::: ยายรุน :::

::: ยายรุน :::

1.

ที่ระหว่างหน้าช่องเตาเผากับโลงศพสีขาว สัปเหร่อวัยกลางคนกำลังพึมพำบริกรรมคาถาหลังเปิดฝาโลงศพ คมมีดเล่มเขื่องวาววับวางอยู่บนสองมือพนม เพียงชั่วครู่แกก็ก้มลงใช้มีดตัดสายสิญจน์มัดตราสังข์ศพหญิงชราที่นอนสงบอยู่ในโลง

และ ทันทีที่สันมีดสับลงบนกลมแข็งของกะลามะพร้าวเพื่อเรียกรอยแยก พรั่งพรูน้ำมะพร้าวก็ถูกราดไล่ตั้งแต่หัวโลงทางทิศตะวันตกจรดลงจนถึงปลายเท้าของร่างที่สงบนิ่ง

ขณะแถวพระสงฆ์เดินเรียง ใส่ดอกไม้จันลงในโลงศพจนครบทุกองค์แล้ว ฝูงคนในชุดสีดำเบื้องล่างเริ่มขยับตัว และเดินขึ้นบันไดของเมรุอย่างเป็นระเบียบ เพื่อวางธูปและดอกไม้จัน เป็นการเคารพศพครั้งสุดท้าย ก่อนส่งร่างอันไร้วิญญาณของหญิงชรา วัย 87 ปี เข้าเตาเผา......

2.

ฟ้าแปลบประกายฉีกความมืดดำของฟ้า ที่เหนือหัวจนเห็นเงาต้นไม้ที่ยืนเรียงรายรกครึ้มอยู่กลางทุ่งกว้าง ก่อนจะส่งเสียงคำรามสำทับตามมาอย่างน่าหวาดกลัว สายลมเริ่มพัดแรง กลิ่นฝนกำลังใกล้เข้ามาคงอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้

แต่เธอและเขามิได้สนใจว่าฟ้าจะร้องหรือฝนจะตก หากแต่ใจทั้งสองขณะนี้มุ่งหวังเพียงอย่างเดียวคือเร่งก้าวผ่านพ้นแต่ละช่วงคันนาให้เร็วที่สุดเพื่อมุ่งสู่บ้านของป้ารุน

ในโอบอุ้มของเขาผู้เป็นพ่อคือลูกชายคนที่ 5 วัย 8 เดือน กำลังดิ้นกระตุก เป็นระยะ ตาเหลือกค้าง เขากึ่งวิ่งกึ่งเดินนำหน้า เธอไปหลายช่วงก้าวแล้ว จะได้มองเห็นร่างของเขาชัดเจนก็ต่อเมื่อฟ้าแลบแปลบประกายและคำรามก้อง เธอร้องไห้สะอื้นตลอดระยะขณะกึ่งเดินกึ่งวิ่ง สลับกับเสียงอ้อนวอนขอชีวิตลูกชายคนที่ 5 จากเจ้าที่เจ้าทาง ฟ้าดิน เจ้าป่าเจ้าเขา และหลวงพ่อโตวัดป่าเลย์ไลก์

ขณะที่หัวใจของผู้เป็นพ่อก็ ไม่แตกต่างกัน ณ. ขณะนี้

หลังอาหารมื้อค่ำ ขณะหยอกล้อเล่นกันอย่างสนุกสนาน ระหว่าง พี่ ๆ น้อง ๆ เจ้าลูกชายคนเล็กที่กำลังหัดเดิน ก็เกิดอาการชัก ตาเหลือกค้างโดยไม่มีสาเหตุ

วุบไหวในหัวใจของเขาและเธอ สองคนแล้ว ที่เขาต้องสูญเสีย เขาและเธอจะไม่ยอมสูญเสียอีกแล้ว

“ไปบ้านป้ารุน....” เสียงเขาบอกแข่งกับสายลมที่พัดซู่ผ่านยอดไม้เหนือหลังคาบ้าน ก่อนจะอุ้มลูกคนเล็ก ลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว ขณะเธอหันไปสั่งลูก ๆ ทั้งสี่ ให้อยู่แต่บนบ้านอย่าไปไหนเด็ดขาด ก่อนจะคว้าผ้าห่มผืนหนึ่ง แล้วรีบพรวดลงบันไดวิ่งตามเขาไป......

