เวลาที่หายไป - บทที่ 10 เคนและกรนั่งตกปลาอยู่ด้วยกันที่ริมฝายทดนนอกเขตกำแพงของเวียงพุกาม แต่ก็ยังอยู่ในเขตอาณาจักรของคุณดนัย ในเช้าวันหนึ่งที่กรอยู่บ้านและเป็นวันหยุดของเคนพอดี น้ำสีฟ้าอ่อนในฝายใสแจ๋วจนเห็นเงาสะท้อนของก้อนเมฆสีขาวเหมือนปุยสำลี ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าสว่างสดใสสีน้ำเงินเข้ม รอบฝายมีต้นไม้ขึ้นเขียวขจีเป็นกลุ่มๆ อากาศในขณะนั้นสดสะอาดเย็นสบาย ไม่หนาวหรือร้อนจนเกินไปเหมือนบางวัน กรเป็นคนชักชวนเคนมาโดยคุยว่าที่ฝายนี้มีปลาชุกชุม และถ้าอยากจะว่ายน้ำเล่นก็ทำได้ โดยไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อผ้าเพราะไม่ค่อยมีใครผ่านมา ข้อเสนอหลังนี้เคนฟังแล้วก็หัวเราะอย่างขบขัน “ คุณทำแบบนั้นบ่อยๆหรือไง ” “ เปล่า ยังไม่เคยเลย แต่ถ้าคุณอยากทำผมก็ทำเป็นเพื่อนคุณได้ ตกลงไหม ? ” เคนหัวเราะอีกครั้งหนึ่ง มองเด็กชายอย่างขำแกมเอ็นดู เขาเห็นว่ากรเป็นเด็กที่มีน้ำใจ ฉลาดและมีไหวพริบเป็นเยี่ยม แม้บางครั้งจะดูล้นๆและฉลาดแกมโกงไปบ้าง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ถือสา นอกจากนี้เขายังรู้สึกว่ากรเป็นคนเดียวในเวียงพุกาม ที่เข้าใจห่วงใยและอนาทรต่อทุกข์สุขของเขา ถึงวัยจะห่างกันหลายปี แต่กรก็ทำตัวเหมือนเป็นเพื่อนของเขา ยามที่เขารู้สึกเหงา เศร้าหมอง หรือเป็นทุกข์กับเรื่องของตัวเองที่ยังไม่มีอะไรกระจ่าง ก็ได้เด็กชายคนนี้แหละที่คอยปลอบโยนตามวิธีของเขา แม้ไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาให้ได้ แต่อย่างน้อยกรก็ช่วยให้ชีวิตในเวียงพุกามของเขาไม่ว้าเหว่เงียบเหงาไร้ญาติขาดมิตรจนเกินไป กรกลายเป็นเพื่อนคู่คิดและมิตรในยามยากที่เคนซาบซึ้ง ชายหนุ่มพบว่าระยะหลังๆนี้ เขามักจะรอคอยเย็นวันศุกร์ที่กรจะกลับจากโรงเรียนมาอยู่บ้าน จนถึงเย็นวันอาทิตย์หรือเช้ามืดวันจันทร์ ในช่วงเวลาดังกล่าวถ้าเขาว่างจากงานกรก็มักจะขลุกอยู่ด้วย ชวนทำโน่นทำนี่หรือไปไหนต่อไหน ซึ่งเคนก็มักจะตามใจแทบทุกครั้งถ้าเห็นว่าไม่โลดโผนหรือเสี่ยงอันตรายเกินไป การไม่ขัดใจโดยไม่จำเป็นของชายหนุ่มทำให้กรติดเขาแจ จนบางครั้งเป็นที่หมั่นไส้ขวางหูขวางตาของทิพย์สุรางค์ โดยที่เคนไม่รู้ตัว บางครั้งเธอใช้อำนาจของผู้ปกครองเรียกเด็กชายไปอยู่ใกล้ตัว สั่งให้ทำโน่นทำนี่ที่ปกติเธอจะใช้ศรีวรรณหรือคำหล้า แล้วก็ถือโอกาสนั้นซักไซ้ไล่เลียงเขาเกี่ยวกับพฤติกรรมต่างๆของเคน “เออ...