เวลาที่หายไป - บทที่ 38 คืนนั้นคริสแทบไม่ได้นอนเลย เขานั่งเผาบุหรี่หมดไปเกือบซอง เฝ้าแต่คิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป ตอนนี้เขาคิดแต่เรื่องทิพย์สุรางค์และลูกของเขาเท่านั้น ลืมนึกถึงลลิตาไปเลย เช้าวันรุ่งขึ้นชายหนุ่มเข้าไปที่หน่วยที่เขาสังกัดชั่วคราว ทำเรื่องสองสามเรื่องที่จำเป็นจนเสร็จเรียบร้อย หลังจากที่การฝึกคอบร้าโกลด์จบสิ้นลง ทหารส่วนใหญ่ก็เตรียมตัวเดินทางกลับที่ตั้งเดิมของตน มีบางคนที่ร้องขออยู่ต่อ เพื่อพักผ่อนหรือเที่ยวในประเทศไทยสักสองสามวัน คริสติดต่อต้นสังกัดแจ้งความจำนงค์ที่จะอยู่ต่ออีกสามสี่วัน หลังจากนั้น เขาติดต่อขอหมายเลขโทรศัพท์ที่บ้านของวุฒิเลิศจากองค์การโทรศัพท์ แล้วโทรเข้าไปขอพูดกับทิพย์สุรางค์ โดยแจ้งแต่เพียงว่าเป็นเพื่อนคนหนึ่งของเธอ ทิพย์สุรางค์มารับโทรศัพท์ภายในสองสามนาที ทันทีที่รู้ว่าเป็นเธอ คริสก็กล่าวว่า “นี่ผมนะ อย่าเพิ่งวางสาย ผมมีเรื่องจะพูดกับคุณ” เขารู้ว่าเธอจำเสียงเขาได้ หญิงสาวเงียบไปอึดใจหนึ่งอย่างตกใจคาดไม่ถึง ก่อนจะพูดกับเขาด้วยเสียงห้วนๆว่า “ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคุณ เรื่องทั้งหมดมันจบลงแล้ว วันที่เราเจอกันครั้งสุดท้ายที่อเมริกา” “คุณจะเอายังงั้นหรือ?” ทิพย์สุรางค์สะดุดใจกับน้ำเสียงที่ราบเรียบของเขา มันเรียบเกินไปผิดกับท่าทางแข็งกร้าวเมื่อคืนที่ผ่านมา “ถ้าคุณมีอะไรจะพูดก็พูดมาเลย ฉันจะลองฟังดู” ในที่สุดเธอก็ตอบอย่างระมัดระวัง “ออกมาพบผมหน่อย วันนี้บ่ายสองโมงตรง” เขาออกคำสั่ง ราวกับว่าเธอเป็นพลทหารใต้บังคับบัญชา “ทำไมฉันจะต้องออกไปพบคุณ?” เสียงของเธอดังขึ้นอย่างไม่พอใจระคนตระหนก เขามีแผนอะไรอีกล่ะ? คริสยิ้มเหี้ยมๆ แต่ทิพย์สุรางค์ไม่สามารถมองเห็นได้ “ตามใจคุณ ผมกำลังจะไปที่บ้านคุณ คงใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ตอนนี้เกือบบ่ายโมงแล้ว ผมจะรออยู่หน้าบ้านจนถึงบ่ายสองโมงครึ่ง ถ้าคุณไม่ออกมาผมก็ไม่มีทางเลือก นอกจากเข้าไปพบพี่ชายหรือพี่สะใภ้ของคุณ ผมจะเล่าความจริงทั้งหมดให้เขาฟัง” พอพูดจบชายหนุ่มก็วางสายไปทันทีโดยไม่รอฟังคำตอบ ทิพย์สุรางค์ตกตะลึง มือที่ยังถือหูโทรศัพท์อยู่สั่นขึ้นมาเฉยๆ แม้แต่ใจของเธอก็ไหวระริกด้วยความตื่นตระหนก บอกพี่ใหญ่? บอกพี่น้อย? เขาเกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีก วันนั้นเธอก็บอกชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือว่าเธอแต่งงานแล้ว และไม่ต้องการพบเขาอีก แล้วนี่เธอจะทำอย่างไร เธอไม่อยากเผชิญหน้ากับเขาอีกแล้ว แต่ถ้าเธอไม่ยอมออกไปพบเขา แล้วเขาเกิดบ้าเข้ามาขอพบกับพี่สะใภ้ของเธอเล่า เขาไม่มีโอกาสได้พบพี่ชายของเธอหรอก เพราะวันนี้วุฒิเลิศไม่อยู่บ้าน ในที่สุดหลังจากคิดใคร่ครวญอยู่นานทิพย์สุรางค์ก็ลุกขึ้นแต่งตัว รอเวลาที่จะออกไปพบเขา หน้าของเธอทั้งบึ้งตึงทั้งซีดเผือดด้วยความโกรธและความกลัว แต่เธอไม่มีทางเลือก พี่ชายและพี่สะใภ้ของเธอไม่ได้รู้ความจริงทั้งหมด เธอจำใจต้องออกไปพบคริส อธิบายให้เขาเข้าใจถึงความจำเป็นของเธอ แล้วขอให้เขาเลิกล้มความตั้งใจ ที่จะเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของเธอและลูกเสียที เมื่อทิพย์สุรางค์ผลักประตูบานเล็กออกมาตามเวลานัด เธอพบว่าคริสรออยู่แล้วในรถเก๋งสีดำคันใหญ่ เมื่อเห็นเธอเขาก็ลงจากรถเดินเข้ามาหา ต่างคนต่างมองหน้ากันโดยไม่มีรอยยิ้ม ชายหนุ่มเปิดประตูรถให้ทิพย์สุรางค์เข้าไปนั่ง เดินอ้อมกลับไปตรงที่นั่งคนขับแล้วพารถเคลื่อนที่ออกจากปากซอยไป เมื่อถึงถนนใหญ่เขาเลี้ยวซ้าย มุ่งหน้าไปทางถนนบางนา-ตราดแล้วตัดขึ้นมอเตอร์เวย์ “นี่คุณจะพาฉันไปไหน?” ทิพย์สุรางค์ชักตกใจเมื่อเห็นเส้นทางที่เขากำลังพารถวิ่งไป “ไปหาที่คุยกัน” เสียงของเขาราบเรียบพอๆกับสีหน้า ไม่หันมามองเธอแม้แต่แวบเดียว “ทำไมไม่ไปคุยกันในเมือง แถวร้านอาหารใกล้ๆนี่ก็ได้” หญิงสาวพยายามต่อรองด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย เริ่มไม่สบายใจ ไม่รู้ว่าเขาจะพาเธอไปถึงไหน คราวนี้เขาหันมามองเธอ ตอบด้วยเสียงเยาะๆว่า “ไม่ต้องกลัว ผมไม่พาคุณไปทำอะไรหรอก” พอพูดจบเขาก็เร่งความเร็วของรถขึ้นอีก ตอนนี้รถวิ่งทะยานราวกับเหาะไปตามเส้นทางที่จะนำไปสู่พัทยา ทิพย์สุรางค์หน้าแดงด้วยความอดสู รู้สึกโกรธกับคำพูดของเขา นายเคนคนสุภาพผู้นั้นหายไปไหน มีแต่ผู้ชายที่มีวาจาและท่าทางแข็งกร้าวเชือดเฉือน ที่นั่งอยู่ข้างเธอใกล้แค่นี้เอง แต่เหมือนมีมหาสมุทรกว้างใหญ่มาขวางอยู่ตรงกลาง หญิงสาวพยายามระงับใจ เมื่อเห็นเขาขับรถเร็วมากเธอขยับปากจะเตือนเขา แต่แล้วเมื่อคิดว่าป่วยการจะพูดอะไร เธอก็เลยนั่งหลับตาไปตลอดทาง ในที่สุดคริสก็พารถเลี้ยวเข้าไปในลานจอดรถของโรงแรมรอยัลคลิฟฟ์พัทยา เขาออกจากรถเดินอ้อมมาเปิดประตูให้เธอ หญิงสาวไม่ปริปากทักท้วงอีกต่อไป เดินตามเขาเข้าไปในห้องอาหารหรูของโรงแรม พอนั่งลงเรียบร้อยและพนักงานนำเมนูมาให้คนละเล่ม เขาก็ถามเธอว่า “คุณจะทานอะไร?” “ฉันทานมาแล้ว” ความจริงตั้งแต่ตอนที่เขาโทรศัพท์มาสั่งเธอให้ออกไปพบเขา เธอกลืนอะไรไม่ลงเลย “แต่ผมยัง” เขาพูดห้วนๆ “แล้วผมก็ยังไม่บ้าพอที่จะนั่งกินคนเดียว ปล่อยให้สุภาพสตรีที่มากับผมนั่งมองเฉยๆ” เมื่อเห็นหน้าตาบึ้งตึง ปากเม้มแน่นและท่าทางที่บอกให้รู้ว่า เธอจะไม่ยอมสั่งอะไรทั้งนั้น คริสก็สั่งอาหารฝรั่งที่เป็นคอร์สสองชุด ระหว่างรออาหาร เขาสั่งเบียร์สำหรับตัวเองและสั่งน้ำส้มคั้นให้เธอโดยไม่ถาม เมื่อเครื่องดื่มที่สั่งมาถึง ชายหนุ่มก็รินเบียร์ลงในแก้วแล้วยกขึ้นดื่ม ไม่สนใจเลยว่าเธอไม่ยอมแตะน้ำส้มคั้นแก้วนั้น ทิพย์สุรางค์อดรนทนไม่ได้ “นี่..