ความสุขของ “กะทิ” : หนังไทยไร้จริต (เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ)


หนังไทยซึ่งดัดแปลงงานเขียนระดับรางวัลมาขึ้นจอ แค่นี้ก็เรียกร้องความสนใจของผมได้ทันทีแม้จะยังไม่ได้อ่านงานต้นฉบับ เหตุผลคงเพราะช่วงที่ผ่านมา หนังไทยส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยให้ความสำคัญกับบทจนอาจถึงขั้นที่เรียกว่าละเลย การหยิบเรื่องราวระดับนี้มาสร้างหนังจึงน่าสนใจอยู่ไม่น้อยสำหรับวงการหนังบ้านเรา

ผู้เขียนบทรางวัลออสการ์ท่านหนึ่งเคยกล่าวประมาณว่า แม้บทหนังที่ดีจะไม่สามารถการันตีได้ว่าหนังจะต้องออกมาดี แต่หนังดีทุกเรื่องจำเป็นที่สุดที่จะต้องสร้างมาจากบทที่ดีเสมอ ผมฟังแล้วเชื่อสุดใจและระลึกอยู่ตลอดระหว่างการดูหนังเรื่องนี้



“ความสุขของกะทิ” สร้างจากนิยายขนาดสั้นรางวัลซีไรต์ประจำปี พ.ศ. 2549 ของคุณงามพรรณ เวชชาชีวะ ( ผู้แปลแฮรี่ พอตเตอร์ฉบับภาษาไทย ) เนื่องจากผมไม่เคยผ่านตาหนังสือเล่มนี้มาก่อน มุมมองที่มีต่อหนังจึงทั้งสดและใหม่ ไม่มีการคาดหวังหรือเรียกร้องอะไรเป็นพิเศษ กระทั่งได้ข้อสรุปสั้นๆ ตอนดูจบว่า “ความสุขของกะทิ” เป็นหนังที่ “ผม” ชอบมาก

ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่สัมผัสได้คือเด็กหญิงกะทิมีหลายส่วนที่คล้ายคลึงกับเด็กชายแฮรี่ พอตเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตมาโดยปราศจากพ่อแม่ ความสงสัยใคร่รู้เรื่องราวในอดีตของพ่อแม่ กระทั่งการดำรงชีวิตอยู่ภายใต้สิ่งแวดล้อมดี ๆจากเพื่อนและญาติมิตรซึ่งพร้อมที่จะหล่อเลี้ยงให้เด็กกำพร้าคนหนึ่งเจริญขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต



สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยในหนังเรื่องนี้คือแนวคิดเชิงสตรีนิยมภายใต้บริบทของสังคมไทย เพศสภาพของผู้หญิงในแง่มุมต่างๆ ถือเป็นประเด็นหลักแห่งการวิเคราะห์ผ่านตัวละครของกะทิ ยาย แม่ รวมตลอดถึงตัวละครเพศหญิงคนอื่นๆ

กะทิถูกเลี้ยงดูมาโดยตาและยายซึ่งอาศัยอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กะทิผ่านการอบรมนิสัยด้วยวิธีของคนรุ่นเก่า ยายมีความสามารถด้านการปรุงอาหารไทยรสเลิศ ทว่าเก็บงำความรู้สึกผ่านใบหน้าที่บึ้งตึงและเข้มงวดกับทุกสิ่ง ส่วนตาถือว่าตรงกันข้ามเพราะเป็นคนตลก แสดงความรักความรู้สึกที่มีต่อกะทิออกมาอย่างชัดเจน สั่งสอนบทเรียนชีวิตให้กะทิได้ซึมซับจดจำ ชีวิตภายใต้หลังคาเรือนไทยหลังนี้เสมือนยายจะมีอำนาจมากกว่าตา แต่ในทางกลับกันภายใต้หลังคาของศาลาท่าน้ำซึ่งเป็นที่ประชุมหมู่บ้าน ตากลับมีบทบาทเป็นถึงทนายความผู้รอบรู้ เป็นผู้นำความคิดของชุมชนและเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของคนทั้งหมู่บ้าน จุดนี้เราจะเห็นถึงความสัมพันธ์ของพื้นที่ที่มีผลต่อการแสดงออกซึ่งบทบาทของแต่ละเพศ