คุณกร ผมว่าจะถามหลายทีแล้ว ผมรู้จากหนานคำว่าพวกเขาเจอผมนอนหมดสติอยู่กลางลำธาร คุณรู้ไหมว่าลำธารที่ว่านั่นอยู่แถวไหน? ” จู่ๆเคนก็ถามขึ้นมา กรซึ่งกำลังปลดปลาตัวน้อยที่ตกได้ออกจากเบ็ด ชะงัก “ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ก็ผมนี่แหละที่ลงไปช่วยคุณ ” “คุณน่ะหรื? ” เคนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “แม่นแล้ว ” กรได้โอกาสที่จะคุยถึงวีรกรรมของตัวเองอีกแล้ว คราวนี้กับเจ้าของเรื่องโดยตรงทีเดียว ความที่อยากเป็นคนสำคัญทำให้เขาลืมคำสั่งของทิพย์สุรางค์ ที่ห้ามเขาบอกเรื่องนี้กับเคนไปเสียสนิท ชายหนุ่มมองหน้าเด็กชาย ก่อนจะกวาดตาดูรูปร่างที่ผอมแกร็นของเขาอย่างสงสัย “ผมนึกว่าคุณรู้แล้วเสียอีกว่าผมกับคุณหนูเป็นคนไปช่วย หนานคำไม่ได้บอกอะไรคุณเลยหรือ” กรวางท่าเป็นคนสำคัญขึ้นมาทันที เขาใส่ปลาลงในข้องที่เตรียมมา แล้วพักคันเบ็ดเอาไว้ชั่วคราว ตั้งท่าจะเล่าเต็มที่ ในขณะที่เคนทำหน้าเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง “คุณกับคุณหนูเป็นคนช่วยผมจริงหรือ ? ” “ก็ใช่น่ะสิ ผมนี่แหละที่ตาไว เห็นคุณนอนสลบอยู่ตรงโขดหินกลางน้ำ ผมเป็นคนเรียกคุณหนูให้ไปช่วยกันแบกคุณมาที่ชายฝั่ง ไม่งั้นป่านนี้คุณคงกลายเป็นผีเฝ้าลำธารไปแล้ว ตอนนั้นน่ะนะ เราคิดว่าคุณตายแล้วเสียอีก คุณหนูงี้หน้าซีดเผือดเชียว ” ชายหนุ่มนิ่งอึ้งเพราะไม่คาดคิดมาก่อน ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาคิดว่าหนานคำหรือคนงานคนใดคนหนึ่งของเวียงพุกาม เป็นคนช่วยเขาเอาไว้จากความตาย แต่แล้วกลับปรากฏว่าคนที่ช่วยชีวิตเขา คือเด็กชายตัวผอมเจ้าเล่ห์คนนี้และคุณหนูแสนสวยแสนหยิ่งเจ้าอารมณ์คนนั้น “ แล้วทำไมคุณไม่บอกผมก่อนหน้านี้ล่ะ ผมจะได้ขอบคุณๆและคุณหนู” “ อ้าว บอกได้ไง ก็คุณหนูน่ะสิ สั่งผมไม่ให้บอกคุณ ” กรทำเสียงเล็กเสียงน้อย “ ทำไมไม่ให้บอก” เคนขมวดคิ้วนึกหาเหตุผลไม่ออก “ เปิ้นบอกว่าไม่ต้องการเป็นเจ้าหนี้บุญคุณใคร ส่วนผมน่ะคันปากอยากบอกคุณจะตาย ตั้งแต่ตอนที่คุณกลับจากโรงพยาบาลใหม่ๆแล้วละ ” เด็กชายอธิบายแล้วก็ถือโอกาสวิจารณ์คุณหนูเสียเลย “คุณหนูก็แบบนี้แหละ ชอบคิดอะไรแปลกๆไม่เหมือนชาวบ้าน ” เคนทำท่าตรึกตรองอะไรบางอย่าง ก่อนจะถามอย่างกระตือรือร้นว่า “คุณช่วยพาผมไปที่นั่นหน่อยได้ไหม ” “คุณจะไปหรือ? มันอยู่ไกลจากที่นี่มากนะ เดินไปไม่ไหวหรอก ถึงจะเดินเลียบลำธารที่อยู่ติดกับที่ของเรานี่ไปได้ก็จริง