Milk : ความหลากหลายประเพศในประเทศเสรี ในยุคที่กลุ่มรักร่วมเพศต้องแอบซ่อนตัวตนอย่างมิดชิดพร้อมแสร้งกลมกลืนกับสังคมเพื่อความอยู่รอด ฮาร์วี่ มิลค์ คือแสงแรกในอเมริกาที่ส่องความหวังให้เห็นค่าของการเปิดเผย การเปิดเผยตัวตนตามข้อเรียกร้องของมิลค์ไม่ใช่แค่การสนองอิสระในจิตใจ แต่ยังเป็นการเปิดม่านบังตาฝืนใหญ่ให้สังคมมองเห็นธรรมชาติใหม่ของพระเจ้า เรียนรู้ที่จะให้การยอมรับและใช้ชีวิตร่วมกับความแตกต่างนี้อย่างเพื่อนร่วมสังคม Milk เปิดเรื่องด้วยภาพที่เหมือนนำมาจากสารคดี เป็นเหตุการณ์ถล่มบาร์เกย์ของตำรวจซึ่งถือเป็นศัตรูตลอดกาลของกลุ่มรักร่วมเพศ หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ในชุดสูททำงานซึ่งล้วนแต่มีตำแหน่งหน้าที่ในสังคมต้องปิดบังหน้าตาด้วยความอับอาย หลบซ่อนอัตลักษณ์ของตนให้นานที่สุดเพื่อปกปิดตัวเองจากการรับรู้ของครอบครัวและเพื่อนร่วมงาน หนังตัดมาเล่าเรื่องของตัวละครหลัก ฮาร์วี่ มิลค์ (ฌอน เพนน์) ซึ่งฉลองวันเกิดวัย 40 พร้อมด้วยสกอตต์ สมิธ ( เจมส์ ฟรังโก้) หนุ่มหล่อที่เค้าเพิ่งเกี่ยวมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ทั้งสองย้ายไปอยู่ด้วยกันที่ซานฟรานซิสโก มิลค์เลือกที่จะใช้ชีวิตเหมือนฮิปปี้ ปล่อยผมเผ้ารุงรังและเสพรสชาติแห่งเสรีอย่างเต็มที่ มิลค์เปิดเผยตัวเองอย่างชัดแจ้งว่าชอบไม้ป่าเดียวกัน เค้าแสดงความรักที่มีต่อสกอตต์โดยไม่ยี่หระต่อสายตาของชุมชนที่จ้องมองอย่างเหยียดหยาม การเหยียดกลุ่มรักร่วมเพศทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในชุมชน ตำรวจยังคงตามราวีสถานบันเทิงเฉพาะกลุ่มเป็นระยะ พวกรักร่วมเพศรวมตัวกันที่ร้านของมิลค์และหาทางดูแลกันเองด้วยการมีนกหวีดแขวนคอเป็นเครื่องมือประจำตัว หวังว่าเมื่อเกิดเหตุร้ายเสียงนกหวีดนั้นจะร้องขอความช่วยเหลือได้ทันการ แต่แม้นกหวีดจะแผดดังเพียงใดก็ไร้ผล ยังคงปรากฏการตายของชายรักร่วมเพศโดยปราศจากการสอบสวนหาตัวฆาตกร มิลค์รู้สึกถึงความไม่เท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายจึงคิดจะลงเล่นการเมืองท้องถิ่นเพื่อหวังเป็นตัวแทนปากเสียงของคนหัวอกเดียวกัน หวังว่าเสียงของคนชายขอบอย่างเค้าจะดังพอและสร้างความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง หวังว่าหนึ่งเสียงในฐานะคณะกรรมการเทศมนตรีคงจะไม่ไร้ค่าเหมือนกับนกหวีดที่เคยหล่นอยู่ข้างศพซึ่งไร้คนเหลียวแลในอดีต มิลค์ต้องต่อสู้กับนักการเมืองกลุ่มตรงข้ามซึ่งเคร่งศาสนาและเป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง หลังจากผิดหวังกับการลงคะแนนเสียงครั้งแล้วครั้งเล่า มิลค์ปรับยุทธศาสตร์การหาเสียงใหม่พร้อมมีเครือข่ายกลุ่มสมาชิกที่กว้างขึ้น มิลค์ชนะการเลือกตั้งและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งคณะกรรมการเทศมนตรีแห่งเมืองซานฟรานซิสโก