:::ถนนกลับบ้าน...จักรยาน สะพานไม้ และความทรงจำ:::

...ถนนกลับบ้าน...(จักรยาน สะพานไม้ และความทรงจำ)

1.

เกือบทุกเย็นวันอาทิตย์ ผมจะขับรถเก๋งส่วนตัวเพื่อกลับไปนอนที่บ้าน

ตลอดห้วง 6 คืน ในสัปดาห์ ผมโลดแล่นชีวิตขับขานบทเพลงอยู่บนเวทีดนตรี ทีคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นบุหรี่สุรา อาหาร และผู้คนมากมาย

ผมเลือกที่จะหยุดงานวันอาทิตย์ เพื่อปิดบ้านเช่า ขนสัมภาระส่วนตัว บางอย่าง ยัดขึ้นรถแล้วบึ่งกลับบ้าน

ผมชอบขับรถกลับบ้าน ในช่วงเวลาเย็น ๆ แสงแดดอ่อน ๆ ก่อนตะวันตกดิน ที่สาดแสงทาบทาท้องทุ่งสองข้างทาง คือเสน่ห์ที่ทำให้ผมเลือกที่จะขับรถกลับบ้านหลัง ห้าโมงเย็

ระยะทางจากบ้านเช่าในเมืองถึงบ้านเกิดกลางทุ่งนา ของผม ห่างกันไม่เกิน 30 กิโล หากไม่รีบร้อนผมใช้เวลาเดินทางนานเกือบครึ่งชั่วโมง

และหากไม่รีบร้อนอีกเช่นกันภาพความทรงจำเก่า ๆ ก็มักผุดพรายขึ้นมาป็นฉาก ๆ ทุกครั้งที่หักเลี้ยวพวงมาลัยรถพ้นสายทางหลักถนนสี่เลน เพื่อวิ่งไต่ตามถนนยางมะตอยที่ทอดเลื้อยผ่านทุ่งนาข้าว ต่อเข้าไปสู่บ้านอีก 8 กิโล

ระหว่างทาง ผมต้องผ่านสะพานปูนที่ทอดข้ามคลองส่งน้ำเล็ก ๆ สายหนึ่ง ผมเรียกสะพานนี้ ว่า “สะพานตาพุด” เพราะพอพ้นตีนสะพานก็จะมีแยกทางเข้าบ้านข้างถนน คือบ้านของตาพุด คนเลี้ยงวัว

ขณะมุ่งขึ้นสะพาน ผมต้องปลดเกียร์ต่ำรถ เพื่อไต่ความสูงชันไปสู่คอสะพาน

และขณะมุ่งขึ้นสู่สะพานเช่นกัน บ่อยครั้งที่ภาพความทรงจำบางอย่างมักผุดพรายย้อนกลับมาฉายแบบซ้ำ ๆ อย่างมิลบลืม

2.

“จับอานไว้ลูก” เสียงแม่สั่งกำชับผม ขณะกำลังออกแรงเพิ่มเร่งปั่นบันไดหมุนจานโซ่จักรยานคันใหญ่ เพื่อไต่ทางลูกรังสูงชันสีแดงเส้นนั้นขึ้นไปสู่สะพานไม้สีดำ ซึ่งทอดข้ามลำคลองระหว่างทางไปตลาด ผมนั่งตื่นเต้นอยุ่บนตะแกงจักรยาน ขณะที่มีกระบุงสูงท่วมหัวขนาบติดอยู่ข้างหลังอีกที

เสียงแม่ถอนหายใจเฮีอกใหญ่เมื่อพาจักรยานพ้นทางชันขึ้นสู่ตัวสะพาน ก่อนที่จะปล่อยให้จักรยานไหลลงทางลาด โดยไม่ต้องออกแรงปั่น

“ถ่างขาไว้ นะลูก” เสียงแม่กำชับผมอีกครั้ง ขณะจักรยานไหลตัวลงจากตัวสะพาน เพราะกลัวขาของผมจะไปขัดกับกำจักรยานเข้า