คุณ มีอะไรจะพูดก็พูดได้แล้ว เดี๋ยวพอคุณทานอาหารเสร็จเราจะได้กลับ นี่ก็เกือบสี่โมงเย็นแล้ว” คริสไม่ต่อความกับเธอ เขายังดื่มเบียร์ต่อไปเงียบๆ เมื่ออาหารที่สั่งมาถึงเขาก็ลงมือรับประทานแล้วก็ไม่พูดอะไรเหมือนเดิม ถึงจะเห็นว่าเธอนั่งคอแข็ง ไม่ยอมแตะต้องทั้งน้ำส้มคั้นและอาหาร ที่วางอยู่ตรงหน้าเลยก็ตาม คนทั้งคู่ไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าตอนที่เดินเข้ามาในห้องอาหาร มีสายตาของใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่โต๊ะในสุดตรงมุมห้อง จ้องมองอย่างสนใจ แล้วทันทีที่คริสและทิพย์สุรางค์นั่งลงที่โต๊ะที่อยู่ไกลออกไปทางอีกด้านหนึ่งของห้อง คนผู้นั้นก็ลุกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ เดินอย่างรีบร้อนออกไปนอกห้องอาหาร หลังรับประทานอาหารเสร็จ ทิพย์สุรางค์รู้สึกว่าคริสทำเหมือนแกล้ง เพราะเขาอ้อยอิ่งดื่มเบียร์ขวดใหม่อยู่อีกพักใหญ่ เธอทำท่ากระสับกระส่าย เห็นว่าเขาใช้เวลานานเกินความจำเป็นไปแล้ว เมื่ออดรนทนไม่ได้กับท่าทางเหมือนทองไม่รู้ร้อนของเขา เธอก็ตั้งคำถามด้วยสีหน้าท่ี่บึ้งตึง “คุณจะดื่มเบียร์นั่นไปอีกนานแค่ไหน” คริสมองหน้าทิพย์สุรางค์ สลับกับมองอาหารที่ไม่มีรอยแตะต้อง “ผมดื่มเบียร์รอให้คุณทานอาหารที่สั่งมาน่ะสิ” “ไม่ต้องรอ ฉันไม่หิว คุณสั่งมาเอง ฉันไม่ได้สั่ง” เธอตอบห้วนๆ นึกโกรธขึ้นมาอีก “คุณจะไม่ทานใช่ไหม?” เมื่อเธอไม่ตอบเขาก็เรียกพนักงานให้มาเก็บเงิน หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อยเขาก็ลุกขึ้นยืน ทิพย์สุรางค์เงยหน้าขึ้นมองคริสอย่างแปลกใจ “ตกลงคุณไม่มีอะไรจะพูดกับฉันแล้วใช่ไหม?” เมื่อเขาไม่ตอย ทิพย์สุรางค์ก็ฉวยกระเป๋าขึ้นมาคล้องไหล่ด้วยท่าทางดีใจ “ดีเหมือนกัน ถือว่าทุกอย่างตกลงกันอย่างที่เคยคุยกันวันนั้น คือเราต่างคนต่างไป ไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีก ฉันอยากกลับบ้านเต็มทีแล้ว” แต่คริสก็ยังไม่พูดอะไรอยู่ดี เขาพาเธอไปที่รถ ขับออกจากที่นั่นแล้วแล่นไปเรื่อยๆอยู่ครู่หนึ่ง ก็เลี้ยวรถขึ้นไปบนถนนสายที่อยู่สูงขึ้นไป แล่นวกเวียนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนมาถึงประตูบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีรั้วรอบขอบชิดมองไม่เห็นตัวบ้าน เมื่อชายหนุ่มกดแตรหนึ่งที ชายวัยกลางคนซึ่งคงอยู่ใกล้ๆแถวนั้น