ฝนเทกระหน่ำลงบนหลังคาสังกะสีเสียงดังอื้ออึง เสี้ยวแปลบประกายฟ้ามองเห็นมันวาวของใบมะพร้าวหน้าบ้าน ที่กำลังโยกสะบัดกับสายลมกลางฝน เสียงคำรามของฟ้าคลายความดุดันลงแล้ว ในเงาแสงของตะเกียงกระป๋อง น้ำมันก๊าด ร่างของเด็กชายที่ถูกห่มคลุมด้วยผ้าห่ม นอนสงบนิ่ง รอบ ๆ ปากมีคราบสีดำเปรอะเปื้อน

“รออีกพัก เดี๋ยวคงตื่น” เสียงป้ารุนบอกย้ำอีกครั้ง ขณะเสียงสะอื้นของเธอยังไม่ขาดหาย ส่วนเขายังคงนั่งมองลูกชายอย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา...........

3.

เสียงสัญญาณโทรศัพท์มือถือดังอยู่ที่หัวนอน ขณะที่ผมยังนอนซมไข้ใต้คลุมโปงของผ้าห่ม ผมปล่อยให้สัญญาณเสียงขาดหาย เพราะยังไม่พร้อมที่จะคุยกับใครเวลานี้

ขาดช่วงแป๊บเดียว เสียงเรียกก็ดังเข้ามาอีกครั้ง ผมตัดสินใจคว้าโทรศัพท์มาดูเบอร์ที่โชว์

“ไอ้หนู พรุ่งนี้ตอนบ่ายเอ็งติดธุระอะไร ที่ไหนหรือเปล๋า” เสียงแม่ถามมาจากต้นสาย

“มีอะไรหรือแม่” ผมงัวเงียถามกลับ รู้สึกเจ็บแปลบที่ในลำคอ

“ก็ยายรุน แกตายแล้ว”

“รุน...ไหนแม่

“เอ้า ก็ยายรุน หมอกวาดยา ที่เขาเคยกวาดยาให้เอ็งตอนเอ็งยังเล็ก ๆ นั่นไง ที่แม่เคยเล่าให้เอ็งฟัง น่ะ”

“อ๋อ จำได้แล้ว แม่”

“เออ แกตายมาหลายวันแล้ว พรุ่งนี้จะเผาที่วัดตอนบ่ายสาม แม่อยากให้เอ็งกลับมาเผาแก แล้วทำบุญกับแกสักร้อยครึ่งร้อย เผื่อชาติหน้าจะได้เกิดมาอุปถัมภ์ค้ำชูกันอีก ชาตินี้เขาช่วยชีวิตเอ็งไว้ ว่าไงมาได้หรือเปล่า”

“ได้ครับแม่”

“เออ เพิ่งตื่นหรือไง เสียงแหบเชียว”

“เจ็บคอนิดหน่อยแม่”

ผมวางโทรศํพท์ไว้ที่เดิม ก่อนดึงผ้าห่มคลุมโปงขดม้วนร่างอีกครั้ง ยังคงรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งร่าง

ผมเป็นไข้ และเจ็บคอมาสี่วันแล้ว ต่อมทอลซิลอักเสบเป็นโรคประจำตัวของผม คงเป็นเพราะนอนดึก และใช้เสียงร้องเพลง จึงเป็นบ่อย ๆ จนรู้สึกคุ้นชินกับมัน เดาอาการออก พอเริ่มเจ็บคอ ไข้ก็จะขึ้น กินยาลดไข้ก็จะทุเลา ถ้าไม่อักเสบมาก ก็จะใช้ชีวิตได้เป็นปกติ 2-3 วันก็จะหายไปเอง

แต่อาการอักเสบครั้งนี้เล่นเอาผมต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ยาลดไข้อย่างเดียวเอาไม่อยู่ซะแล้ว ต้องกินยาแก้อักเสบผสมไปด้วย ด้วยฤทธิ์ของยาและอาการเจ็บปวดลำคอ ผมต้องซมอยู่กับบ้าน 3 วันโดยไม่ได้ไปไหน

แต่แล้วจู่ ๆ ช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ ผ่านมาพลันนึกขึ้นมาได้ว่าต้องไปช่วยน้อง ๆ เล่นดนตรีเปิดหมวกที่ตลาดเปิดท้ายเพื่อหาเงินกับโครงการ พี่ให้น้อง อาการของผมกลับทุเลาขึ้นมาอย่างประหลาด

ผมร้องเพลงเปิดหมวกเรี่ยไรเงินอยู่ เป็นชั่วโมง โดยไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเจ็บป่วย

แต่ครั้นพอกลับถึงบ้านอีกครั้งในค่ำวันนั้นผมก็ล้มหมอนนอนเสื่อในสภาพเดิมจนถึงบ่ายของอีกวัน.....

