คนมองหนัง มอง "ความจริง" ในสังคมไทย ผ่านหนังสือ "น้องมาร์คเห็นคนตาย"
โดย สิรนันท์ ห่อหุ้ม
อย่าเพิ่งแปลกใจกับรูปเงาที่ปรากฏ รูปเงาที่ไม่บอกกล่าวอย่างชัดแจ้งว่า บทสัมภาษณ์ของวันนี้เป็นคมคิดน่าสนใจของนักเขียนท่านใด
แต่โปรดพิจารณาดูหนังสือเล่มนี้ให้ดี หากเป็นแฟนคลับของ"มติชนสุดสัปดาห์" เห็นปุ๊บคงนึกได้ทันทีว่า"น้องมาร์คเห็นคนตาย" นั้น เป็นตัวละครสำคัญในคอลัมน์ใด
เมื่อพิจารณาจากงานซึ่งเป็น "นิยายและเรื่องเล่าจากตีนเขาแห่งหนึ่งในกรุงเทพ"และนัยยะของเรื่องที่ทำหน้าที่เป็นบทบันทึกของเหตุการณ์ทางการเมือง"ระหว่าง"และ"หลัง"เดือนเมษายน-พฤษภาคม2553แล้ว จึงไม่ใช่ประเด็นสำคัญว่าตัวตนของ" "คนมองหนัง"" จะเป็นใคร เพราะการดำรงอยู่ของ "น้องมาร์ค" ลูกชายตัวน้อยของชนชั้นกลางในเมืองหลวงที่ทุกอากัปกริยาล้วนยั่วล้อ เสียดแทง "ความเป็นจริง" ของสังคม ความจริงที่ใครหลายคนพยายามจะมองข้าม บิดเบือนข้อมูล ต่างหากคือสิ่งที่ควรให้ค่าอย่างยิ่ง
"จริงๆ คือเคยทำบล็อกที่ใช้ชื่อนี้ หลักๆ จะเขียนเกี่ยวกับหนัง แต่ด้วยความที่ตัวบล็อกคาบเกี่ยวกับเหตุการณ์ช่วง 19 กันยา 2549 เพราะฉะนั้นเลยมีลักษณะคุยเรื่องหนังส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็เกี่ยวกับการเมือง ต่อมาคุณเสถียร (เสถียร จันทิมาธร) ชวนมาเขียนคอลัมน์เกี่ยวกับวัฒนธรรมร่วมสมัย หนังของคนรุ่นใหม่ แต่คงเพราะช่วงที่เขียนเป็นช่วงสถานการณ์พอดีเราก็กลับไปสู่การเมืองอีกครั้ง" คนมองหนังกล่าวด้วยรอยยิ้ม เมื่อเราถามถึงนามปากกาที่ดูขัดแย้งกับเรื่องที่เขียนชะมัด
จากความตั้งใจที่ว่าด้วยเรื่องของหนัง ศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย จึงกลายเป็นงานเขียนกึ่งบทภาพยนตร์ที่ชูตัวละครหลักด้วยชื่อเล่นที่พ้องกับอดีตนายกรัฐมนตรีสมัยนั้น ทว่า "น้องมาร์ค" ลูกชายคนเดียวของชนชั้นกลางชาวกรุงเทพฯกลับมีพฤติกรรมในเชิงอสมมาตร "เรื่องแรกที่เขียนคือ ผี,ปีศาจ,ยักษ์,เสี้ยน และฝุ่น เราเหมือนจะกัดกระแสที่คนกรุงเทพฯหรือชนชั้นกลางกรุงเทพฯมีต่อการชุมนุมช่วงเมษา-พฤษภาพอดี มันเริ่มมาจากการโฟกัสกลุ่มคนกรุงเทพฯ ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่า เหมือนเป็นบทหนังที่มีแต่บทพูดแต่จะไม่มีตัวคนพูด วิพากษ์ชนชั้นกลางอย่างเลือนๆ หรือคลุมเครือไปเลย แต่พอเขียนได้สักสองสามตอนก็เริ่มรู้สึกว่าต้องสร้างตัวละครขึ้นมาแล้ว"
"ความเป็นเด็ก" ของน้องมาร์คไม่ใช่การสร้างขึ้นมาลอยๆ อย่างไร้เหตุผล ทว่ามีนัยยะสำคัญถึงการปะทะกันระหว่างคุณค่าเก่าและคุณค่าใหม่ในสังคมไทยที่ปรากฏอย่างชัดเจนในช่วงไม่กี่ปีนี้
"เวลาพูดถึงการเมืองไทยตั้งแต่ช่วงหลังรัฐประหารเป็นต้นมา คนมักพูดว่าเป็นเรื่องของการเปลี่ยนผ่าน หรือเป็นเรื่องของระบบคุณค่าหรือความคิดเห็นทางการเมืองแบบเก่า ปะทะกับระบบคุณค่าหรือความเชื่อชุดใหม่ เพราะงั้นเราจึงวางตัวละครให้เป็นเด็ก เพื่อสื่อถึงความเปลี่ยนแปลงตรงนั้น สังเกตดูจากปรากฏการณ์ร่วมสมัย เราจะเห็นว่าชนชั้นกลางกรุงเทพฯ รุ่น 40-50 ปีจะมองการเมืองแบบไม่สะดวกใจหรือสบายใจกับการเปลี่ยนแปลงนัก ในขณะที่ปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่ก็เริ่มพลิกสู่อีกแบบหนึ่ง ต้านรัฐประหาร หรือมีจุดยืนที่จะวิพากษ์สถาบันต่างๆ รวมถึงบุคคลสาธารณะ เราก็เลยรู้สึกว่านี่เป็นตัวแทนของตรงนี้"
"คล้ายๆ Process of Becoming หรือกระบวนการเปลี่ยนผ่าน เห็นแล้วว่าน้องมาร์คเติบโตไปสู่จุดไหน หรือดำรงตนอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งอะไร แต่ก็ยังไม่ใช่จุดสุดท้าย เหมือนในหนังสือเรื่องของน้องมาร์คจบลงเมื่อเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งเป็นภาคหนึ่ง แต่ภาคสองที่ตามมาเป็นเรื่องจริงที่หลุดออกมาจากเรื่องแต่ง ก็จะเห็นชัดเลยว่า สิ่งที่น้องมาร์คหรือคนร่วมสมัยน้องมาร์คเจอนั้นเป็นกระบวนการที่ยังไม่สิ้นสุด และยังไม่เห็นผลลัพธ์ชัดเจนว่านำไปสู่อะไร เพียงแต่เราพอจะเห็นว่าอะไรปะทะกับอะไรในความขัดแย้งนี้"
ถ้าในเหตุการณ์ เมษา-พฤษภา 2553 น้องมาร์คเห็นคนตาย แล้ววันนี้ที่เหตุการณ์ผ่านไปกว่า 2 ปีแล้วนั้น น้องมาร์คมองเห็นอะไร เราสงสัย
"การปะทะกันของสองส่วนที่ก็ยังไม่แน่ว่าจะคลี่คลายไปในทิศทางไหน"
"เริ่มแรกที่น้องมาร์คเห็นคนตาย เริ่มจากความรู้สึกว่ามีอยุติธรรมเกิดขึ้น แล้วนำไปสู่การแสดงออกทางความรู้สึก เพดานบางอย่างในสังคมถูกยกสูงขึ้นกลบความโกรธหรือความไม่พอใจของผู้คนที่รู้สึกว่าเขา พี่น้อง หรือพรรคพวกไม่ได้รับความยุติธรรม
แต่หลังเหตุการณ์ผ่านมาสักพักหนึ่งก็เริ่มรู้สึกอะไรมากขึ้น ว่าอะไรๆ ก็ไม่ง่าย มีการตั้งคำถามถึงชัยชนะและเพดานที่สูงขึ้นว่าจริงหรือเปล่า โอเค อาจมีการชุมนุมต่อ มีกลุ่มอื่นๆ เด่นขึ้นมาอย่างนิติราษฎร์ แต่กระแสสังคมบางส่วนก็ไม่เห็นด้วยกับนิติราษฎร์ และพร้อมที่จะต่อต้านหรือมีปฏิกิริยาโต้กลับ แง่หนึ่งอาจใช้อำนาจทางกฎหมาย อีกแง่เป็นการแซงชั่นทางสังคมอย่างการใช้กำลัง เป็นความพยายามจากอีกด้านที่จะกดเพดานที่ยกสูงมาให้ลงกลับไป"
"หรือต่อให้กระบวนการประชาธิปไตยชนะเด็ดขาดจริงๆก็ไม่ได้แปลว่าสังคมจะสงบราบเรียบก็ยังมีการขัดแย้งกันต่อเหมือนที่อดีตนายก(พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) วิดีโอลิงก์มาเมื่อวันที่ 19 ที่ผ่านมา ก็มีหลายคนไม่เห็นด้วยเยอะ มีความรู้สึกว่าทักษิณต้องการปรองดอง เพื่อให้ตัวเองได้กลับบ้านคนเดียว เป็นจุดที่นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ บางคนก็บอกว่าเสื้อแดงกับทักษิณแตกกันแล้ว แต่บางคนก็บอกว่าดีไง แปลว่าความสัมพันธ์ของทักษิณกับคนเสื้อแดง อยู่บนการวิพากษ์วิจารณ์ท้วงติงกัน ในขณะที่ความสัมพันธ์รูปแบบอื่น ในสังคมไทยอยู่ในจุดนี้ไม่ได้ เราต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาทักษิณ เป็นสัญลักษณ์ของคนเสื้อแดงส่วนหนึ่ง แต่อีกหลายๆ ด้านในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาคนเสื้อแดงก็ไปไกลจากทักษิณหรือพรรคเพื่อไทยเยอะเหมือนกัน อย่างการเลือกตั้งที่ปทุมธานีก็เป็นสัญลักษณ์หนึ่งแสดงถึงความเป็นเอกเทศและความกระตือรือร้นทางการเมืองสูง"
แล้วถ้าหาก"คนมองหนัง"จะทำหนังสักเรื่องเกี่ยวกับสังคมไทยล่ะจะออกมาในรูปแบบไหน
"จริงๆ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ด้วย คือเรื่อง Hidden ของไมเคิล ฮานาเก้ ที่พูดถึงการปะทะกันของอดีตและความทรงจำที่เดินทางมาถึงปัจจุบัน ถ้าทำก็คงออกแนวๆ นี้ การปะทะกันระหว่างความทรงจำกับปัจจุบัน ความทรงจำก็เล่นได้หลายอย่างซึ่งก็อาจจะโยงกับประวัติศาสตร์ได้ด้วยนะ เรามองประวัติศาสตร์ในฐานะทางเดินที่อาจเป็นเส้นตรง วงกลม ขดลวด หรือสปริงก็ได้ เล่นกับประวัติศาสตร์ได้เยอะเลยทั้งในระดับชาติภาพใหญ่ของสังคมและประวัติศาสตร์ส่วนตัว เป็นความคลุมเครือของความทรงจำ แล้วยิ่งนำความไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวมาทาบทับกับปัจจุบัน เป็นอะไรที่น่าสนใจมาก หรืออาจจะสืบเนื่องจากน้องมาร์คด้วยการทำหนังเด็กก็ได้ แต่เป็นเด็กที่ไปเป็นตัวปะทะระหว่างอดีตกับปัจจุบัน คุณค่าเก่ากับคุณค่าใหม่อยู่ดี ธีม หลักๆ คงเป็นอย่างนั้น" ว่าแล้วก็ยิ้มกว้าง
หนังคงต้องรอสักพัก แต่ที่แน่ๆ หลังจากนี้คนมองหนังจะมีผลงานรวมเล่มเกี่ยวกับงานวิจารณ์หนังออกมาแน่นอน
"โปรดติดตามด้วยใจระทึกพลัน!!"
ขอบคุณ มติชนออนไลน์ คุณสิรนันท์ ห่อหุ้ม
จันทรวารศุภสวัสดิ์ค่ะ
Create Date : 28 พฤษภาคม 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 28 พฤษภาคม 2555 10:39:06 น. |
Counter : 2692 Pageviews. |
|
|
|