ฉากโรงเรียนของกะทิ ปรากฏตัวละครหญิงรุ่นพี่ที่เด็กๆ ในชั้นเรียนของกะทิพร้อมใจกันเรียกว่า “ป้อมยักษ์” ป้อมยักษ์เป็นตัวแทนของผู้หญิงที่ทรงอำนาจในพื้นที่สาธารณะ วางตัวกร่าง เกะกะระรานผู้ที่อ่อนแอกว่า เด็กๆ ทุกคนยำเกรงอิทธิพลของป้อมยักษ์ ไม่ใช่ด้วยความเคารพแต่ด้วยความเกรงกลัวเรือนกายที่ใหญ่โต ป้อมยักษ์คือภาพแสดงถึงความไม่งดงามของเพศหญิงเมื่อเลือกยืนอยู่ในพื้นที่ของเพศชาย ประเด็นข้างต้นได้รับการขยายความเพิ่มเติมในฉากเล่นฟุตบอล เมื่อเด็กผู้ชายในตำแหน่งผู้รักษาประตูบาดเจ็บเลยมีการประกาศหาผู้เล่นคนใหม่ กะทิยกมือขึ้นและขอเป็นผู้รักษาประตู กรรมการสนามอนุญาตและให้เด็กชายคนเดิมไปเต้นเป็นเชียร์ลีดเดอร์แทนกะทิ ระดับความมีนัยยะสำคัญของฉากนี้ค่อนข้างสูง เพราะถือเป็นการแปะมือแลกบทบาทกันระหว่างเพศของเด็กรุ่นใหม่ การเข้าสู่ตำแหน่งผู้รักษาประตูของกะทิได้รับการยอมรับและเป็นการมอบโอกาสให้จากทุกคนทั้งในและนอกสนาม เป็นวิธีการซึ่งเพศหญิงคนหนึ่งมีโอกาสได้มายืนในพื้นที่สาธารณะซึ่งเพศชายเคยครอบครองและถือว่าเป็นเกมของตนโดยแท้ กรณีของกะทิแตกต่างจากป้อมยักษ์ ในขณะที่กะทิมาสู่บทบาทนี้อย่างชอบธรรม ป้อมยักษ์เธออาศัยการได้เปรียบทางกำลังเพื่อช่วงชิงความยำเกรงนั้นมาโดยที่สังคมยังไม่พร้อมยอมมอบให้



ในขณะที่กะทิกำลังทำหน้าที่ป้องกันประตูจากผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม ฉากหลังของสนามฟุตบอลปรากฏภาพเมืองเก่าซึ่งเหลือเพียงซากปรักหักพังจากการรุกรานของศัตรูในอดีต น่าเชื่อว่าหนังต้องการจะสื่อถึงบทบาทในการรักษาชาติและแผ่นดินภายใต้บริบทของสังคมปัจจุบันซึ่งเพศหญิงก็มีบทบาทไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าชาย

อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ บทบาทของเพศที่ถูกนำไปเชื่อมโยงกับเรื่องราวระดับชาติ หนังวางระบบคิดอย่างเป็นระเบียบกล่าวถึงความเป็นไทยซึ่งถูกแทนด้วยเพศหญิงและความเป็นชาติตะวันตกที่แทนด้วยเพศชาย คาดว่าคงจะคำนึงถึงระดับความมีอำนาจในสังคมโลกและความแข็งแกร่งทางกายภาพของประเทศเป็นสำคัญ สื่อผ่านตัวละครต่างชาติในเรื่องที่เป็นเพศชายรวมถึงนักแสดงชายลูกครึ่งในเรื่องนี้ เช่นฉากที่ชายฝรั่งเศสปั่นจักรยานจากปารีสมาถึงอยุธยา ความลับเรื่องพ่อของกะทิ รวมถึงส่วนประกอบเล็กๆ อย่างฉากที่กะทิไม่ยอมแลกปิ่นโตกับเพื่อนผู้ชายซึ่งดูมีฐานะกว่าจนเพื่อนผู้หญิงค่อนขอดว่ากะทิอดกินของอร่อยเพราะปิ่นโตใบสวยนั้นอาจมีจะมี “สเต็ก” หรือ “พิซซ่า” หรือฉากที่พี่ทองบอกกะทิตอนเที่ยงวันว่าจะต้องไปกินปุพเฟ่ต์ที่วัด เป็นต้น