เป็นอีกหนึ่งความตื่นเต้นระหว่างทาง นอกเหนือไปจากความตื่นเต้นก่อนหน้านี้ที่รู้ว่าจะได้นั่งรถจักรยานของแม่ไปเที่ยวตลาดเป็นครั้งแรกของชีวิต

ผมเป็นลุกคนที่ห้า ในจำนวนพี่น้องเจ็ดคน ทุกอาทิตย์ไม่วันใดก็วันหนึ่ง แม่จะต้องปั่นจักรยานคันโตไปตลาด เพื่อซื้อหาจับจ่าย ของกินของใช้ในตลาดหนองขามที่อยู่ห่างจากบ้านของเรา 8 กิโล

ไม่ค่อยบ่อยครั้งนักที่แม่จะพาพวกเราพี่น้องคนใดคนหนึ่งไปตลาดด้วย แต่ทุกครั้งที่แม่ไปตลาดพวกเราก็ล้วนต่างดีใจ และเฝ้าชะเง้อคอยรอเวลาแม่ปั่นจักรยานกลับมา และทันทีที่เห็นแค่เพียงจุดเล็ก ๆ บนถนนจนแน่ใจว่าเป็นแม่ปั่นจักรยานกลับมานั่นแหละ พวกเราก็จะวิ่งกรูแข่งกัน เพื่อไปรับหน้าแม่

ที่กระบุงท้ายตะแกรงรถจักรยานของแม่ตอนขากลับมาจากตลาดนั้น จะเต็มไปด้วยข้าวของ เครื่องใช้ที่จำเป็น และที่ขาดไม่ได้ ก็คือขนม และผลไม้จากตลาด ที่แม่มักจะซื้อกลับมาให้ลูก ๆ ได้ลิ้มลอง ทุกครั้ง

และที่แทบจะขาดไม่ได้เลย ก็คือขนมครกของยายกิมลี้ ที่แม่จะต้องซื้อมาฝากพวกเราเกือบทุกครั้ง

ขนมครกยายกิมลี้ในห่อกระทงใบตองนั้น คือของโปรดของแม่และของพวกเรา

และนั่นก็คือความหวังเดียวของพวกเราพี่น้องที่ต่างนั่งชะเง้อคอคอย ตลอดเวลาที่จักรยานของแม่ลับตาไปไม่กี่นาที

กว่าผมจะได้มีโอกาสนั่งท้ายจักรยานของแม่ไปตลาด พวกพี่ชาย พี่สาวของผม ก็ได้ไปตลาดกับแม่มาแล้วคนละ 4-5 ครั้ง

เมื่อวันหนึ่งโอกาสมาถึงผมบ้าง ความตื่นเต้นอิ่มอกอิ่มใจ จึงถาโถมเข้ามาจนแทบไม่กินข้าวกินปลา

ก่อนไปแม่จับผมถูขี้ไคลในซอกหูซอกคอจนเกลี้ยง โดยไม่มีอาการขัดขืนเหมือนอย่างที่เคย ภาพตลาดในจินตนาการผุดพราย เข้ามาไม่หยุดหย่อน

ช่างเป็นวันที่สดใสอะไรเช่นนี้

แม่พาผมมาถึงตลาดในช่วงบ่ายแก่ ภาพตลาดห้องแถวไม้เก่า ๆ ที่บรรจุสินค้าข้าวของเครื่องใช้เต็มไปหมด คือภาพแรกที่ผมได้สัมผัส ถัดไปจากทางลูกรัง คือถนนยางมะตอยสีดำสูงระดับสายตา มีรถยนต์วิ่ง ผ่านไปผ่านมาด้วยความเร็ว และถี่คัน