แต่มันก็ไกลมาก ใช้เวลาอย่างน้อยก็สองสามชั่วโมง เส้นทางที่ไปก็ลำบากมาก บางตอนต้องปีนขึ้นไปบนโขดหินสูงๆ บางตอนก็เป็นป่ารก แถมยังต้องลงไปเดินท่องอยู่ในน้ำอีกเป็นกิโล ” กรอธิบายอย่างผู้เชี่ยวชาญ เพราะเขาเคยเดินเลียบลำธารไปแถวนั้นกับเด็กชายหล้า ลูกคนงานคนหนึ่งของเวียงพุกามซึ่งเป็นลูกไล่ของเขา “ แล้วตอนที่ไปเจอผม คุณกับคุณหนูเดินเลียบลำธารไปหรือ ” “ เปล่า เปิ้นขับรถไป ถ้าไปทางรถก็ใช้เวลาไม่นานเท่าไรหรอก ” เคนนิ่งคิด เขาอยากไปตรงจุดนั้นเพื่อหาร่องรอยต่างๆของสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา ที่อาจจะยังหลงเหลืออยู่และอาจจะนำไปสู่เบาะแส ที่สามารถชี้ถึงที่มาที่ไปของเขาได้ เขาหวังเช่นนั้น แต่ตอนนี้มีอุปสรรคเสียแล้วเพราะเขาไม่มีรถ เวียงพุกามมีรถบุกป่าได้หลายคันก็จริง แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม ที่จะออกปากขอยืมรถมาใช้ในเรื่องส่วนตัวของเขาซึ่งเป็นเพียงลูกจ้างคนหนึ่ง “ แต่เราไม่มีรถนี่” เคนว่า “ ถ้าวันไหนว่าง ผมจะลองเดินเลียบลำธารนี้ไปเอง ” “คุณจะไปคนเดียวหรือ? แล้วจะหาเจอหรือ?“ กรท้วงอย่างมีเหตุผล หลังจากคิดอยู่สักครู่ เด็กชายก็กระโดดลุกขึ้นยืน “เอางี้ ผมจะไปขอรถจากหนานคำ คุณขับรถได้ไม่ใช่หรือ คุณเป็นคนขับ ผมเป็นคนนำทาง ตกลงไหม” “อย่าเลย คุณกร ” เคนรีบห้าม “ ขอบคุณที่จะช่วยผม แต่ผมเห็นว่ามันไม่เหมาะ ที่จะเอารถของเวียงพุกามมาใช้ในเรื่องส่วนตัวของผม ” กรมองหน้าที่แสดงถึงความอึดอัดของชายหนุ่มอย่างเข้าใจ “งั้นเอาแบบนี้ ผมจะไปบอกคุณหนู เพราะเธอใช้รถที่นี่ได้ทุกคัน ไม่ต้องขออนุญาตหนานคำหรือใคร แล้วก็ไม่มีใครกล้าซักเธอด้วยว่าจะเอาไปทำอะไรที่ไหน ” กรแสดงความปราดเปรื่องของเขาออกมา ทำท่าเป็นผู้ช่วยของเขาอย่างแข็งขัน ทำให้เคนอยากจะหัวเราะ แต่ก็หัวเราะไม่ออกเมื่อต้องมีทิพย์สุรางค์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เขาขยาดสีหน้าและคำพูดถากถางของเธอ “ อย่าเลย เดี๋ยวเธอจะโกรธคุณอีกหรอก ที่เอาเรื่องของคนอื่นไปกวนใจเธอ ที่เธอช่วยชีวิตผมไว้คราวนั้น ผมก็ไม่รู้จะขอบคุณเธอยังไงแล้ว ” “ ยอหอ อย่าห่วง ” กรไม่ฟังเสียง “ คุณยังไม่รู้จักคุณหนู เปิ้นชอบดุชอบบ่น ติโน่นตินี่ก็จริง แต่เปิ้นก็เป็นคนขี้สงสาร ชอบช่วยเหลือคนอื่นอยู่แล้ว คุณรออยู่แถวนี้ก็แล้วกัน ” พอพูดจบเขาก็วิ่งปรู้ดไปทันที ไม่ฟังเสียงร้องห้ามของเคน แล้วกรก็ช่วยแก้ปัญหานี้ให้เขาได้สำเร็จ หลังจากนั่งคอยยืนคอยอยู่นานเคนก็เห็นรถจิ๊ปคันเก่าคร่ำมะคร่า วิ่งโขยกเขยกมาจอดกึกใกล้ตัวเขา ทิพย์สุรางค์เป็นคนขับ มีกรนั่งอยู่ข้างๆ เด็กชายบุ้ยใบ้ให้เคนกระโดดขึ้นไปนั่งด้านหลัง แต่ชายหนุ่มซึ่งตกใจที่เห็นทิพย์สุรางค์เป็นคนขับรถคันนั้นมา เดินอ้อมไปทางด้านคนขับแล้วพูดกับเธอโดยตรง “ ผมไม่ได้จะรบกวนคุณหนู.. ” เคนพูดยังไม่ทันจบประโยค ทิพย์สุรางค์ก็หันขวับมาจ้องหน้าเขา “รบกวนหรือไม่ ฉันก็มาตามคำบัญชาของนายกร คู่หูของนายแล้วไง ” เธอพูดอย่างปั้นปึ่ง “ ถ้าจะไปก็กระโดดขึ้นมา ไหนๆฉันก็เสียเวลามาแล้ว” เคนกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ ทำตามคำสั่งของเธอ อย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ดีไปกว่านั้น และทันทีที่เขาปีนขึ้นไปนั่งด้านหลัง ทิพย์สุรางค์ก็กระชากรถพรวดออกไปแล้วเบรกอย่างกะทันหัน เมื่อเจอตอไม้ที่ขวางหน้ารถอยู่ จนทั้งชายหนุ่มและเด็กชายต่างก็หัวขะมำไปข้างหน้า กรร้องโอดโอย ยกมือขึ้นคลำป้อยที่หน้าผาก ส่วนหน้าอกของเคนก็ปะทะเข้ากับด้านหลังของเก้าอี้ที่กรนั่งอยู่ แม้จะไม่แรงนักแต่ก็ทำให้เขาเกือบจุกไปเหมือนกัน “คุณหนูฮะ ให้เคนช่วยขับให้ดีไหมฮะ? ” กรลองเสนอ คิดว่าถ้าคุณหนูขับรถแบบนี้ตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง แล้วจะมีโอกาสไปถึงจุดหมายปลายทางหรือเปล่าก็ไม่รู้ ก็เปิ้นเล่นขับรถกระชากกระชั้นอย่างอารมณ์ไม่ดีแบบนั้น “จะไปไหม? ” คุณหนูแว้ด “ ถ้าไม่ไปก็ลงตรงนี้เลย ถ้าจะไปก็นั่งนิ่งๆแล้วก็หุบปากเสียด้วย ” แล้วหลังจากนั้นในรถก็มีแต่ความเงียบ ผู้โดยสารชายทั้งสองคนหุบปากสนิท กรเบิ่งตาไปข้างหน้า มองเส้นทางเล็กๆขรุขระที่คดเคี้ยวไปมาระหว่างเนินเขาเตี้ยๆ ซึ่งค่อยๆไต่ระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วนเคนซึ่งมือข้างหนึ่งยึดพนักเก้าอี้ของกรไว้แน่น เตรียมพร้อมรับการกระแทกกระทั้นจากฝีมือของผู้ขับ ที่ดูเหมือนมีเจตนาจะทำความหวาดผวาให้ผู้โดสารทั้งสอง ส่วนตาของเขาก็มองสำรวจภูมิประเทศสองข้างทาง ที่บางตอนก็เป็นดงทึบ บางตอนก็รกร้างว่างเปล่าอย่างพยายามจดจำเอาไว้ รถวิ่งเร็วบ้างช้าบ้างไปเรื่อยๆ ตามอารมณ์ของคนขับและสภาพของถนนดินลูกรังสีแดง เมื่อเวลาผ่านไปเกินหนึ่งชั่วโมงโดยไม่มีทีท่าว่าจะถึงเนินเขาสุดท้าย ที่เธอจำได้ว่าเมื่อผ่านเนินนี้ไปก็จะลงถึงที่ราบใกล้ชายฝั่งลำธารที่มากับกรในครั้งนั้น ทิพย์สุรางค์ก็ตั้งคำถามกับเด็กชายทันที “ ทำไมยังไม่ถึงสักทีล่ะ ฉันจำได้นี่นาว่าต้องมีทางแยกขวา แล้วลงเนินไปเรื่อยๆก็จะถึงลำธารนั่น นี่มาตั้งไกลแล้วยังไม่เห็นทางแยกเลย ” กรซึ่งนั่งเงียบมาตลอดทางตั้งแต่ได้รับคำสั่งให้หุบปาก หันไปมองหน้าทิพย์สุรางค์ แล้วให้คำตอบที่ทำให้หญิงสาวแทบร้องกรี๊ดออกมา “ เลยมาแล้วละฮะ คุณหนูต้องเลี้ยวตรงทางแยกเล็กๆ ที่มีต้นไม้ขึ้นเต็มจนเกือบปิดปากทางโน่นแหละ ” “ หา ! แล้วทำไมแกไม่บอกฉัน ! ” เด็กชายหน้าม่อย ตอบอ่อยๆว่า “ก็คุณหนูสั่งให้ผมหุบปาก ไม่ต้องพูดอะไรนี่ครับ ” ทิพย์สุรางค์เบรครถกลางถนน หันไปทุบโครมเข้าที่ต้นขาของกร ที่โผล่พ้นชายกางเกงขาสั้นเก่าๆที่สวมอยู่ อย่างอดรนทนไม่ไหวหลายครั้ง ในขณะที่เด็กชายก็พยายามชักขาหนีให้พ้นมือเธออยู่เป็นพัลวัน “นี่แน่ะ ! พ่อศรีธนญชัย ! ” หลังสงครามย่อยๆสงบลงท่ามกลางความตระหนกของเคน ที่นั่งมองอยู่ข้างหลัง ทิพย์สุรางค์ก็กลับรถมุ่งหน้าไปสู่ทางแยกตามคำบอกเป็นระยะๆของกร ที่ตอนนี้หลังจากเจ็บตัวแล้วก็ยอมทำหน้าที่เป็นผู้นำทางที่ดี โดยที่หญิงสาวไม่ต้องออกปากถาม แล้วในที่สุดรถจิ๊ปโกโรโกโสคันนั้นก็ไต่เนินสุดท้าย ลงมาจอดตรงที่ราบเล็กๆใกล้ชายฝั่งน้ำ ที่ทิพย์สุรางค์และกรมาพบเคนนอนหมดสติอยู่กลางลำธาร คนทั้งสามลงจากรถ เคนมองไปรอบๆ เขาเห็นความเปล่าเปลี่ยวของสถานที่ ที่คงจะมีคนน้อยคนบุกบั่นเข้ามาถึง กรวิ่งมาจูงมือเคนแล้วชี้ให้ดูโขดหินกลางน้ำ “โน่นไง ตรงโขดหินโน่นไง ที่เราพบคุณนอนแอ้งแม้งคว่ำหน้าอยู่” ชายหนุ่มมองตามมือกรไป เขาเห็นโขดหินสีเทาปนดำน้อยใหญ่ เรียงรายเป็นกลุ่มอยู่กลางลำธาร เขากะคร่าวๆด้วยสายตาว่าลำธารช่วงนั้นน่าจะมีความกว้างไม่ต่ำกว่าสิบเมตร จากชายฝั่งด้านที่ยืนอยู่ไปจนถึงอีกฝั่งหนึ่ง โขดหินดังกล่าว อยู่ค่อนไปทางฝั่งตรงข้ามกับที่ยืนกันอยู่ กระแสน้ำตรงนั้นไหลไม่แรงนัก กรลากมือเคนให้ก้าวลงไปในน้ำ แล้วพากันค่อยๆบุกตัดกระแสน้ำเข้าไปที่โขดหิน เมื่อถึงเขาก็กระโดดขึ้นไปบนโขดหินที่มีลักษณะแบนราบที่อยู่ต่ำสุด แล้วลงนอนคว่ำหน้ากางแขน สาธิตให้เคนดูท่าหมดสติของตัวเอง จนชายหนุ่มซึ่งแม้จะกำลังเคร่งเครียดกับการพยายามประมวลสถานที่เกิดเหตุ ที่อาจจะนำไปสู่เบาะแสบางอย่างอยู่ ขำจนเกือบจะหัวเราะออกมา ตลอดเวลานั้น ทิพย์สุรางค์ยืนกอดอกมองมาจากบนฝั่งด้วยสีหน้าที่เฉยเมย “เห็นหรือยัง เคน ว่าผมต้องลำบาก...” พอนึกถึงคุณหนูที่ยืนมองอยู่ริมฝั่งขึ้นมาได้ เด็กชายก็รีบเปลี่ยนคำพูดโดยเร็ว “ เอ้อ..ผมหมายถึงคุณหนูกับผม ต้องลำบากยากเย็นเพียงไร กว่าที่จะลาก..เอ๊ย..พยุงคุณขึ้นไปบนฝั่งโน่นได้ ตัวคุณหนักชะมัดเลย ผมกับคุณหนูต้องช่วยประคองกันคนละข้าง คุณหนูกลัวว่าคุณจะล้ม เลยกอดเอวคุณเอาไว้เสียแน่น แถมพอขึ้นถึงฝั่งโน้นได้แล้วคุณยังล้มทับคุณหนูเสียอีก ” เด็กชายเล่าซื่อๆตามความจริงที่เกิดขึ้น ไม่ได้สังเกตเลยว่าคำบอกเล่าโดยซื่อของเขา ทำให้ผู้ใหญ่สองคนมีสีหน้าที่อธิบายไม่ถูก คุณหนูของกรซึ่งกำลังหน้าแดง ส่งเสียงแว้ดมาว่า “กร พูดน้อยๆหน่อย แล้วก็ไม่ต้องแต่งเติมเสริมต่อ ” “ผมไม่ได้แต่งเติมซะหน่อย ก็คุณหนูกลัวเขาล้มเลยต้องกอดเอวเขาไว้ไม่ใช่หรือฮะ แล้วพอผมปล่อยมือ เขาก็เอียงไปทางคุณหนู เซแซ่ดๆ แล้วก็ล้มลงไปด้วยกันทั้งคู่ ไม่ใช่แบบนี้หรือฮะ” เด็กชายยังยืนยัน ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอต้องไม่พอใจ แล้วทำหน้าแดงแบบนั้น ก็เขาพูดเรื่องจริงนี่นา ไม่รู้หรอกว่าเธอกำลังอาย เลยต้องใช้ความโกรธ ปกปิดความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น ส่วนเคนก็ไม่ได้แตกต่างจากเธอ เขาเก้อเสียจนไม่กล้ามองไปบนฝั่งที่ทิพย์สุรางค์ยืนอยู่เลย เพื่อยุติการโต้เถียงของกรที่อาจจะเกิดขึ้นอีก และในขณะเดียวก็ต้องการรู้เส้นทางของลำธารสายนั้น ชายหนุ่มชวนกรกลับเข้ามาที่ฝั่ง โดยเจตนาขึ้นฝั่งห่างจากจุดที่ทิพย์สุรางค์ยังยืนอยู่ แต่ตอนนี้เธอหันหลังให้ลำธารมองไปที่หมู่ไม้ที่อยู่ลึกจากฝั่งเข้าไป เคนมองไปทางต้นน้ำแล้วชวนกรเดินเลาะไปตามชายฝั่ง หลังจากเดินลุยโคลนสีแดงๆบ้าง ปีนไปบนโขดหินเล็กๆที่ขวางทางบ้าง หลีกเลี่ยงต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ติดกับตลิ่งไปได้ไม่ไกลเท่าไร ทั้งสองก็พบว่าลำธารสายนั้นเริ่มตีโค้ง แล้วหายลับตาไปในดงทึบจนมองไม่เห็น “คุณกร คุณรู้ไหมว่าลำธารนี้ ไหลมาจากที่ไหนแล้วไหลไปถึงไหน ? ” เด็กชายหยุดเดิน กวาดตามองซ้ายมองขวาก่อนจะยกมือขึ้นชี้ แล้วตอบว่า “ทางโน้นมั้ง มีน้ำตกอยู่เลยไปไม่ไกลเท่าไร ผมเคยไปกับไอ้หล้าเมื่อปีที่แล้ว แต่เส้นทางเดินลำบากและใช้เวลามาก คุณจะไปหรือไง ? ” ชายหนุ่มนิ่งคิด ความจริงเขาอยากจะไปให้ถึงน้ำตกที่กรพูดถึง เพราะน้ำในลำธารนี้น่าจะมีต้นกำเนิดหรือได้รับน้ำจากน้ำตกดังกล่าว ซึ่งน่าจะได้น้ำมาจากภูเขาสูงที่เขาเห็นอยู่ลิบๆ ตอนที่รถกำลังแล่นอยู่บนเนินสุดท้าย ก่อนลงสู่ที่ราบริมลำธาร แต่เมื่อนึกถึงทิพย์สุรางค์ เขาก็ต้องระงับความต้องการนั้นเอาไว้ก่อน