ก็เปิดประตูบานใหญ่ให้รถแล่นเข้าไปข้างในแล้วปิดทันที รถแล่นไปบนถนนโรยกรวดแล้วจอดลงตรงลานปูน ที่ปูทับด้วยอิฐรูปตัวหนอนใกล้กับบันไดสามขั้น ที่นำเข้าไปในตัวบ้านซึ่งเป็นตึกหลังไม่ใหญ่นัก ทิพย์สุรางค์ซึ่งกำลังตกใจว่าเขาพาเธอมาที่นี่ทำไม บ้านของใคร นั่งตัวแข็งไม่ยอมลงจากรถ คริสเดินมาเปิดประตูรถให้เธอ สั่งว่า “ลงมาก่อน เรามีเรื่องต้องคุยกัน” แต่หญิงสาวยังไม่ยอมลง “นี่บ้านใคร? พาฉันมาทำไม?” เธอมองไปรอบตัวอย่างหวาดๆ ทั่วทั้งบริเวณบ้านเงียบเชียบได้ยินแต่เสียงคลื่นลมจากทะเลที่อยู่ต่ำลงไป เพราะบ้านนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาไม่สูงนัก แต่ก็สูงกว่าระดับน้ำทะเลที่เห็นอยู่ข้างล่างนั่นพอสมควร นอกจากผู้ชายวัยกลางคนท่าทางเป็นชาวบ้านที่มาเปิดประตูให้แล้ว เธอไม่เห็นใครอีกเลย “ก็บอกแล้วไงว่าเราต้องคุยกัน” คริสตอบห้วนๆ เมื่อทิพย์สุรางค์ยังไม่ยอมขยับเขยื้อน ชายหนุ่มก็ก้มตัวเข้าไปปลดล็อคสายเข็มขัดนิรภัยที่รัดตัวเธอเอาไว้ออก ดึงแขนพาตัวเธอออกมาจากรถจนได้ เขาพยายามจูงมือเธอจะพาเข้าไปในบ้าน แต่หญิงสาวสะบัดจนหลุด ขืนตัวไว้ บอกเขาด้วยเสียงที่เกือบสั่นเพราะความกลัว “พูดกันข้างนอกตรงเก้าอี้โน่นก็ได้” ทิพ์สุรางค์มองไปที่ชุดเก้าอี้อัลลอยด์สีขาวที่ตั้งอยู่บนลานปูน ที่ปูทับด้วยกระเบื้องแผ่นสีเทาอ่อนตรงด้านข้างของตัวตึก แต่คริสไม่ฟังเสียง ดึงมือเธอให้เดินตามเขาเข้าไปในห้องจนได้ ลงมือเปิดหน้าต่างกระจกทุกบานในห้องนั้นออกจนหมด ปล่อยให้ลมเย็นจากท้องทะเลพัดกรูเกรียวเข้ามา “นี่บ้านใคร?” ทิพย์สุรางค์ถามอีกครั้ง “บ้านแม่ผม” เขาเดินหายเข้าไปด้านใน กลับออกมาอีกครั้งโดยมีขวดน้ำแช่เย็นสองขวดติดมือมาด้วย วางขวดลงบนโต๊ะกระจกกลมที่อยู่ระหว่างเก้าอี้นวมสีน้ำตาลเข้มที่รายล้อมอยู่สี่ตัว ส่วนตัวที่ห้าเป็นเก้าอี้นวมยาวที่ใช้เป็นที่นอนได้ เขานั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง “นั่งก่อนสิ ไม่ต้องกลัวผมหรอก มาคุยกันเสียให้จบแล้วค่อยบอกผม ว่าคุณต้องการอะไรกันแน่” คริสพูดเรียบๆ มองหน้าเธออย่างเพ่งพิศ ใบหน้าที่ปราศจากการตกแต่งใดๆแม้แต่ลิปสติก ยังผุดผาดสวยงามสะดุดตาเหมือนที่เขาเห็นเธอครั้งแรกที่เวียงพุกาม ผมที่เธอคงรีบร้อนออกมาพบเขา เพราะกลัวเขาจะบุกเข้าไปในบ้าน ถูกรวบเอาไว้ง่ายๆด้วยแพรชีฟองสีดำ ปล่อยชายผมยาวรวมตัวกันเป็นช่ออยู่กลางหลัง วันนี้เธอแต่งตัวง่ายๆด้วยกางเกงทรงสแล็คสีขาวขาตรงแคบ เสื้อสีเดียวกันเข้ารูปคอแหลมแขนสามส่วน บริเวณอกเสื้อฉลุด้วยลูกไม้ละเอียดยิบสีขาว เขามองผิวพรรณผุดผ่องเป็นยองใย เอวที่คอดกิ่วเห็นได้ชัดจากเสื้อที่ตัดเข้ารูปแนบลำตัว ทรวดทรงองค์เอวที่งดงามไม่มีที่ติที่ไม่บ่งบอกเลย