นี่หรือคือตลาด ที่บรรจุข้าวของเครื่องใช้และขนมอร่อย ๆ ของพวกเรา

แม่จอดจักรยาน ที่หน้าห้องแถวห้องหนึ่ง

“เอาลูกมาด้วยหรือ วันนี้” เสียงผู้หญิงผิวขาววัยกลางคน ตัวสูงที่อยู่หน้าร้านร้องทักแม่ ขณะที่แม่สั่งให้ผมลงจากตะแกงหลังรถจักรยาน

“อืม..พามันมาเที่ยว” เสียงแม่ตอบไปอย่างนั้น

ร้านที่แม่พาผมมาสัมผัสครั้งแรก คือร้านเจ๊กสูง อาจจะเป็นเพราะตัวแกสูงมั้ง แม่ถึงเรียกเจ๊กสูง

ร้านเจ๊กสูง มีข้าวของบรรจุอยู่ในร้านมากมาย ทั้งข้าวสาร พริก หอม ถังน้ำสังกะสี ปอแก้ว บุหรี่ หยูกยา สารพัด ละลานตาไปหมด

เจ๊กสูงมีลูกสาว ผิวขาวสวย อยู่คนหนึ่ง กำลังนั่งเขียนหนังสืออยู่ที่ม้านั่งหน้าร้าน แต่ผมไม่ได้สนใจ รถยนต์ที่วิ่งผ่านไปผ่านมาบนถนนใหญ่นั่นต่างหากที่ดึงความสนใจของผม จนแม่ต้องเรียกให้ผมเดินตามเข้าไปในร้าน

ผมรู้สึกแปลกกลิ่นกับข้าวของในร้านเจ๊กสูงที่วางไว้เป็นระเบียบบ้างไม่เป็นระเบียบบ้าง เต็มร้านไปหมด

ผมเห็นแม่เดินเข้าไปคุยซุบซิบ กับเจ๊กสูงสองต่อสอง อยู่สักพัก ส่วนผมยืนดูอยุ่ห่าง ๆ

ผมไม่รู้ว่าแม่คุยเรื่องอะไรกับเจ๊กสูง แต่เห็นลักษณะอาการของแม่แล้ว เหมือนว่าแม่กำลังขอร้อง หรือเชิงขอความช่วยเหลืออะไรสักอย่างจากเจ๊กสูง ซึ่งอาการของเจ๊กสูงที่แสดงให้เห็นก็เหมือนอิดออด และปฏิเสธกับคำขอของแม่ แต่ผมก็มิได้ให้ความสนใจ สายตาผมเปลี่ยนไปจับจ้องบนถนนใหญ่นั่นอีกครั้ง อย่างเนิ่นนาน

“อาหมวยเอ๊ย ไปเอาตังค์ในกระป๋องแขวนมาสองร้อยสิ” เสียงเจ๊กสูงสั่งลูกสาวที่กำลังนั่งเขียนหนังสือ แต่ลูกสาวก็ยังนิ่งเฉยเหมือนไม่รับรู้

“ได้ยินไหม ให้ไปเอาตังค์มา ให้น้าติ่งเขายืมไปใช้สองร้อยบาท” เสียงคำสั่งของเจ๊กสูงดังขึ้นกว่าเดิม

สิ้นคำเจ๊กสูงลูกสาวคนสวยก็ขว้างปากกาใส่สมุดแรง ๆ แล้วผลุนผลันเดินไปกระชากกระป๋องเงินที่แขวนเชือกถ่วง ลงมาอย่างแรง พร้อมทำปากมุบมิบมุบมิบแสดงอาการไม่พอใจอย่างมาก

พลันที่เสียงกระชากกระป่องเงินอย่างแรงนั้น สายตาของแม่ก็ประสานมากับสายตาของผมเข้าพอดี

แววตาบนใบหน้าหยาบกร้านของผู้หญิงผู้เป็นชาวนามาทั้งชีวิต แววตาของผู้หญิงผู้ผ่านกับภาระโอบอุ้มเลี้ยงดูลูกหญิงลูกชายจำนวนกว่าครึ่งโหล แววตาของผู้หญิงที่เคยกร้าวใส่หลังว่ากล่าวตักเตือนและลงไม้เรียวกับลูกคนดื้อรั้นบางคน กำลังสบประสานกับผมพอดี ในภาวะเช่นนี้