หลังวางโทรศัพท์ ผมนอนคิดต่อ หากอาการผมยังเป็นอย่างนี้ บ่ายพรุ่งนี้ผมคงไปงานเผาศพยายรุนไม่ไหวแน่...

4.

ผมใส่ดอกไม้จันและธูปลงในโลง เกือบจะเป็นคนสุดท้าย ชะเง้อมองในโลง มองไม่เห็นร่างยายรุนเสียแล้ว ธูปดอกไม้จัน วางทับร่างแกเกือบหมด เห็นแต่ใบหน้าที่เกือบจะจมหายไปกับธูปและดอกไม้จันเช่นกัน

ผมคาราวะร่างไร้วิญญาณของยายรุนอีกครั้งก่อนก้าวลงจากเมรุ

พลันครุ่นคิดย้อนกลับไปเมื่อช่วงเช้าของวัน ก่อนมางานศพ

ครุ่นคิดถึงอาการไข้ที่ขึ้นสูงและเจ็บคออย่างรุนแรงในช่วงกลางคืน แต่ครั้นพอรุ่งเช้า อาการไข้และอาการเจ็บคอกลับหายเป็นปลิดทิ้งอย่างไม่น่าเชื่อ.........

:::ธรณีกรรแสง:::
บรรเลง โดย อ.ธนิส ศรีกลิ่นดี



Create Date : 26 กันยายน 2550
Last Update : 26 กันยายน 2550 3:06:33 น.
Counter : 549 Pageviews.

4 comments
Episode05:สามวันสามคืนที่ยาวนาน Heavystrokeman
(25 มิ.ย. 2568 16:21:45 น.)
โจทย์ตะพาบ ... เรื่องที่มักเข้าใจผิด ... tanjira
(25 มิ.ย. 2568 17:23:31 น.)
ทำไมเธอดูไม่ออก? nonnoiGiwGiw
(24 มิ.ย. 2568 12:52:05 น.)
ถนนสายนี้มีตะพาบ 378 "ฝันที่ไม่เคยเป็นจริง" kae+aoe
(16 มิ.ย. 2568 05:34:58 น.)
  
แวะมาทักทายครับ
โดย: ตาอ้วนชวนคุย วันที่: 26 กันยายน 2550 เวลา:8:24:02 น.
  
อรุณสวัสดีค่ะอ้ายโฟล์คเหน่อ
-----------------------------------------------------
พลัด พราก จาก ตาย
เรียนรู้ด้วยความเข้าใจ...เพียงครั้งเดียวในชีวิต
แต่เรามีการโอกาสพบเจอ.....ตลอดเวลาของชีวิต

ปล. อ้ายโฟล์คเหน่อ เป็นลูกคนเล็กเหรอคะ

โดย: สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น วันที่: 26 กันยายน 2550 เวลา:9:10:00 น.
  
สวัสดีค่ะ



เสียงเพลงธรณีกรรณแสงเศร้าจังเลย นึกถึงตอนงานศพพ่อ

น้องชายเอาวงดนตรีไทยของโรงเรียนซึ่งน้องก็ร่วมเล่นด้วยมาเล่น แล้วเล่นเพลงนี้ มันยิ่งเศร้า

ทำให้ต้องร้องไห้ทุกที หลังงานศพพ่อพอคิดถึงพ่อก็จะร้องให้ทุกครั้ง.....

คิดถึงพ่อจัง....
โดย: โสนบ้านนา วันที่: 26 กันยายน 2550 เวลา:10:00:30 น.
  
หาซื้อผลงานได้ที่ไหนครับ
โดย: คนขับช้า วันที่: 26 กันยายน 2550 เวลา:14:13:00 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Folkner.BlogGang.com

โฟล์คเหน่อ
Location :
สุพรรณบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด