The Hurt Locker : โลกเสี้ยนสงคราม (เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ) ด้วยรางวัลและคำชมที่เบียดเสียดกันบนโปสเตอร์ อาจทำให้เราผู้ชมคาดหวังไปว่า ความดีงามของหนังคงมหาศาล ความผิดหวังย่อมเกิดจากหวังที่ใหญ่โตเกินจริง แต่หากลองพินิจ The Hurt Locker ในฐานะของหนังอาร์ตแนวๆ เรื่องหนึ่งซึ่งเข้าฉายแค่ 3 ที่ในสยามประเทศ (คงบอกอะไรได้ดีกว่าจำนวนรางวัล) หนังกล้องสั่นให้ภาพแตกเกรนนิดๆ เรื่องนี้ พยายามดึงวิธีการของสารคดีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยเฉพาะในแง่ความดิบ ความสมจริง ฉากต่างๆ ในเรื่องดูน่าเชื่อว่าเป็นสถานที่จริงตามบท ตัวละครทั้งหมดแสดงอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนเราได้เข้าไปสัมผัสชีวิตโดยพวกเค้าไม่รู้สึกว่าถูกหนังสังเกตอยู่ พล็อตเรื่องไม่ได้ผูกปมและคลี่คลายอย่างชัดเจนเหมือนหนังตลาดทั่วไป เพียงแค่เรียงร้อยสถานการณ์เข้ามาเป็นลำดับ ใช้เป็นฉากหลังให้ตัวละครได้แสดงพัฒนาการและสัมพันธภาพที่น่าสนใจ หนังเปิดด้วยประโยค "The rush of battle is often a potent and lethal addiction, for war is a drug." ใจความสั้นๆ ว่า สงครามคือยาเสพติด กรุยทางความคิดให้เราผู้ชมผู้ยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่พอตั้งวัตถุประสงค์ในใจได้ว่าเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นคงเป็นไปเพื่อการยืนยันหรือพิสูจน์คำคมข้างต้น หนังถูกแบ่งออกเป็นช่วงๆ พร้อมแสดงการนับถอยหลังจำนวนวันหมดผลัดประจำการ อีกนัยหนึ่ง การนับถอยหลังดังกล่าวก็คล้ายระเบิดเวลาสำหรับใครบางคน เจมส์ คือหัวหน้าทีมเก็บกู้ระเบิดที่ถูกส่งมาแทนคนเก่าซึ่งเพิ่งเสียชีวิต อารมณ์อินดี้โชว์เดี่ยวของเค้าคล้ายจะเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติงานร่วมทีมที่ประกอบไปด้วย แซนบอร์น ทหารผิวสีผู้ยึดมั่นในระเบียบวิธีทางทหารอย่างเคร่งครัดและเคร่งเครียด เอลดริช ทหารติดเกมส์ที่ส่อแววมีปัญหาทางอารมณ์และไม่เคยมองเห็นความสนุกของสงคราม เจมส์ค่อยๆ ปรับทัศนคติของเพื่อนร่วมทีมที่มีต่อเค้าให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น เมื่อหนังเดินมาได้ครึ่งทาง ณ ปฏิบัติการซุ่มโจมตีทะเลทราย (ช่วงที่ยิงกันเรียบแล้ว) นิยามของเพื่อนร่วมรบทั้งสามก็ผุดออกมาให้รู้สึกได้อย่างชัดเจน ไม่ต่างจากหนังสงครามทั่วไปที่มักไม่ลืมใส่อารมณ์ทำนองนี้ไว้ประหนึ่งท่าบังคับ (ช่วงนี้ของหนังรู้สึกได้ถึงอารมณ์หญิงของผู้กำกับ) จากความสามารถชั้นครูของเจมส์ในภารกิจที่มีแต่จะยากขึ้น ประกอบกับมิตรภาพที่ถูกมองเห็นระหว่างกัน แซนบอร์นและเอลดริชเริ่มมอบความไว้วางใจให้เพื่อนใหม่มากขึ้น ในค่ายทหาร เจมส์สนิทกับเด็กมุสลิมคนหนึ่งชื่อว่าเบคแคม จุดเปลี่ยนของเรื่องซึ่งทำให้ The Hurt Locker ได้ปล่อยหมัดเด็ด คือเจมส์ต้องปฏิบัติภารกิจเก็บกู้ระเบิดมนุษย์ (ระเบิดถูกยัดไว้ในท้องศพ) เจมส์ปักใจอย่างแน่วแน่ว่าศพนั้นคือเบคแฮม ความอ่อนไหวของเค้าปรากฏออกมาจนเพื่อนทั้งสองคนสังเกตได้ เจมส์ต้องการสืบสาวไปถึงต้นเหตุของการฆาตกรรมสยองนี้ คล้ายกับเค้ากำลังสืบหาสายชนวนระเบิดในการเก็บกู้แต่ละครั้ง เพื่อนทั้งสองจำต้องตกกระไดพลอยโจนและทำให้เอลดริชถูกยิงบาดเจ็บ ตอนหลังความจริงปรากฏว่าเจมส์ทึกทักไปเองเพราะเบคแฮมยังมีชีวิต ภาพวีรบุรุษของเค้าค่อยๆ เลือนจากความทรงจำของเพื่อนทั้งสอง ในการปฏิบัติภารกิจสุดท้าย เจมส์ทำได้ไม่สำเร็จเพราะเวลาที่มีอยู่นั้นมันน้อยเกินไปสำหรับเค้า หลังหมดผลัดประจำการ เจมส์กลับบ้านพร้อมเผชิญความเบื่อหน่ายในชีวิต ทุกสิ่งดูจืดชืดไม่ตื่นเต้นเหมือนในสมรภูมิ เค้าตัดสินใจเข้าประจำการอีกครั้งด้วยแววตาเปี่ยมสุขสุดขีด (คล้ายกอลั่มได้ของรักคืน) ความดีเด่นของ The Hurt Locker คือบทที่ งาม คม และลึกซึ้ง งามในแง่โครงเรื่องที่เรียบง่าย ทว่าสะท้อนแง่มุมอันซับซ้อนของสงครามออกมาราวบทกวี ถือเป็นแง่มุมที่ไปได้ไกลกว่าหนังสงครามเรื่องอื่น คมในส่วนบทสนทนาและจังหวะการเล่าเรื่อง ทั้งจิกกัดแบบไม่ปล่อย การมอบอารมณ์แบบตาต่อตาฟันต่อฟันให้ผู้ชมรู้สึก ( โดยหนังก็เจ้าเล่ห์พอที่จะชักจูงให้ผู้ชมพลอยเห็นดีเห็นงามไปด้วย) การตบหน้าแรงๆ เพื่อปลุกจิตที่ฟุ้งซ่านให้ตื่น ลึกซึ้งในการแสดงธรรมชาติของสงครามและสันติที่แม้จะแปลกแตกต่างจากความคิดดั้งเดิมแต่ก็ยากจะปฏิเสธ (อย่างความน่าเบื่อหน่ายของสันติภาพ) เข้าใจความเป็นไปของวิถีโลกและชีวิต (ซึ่งช่วยให้เราวางเฉยกับปรากฏการณ์ในสังคมโลกได้มากขึ้น) ในฉากเรียบๆ ของหนังปรากฏสิ่งละอันพันละน้อยที่ร่วมมือกันเล่าเรื่องอย่างแข็งขัน อย่างหุ่นยนต์เก็บกู้ระเบิดที่เคลื่อนผ่านกระป๋องเป็ปซี่ (อันเป็นตัวแทนของสังคมทุนนิยม) เด็กขายหนังโป๊ สังคมนักดื่มยามราตรี ซ่องโสเภณีในเมือง เป็นต้น เหล่านี้คือภาพของสังคมเคร่งศาสนาซึ่งหนังไม่อาจทำลายตัวเองด้วยการเอ่ยออกมาโต้งๆ แต่ก็แอบจิกกัดประเทศอิรักด้วยวิธีการที่แยบคาย อเมริกาก็ไม่พ้นคมเขี้ยวของบทหนัง (และเหมือนจะเป็นเป้าหมายสำคัญ) อย่างบทสนทนาที่พูดถึงการเปลี่ยนชื่อค่ายจาก ลิเบอร์ตี้ เป็น วิคทอรี่ (แทนที่จะเป็นไปเพื่อสันติภาพโลกกลับให้ความสำคัญกับชัยชนะส่วนตัวมากกว่า) อาวุธสงครามที่มากมายแต่ถูกใช้อย่างผิดที่ผิดเวลา การดูถูกคนพื้นถิ่นอย่างไร้วุฒิภาวะ (เช่นปารถ ขว้างประแจใส่) ความเปลืองเปล่าของสงครามแบบขี่ช้างจับตั๊กแตน (เห็นชัดในฉากที่ทหารกราดกระสุนทิ้งโดยไม่เห็นเป้าแต่ตัวเองต้องตายด้วยกระสุนเพียงนัดเดียว) อาการงกเงินค่าหัวตามหมายจับจนตัวตาย ความไม่ประสีประสาสงครามของแพทย์ทหารผู้ขยันมาตรวจสุขภาพจิตของเอลดริชแต่ตัวเองก็แอบปี๊ดแตกเมื่อออกพื้นที่ มุมมองของเอลดริชผู้เห็นสงครามเป็นเกมส์คอมพิวเตอร์ซึ่งต้องเอาตัวรอดเป็นสำคัญ มุขตลกเรื่องซ่องในเมืองที่เผยถึงอาการหื่นจัดของทหารในค่าย การทำงานโดยใช้อารมณ์นำเหตุผลของเจมส์ซึ่งคล้ายบทบาทของอเมริกาในการประกาศสงคราม เป็นต้น รวมไปถึงความไร้ประสิทธิภาพของ UN ซึ่งนอกจากจะให้ความปลอดภัยกับชาวบ้านไม่ได้แล้ว ตัวเองยังถูกวางระเบิดที่หน้าตึกสำนักงาน (เอาตัวเกือบไม่รอด) ผมชอบการวางตัวละครในเรื่อง แต่ละคนถูกแคสมาอย่างเหมาะ โดยเฉพาะพระเอกที่มาในมาดคาวบอยบ้านนอก นัยน์ตาดูซึมคล้ายขี้เมาหรือไม่ก็ขี้ยา หัวเสรีสุดโต่ง เกลียดการทำงานตามใบสั่ง อารมณ์ศิลปินสูงจนติสต์แตกเข้าขั้นประสาทหลอนในช่วงหลัง (หนังแสดงผลข้างเคียงของคนติดยาได้เยี่ยมมาก) และเป็นประหนึ่งสัญลักษณ์แทนอเมริกาผู้เสพติดมาดฮีโร่และมักจะลงแดงเสียให้ได้หากโลกนี้ร้างไร้สงคราม แคธรีน บิเกโลว์ กำกับหนังได้น่าทึ่ง ดูสนุก ลุ้นระทึก ทั้งสามารถจับอารมณ์ความรู้สึกตัวละครที่ไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือละเอียดอ่อนเพียงใดก็เก็บมันได้อยู่มืออย่างครบถ้วน (เป็นความได้เปรียบของผู้หญิงจริงๆ) มองโดยรวม หนังคุมโทนได้ดีมาก มีขอบเขตที่จะเล่าชัดเจน (ก็รัศมีไม่กี่เมตรของเจ้า 3 คนนั่นแหละ) งานนี้ถือเป็นการเล่นท่ายากของผู้กำกับหญิงคนหนึ่ง เพราะต้องคุมหนังดิบ เถื่อน จริงจัง ทว่าต้องซ่อนความอ้อยอิ่งทางอารมณ์เอาไว้ด้วย กั๊กไว้ในจังหวะที่เหมาะสมแต่ผู้ชมก็ต้องรู้สึกได้ หนังเลยดูมีสติและไม่ฟูมฟาย ชื่อหนังเหมือนแสดงอาการเห็นใจอเมริกาและเจมส์ผู้เสพติดสงครามอยู่ในที ฉากที่เจมส์ตัดกุญแจช่วยชายที่ถูกร้อยระเบิดไว้ไม่ได้ น่าจะเป็นบทสรุปที่ดีว่าไม่ว่าเราจะเก่งกล้าสามารถเพียงใด แต่ปัญหาในโลกก็ช่างแสนสลับซับซ้อนและยากเหลือเกินแก่การคลี่คลาย เจมส์จึงทำได้ดีที่สุดด้วยการแสดงให้เห็นว่าเค้าตั้งใจที่จะช่วยเหลืออย่างดีที่สุดแล้ว วงจรชีวิตของเจมส์คงติดอยู่ในภวังค์เสน่ห์ของสงคราม ช่างน่าเศร้าใจไม่น้อยหากต้องพบว่าโลกเราก็ติดอยู่ในจุดเดียวกันนั้น อย่างที่เจมส์พูดกับลูกทารกว่าเมื่อเราโตขึ้นสิ่งที่รักก็จะเหลือน้อยลง ผู้ชมอาจตีความได้หลายแง่ ส่วนผมมองในแง่ร้ายหน่อย ว่าเรามักจะวิกฤติศรัทธาต่อสิ่งต่างๆ จนวันหนึ่งอาจไม่เหลืออะไรให้ศรัทธาหรือยึดเหนี่ยวจิตใจ ไม่แม้แต่กระทั่ง "ความรักหรือสันติภาพ" ยังครับ เพิ่งกลับจาก The Hurt Locker
Add MSN คุยไหมครับ โดย: navagan วันที่: 1 มีนาคม 2553 เวลา:2:35:19 น.