ว่าเธอมีลูกคนหนึ่งแล้วด้วยใจรอนๆ คริสไม่รู้ว่าทิพย์สุรางค์มีอะไรอยู่ในตัวที่ทำให้เขารู้สึกปั่นป่วนรัญจวนใจได้ทุกครั้งเมื่อเห็นเธอ แม้กำลังนึกโกรธเธออยู่เหมือนในขณะนี้ก็ตาม เห็นสายตาของเขาที่กวาดมองเธอทั้งตัวทิพย์สุรางค์ก็หน้าร้อนวูบ รีบนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ห่างจากเขามากที่สุด ทำหน้าบึ้งบอกเขาว่า “คุณมีเรื่องอะไรก็รีบๆพูดมา ฉันไม่อยากกลับถึงบ้านมืดๆค่ำๆ” คริสมองเธอจนพอใจแล้วก็ขยับลุกขึ้นนั่งตัวตรง “สัญญาก่อนได้ไหม ว่าจะพูดความจริงกับผมทุกเรื่อง?” ทิพย์สุรางค์รู้สึกตกใจ แต่ก็แข็งใจโต้ตอบว่า “ที่ผ่านมาฉันก็พูดเรื่องจริงกับคุณทั้งหมด” “แน่ใจหรือ?” เขาหรี่ตามองหน้าเธอแล้วถามด้วยเสียงเยาะๆว่า “งั้นผมขอถามหน่อย ที่คุณบอกว่าแต่งงานแล้วน่ะ แต่งกับใคร? หรือว่ากับคุณชาคริต ที่คุณคอยแต่ยิ้มหวานให้เขา ส่วนเขาก็คอยเอาอกเอาใจคุณตลอดเวลา ที่บ้านพี่ชายคุณเมื่อคืนนี้” “ไม่ใช่เขาหรอก” เธอตอบได้เพียงแค่นั้น รู้ว่าคงหลอกเขาเรื่องชาคริตไม่ได้อีกแล้ว เขาคงจะรู้จากประสพชัยแล้วระหว่างที่นั่งรถกลับไปด้วยกัน “ถ้างั้นใคร บอกได้ไหม?” “ไม่ใช่เรื่องของคุณ ฉันไม่จำเป็นต้องจาระไนเรื่องส่วนตัวของฉันให้ใครฟัง” “ทำไมจะไม่ใช่เรื่องของผม ผมจำเป็นต้องรู้ว่าใครจะมาเป็นพ่อเลี้ยงลูกผม ฟังจากที่คุณพูดมานี่ผมชักแน่ใจแล้วละ ว่าคุณยังไม่ได้แต่งงานกับใคร คุณหลอกผมมาตลอดว่าแต่งงานแล้ว แต่ความจริงไม่ได้แต่ง จริงไหม?” เขาทำเสียงรู้เท่า “ถึงยังไม่ได้แต่ง แต่หลังจากนี้ก็คงจะแต่ง อย่าลืมว่าฉันมีสิทธิจะแต่งงานกับใครก็ได้ ไม่เกี่ยวกับคุณเลย” “ก็ได้ ถ้าคุณว่ายังงั้น ว่าแต่ว่าตอนนี้ลูกผมอยู่ที่ไหน?” หญิงสาวทำหน้าเชิดตอบว่า “ไม่ใช่เรื่องของคุณ ” “โอเค ถ้าคุณบอกว่าไม่ใช่เรื่องของผม งั้นก็หมายความว่าเขาไม่ใช่ลูกผมสินะ เพราะถ้าเขาเป็นลูกผม มันก็ต้องเป็นเรื่องของผมด้วย จริงไหม?” ทิพย์สุรางค์อึกอัก ไม่รู้จะตอบเขาว่าอย่างไรเมื่อเขารุกต่อว่า “ถ้างั้นเด็กในรูปที่คุณให้ผมดูที่อเมริกาเป็นใคร หรือว่าคุณเอารูปเด็กที่ไหนก็ไม่รู้มาหลอกผม ยังงั้นหรือ” หญิงสาวรู้สึกอัดอั้น แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจจะเล่าความจริงให้เขาฟัง เขาจะได้เข้าใจเสียทีว่าเขาไม่ควรกลับเข้ามาวุ่นวายในชีวิตของเธออีก “เอาเถิด ฉันยอมรับว่าเขาเป็นลูกคุณ แต่ฉันขอบอกคุณว่าที่ฉันยอมออกมาพบคุณ จนถูกคุณใช้เล่ห์เหลี่ยมบังคับเอาตัวฉันมาถึงนี่ ก็เพราะฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องคุณ พี่ชายกับพี่สะใภ้ของฉันไม่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเรา ฉันหลอกพวกเขาว่าตอนอยู่ที่อเมริกาฉันมีแฟน