ภาวะของคนที่ต้องปั่นจักรยานพร้อมลูกเข้าสู่ตลาด โดยยังไม่มีเงินติดอยู่ในกระเป๋าซักแดงเดียว มีเพียงความคาดหวังเพื่อหยิบยืมเอาจากปลายทางข้างหน้า

ผมไม่อาจอ่านความรู้สึกของแม่เวลานั้นได้ทั้งหมด แต่ผมก็พอจะรับรู้ ณ. วันนี้ได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่ยอมในวันนั้น ก็เพียงเพื่อลูก ๆ ที่กำลังสลอนรอความหวังอยู่ที่บ้านเท่านั้น

มีเกลือ น้ำตาล น้ำปลา หยูกยากลับบ้าน และมีขนมครก ผลไม้กลับติดไม้ติดมือไปฝากให้ลูก ๆ ที่วิ่งตัวแดง ตัวดำ ส่งเสียงลั่น ข้ามทุ่ง ข้ามท่าออกมารับหน้าแม่อย่างลิงโลด ยามปั่นจักรยานใกล้ถึงบ้าน

นั่นคือความหวังของแม่และความหวังของพวกเรา

แต่เบื้องหลังความหวังนั้นเล่า ใครจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่ต้องยอมอับอายยามเอื้อนเอ่ยอ้อนวอนคำขอยืมเงินจากเจ๊กตลาดที่มีข้าวของอยู่เต็มร้าน ใครจะรับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดภายในใจของแม่ผู้หญิงชาวนาจน ๆ คนหนึ่งนั้น ได้เล่า

นอกจากความรู้สึกของเจ้าตัวของหัวใจแห่ง “แม่” ผู้หญิงชาวนาจนๆ คนหนึ่ง ที่ต้องโอบอุ้มเลี้ยงดูลูกหญิงลูกชายกว่าครึ่งโหลให้ได้อยู่ดีกินอิ่มยิ้มหลับสบาย เท่านั้นที่รับรู้

ยามที่มีข้าวของเครื่องใช้เต็มกระบุงท้ายรถจักรยาน และขนม ผลหมากรากไม้ กลับไปให้ลูก ๆ ที่บ้านได้ยิ้มและลิ้มรสเหมือนทุก ๆ ครั้ง

เท่านี้แม่ก็สุขเกินแล้ว

แม้จะต้องเหน็ดเหนื่อยและอับอายสักเท่าใด ....แม่ก็ยอมได้

3.

ช่วงเวลาใกล้ค่ำ

ผมปลดเกียร์ต่ำรถเก๋งก่อนไต่ทางสูงขึ้นสู่สะพานตาพุดซึ่งเปลี่ยนจากสะพานไม้มาเป็นสะพานปูนกว่ายี่สิบปีมาแล้ว

พอพ้นคอขึ้นบนสะพาน แสงแดดอ่อน ลำสุดท้ายสาดเข้ามาในรถ ผมสบสายตากับแสงแดดอีกครั้ง ก่อนแอบชำเลืองมองห่อผ้าถุง เสื้อคอกระเช้าและดอกมะลิสีขาวที่วางอยู่บนเบาะข้างซ้ายมือของผม

อีกสี่กิโลจะถึงบ้านแล้ว.....

คุณลองทายสิ มีใครรอผมอยู่ที่บ้าน......?

เพลงสร้างฝันเพื่อแม่
ขับร้อง เต้ กีตาร์ซ้าย
เนื้อร้อง ทำนอง ลำภา มัคศรีพงษ์




Create Date : 17 ตุลาคม 2550
Last Update : 17 ตุลาคม 2550 17:24:57 น.
Counter : 731 Pageviews.