เขาอาจจะชวนกรมาด้วยกันตามลำพังอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้เคนไม่แน่ใจด้วยซ้ำ ว่าการทิ้งหญิงสาวคนนั้นไว้คนเดียวตรงที่เธอยืนอยู่ จะทำให้เธออารมณ์เสียอีกหรือเปล่า ใครจะไปรู้อารมณ์เธอ ถ้าทิพย์สุรางค์เกิดโกรธคำพูดของกรเมื่อกี้นี้ เธอก็อาจจะแกล้งด้วยการขับรถหนีกลับไปคนเดียวก็ได้ ระหว่างเดินเลาะลำธารกลับไปที่เก่า เคนถามกรว่า “ แถวน้ำตกที่คุณว่านั่นมีหน้าผาหรือเนินเขาสูงบ้างไหม? ” เด็กชายพยักหน้าหงึกหงัก “ มีแน่นอน หลายแห่งด้วย คุณถามทำไมหรือ ? “ ชายหนุ่มไม่ได้อธิบายเหตุผล เขาเพียงแต่บอกกรว่า “ผมอยากไปดูแต่ก็ห่วงคุณหนู ไว้คราวหน้าเรามากันสองคนดีกว่า จะได้ใช้เวลาตามสบาย ” กรเขย่าแขนเคนอย่างดีใจ “ จริงนะ ? จะมาอีกเมื่อไรอย่าลืมบอกผมนะ แล้วห้ามแอบไปตอนที่ผมอยู่ที่โรงเรียนล่ะ ” แล้วเขาก็พูดต่อในเชิงบ่นว่า “ ความจริงถ้าวันนี้คุณหนูไม่ได้มาด้วยก็จะดีหรอก เราก็เดินไปที่น้ำตกกันสองคนได้เลย ” “คุณก็ไม่ควรชวนเธอมาด้วยนี่นา ” เคนพูดเป็นเชิงต่อว่า ทำให้เด็กชายทำตาโตราวกับไข่ห่านแล้วหยุดเดิน “ใครว่า? ผมไม่ได้ชวนเธอเลยนะ ผมแค่ขอให้เธอไปสั่งหนานคำ ให้เราขอยืมรถเท่านั้น แล้วเธอก็ให้คำหล้าไปบอกหนานคำให้เอารถมาให้เธอที่ตึก แล้วจู่ๆเธอก็เรียกผมไปขึ้นรถ สั่งให้หนานคำลงแล้วเธอก็ขับปร๋อมารับคุณเลย ” เคนอึ้ง “ เธอรู้หรือเปล่าว่าเราจะมาที่นี่กัน ? ” “แหงละ ” กรตอบด้วยศัพท์แสลงของวัยรุ่น “ไม่บอกได้ไง เปิ้นซักถี่ยิบ พอรู้ว่าคุณอยากมาที่นี่เปิ้นก็คงเข้าใจแหละ ว่าคุณต้องอยากมาสำรวจที่ที่เราพบคุณเพื่อหาข้อมูล ” พอพูดจบกรก็วิ่งปร๋ออย่างรวดเร็วไปหาทิพย์สุรางค์ ซึ่งตอนนี้นั่งเอาเท้าแช่น้ำในลำธารอยู่ เมื่อถึงตัวเธอ เขาก็ถามอย่างประจบเอาใจว่า “คุณหนูหิวหรือยังฮะ?” เมื่อเธอไม่ตอบและไม่มองหน้าเขาเด็กชายก็เปลี่ยนบทบาทใหม่ ยกมือขึ้นกุมท้องแล้วทำเสียงอ่อยๆว่า “ ผมหิวแล้วละฮะ เมื่อเช้าผมทานนิดเดียวเอง ผมเอาอาหารมาจัดเลยนะครับ ” พูดจบเขาก็เดินแกมวิ่งไปที่รถจิ๊ปที่จอดอยู่ไม่ไกล ชะโงกตัวเข้าไปตอนหลังของรถ หยิบแผ่นพลาสติคสีแดงลายขาวที่คลุมอะไรบางอย่างอยู่มาพับ จนเหลือขนาดที่ถือได้โดยไม่เกะกะแล้ววางบนพื้นดินใกล้รถ ต่อจากนั้นก็คว้าตะกร้าใบใหญ่ซึ่งมีผ้าสีขาวคลุมนำมาวางบนพื้นดิน แล้วชะโงกเข้าไปอีกครั้ง เกร็งสองมือยกหีบสี่เหลี่ยมลักษณะเหมือนหีบน้ำแข็งลงมากองรวมไว้ด้วยกัน พอดีเคนเดินมาถึง ชายหนุ่มมองของทั้งหมดอย่างไม่เข้าใจ ตอนอยู่ในรถเขาเห็นของพวกนี้แล้ว แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพราะมีแผ่นพลาสติคขนาดใหญ่คลุมทับเอาไว้ “ ช่วยผมหน่อย ” กรร้องบอกขณะหยิบแผ่นพลาสติค มาถือไว้ในมือหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งก็หิ้วตระกร้าสาน ชายหนุ่มยังไม่เข้าใจว่ากรจะทำอะไร แต่เขาก็ก้มลงใช้มือทั้งสองจับตรงหูด้านข้างของหีบ ซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มากนักแล้วยกขึ้นจากพื้น เด็กชายเดินอ้าวไปตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งแผ่กิ่งก้านสาขาของมันออกปกคลุมบริเวณนั้นจนร่มครึ้ม คลี่แผ่นพลาสติคลงบนดินแล้ววางตะกร้าที่ถือลงไป เคนเดินตามมาถึงวางหีบลงแล้วถามอย่างสงสัยว่า “ อะไรของคุณน่ะ? ” “ ของกินไง ” “ นี่คุณเตรียมอาหารมาด้วยหรือ? ” เด็กชายไม่ตอบ เขาเปิดผ้าสีขาวที่คลุมตะกร้าออก ในตะกร้ามีกล่องพลาสติคสีขาวทึบใบใหญ่หนึ่งใบ ขนาดกลางอีกหนึ่งใบ กระติกน้ำร้อนขนาดกลางหนึ่งใบ ถ้วยรูปทรงกระบอกและจานกระดาษรูปทรงแบนๆอีกหลายใบ รวมทั้งกระดาษทิชชูกล่องเล็ก กรลำเลียงของทั้งหมดลงวางบนแผ่นพลาสติค เคนเปิดหีบที่เขาเป็นคนยกมาออกดู ในนั้นมีน้ำแข็งก้อนเล็กๆอยู่ประมาณครึ่งหีบ ตรงที่ว่างที่เหลือมีน้ำเปล่าขวดเล็กวางอยู่สามสี่ขวด และกระบอกพลาสติคใบย่อมๆที่มีน้ำสีน้ำตาลอ่อนบรรจุอยู่ พอจัดของเสร็จกรก็ตะโกนโหวกเหวกเรียกทิพย์สุรางค์ “ เสร็จแล้วฮะ คุณหนูมาทานได้เลยฮะ ผมหิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว ”
มาอ่านต่อครับ
สวัสดีปีใหม่ครับ พี่ตุ้ย สุข สดชื่น สมหวัง ตลอดปีครับ โดย: สองแผ่นดิน
![]() ![]() ขออภัยค่ะ ระบบจะไม่บันทึกการโหวตนี้
เพราะได้บันทึกคะแนนโหวตให้ Blog นี้ ในสาขา Literature Blog ในวันที่ผ่านมาไปแล้วค่ะ ------------------------------ ทำไมโหวตไม่ขึ้นไม่รู้ โหวตแล้ว ระบบแจ้งกลับมาว่าอย่างนี้ค่ะ โดย: ฟ้าใสวันใหม่
![]() ![]() สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด
มาอ่านนิยายของน้องต่อ จ้ะ ตอนนี้ นางเอกยังปั้นปึ่งอยู่นะ แต่ก็ ยินดีขับรถมาให้ กรและเคน เพื่อสืบหาประวัติของตนเอง จะติดตามตอนต่อไปว่า เคนจะรู้ว่า ตัวเองเป็นใครมาจากไหนไหม โหวดหมวด งานเขียนฯ โดย: อาจารย์สุวิมล
![]() ![]() |
บทความทั้งหมด
|
สบสุขทุกข์บ่พาน พบข้อง
สินทรัพย์ธนสาร ไหลหลั่ง
สุขภาพเลิศล้ำก้อง- เกียรติด้วยสมัญญา