เค้ามีบทบาทสำคัญในการต่อต้านกฎหมายที่จำกัดการประกอบอาชีพของชาวเกย์อย่างการคว่ำกฎหมายซึ่งไล่ครูที่เป็นเกย์ออกจากโรงเรียน นอกจากการเรียกร้องถึงความเสมอภาคดังกล่าวมิลค์ยังเรียกร้องให้ชาวเกย์ในสังคมเปิดเผยอัตลักษณ์ของตัวเองโดยไม่ต้องอายใคร ทุกครั้งที่มิลค์ไปทำงานยังอาคารสภาของเมืองเค้าจะเดินขึ้นบันไดอย่างภาคภูมิ เป็นตัวอย่างว่ากลุ่มรักร่วมเพศไม่จำเป็นจะต้องหลบซ่อนและสังคมก็จำเป็นต้องยอมรับให้ได้กับความแตกต่างนี้ การต่อสู้หลายอย่างของมิลค์เริ่มสร้างศัตรูทางการเมืองเนื่องจากผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกัน ชีวิตของมิลค์จบลงแบบไม่เกินคาดเดา แต่การเรียกร้องและถ้อยแถลงอันจับใจยังคงเป็นดังแสงเทียนแห่งความหวังที่โชติช่วงอยู่ในความทรงจำของกลุ่มผู้ร่วมอุดมการณ์ ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มรักร่วมเพศ แต่ยังรวมถึงกลุ่มคนชายขอบอื่นๆในสังคมอเมริกา Milk เล่าเหตุการณ์ในอดีตได้ชวนติดตามและสร้างอารมณ์ร่วมอย่างได้ผล หนังเกลี่ยการแข่งขันทางการเมืองและเรื่องส่วนตัวของมิลค์ออกอย่างเท่าเทียม Milk ใช้ประตูเป็นสัญลักษณ์ของเรื่องสอดคล้องกับแนวคิดหลักว่าด้วยการเปิดเผยตัวตนของมิลค์ ฉากที่ผมชอบที่สุดคือตอนที่มิลค์และสกอตต์นั่งจูบกันอย่างดูดดื่มหน้าร้านถ่ายรูปในวันแรกที่เปิดบริการ ท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปมาปรากฏป้ายหน้าร้านเขียนข้อความว่า เราเปิดแล้ว การเปิดและปิดประตูแต่ละครั้งเป็นไปอย่างมีความหมาย ฉากหนึ่งที่เยี่ยมไม่แพ้กันคือการที่สกอตต์ไล่เพื่อนๆ สมาชิกทางการเมืองของมิลค์ออกจากบ้านเพื่อให้มิลค์ได้ทานข้าวเย็น แต่หลังจากมิลค์เปิดตัวเองให้กับงานมากเกินไปจนสูญเสียความเป็นส่วนตัว สกอตต์ก็ขอแยกทางในที่สุด มิลค์พบรักครั้งใหม่กับเด็กหนุ่มซึ่งมีบุคลิกปิดตัวเองสุดๆ และไม่ใคร่จะเป็นมิตรกับใคร หนังใช้สัญลักษณ์ข้างต้นในอีกหลายสถานการณ์ ทั้งการพังประตู การขังตัวเองของตัวละครซึ่งสอดคล้องกับเรื่องราวในแต่ละช่วงและมอบมุมมองทางศิลปะที่ไม่ดูจงใจจนเกินไป บ่อยครั้งที่หนังใช้วิธีถ่ายภาพแบบเปิดพื้นที่ด้านบนให้โล่งกว้างเป็นพิเศษ (และจับภาพตัวละครเพียงครึ่งตัว) เช่นฉากที่โบสถ์ตอนพิธีล้างบาป ฉากงานวันเกิดของมิลค์ตอนใกล้จบ เป็นการเปิดกว้างทางมุมมองหรืออาจขยายความต่อถึงภาพความเท่าเทียมกันของมนุษย์ภายใต้พระเจ้าเบื้องบน การดำเนินนโยบายกวาดล้างสิ่งสกปรกในชุมชนอย่างการตามเช็ดอึสุนัขของมิลค์ดูจะเป็นการเหน็บแนมการกระทำของตำรวจและกฎหมายในอดีตที่คิดจะกวาดล้างกลุ่มรักร่วมเพศซึ่งถูกมองเป็นของสกปรกและน่าขยะแขยง แต่สิ่งที่ควรได้รับการกวาดล้างอย่างแท้จริงกลับไม่ใช่กลุ่มรักร่วมเพศหากแต่เป็นอคติคร่ำครึของผู้ที่ไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง ในขณะที่มิลค์เรียกร้องให้กลุ่มรักร่วมเพศเปิดเผยตัวเอง เค้ากำลังเรียกร้องการเปิดใจของสังคมที่เคยคับแคบให้กว้างขึ้นด้วยเช่นกัน มิลค์เป็นดังกระบอกเสียงของกลุ่มคนชายขอบในสังคม เค้าเรียกร้องให้ชนชาวอเมริกันตระหนักถึงจิตวิญญาณแห่งรัฐธรรมนูญที่ยึดมั่นศรัทธาในความเสมอภาคและความเท่าเทียมกันของมนุษย์ ไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มรักร่วมเพศอย่างเกย์หรือเลสเบี้ยน แต่ยังรวมไปถึงกลุ่มคนพิการ กลุ่มคนผิวสีและกลุ่มคนต่างด้าวที่ข้ามน้ำข้ามทะเลแสนไกลเพื่อมาแสวงหาชีวิตใหม่ในอเมริกา ดินแดนแห่งเสรีภาพคือนิยามของอเมริกาและนิยามนี้ไม่อาจถูกลบได้ไม่ว่าจะในยุคใดสมัยใด นอกจากแนวคิดเรื่องการเปิดเผยอัตลักษณ์ส่วนบุคคลข้างต้น Milk ยังขยายขอบเขตเนื้อหาให้กว้างยิ่งขึ้นด้วยการใช้สัญลักษณ์ของ สะพานโกลเด้นเกท เพื่อสื่อถึงการเปิดประเทศอันเป็นอัตลักษณ์ของอเมริกา จากเรื่องราวที่เหมือนจะส่วนตัวเป็นที่สุดแต่ Milk กลับทำหน้าที่ขยายเรื่องราวออกไปอย่างกว้างขวาง หนังดูสนุก น่าติดตามและเต็มไปด้วยสาระแห่งชีวิต คู่ควรที่สุดแล้วสำหรับการเป็นหนึ่งในห้าภาพยนตร์ยอดเยี่ยมซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ แม้เสียงของฮาร์วี่ มิลค์ผ่านโทรโข่งเมื่อต้องเป็นผู้นำขบวนหรือเมื่อต้องขึ้นเวทีกล่าวสุนทรพจน์จะไม่โอ่อ่าอลังการเหมือนอย่างเสียงจากโอเปร่าที่เค้าหลงไหล แต่ทุกน้ำคำและทุกเนื้อความของมิลค์ที่กล่าวออกมากลับเต็มไปด้วยสัจจะความจริงอันทรงพลังและสูงส่งพอที่จะทำให้ผู้ฟังขนลุกได้ไม่แพ้กัน ในชุมชนเล็กๆ เค้าอาจเป็นเพียงอดีตผู้แทนเขตที่น่าจดจำ แต่สำหรับประวัติศาสตร์แห่งชนชาติอเมริกา ฮาร์วี่ มิลค์ถือเป็นประสบการณ์ร่วมครั้งสำคัญที่ยืนยันถึงการมีอยู่จริงของ เทพีแห่งเสรีภาพ ชอบ Milk ที่แกต่อสู้ทั้งปัญหาภายนอก(การเมือง) และปัญหาภายในใจ(ความรัก) เพนน์ แสดงได้ดีมากๆ ค่ะ
โดย: renton_renton วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:12:26:21 น.
ตามไปอ่านสลัมด็อกแล้วครับ
เอาของคุณมาเป็นต้นแบบนี่นา แนะนำให้จดหมายไปหา บก.ครับ บอกว่าคล้ายที่คุณเขียนไว้หลายจุด แนบงาน 2 ชิ้น แล้วไฮไลท์ส่วนที่เหมือนกันไปด้วย โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:13:45:29 น.
ดูจบ รู้สึกได้ถึงความเนิ่นนานของหนังเรื่องนี้ พอออกจากโรงก็ถึงรู้ว่าหนังไม่ได้ยาวนัก หนังวนและเวียนอยู่กับชีวิตที่คนส่วนใหญ่ล่วงเลย ความฝัน แต่สำหรับบางคนเพิ่งเริ่มต้น เมื่อความฝันทำให้เราอยากมีชีวิตอยู่ เขาก็เริ่มทำ ชอบที่เขาดับเครื่องชนความฝัน และสตาจความฝันเขาติด และพุ่งไปอย่างมี เนวิเกเตอร์ ก่อนที่จะได้ดูหนัง อินเทรนด์เรื่องนี้ นับตั้งแต่มีโอบาม่าเป็นนายกของอเมริกา ไม่ได้หวัง วาด หรือวางไว้ว่าอย่างไหน ยังไง รู้แต่ว่า สลัมด้อกน่าจะแบ่งรางวัลอื่นให้บ้าง รู้สึกว่าเยอะไปหน่อย โดย: btea IP: 114.128.24.208 วันที่: 15 มีนาคม 2552 เวลา:2:31:11 น.
|
บทความทั้งหมด
|
ผมชอบเรื่องนี้รองจากเบนจามิน
ฌอน เพนน์ ก็สุดยอด