ฉากที่กะทิไม่ยอมแลกปิ่นโตกับเพื่อนและฉากที่กะทิขอแลกตำแหน่งกับเด็กผู้ชายเพื่อจะเป็นผู้รักษาประตูแทน สองฉากนี้เปรียบเทียบให้เห็นถึงวิธีคิดของกะทิได้ชัดเจนถึงความเป็นคนเข้มแข็งและตัดสินใจอย่างมีเหตุผล

ส่วนการเปรียบเปรยบทบาททางเพศที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องราวระดับชาติ ประเด็นนี้ถือเป็นการฉุดดึงให้ประเทศเราซึ่งค่อนข้างอ่อนแอทางวัฒนธรรม (เหมือนความอ่อนแอทางกายภาพของเพศหญิง) ได้ทบทวนบทบาททางสังคมที่ต้องแสดงออกด้วยความเหมาะสม การระวังภัยวัฒนธรรมตะวันตกที่เริ่มรุกรานความมีเสน่ห์ของคนไทย กระแสความทันสมัยของสังคมเมืองที่เริ่มลิดรอนวิถีชีวิตแบบเก่าก่อน ( เช่นการพูดคุยเรื่องพระราชบัญญัติฉบับใหม่ซึ่งจะเอาที่ธรณีสงฆ์ไปทำประโยชน์แก่เอกชน ) ฉากหนึ่งที่สะท้อนออกมาได้ชัดเจนถึงการเลียนแบบวัฒนธรรมตะวันตกคือฉากน่ารัก ๆ ที่เหมือนจะไม่มีพิษภัยอย่างการปั่นจักรยานเลียนแบบชายฝรั่งเศสของบรรดาเด็กๆ ในโรงเรียนที่ต่อแถวกันเป็นขบวนยาวเหยียดจนสุดโค้งคันนา พฤติกรรมการทำตามกระแสอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์อาจทำให้วันหนึ่งประเทศชาติเราไม่เหลือเค้าเดิมของความเป็นไทย ทั้งวิถีการดำเนินชีวิต อาหารการกิน ทัศนคติ รวมถึงความเชื่อความศรัทธา



การประสานวัฒนธรรมเก่า-ใหม่ การปรับเปลี่ยนบทบาททางเพศ จึงถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไทยและสังคมยุคนี้ บทบาทของผู้หญิงที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านซึ่งแตกต่างจากผู้หญิงในอดีต แม้กระทั่งยายของกะทิเองก็ยังมีความรู้ความสามารถยิ่งกว่าการเป็นแม่บ้านธรรมดาเช่นพูดได้หลายภาษาจากประสบการณ์การทำงานในอดีต น้าฎาที่มีบุคลิกเป็น Working Women รวมถึงแม่ของกะทิที่เคยทำงานอยู่ในบริษัทกฎหมายต่างชาติ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นสิ่งที่มิอาจปฏิเสธ ผู้หญิงยุคใหม่จำเป็นต้องเสาะหาความพอดีระหว่างบทบาทของตนทั้งในและนอกบ้าน แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเอาตัวรอดในสังคมขณะเดียวกันก็ต้องไม่หลงลืมเสน่ห์อันเกิดจากบทบาทของการเป็นภรรยาและแม่คน



อาการป่วยของแม่ด้วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงสื่อถึงความอ่อนแอทางกายภาพของเพศหญิงได้ชัดเจนที่สุด แต่ความอ่อนแอทางร่างกายนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งที่หลบซ่อนอยู่ภายใน (และคงจะไม่ต่างจากหญิงไทยทุกคน) เป็น “ความเข้มแข็งทางจิตใจ” ของผู้หญิงซึ่งเป็นแม่ ทั้งการตัดสินใจเลี้ยงลูกเพียงลำพังโดยไม่ง้อฝ่ายชาย ความทรมานที่ต้องจากลูกรักของตนมาด้วยความจำเป็น การจัดเตรียมคำอธิบายถึงอดีตของแม่เพื่อเป็นการทอดวางอนาคตให้ลูกได้อย่างพรั่งพร้อมน่าอัศจรรย์

ตอนท้ายเรื่อง กะทิถูกพิสูจน์ความพร้อมเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ นั่นคือการตัดสินใจว่าจะส่งจดหมายที่แม่ฝากไว้ไปให้พ่อที่ต่างประเทศหรือไม่ ฉากนี้นอกจากจะสะท้อนถึงทางเลือกในการมีพ่อของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง หนังยังได้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็งของผู้หญิงยุคใหม่ซึ่งเลือกที่จะยืนอยู่บนลำแข้งของตัวเองได้ตั้งแต่ยังเด็ก ( เป็นบุคลิกที่ชัดเจนของกะทิซึ่งไม่ชอบร้องขอความช่วยเหลือจากใคร ) หลังการตัดสินใจครั้งใหญ่ของกะทิ หนังตัดภาพไปยังโรงละครเล็กซึ่งกำลังแสดงฉาก “สีดาลุยไฟ” จากเรื่องรามเกียรติ์ ฉากนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเข้มแข็งของเพศหญิงที่กล้าตัดสินใจกระทำในสิ่งที่เพศชายก็ยังอาจรู้สึกขลาดกลัว



ในอีกมิติหนึ่ง ฉากนี้เป็นบทพิสูจน์จุดยืนทางวัฒนธรรมของชาติไทยว่าจะดำรงอยู่ในสังคมโลกโดยไม่ต้องพึ่งพามหาอำนาจชาติอื่นได้หรือไม่

“ความสุขของกะทิ” นำเสนอหลักธรรมะเรื่องการปล่อยวางได้อย่างเป็นรูปธรรมจากภาพที่ปรากฏในเรื่อง เช่น ฉากผ้าที่ปลิวหายตามแรงลม ลูกโป่งที่ลอยหลุดมือแม่ หรือดอกผักตบชวาที่เหี่ยวเฉารวมไปถึงความตายของแม่ จากความไม่เข้าใจในตอนต้นซึ่งกะทิต้องเผชิญและใคร่ครวญสู่การตัดสินใจเลือกที่จะปล่อยวางผู้เป็นพ่อในท้ายที่สุด



หนังวางบุคลิกของ “ลุงตอง” (ชื่ออาจสื่อได้ถึงความเป็นเพศที่สาม) ว่าเป็นผู้ชายที่ไม่ชอบผู้หญิง ลุงตองทำหน้าที่เสมือนสะพานเชื่อมโยงให้กะทิได้รู้จักพ่อด้วยเพราะความนุ่มนวลที่มีอยู่ในตัวประกอบกับการเข้าอกเข้าใจความรู้สึกส่วนหนึ่งของเพศหญิง นอกจากภารกิจในการบอกเล่าเรื่องราวของพ่อแล้ว ลุงตองยังทำหน้าที่กามเทพให้แก่น้ากันฑ์และน้าฎา ลักษณะของลุงตองที่เป็นคนชอบจัดดอกไม้ การจัดวางความสัมพันธ์ที่ออกมาได้สวยงามในตอนจบก็ต้องถือว่าเป็นเพราะฝีมือของลุงตองด้วยเป็นส่วนสำคัญ