อยู่กินกันเงียบๆหลังจากนั้นก็เลิกกันไป ฉันท้องแล้วไม่กล้าบอกทางบ้าน แต่ก็ไม่ใจแข็งพอที่จะเอาเด็กออก ทั้งๆที่ตอนที่รู้ใหม่ๆว่ามีเขาฉันก็อยากทำเช่นนั้นเหมือนกัน แม้แต่ตอนที่กำลังท้อง กลับบ้านไปเยี่ยมพี่ใหญ่ไม่ได้ ฉันก็ต้องหลอกเขาอีกว่าฉันต้องเรียนหนัก และยังไม่สบายใจเรื่องคุณพ่อพอที่จะกลับไป ตลอดเวลานั้น ฉันก็ต้องพยายามโทรศัพท์ไปคุยกับพี่ใหญ่พี่น้อยเกือบทุกอาทิตย์ เพื่อไม่ให้เขาเป็นห่วงจนต้องตามไปดูฉันถึงอเมริกา โชคดีที่พี่ใหญ่งานยุ่งมากจนปลีกตัวไปเยี่ยมฉันไม่ได้ ไม่งั้นเรื่องก็คงจะแตกไปเสียตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว” เสียงของหญิงสาวเศร้าเมื่อนึกถึงตอนนั้น เธอเหลือบมองคริสเห็นหน้าของเขาซีดเผือด เขาคงตกใจมากเรื่องที่เธอเคยคิดจะทำแท้งลูกของเขา “ฉันเคยคิดแม้กระทั่งจะยกเขาให้ครอบครัวอเมริกันที่โน่น เอาไปเลี้ยงดูเป็นลูก แต่ก็ทำไม่ได้อีกนั่นแหละ ฉันเลี้ยงเขาจนครบสามเดือนแล้วพาเขากลับมาบ้าน คิดว่าอาจจะยกเขาให้เป็นลูกพี่ใหญ่กับพี่น้อย เขาแต่งงานกันมานานแล้วแต่ยังไม่มีลูก อย่างน้อยเขาก็จะได้เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีสายเลือดเดียวกันครึ่งหนึ่ง ถึงพี่ใหญ่จะโกรธและเสียใจมาก แต่เขาก็มีน้องเพียงคนเดียวคือฉัน และเขาก็คงสงสารฉันและหลานคนเดียวของเขาด้วย เขาก็เลยช่วยดูแลแกอย่างดี ส่วนฉันก็กลับไปอเมริกา ไปเรียนต่อปริญญาโทที่ดร้อบเอาไว้ นานๆก็กลับมาเมืองไทยเสียทีหนึ่ง” ทิพย์สุรางค์เล่าไปเรื่อยๆ ด้วยเสียงอ่อนๆและสีหน้าที่เหมือนจะปลง ตกแล้ว “โธ่ คุณหนู! ผมเสียใจจริงๆ ไม่รู้เลยว่าทำให้คุณหนูต้องมีปัญหาใหญ่ขนาดนี้ ต้องทุกข์ใจอยู่คนเดียวถึงกับคิดจะทำแท้งหรือยกลูกให้คนอื่น ทุกอย่างเป็นความผิดของผมคนเดียว” หน้าของคริสเปลี่ยนจากเคียดขึ้ง เป็นเศร้าเสียใจและสงสารเธออย่างที่สุด “ฉันก็เคยคิดโทษคุณอย่างนั้น แต่ตอนนี้ฉันทำใจได้แล้ว ยอมรับว่ามันเป็นชะตากรรมของฉันเองที่ต้องมาพบกับคุณอย่างที่ไม่น่าจะพบ แล้วเกิดเรื่องนั้นขึ้นมาอย่างที่ไม่น่าจะเกิด” คริสฟังเรื่องที่เธอเล่าด้วยความรู้สึกอัดอั้นและกดดันอย่างมาก เขานึกด่าตัวเองที่เป็นต้นเหตุ ทำให้ชีวิตของหญิงสาวผู้เพียบพร้อมไปด้วยรูปโฉม ความรู้ ชาติตระกูลและฐานะเช่นเธอ ต้องผันผวนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ถ้าเขาไม่ได้ถูกทำร้ายปางตายจนทิพย์สุรางค์และกรมาพบและพาเขาไปที่เวียงพุกาม ถ้าเขาไม่ลืมอดีต ถ้าเขาไม่ทำให้เธอเสียหายและตั้งครรภ์ขึ้นมา ชีวิตของเธอก็จะไม่ต้องเผชิญกับเคราะห์กรรมขนาดนี้ แล้วเมื่อนึกขึ้นมาได้ เขาก็ถามอย่างร้อนรนและเต็มไปด้วยความหวังว่า “ถ้างั้นเด็กตัวเล็กๆที่บ้านคุณใหญ่ก็ลูกผมน่ะสิ ใช่ไหม?” “คุณพบเขาแล้วหรือ?” หญิงสาวทำหน้าตกใจ “พบได้อย่างไร?” “เปล่า ไม่ได้พบ ตอนเข้าไปที่บ้านคุณเมื่อคืนนี้ ผมเห็นพี่เลี้ยงกับเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งที่ชิงช้า เห็นไกลๆ ตอนนั้นไม่ได้นึกสะดุดใจอะไร” “ก็คงใช่เขา บ้านนั้นมีเด็กอยู่คนเดียวเท่านั้น” “เขาชื่ออะไร?” คริสถามอย่างตื่นเต้น “สิงห์” “สิงห์?” ชายหนุ่มพึมพำชื่อนั้นกับตัวเองอย่างตื้นตันใจ ทิพย์สุรางค์มองสีหน้าท่าทางของคริสอยู่อึดใจหนึ่งก็พูดต่อไปว่า “ความจริงวันนั้นฉันไม่น่าบอกคุณเรื่องลูกเลย ไหนๆก็เก็บเป็นความลับไว้ได้จนเขาเกือบจะขวบครึ่งแล้ว ฉันไม่ควรจะไปพบคุณวันนั้น เมื่อรู้เรื่องเขาคุณก็คงไม่สบายใจ ตอนนั้นฉันอาจจะหุนหันไม่คิดหน้าคิดหลังไปหน่อย คิดแต่จะแก้แค้นคุณ ทำให้คุณรู้สึกผิดและเป็นทุกข์ไปตลอดชีวิตเหมือนที่ฉันเป็นอยู่ ฉันลืมคิดไปว่ามีคนที่เกี่ยวข้องและต้องได้รับผลกระทบอีกหลายคน ทั้งคู่หมั้นของคุณที่ไม่มีความผิด พ่อแม่พี่น้องของคุณ รวมทั้งพี่ใหญ่และพี่น้อยของฉันด้วย ฉันขอโทษคุณด้วยก็แล้วกัน” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเธอ “คุณหนูทำถูกแล้วละที่บอกให้ผมรู้ เขาเป็นลูกผมเหมือนกัน ผมควรจะรับผิดชอบเขา นอกจากผมที่เป็นพ่อของเขาแล้ว เขายังมีทั้งปู่และย่าที่อยากจะอุ้มชูดูแลเขาด้วย” ทิพย์สุรางค์ยิ้มเศร้าๆ “ ข้อนั้นฉันเข้าใจ แต่คุณก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นไปไม่ได้ทั้งทางฝ่ายคุณและฝ่ายฉัน สิ่งที่เราควรทำตอนนี้ก็คือปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไป เพื่อที่ทุกอย่างจะได้เข้าที่เข้าทางของมัน เราทุกคนจะได้อยู่ในที่ที่ควรอยู่ ทำในสิ่งที่ควรทำ คุณไม่ต้องห่วงเรื่องลูกหรอกนะ เขามีทั้งแม่ทั้งลุงกับป้าคอยอุ้มชูเลี้ยงดู ใครๆก็รักเขา” คริสมองทิพย์สุรางค์อย่างตัดพ้อ ตาของเขาแดงก่ำ “คุณหนูไม่คิดถึงใจผมมั่งเลยหรือ ตอนที่ยังไม่รู้เรื่องเขาและคุณหนูตัดขาดไม่ยอมพบผม ผมอาจจะทำใจได้ว่าคุณหนูรังเกียจผมและคงพบผู้ชายที่คู่ควรกันแล้ว แต่เมื่อรู้ว่าผมมีลูก คุณหนูจะบังคับผมไม่ให้ได้พบ ได้เลี้ยงดูอุ้มชูเขาบ้างเลยได้ยังไง ผมไม่ใช่สัตว์ ที่จะทิ้งลูกที่ทำให้เกิดมาโดยไม่ดูดำดูดี ผมทำไม่ได้ ผมจะทิ้งลูกทิ้งคุณหนูไปแต่งงานได้ยังไง” ทิพย์สุรางค์มองหน้าตาท่าทางที่เจ็บปวดรวดร้าวของเขาอย่างหนักอก ดูท่าเขาจะไม่ยอมปล่อยเธอและลูกไปง่ายๆอย่างที่คิดเสียแล้ว “คริสคะ ฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณในเรื่องที่เกี่ยวกับลูก แต่ก็อยากจะบอกว่า ฉันกับลูกจะไม่เข้าไปเป็นส่วนเกินในชีวิตคุณอย่างเด็ดขาด