่างเสร็จวุฒิเลิศก็บอกภรรยาว่า “มีเรื่องอะไรก็ว่ามา อ้อ..แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใค รู้จักกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมว่าไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อนเลยนะ”

“น้อยก็ไม่เคยรู้จักเขาหรอกค่ะ อยู่ๆก็มาขอพบน้อย” 


แล้วเธอก็นิ่งอึ้งไปอีก ยังนึกไม่ออกว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี สามีของเธอจึงจะไม่ตกใจมากมายเหมือนเธอ แต่แล้วพอนึกขึ้นได้ถึงรูปสองใบที่คุณลักษณาทิ้งไว้ให้ ซึ่งตอนนี้อยู่ในกระเป๋ากางเกงหลวมๆ แบบอยู่กับบ้านที่ใส่อยู่ สิริมาก็หยิบออกมาส่งให้เขา

วุฒิเลิศก็เหมือนเธอ หลังจากดูรูปสองใบนั้น เขาก็ขมวดคิ้ว 


“แล้วมีเรื่องอะไรกัน ไม่เห็นเข้าใจ”
“คุณใหญ่จำได้ใช่ไหมคะว่าผู้ชายในรูปเป็นใคร?”

“จำได้สิ รูปนายเคนหรือคริสไม่ใช่หรือ แล้วนี่ก็น้องทิพย์ แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้จัก”

สิริมาฝืนยิ้มเมื่อบอกสามีว่า “ผู้หญิงที่มาหาน้อยชื่อคุณลักษณา เป็นแม่ของผู้หญิงในรูปซึ่งเป็นคู่หมั้นของคุณคริส”

แต่วุฒิเลิศก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เขามองไม่เห็นความเกี่ยวพันกันระหว่างคนทั้งสามในรูป เมื่อเห็นเช่นนั้นสิริมาก็ตัดสินใจ ถ่ายทอดคำพูดทั้งหมดของคุณลักษณาให้เขาฟังโดยละเอียด พอฟังจบสีหน้าของวุฒิเลิศก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที แววตาของเขาแข็งกร้าวด้วยความโกรธ กรามขบกันแน่น

“บัดซบ! “ เขาระเบิดออกมาอย่างลืมตัว “ยายนั่นแกกล่าวหาน้องหนูขนาดนั้นได้ยังไง? แล้วตอนนี้น้องหนูอยู่ที่ไหน? ไปเรียกมาคุยกันหน่อยซิ”


“น้องทิพย์ออกไปธุระข้างนอกยังไม่กลับเลยค่ะ”

แล้วสิริมาก็รีรอ ระหว่างที่สามีอาบน้ำเธอพอมีเวลาทบทวนคำพูดของคุณลักษณาไปมาหลายตลบ แล้วก็เริ่มคิดว่าน่าจะมีความจริงบางอย่างอยู่บ้าง ตอนที่วุฒิเลิศและเธอรู้เรื่องจากทิพย์สุรางค์ว่าเธอมีลูกซึ่งเกิดกับผู้ชายคนหนึ่ง ระหว่างอยู่กินด้วยกันในอเมริกา แต่ต่อมาก็เลิกรากันไป ซึ่งตอนนั้นทิพย์สุรางค์ไม่กล้าบอกทางบ้าน หลังจากเด็กอายุได้ประมาณสามเดือนกว่าๆ น้องสามีของเธอก็หอบเขากลับมาเมืองไทย ให้วุฒิเลิศและเธอช่วยดูแล โดยไม่ได้บอกว่าพ่อของเด็กเป็นใคร แต่เมื่อเห็นหน้าตาของเด็ก ทั้งเธอและสามีต่างก็คิดคล้ายๆกันว่าพ่อของเขาคงเป็นคนต่างชาติ

แม้จะโกรธและเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่วุฒิเลิศก็ไม่กล้าว่ากล่าวน้องสาวมากนัก เขาพยายามทำใจให้ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ตอนนี้สิ่งที่เขาหวังมากที่สุด คือให้ทิพย์สุรางค์ได้พบผู้ชายดีๆที่ไม่รังเกียจลูกของเธอ และแต่งงานไปกับเขา

“คุณใหญ่คะ เท่าที่น้อยฟังจากคุณลักษณา มันน่าจะมีอะไรบางอย่าง อย่าลืมว่ามีบางเรื่อง ที่น้องทิพย์ไม่เคยบอกเรา” สิริมาหยุดพูดเพื่อสังเกตสีหน้าสามี

เมื่อเห็นเขามองเธออย่างอยากรู้ว่าเธอจะพูดอะไรต่อไป หญิงสาวก็กล้ากล่าวต่อว่า “เช่นเรื่องผู้ชายคนที่น้องทิพย์บอกว่าเคยอยู่กินกับเขา แต่จนเดี๋ยวนี้เราก็ไม่เคยรู้เลยว่าเขาเป็นใคร”

“น้อยหมายความว่ายังไง?” คราวนี้วุฒิเลิศมีท่าทางตกใจ “หรือน้อยคิดว่าผู้ชายคนนั้นคือไอ้เจ้าคริสนี่ ”

เมื่อเธอไม่ตอบ เขาก็รีบพูดต่อโดยเร็วว่า “เป็นไปไม่ได้หรอก ก็ตอนนั้นเจ้านั่นมันยังอยู่ที่เวียงพุกามไม่ใช่หรือ? เอ๊ะ! หรือว่าไม่ได้อยู่แล้ว?”

ตอนนี้สิริมาเริ่มสงสัยมากขึ้นทุกทีแล้ว เมื่อนึกถึงหน้าตาของเด็กชายสิงห์ ที่เหมือนกับผู้ชายที่ชื่อคริสมาก

“คุณใหญ่คะ น้อยก็ยังไม่แน่ใจ แต่พอนึกถึงหน้าตาของสิงห์ที่เราเคยคิดว่าพ่อเขาเป็นฝรั่ง แล้วลองนึกถึงหน้าตาของคุณคริสดูสิคะ ถึงเขาจะไม่ใช่ฝรั่งร้อยเปอร์เซนต์ แต่เขาก็เป็นลูกครึ่งนะคะ ตอนนี้ยิ่งคิดน้อยก็ยิ่งสงสัยว่ามันอาจจะเป็นไปได้ ตอนที่น้องทิพย์ไปเมืองนอกเขาไม่ได้อยู่ที่เวียงพุกามแล้วก็จริง

แต่..แต่ ..ก่อนหน้านั้นเล่าคะ? คุณใหญ่ลองคิดถึงอายุของสิงห์สิคะ เขาอายุสามเดือนกว่าเกือบสี่เดือนแล้วด้วยซ้ำ ตอนที่น้องทิพย์พาเขากลับมา ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นน้องทิพย์อยู่อเมริกาได้แค่ปีเดียวเอง ช่วงนั้นเรามัวแต่ตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่กล้าซักถามอะไรน้องทิพย์มาก เพราะกลัวเธอจะเสียใจ เลยไม่ได้สนใจเรื่องที่ว่านี้”


วุฒิเลิศนิ่งอึ้งไปทันที เรื่องที่ภรรยาเขาสงสัยเป็นเรื่องที่อาจจะเป็นไปได้ แต่เขาทำใจให้ยอมรับไม่ได้ ว่าน้องสาวที่รักยิ่งดวงใจของเขา จะปล่อยเนื้อปล่อยตัวกับลูกจ้างแบบเจ้าเคนคนนั้นได้ เธอไม่ใช่ผู้หญิงเจ้าชู้เที่ยวหว่านเสน่ห์กับผู้ชายไม่เลือกหน้า เธอไม่ใช่คนใฝ่ต่ำ ถึงขนาดจะลดตัวลงไปเกี่ยวข้องกับผู้ชายที่ไร้อนาคต ไม่มีใครรู้จักหัวนอนปลายเท้าคนนั้น

ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ที่แค้นที่สุดคือไอ้เจ้าคริสคนนั้น มันบังอาจเหยียบจมูกเขาได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ แล้ววุฒิเลิศก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินพล่านไปรอบห้อง หน้าตาของเขาทั้งโกรธแค้น ทั้งทุกข์ตรมหม่นไหม้ขึ้นมาทันที

“เดี๋ยวคงจะต้องพูดกันให้รู้เรื่อง เขากลับมาหรือยังล่ะ?” ตอนนี้เสียงของเขาเริ่มแข็งกร้าวขึ้น

“คุณใหญ่คะ ใจเย็นๆก่อน เอาแบบนี้ดีไหมคะ ให้น้อยลองคุยกับน้องทิพย์ดูก่อน เราเป็นผู้หญิงด้วยกันเธออาจจะกล้าเล่าให้ฟัง แต่ถ้าเป็นคุณใหญ่เธออาจจะอายจนไม่กล้าพูดอะไรเลยก็ได้ ความจริงเราเองก็ยังไม่แน่ใจ เราแค่สันนิษฐานกันเอาเองเท่านั้น”