“ความสุขของกะทิ” ไม่ใช่หนังสำหรับเด็กโดยเฉพาะ เพียงแค่เป็นเรื่องราวของเด็กซึ่งเป็นตัวละครหลัก หนังบอกเล่าถึงวิธีในการดูแลบุตรหลานให้เติบโตขึ้นเป็นคนดี การจัดเตรียมความพร้อมให้เด็กได้เผชิญหน้ากับความจริงของชีวิต ได้เข้าใจและจัดการกับความทุกข์อย่างถูกต้องรวมถึงมองเห็นความสุขง่ายๆ ที่รายล้อมอยู่รอบตัว



หนังเดินเรื่องอย่างเนิบนิ่ง สไตล์เดียวกับหนังอาร์ตญี่ปุ่นที่เรียกร้องความมีสมาธิของผู้ชมพอสมควร ดนตรีประกอบที่คลอเบาและหลีกเลี่ยงการชี้นำอารมณ์ ( แม้กระทั่งฉากที่น่าจะปลดปล่อยอารมณ์เป็นที่สุด ) งานด้านภาพดูสะอาดตาและงดงามเป็นธรรมชาติ เน้นการใช้สีฟ้าที่ให้ความรู้สึกโล่งกว้าง เย็นสบาย การแสดงของตัวละครโดยรวมทำได้ดี แม้ตัวละครเด็กส่วนใหญ่จะยังท่องบทและเล่นแข็งกันอยู่บ้างแต่ก็ไม่ใช่จุดใหญ่ให้ต้องติติงและเป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ หนังเล่าเรื่องคล้ายหนังสั้นที่แบ่งแต่ละตอนด้วยข้อความเสมือนเสียงเรียกร้องเบื้องลึกของกะทิ การทิ้งกล้องให้แช่อยู่กับภาพก่อนตัดเข้าสู่ตอนใหม่ถือเป็นวิธีการที่โดดเด่นในหนังเรื่องนี้ เหมือนการเว้นวรรคด้วยพื้นที่ว่างเปล่าให้ผู้ชมได้ผ่อนอารมณ์และซึมซับกับเรื่องราวอย่างเต็มที่ก่อนการเปลี่ยนเข้าสู่บทต่อไป



หนังเน้นการเล่าเรื่องด้วยภาพเป็นหลัก แต่ละฉากจึงเต็มไปด้วยความหมายที่ซ่อนอยู่ ความสุขของกะทิดึงเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของหนังสือมาสู่บริบทของภาพยนตร์ เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ครุ่นคิดและจินตนาการโดยที่หนังไม่ได้เผยออกให้เห็นทั้งหมด

“ความสุขของกะทิ” เป็นงานที่ให้เกียรติบทประพันธ์เพราะสื่อออกมาได้ทรงคุณค่าและลุ่มลึกอย่างที่ “หนังสือซีไรต์” เรื่องหนึ่งควรจะเป็น...



เพลงประกอบภาพยนตร์ "ความสุข"





Create Date : 12 มกราคม 2552
Last Update : 29 มกราคม 2552 22:53:04 น.
Counter : 5158 Pageviews.

13 comments
  
ผมไม่อยากไปดูเลยล่ะ
กลัวว่า มันจะทำลายจินตนาการจากหนังสือ

โดย: " คุณชายช่างฝัน " วันที่: 12 มกราคม 2552 เวลา:11:34:04 น.
  
เป็นหนังไทยอีกเรื่องที่ตั้งใจอย่างมากที่จะไปดูให้ได้คะ
โดย: Huda วันที่: 12 มกราคม 2552 เวลา:13:37:58 น.
  
อยากดูคะๆๆ

แต่ฉายเดียวคงไม่เวิร์กเท่าไหร่

ไว้รอเพื่อนแล้วจะไปดูให้ได้ๆคะ
โดย: freeplay200 วันที่: 12 มกราคม 2552 เวลา:13:52:12 น.
  
อ่านหนังสือไปนานแล้ว
แต่ยังไม่ไ้ด้ดูหนังเลย
ทั้งที่อยากดู
่เห็นตัวอย่างที่ยิงตามทีวี
ก็เลยสองจิตสองใจ
โดย: bondsp วันที่: 12 มกราคม 2552 เวลา:13:58:39 น.
  