^
^ แหม! อยากร่วมวงเสวนาด้วยจัง แต่ ณ เวลานี้ ดึกเกินกว่าที่สมองผมจะทำงานได้แล้ว แหะๆ + อ๊ากกกกกก ช่วงนี้คุณเบียร์อัพบ่อย (กว่าเดิมเยอะเลย) นะครับ ดีๆ มีหนังดีๆ ให้อ่านเพียบ ของผมวันเสาร์เพิ่งไปเก็บ Up in the air กับ A serious man (ชอบเรื่องหลังมากกว่าหน่อยๆ - น่าจะเหมือนคุณเบียร์) และเข้าไปอ่านบทวิเคราะห์แล้ว แต่ยังไม่ทันได้เม้นต์อ่ะครับ + ขออนุญาตแปะไว้ก่อนทั้งหน้าโน้นและหน้านี้ พอดีผมเพิ่งอัพบล็อกตัวเองเสร็จ แต่ตอนนี้เกิดอาการเซลล์สมองไม่ทำงานเฉียบพลัน เพราะเลยเวลาสมควรแก่การนอนของผมเองแล้ว เด๋วไว้เข้ามาเม้นต์ให้อีกทีทั้ง 2 หน้าเลยนะครับผม โดย: บลูยอชท์ วันที่: 1 มีนาคม 2553 เวลา:2:49:49 น.
อ่านแล้วเห็นประเด็นที่ไม่เห็นเยอะเลยครับ ขอบคุณครับ
ส่วนตัวผมทึ่งครับที่ ผกก เรื่องนี้เป็นผู้หญิง ^^ โดย: Seam - C IP: 203.144.144.164 วันที่: 1 มีนาคม 2553 เวลา:14:40:39 น.
สุขสันต์วันเกิดครับ ขอให้มีสุขภาพร่างกายที่เเข็งเเรง คิดสิ่งใดก็ขอให้สมปรารถนา ร่ำรวยเงินทองเเละมีความสุขยิ่งๆขึ้นไปทุกวันครับ
โดย: Don't try this at home. วันที่: 2 มีนาคม 2553 เวลา:0:04:22 น.
อ้าว! วันเกิดคุณเบียร์เหรอครับเนี่ย (เข้ามาเห็นพอดี) ก็ขอให้ได้ดูหนังทุกเรื่องที่อยากดู และมีความสุขกับหนังทุกเรื่องที่ดู, ให้เป็นที่รักของผู้คนรอบๆ ตัว, ให้เรียนจบไวๆ (เอ๊ะ! มธ. นี่ป.ตรีเหรอครับ งั้นก็อ่อนกว่าผมเยอะเลยนะเนี่ย), ดำเนินชีวิตอย่างมีสติและมีความสุขทุกๆ วันนะครับผม
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 2 มีนาคม 2553 เวลา:0:08:18 น.
โดย: veerar วันที่: 2 มีนาคม 2553 เวลา:0:18:47 น.
src="//widget.sanook.com/static_content/full/graphic/3f63073679060d19cfbe9f58dd119cab_1207744258.gif"
alt="BangkokDD Glitter" border="0" /> See More Glitter Click Here สุขสันต์วันคล้ายวันเกิดคถ โดย: rin@bokie วันที่: 2 มีนาคม 2553 เวลา:0:24:35 น.
โดย: เพลงดาบกระบี่เดียวดาย วันที่: 2 มีนาคม 2553 เวลา:7:10:48 น.
HAPPY BIRTHDAY!!! ครับ
โดย: wOOtts IP: 204.114.196.11 วันที่: 2 มีนาคม 2553 เวลา:11:18:41 น.
สุขสันต์วันเกิดจ้า จขบ.
พรใดที่เป็นของชาวโลก สุขใดที่ช่วงโชติของชาวสวรรค์ รักใดที่อมตะและนิรันดร์ ขอรักนั้นและพรนั้น จงเป็นของ จขบ. จ้า โดย: หน่อยอิง วันที่: 2 มีนาคม 2553 เวลา:12:18:27 น.
Happy Birthday นะค่ะ
"ขอให้มีหัวใจที่แข็งแรง พอที่จะรับได้ทั้งความสุขและความทุกข์ ที่จะผ่านเข้ามาในช่วงเวลาของชีวิตตลอดไปนะค่ะ" โดย: น้อยนึง วันที่: 2 มีนาคม 2553 เวลา:12:19:54 น.
โดย: ป้าหู้เองจ่ะ (fifty-four ) วันที่: 2 มีนาคม 2553 เวลา:12:25:39 น.
Happy birthday I wish you always be healthy happy in your life and achieve all your goal. โดย: ป้าตุ้ย (amornsri ) วันที่: 2 มีนาคม 2553 เวลา:22:25:47 น.
สวัสดีครับ ขอบคุณที่แวะเข้ามา ผมหวังว่าเราคงได้พบกันอีกนะครับ โดย: veerar วันที่: 2 มีนาคม 2553 เวลา:23:14:46 น.
|
บทความทั้งหมด
|
ผมหวังไว้กับเรื่องนี้พอสมควรทีเดียว