เธอพยายามให้เหตุผลกับสามี เพราะกลัวว่าเขาจะปึงปังใส่ทิพยุสุรางค์จนเสียเรื่อง ตามปกติวุฒิเลิศเป็นคนใจเย็น แต่เวลาโกรธเขาก็จะรุนแรงราวกับไฟไหม้ป่า

“ตอนนี้ผมชักจะสงสัยแล้วละ จำคืนนั้นที่มันมากินข้าวบ้านเราได้ไหม? ทั้งน้องหนูทั้งมันทำท่าแปลกๆ แต่เราก็นึกว่าคงไม่มีอะไร”

“ค่ะ คืนนั้นน้อยก็นึกสงสัยเหมือนกัน เขาสองคนทำท่าเหมือนมีปัญหาที่ยังตกลงกันไม่ได้” 


แล้วเธอก็นึกถึงสีหน้าแววตาของทิพย์สุรางค์กับคริส และวาจาประชดประชันที่โต้ตอบกันในคืนนั้น

สามีของเธอเดินพล่านอยู่อีกพักใหญ่ สีหน้าของเขาทั้งเครียดทั้งแค้น ในที่สุดเขาก็ถามว่า “น้อยรู้ไหมว่าตอนนี้เจ้าคริสนั่นอยู่ที่ไหน? ยังอยู่ในเมืองไทยหรือเปล่า?”

สิริมารู้สึกตกใจ “เขาคงกลับไปอเมริกาแล้วละค่ะ ทำไมคะ? คุณใหญ่จะไปพบเขาหรือคะ?”

“ผมอยากคุยกับมัน มันจะมาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีเราแล้วลอยนวลไปเฉยๆไม่ได้ มันควรจะต้องรับผิดชอบน้องทิพย์กับลูกของมันด้วย” เสียงของเขาแข็งกร้าวด้วยความแค้น “ไม่นึกเลยว่ามันจะเป็นคนเลวยังงี้ ทั้งๆที่พ่อมันเป็นคนดี เป็นผู้ดี เอ๊ะ! หรือผมควรจะโทรไปหาจอห์น?” วุฒิเลิศหมายถึงจอห์น เลย์ตัน บิดาของคริส ซึ่งเขารู้จักดี

สิริมาเห็นอาการของสามีแล้วก็รู้ว่าเขากำลังโกรธและเสียใจมาก แต่เธอจะยอมให้เขาทำอย่างนั้นในตอนนี้ไม่ได้ 


“คุณใหญ่คะ ใจเย็นๆก่อนค่ะ เรื่องอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้นะคะ ไว้ให้น้อยคุยกับน้องทิพย์ดูก่อนว่าความจริงมันเป็นยังไงกันแน่ แล้วค่อยคิดกันอีกที อย่าเพิ่งวู่วามเลยนะคะ”

“ถ้าเป็นเรื่องจริงล่ะ น้อยคิดว่าผมควรจะอยู่เฉยๆไม่ทำอะไรเลยงั้นหรือ? ผมยอมไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องพูดกับมันให้รู้เรื่อง” วุฒิเลิศยังยืนกรานอย่างแสนแค้นที่ถูกหยามเกียรติ

“น้อยเข้าใจความรู้สึกของคุณใหญ่ น้อยเองก็รู้สึกเหมือนคุณใหญ่แหละค่ะ แต่ตอนนี้เราควรคุยกับน้องทิพย์ให้รู้เสียก่อน ว่าเรื่องจริงเป็นยังไง จะแก้ไขอย่างไร ถ้าคุณใหญ่บุ่มบ่ามทำอะไรลงไปตอนนี้ น้องทิพย์อาจจะยิ่งเสียหายมากขึ้นไปอีก เรื่องที่ไม่มีใครรู้ก็จะรู้กันไปทั่ว แต่ไม่ใช่ว่าน้อยจะค้านไม่ให้คุณใหญ่ทำอะไรเลยนะคะ เพียงแต่ขอให้น้อยคุยกับน้องทิพย์ให้รู้เรื่องทั้งหมดเสียก่อน แล้วค่อยมาคิดกันอีกที ดีไหมคะ?”

ตอนนี้วุฒิเลิศกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง เขากำลังคิดว่าถ้าคริสเป็นพ่อของหลานเขาจริง เรื่องนี้ก็ต้องเกิดขึ้นตอนที่คริสอยู่ที่เวียงพุกามในชื่อของเคน แล้วไอ้เจ้าเคนคนนั้นกับน้องสาวของเขา แอบไปมีความสัมพันธ์กันได้อย่างไร ตั้งแต่เมื่อไร น้องสาวของเขาเป็นผู้หญิงที่ไว้ตัว ไม่สุงสิงกับใครง่ายๆ ส่วนเจ้าเคนนั่นเท่าที่เขาเห็น ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเป็นคนเกาะแกะ ความจริงมันเป็นคนสุภาพ ท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัวเสียด้วยซ้ำ

แล้ววุฒิเลิศก็คิดต่อไปว่า หรือมันจะเป็นคนประเภทหน้าไหว้หลังหลอก ทำท่าซึมเซื่องเหมือนแมวนอนหวด แล้วแอบมาตีท้ายครัวเสียเฉยๆ ถือโอกาสช่วงที่บิดาของเขาไม่ได้อยู่ในเวียงพุกาม นี่แหละคือโทษของการรับคนจรหมอนหมิ่นเข้ามาพักอาศัยอยู่ในบ้าน

เอ๊ะ! หรือว่ามันจะปล้ำน้องสาวเขาโดยที่เธอไม่ยินยอม เมื่อเกิดท้องขึ้นมาเธอจึงต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ ในขณะที่มันก็ลอยนวลกลับไปบ้าน ไปหมั้นหมายและกำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งหน้าตาเฉย ราวกับว่าน้องสาวของเขาเป็นดอกไม้ริมทาง ที่มันคิดจะเด็ดมาดมดอมแล้วโยนทิ้งไปเมื่อไรก็ได้

พอคิดเช่นนี้ ชายหนุ่มก็รู้สึกเลือดขึ้นหน้าด้วยความคั่งแค้น คิดว่าถ้าเหตุการณ์เป็นเช่นนี้จริง คงต้องตามล้างแค้นมันและครอบครัวของมันให้ถึงที่สุด เอาไว้ไม่ได้แล้ว ถึงตอนนี้มันจะกลายมาเป็นทายาทเศรษฐีไปแล้วก็ตาม

วุฒิเลิศฮึดฮัดอยู่อีกพักใหญ่ แต่เมื่อคิดถึงคำเตือนของภรรยาอย่างรอบคอบแล้ว ในที่สุดเขาก็จำใจต้องรอให้ทิพย์สุรางค์กลับมา ให้สิริมาค้นหาความจริงจากเธอให้ได้เสียก่อน เขาบอกตัวเองว่าถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เขาจะไม่ยอมปล่อยชายหนุ่มคนนั้น ให้ลอยนวลไปแต่งงานกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งเป็นอันขาด ในเมื่อคริสเหยียบย่ำทำลายน้องสาวของเขา แล้วไม่ยอมรับผิดชอบ เขาก็จะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อ
ทำลายคริสเหมือนกัน!!



Create Date : 08 สิงหาคม 2567
Last Update : 8 สิงหาคม 2567 20:14:11 น.
Counter : 727 Pageviews.

2 comments
AIตอนที่2: ใช้ ChatGPT, Perplexity และGamma สไตล์ง่ายๆ peaceplay
(9 เม.ย. 2568 06:35:47 น.)
"สงกรานต์ชองสัตว์รู" ดอยสะเก็ด
(8 เม.ย. 2568 07:47:07 น.)
๏ ... ฉันเล่น ไม่เป็นท่า ... ๏ นกโก๊ก
(6 เม.ย. 2568 01:39:31 น.)
ดอกโบตั๋น radiergummi
(9 เม.ย. 2568 21:29:12 น.)

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณปรศุราม, คุณปัญญา Dh, คุณสองแผ่นดิน, คุณSweet_pills, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณหอมกร, คุณThe Kop Civil, คุณดาวริมทะเล, คุณ**mp5**, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณpeaceplay, คุณฟ้าใสทะเลคราม

  
จะไม่ได้แต่งกันก็เพราะนังแม่นี่แหละค่ะคุณตุ้ย

โดย: หอมกร วันที่: 9 สิงหาคม 2567 เวลา:7:01:04 น.
  
สุขสันต์วันแม่ครับ
โดย: **mp5** วันที่: 12 สิงหาคม 2567 เวลา:8:03:45 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Monhinlai.BlogGang.com

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]

บทความทั้งหมด