อ่านหนังสือแล้วอยากดู
แต่ไม่มีเพื่อนไป เพื่อนแอบไปดูก่อนแล้ว
โดย: ศรัทธาสิ่งที่เชื่อ วันที่: 12 มกราคม 2552 เวลา:14:08:02 น.
  
...อยากอ่าน...แต่ยังไม่ได้อ่านเลย
...อยากดู...แต่ก็ยังไม่ได้ดู
ยิ่งอ่านที่คุณเขียนมา...ยิ่งอยากอ่าน..อยากดู..
และสัญญากับตัวเองว่าจะต้องได้อ่านจะต้องได้ดู
โดย: ratana_sri วันที่: 12 มกราคม 2552 เวลา:15:18:15 น.
  
อ่านหนังสือแล้ว..แต่ไม่กล้าไปดูหนังเพราะกลัวผิดหวัง

อ่านบล๊อกแล้ว..อยากไปดูเพราะคงไม่ผิดหวัง
โดย: me prompt วันที่: 12 มกราคม 2552 เวลา:17:06:17 น.
  
ไปดูมาแล้วค่ะ น่ารัก อิ่มอกอิ่มใจดีนะคะ
โดย: pinkcat2002 (pinkcat2002 ) วันที่: 12 มกราคม 2552 เวลา:22:34:16 น.
  
ผมเองเคยสัมผัสกับความสุขของกะทิแค่ในเวอร์ชั่นหนังสือที่ได้รับรางวัล
(โดยที่ไม่ได้อ่านเล่มภาคต่อ) นั่นทำให้ผมยังไม่ทราบความตอนต่อเกี่ยวกับพบเจอกันของกะทิกับคุณแม่มากนัก

หากแต่ในหนังสือที่ผมอ่าน...
ผมสัมผัสถึงประเด็นเรื่องบทบาททางเพศ การดำรงอยู่ทางวัฒนธรรม หรือแนวการเลี้ยงเด็กไม่เจอเลย
ราวกับผมกำลังดื่มด่ำไปกับบรรยากาศที่เรียบง่ายและสงบราวกับแทบจะหยุดนิ่งของเนื้อหา
(ซึ่งคงไม่ต่างกับการที่หนังดำเนินเรื่องแบบเนินช้าที่คุณว่า)
และมัวแต่ลุ้นไปกับเรื่องราวของกะทิทั้งที่เธอมีต่อความลับต่างๆ และที่มีต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวซะมากกว่า

ต้องยอมรับว่าตัวละคร ตา – ยาย ในหนังสือ
มีส่วนอย่างมากที่ทำให้การเรียนรู้ของกะทิแลดูน่าสนใจกว่าความใคร่รู้ของเด็กธรรมดาๆ

ในขณะที่ตัวหนังสือเอง ตอนที่ได้รับรางวัลนั้นถูกค่อนคอดว่า “เป็นผู้ชนะที่อ่อนด้อยที่สุดบนเวทีนี้”
แต่ผมกลับเห็นว่าความเรียบง่ายที่หลายๆคนมองว่ามันขาดลูกเล่นในด้านภาษา
หรือไร้จินตนาการใหม่ๆในด้านเนื้อหานี่แหละที่เป็น “จุดขาย จุดแข็ง และเสน่ห์ของหนังสือ”

รวมถึงเป็นความมือถึงของคนเขียนที่สามารถเอาความเรียบง่ายทางภาษามาเล่าเรื่องพื้นๆบ้านๆ
ได้อย่างตระการตาในแง่ของจิตใจที่เกิดขึ้นแก่ผู้อ่านได้

ปล
หนังสือต้นฉบับนี่ก็เล่าเรื่องแบบไม่เรียกร้องการบีบอารมณ์ใดๆเลยครับ
จึงไม่น่าแปลกใจที่คุณจะพบว่าหนังเองก็ทำแบบนั้นเช่นกัน
(นี่ถ้าคุณบอกว่าหนังเอาเพลงมาบีบอารมณ์คนดู ผมคงเซ็งแน่ๆเลย
เพราะนั้นเท่ากับมันไม่ใช่ความสุขของกะทิแล้ว)

ปล 2
ผมขอข้ามไม่อ่าน ฝันหวานอายจูบ นะครับ
เนื่องจากมันเป็นหนังที่ผมกะจะดูตอนปีใหม่ แต่พอไปอ่านวิจารณ์หลายๆที่เข้าแล้วผิดหวัง
ด้วยมันเจอด่าเปิงทุกทีไป(ซึ่งผมพอจะคิดภาพออกว่ามันจะห่วยขนาดไหน) เล่นเอาผมไม่ไปดูเลย
และพาลหมดอารมณ์จะไปยุ่งเกี่ยวกับมัน (เอียนบทวิจารณ์มันแล้วด้วย อ่านมาเยอะเกิน -*-)

ปล 3
ผมได้ดู มายบูลเบอร์รี่ ไนท์ แล้วนะครับ เลยได้ย้อนกลับไปอ่านที่คุณเขียนไว้สักที(ไม่รู้ว่าเคยบอกไปหรือยัง)
ตอนดูหนังที่จริงก็ชอบนะแต่ไม่มากนัก แต่พอได้อ่านที่คุณเขียนไว้...
เล่นเอาผมจับหนังไปติด 1 ใน 5 หนังของปี 2008 เลย 555+
คุณตีความหนังที่ผมตีไม่ออกได้ครบถ้วนมาก จนผมอ่านจบต้องไปดูใหม่อีกรอบ
...แล้วอุทานว่า นี่มันเรื่องดียวกับเรื่องที่แล้วที่ตูดูจริงๆหรอเนี่ย... 555+

ปล 4
ขอต้อนรับกลับสู่บล็อกนะครับ
ห่างหายไปนาน กลับมาคราวนี้เครื่องร้อนจริงๆ มาไม่นานยิงมา 2 งานแล้ว
แต่งบ้านใหม่ซะสวยใสสบายตากว่าเดิมเยอะเลยด้วย

ปล 5
คนที่ต้องเผชิญหน้ากับโลกแห่งความเป็นจริงที่หนักหน่วงอย่างพวกเรา(ผมกับพี่เบียร์)นั้น
บางครั้งมันก็จำเป็นที่เราจะต้องหลบมาพูดคุยกับตัวเองบ้าง เพื่อเป็นการผ่อนคลาย
และเพื่อเป็นการยืนยันตัวตนว่าตัวเรายังไม่ได้ถูกสังคมกลืนกินวิถีชีวิตและความคิดอ่าน
ว่าแล้วพวกเราเลยบรรเลงความคิดเห็น ประเด็นความรู้สึก และสิ่งที่เราอยากจะพูดออกมาผ่านตัวหนังสือ

การเขียนหนังสือนั้นช่วยบำบัดได้ทั้งจิตใจที่อัดอั้นของเรา
และช่วยกายภาพให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้นได้ในเวลาเดียวกันครับ

อีกครั้ง...
ขอต้อนรับกลับมาครับพี่
โดย: ขอรบกวนทั้งชุดนอน วันที่: 13 มกราคม 2552 เวลา:10:15:57 น.
  
ปกติผมเล่นพันทิปนี่ ผมจะสิงสู่อยู่แต่ห้องการ์ตูน
เลยเพิ่งรู้ว่ากระทู้วิจารณ์ชิ้นนี้ได้ขึ้นเป็นกระทู้แนะนำด้วย

โอว์ โอว์...พี่ผมๆๆ 55555+
โดย: ขอรบกวนทั้งชุดนอน วันที่: 13 มกราคม 2552 เวลา:11:49:31 น.
  
บางประเด็นที่คุณเขียนน่าสนใจดีครับ

ผมไม่เคยอ่านเรื่องนี้
ส่วนหนังก็ยังไม่ได้ดู ว่าจะหาโอกาสไปดูก่อนออกจากโรง
เห็นว่าเสียงตอบรับไปกันคนละทาง
บางคนชอบก็ชอบมาก บางคนก็เกลียดไปเลย
แต่ที่งี่เง่ามากคือพวกเกลียดเพราะการเมือง


โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 23 มกราคม 2552 เวลา:12:19:33 น.
  
หนังสือเล่มบาง แต่ก็ยังอ่านไม่จบ

ส่วนหนังก็ยังไม่ได้ดูเลยค่ะ

แต่อ่านจากบล็อกนี้แล้วให้อยากดูหนังมากขึ้นพอสมควร

มีโอกาสจะแวะไปดูค่ะ
โดย: renton_renton วันที่: 28 มกราคม 2552 เวลา:12:11:23 น.
  
ขออนุญาตคิดต่างหน่อยนะครับ
นี่เป็นตัวอย่างของการนำเอาวรรณกรรมดีๆมาทำหนัง
แล้วมันไปไม่ถึงความรู้สึกแก่นแกนของเรื่องจริงๆ
ในด้านภาพทำออกมาได้ดี..สวยงาม
ทำให้นึกถึงวิถีชิวิตเรียบง่ายต่างจังหวัด
แต่การดำเนินเรื่อง...และบท...ยังไปไม่ถึง
การใส่ตัวละครเข้ามาแต่ละตัวแต่ไม่มีเวลาสานต่อให้ไปถึงที่สุด เช่นป้อมยักษ์, ผู้หญิงตอนต้นของเรื่องที่กระทิมาดูทีวีด้วย, นักปั่นจักรยาน เป็นต้นเหล่านี้ ทำออกได้ขาดน้ำหนักอย่างมากที่้สุด

เข้าใจว่าหนังมีเวลาน้อยแต่จะเลือกใส่หรือจับประเด็นอะไรก็น่าจะเอาให้มั่นและมีน้ำหนักไม่ใช่ลอยไปลอยมา จับเอาทุกส่วนของหนังสือมาใส่แต่สุดท้ายไม่ได้สื่ออะไรตามหนังสือออกมาให้ชัดเจนเลย

ในส่วนของบท..มันเป็นภาษากวีเกินไป..ใครในชิวิตจริงจะ พูดแบบนั้นมันขาดความสมจริง..ทำให้เหมือนกับว่าเอานักแสดงมาอ่านหนังสือให้ คนดูฟัง ทำให้หนังขาดเสน่ห์ไปอย่างมาก

การตัดภาพสลับไปมา..ผมมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าคนที่ไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อนดูไม่รู้เรื่องแน่ๆ.. โดยเฉพาะอย่างยิ่งปมเงื่อนงำหลักของหนังเช่น จดหมาย, การตายของแม่, เรื่องราวของพ่อ, และตู้เซฟ ทำออกมาได้เบา..ล่องลอย และไม่สามารถจับประเด็นหลักๆได้เลย แน่นอนว่าการเฉลยอย่างละเอียดทั้งหมดอาจทำให้หนังขาดเสน่ห์ไม่น่าติดตามเพราะไม่ไ้ด้จุดประเด็นให้คนดูได้คิดเลย...แต่ในเรื่องนี้ผู้กำกับจับประเด็นในหนังเข้ามาอย่างผิวเผิน เบาบาง และ่่อ่อนด้อยด้วยรายละเอียดก็ทำให้หนังขาดเสน่ห์ได้เช่นเดียวกัน

จากมุมมองของผมรู้สึกผิดหวัง...
สรุปแล้วหนังบกพร่องในส่วนของบทและการดำเนินเรื่องมากที่สุด..ซึ่งเป็นหัวใจของการทำหนัง นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้มั่นใจในคำกล่าวที่ว่า มีบทที่ดีอาจไม่ได้รับประกันว่าหนังจะออกมาดี แต่หนังทุกเรื่องจะไม่สามารถออกมาดีได้ถ้าหนังเรื่องนั้นมีบทที่อ่อนด้อย และการดำเนินเรื่องที่ขาดทักษะในการเป็นผู้เล่าที่ดี
โดย: miragery วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:23:57:21 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Beerled.BlogGang.com

beerled
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]

บทความทั้งหมด