คุณควรปล่อยเราแม่ลูกไปเสีย ถ้าคุณไม่ยอมปล่อย เรื่องต่างๆมันก็จะคาราคาซังไม่มีทางจบ อย่าลืมว่าคุณมีคู่หมั้นที่ทางบ้านคุณเห็นชอบ คุณไม่ควรจะทำร้ายน้ำใจพ่อแม่คุณ เรื่องของเรามันสายไปนานแล้ว ทางเดียวที่คุณจะทำได้ในตอนนี้คือรีบแต่งงานกับคู่หมั้นของคุณเสีย พอมีลูกด้วยกันแล้วคุณก็จะค่อยๆลืมเราไปได้เอง ส่วนฉันก็จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ฉันอาจจะได้พบผู้ชายดีๆสักคนแล้วแต่งงานไปกับเขา ทุกอย่างก็จะลงเอยด้วยดี ฉันหวังว่าเมื่อรู้เรื่องทั้งหมดแล้วคุณคงจะเข้าใจและเห็นใจฉันแล้วปล่อยฉันไป ฉันคงจะพูดแค่นี้แหละ นี่ก็เย็นมากแล้ว เราควรจะกลับกันเสียที” พูดจบหญิงสาวก็คว้ากระเป๋าลุกขึ้นยืน แต่ทันทีที่เธอก้าวออกเดินคริสก็เข้ามาถึง เขาคว้าตัวเธอไปกอดเอาไว้แน่น พูดด้วยเสียงที่กลับกร้าวขึ้นมาอีกว่า “จะแต่งงานกับผู้ชายอื่นหรือ? อย่าหวังเลย ผมไม่มีทางยอมหรอก” พอหายตกตะลึงกับการกระทำที่อุกอาจของเขา ทิพย์สุรางค์ก็ร้องว่า “นี่คุณเกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีก!? นึกว่าพูดกันรู้เรื่องแล้ว ปล่อยนะ!!” แล้วพยายามดิ้นรนจะให้หลุดจากอ้อมแขนเขา แต่ยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งกอดเธอแน่นขึ้นจนเธอรู้สึกเจ็บ มิหนำซ้ำยังบังอาจก้มลงซอกซอนจูบเธอไปทั่วหน้า แล้วมาหยุดนิ่งตรงริมฝีปากเต็มตึงของเธอ ที่กำลังเผยอเพื่อแผดเสียงใส่เขา เมื่อสู้ไม่ได้ ทิพย์สุรางค์ก็ยกแขนข้างที่ไม่ได้อยู่ในวงแขนที่กอดเธอไว้ขึ้นสูง ใช้เล็บยาวที่เจียนปลายไว้แหลมตะกุยลงไปบนแก้มข้างหนึ่งของเขา คริสคงจะเจ็บเพราะเขาร้องโอยออกมาแล้วปล่อยตัวเธอ ยกมือขึ้นคลำตรงรอยที่ถูกเธอตะกุย เลือดที่ไหลซิบๆเปื้อนมือเขา หญิงสาวถือโอกาสนั้นวิ่งถลาจากห้อง ออกมาที่เทอเรสหน้าบ้านโดยมีคริสวิ่งตามมาติดๆ และทันใดนั้นคนทั้งคู่ก็เห็น..ผู้หญิงคนหนึ่ง..กำลังเดินอยู่บนถนนที่นำมาสู่ตัวบ้านที่เขาและทิพย์สุรางค์วิ่งไล่กันออกมา ผู้หญิงคนนั้นเดินเรื่อยๆไม่รีบร้อนเข้ามาหาคนทั้งสอง ที่กำลังชะงักงันมองอยู่อย่างตกตะลึง!!! กำลังสนุกเชียวค่ะคุณตุ้ย
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() โดย: หอมกร
![]() ![]() สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด
ที่จริง ครูไปเห็นในบล็อกของ น้องปัญญา ที่เธอไปลงให้อ่านแล้ว ครูก็เลยอ่านจากบล็อกของน้องปัญญาไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว จ้ะ เรื่องราวของเรื่อง กำลังขมวดปม เข้มเข้าทุกทีเนาะ แล้วพวกเขา จะแก้ปมปัญหารักสามเส้าอย่างไรหนอ จะรออ่านจ้ะ อิอิ โหวดหมวด งานเขียนฯ โดย: อาจารย์สุวิมล
![]() ![]() |
บทความทั้งหมด
|