7 comments
: รูปแบบของการค้นพบตนเอง : กะว่าก๋า
(16 เม.ย. 2567 06:05:58 น.)
15 เมษายน 2567 คุกกี้คามุอิ
(15 เม.ย. 2567 04:15:53 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 36 : กะว่าก๋า
(14 เม.ย. 2567 06:17:30 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 34 : กะว่าก๋า
(12 เม.ย. 2567 05:52:40 น.)
  

แวะมาชื่นชมค่ะ
ภาพทุ่งนาสวยมาก
บรรยากาศยามโพล้เพล้ก็งามดี
แต่ภาพดีที่สุด คือ ภาพคนที่รอคุณค่ะ

คนนี้เขาพร้อมรอเราทุกเมื่อจริงๆ เนอะ
กลับบ้านไปหาป้าที พ่อที
ก็เหมือนรู้สึกตัวเองไปเติมความรักที
รักยิ่งใหญ่และไม่เคยทำร้ายเรา
คือรักจากครอบครัวจริงๆ นะ



แวะมาเช้าไปเปล่าหว่าเนี่ย
ไปนอนต่ออีกสักพัก ก่อนไปลุยงาน
กับชีวิตเดิมๆ ของชาว กทม.
โดย: sunny-low วันที่: 17 ตุลาคม 2550 เวลา:4:09:28 น.
  
ชอบทุ่งนาหญ้าเขียวค่ะ

แวะมาอ่านอะไรร่มๆก่อนเริ่มงานค่ะ
โดย: D*U*A*N (thisisduan ) วันที่: 17 ตุลาคม 2550 เวลา:8:26:54 น.
  
อรุณสวัสดีค่ะอ้ายโฟล์คเหน่อ
------------------------------------
"หัวใจ" ของแม่ มีลูกตลอดเวลา
"หัวใจ" ของลูก มีไว้ให้คิดถึงกันใครนะที่ผ่านมา
โดย: สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น วันที่: 17 ตุลาคม 2550 เวลา:8:43:48 น.
  
สวัสดีค่ะ
หายหน้าไปหลายวันค่ะ
พอดีลาพักร้อน พาเด็กๆเที่ยวเถิดเทิง
ไม่ได้ท่องเน็ตหลายวัน

กลับมาด้วยความคิดถึงนะคะ
โดย: คนเลวที่แสนดี วันที่: 17 ตุลาคม 2550 เวลา:8:53:20 น.
  


พี่โฟล์คเหน่อ..

นกจะกลับบ้านทุกสัปดาห์ โดยกลับบ้านเย็นวันเสาร์ และจะกลับมาทำงานในเช้าวันจันทร์ ระยะทางระหว่างที่บ้านกับที่ทำงาน ห่างกัน 120 กิโลเมตร

หากสัปดาห์ไหนมีงานเร่งด่น กลับบ้านไม่ได้ก็จะโทรศัพท์บอกแม่ ไม่งั้น แม่จะคอย...คอย...

ทุกวันเสาร์ตอนเช้า จะได้รับโทรศัพท์เสมอ .."เย็นนี้อยากกินอะไร"

.. ใช่ค่ะ หัวใจของแม่มีลูกอยู่ตลอดเวลา ..


โดย: หทัยชนก (Nok_Noah ) วันที่: 17 ตุลาคม 2550 เวลา:13:32:12 น.
  
อ่านแล้วคิดถึงภรรยาพ่อจังเลย...

ทุกวันของแม่ทำเพื่อลูก
แต่ทุกวันของลูกทำเพื่อใคร

โดย: big-lor วันที่: 17 ตุลาคม 2550 เวลา:15:40:09 น.
  
บทความกินใจจัง เขียนได้ดีมากค่ะ
โดย: ดา ดา วันที่: 18 ตุลาคม 2550 เวลา:6:17:56 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Folkner.BlogGang.com

โฟล์คเหน่อ
Location :
สุพรรณบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด