"ม่อ เอี๋ยน" (Mo Yan) นักเขียนรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรม จากแดนมังกรคนล่าสุด
"ม่อ เอี๋ยน" (Mo Yan)
นักเขียนรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมประจำปี ค.ศ. 2012 คนใหม่ ม่อ เอี๋ยน (Mo Yan) เกิดในครอบครัวชาวนาที่เมืองชอดอง ในปี พ.ศ. 2498 โดยได้เข้าร่วมกองทัพบกและกองทัพอากาศของกองทัพปลดแอกประชาชนจีนหรือ PLA (People′s liberation army) เมื่ออายุ 20 ปี
และเริ่มต้นลงมือเขียนทั้งนวนิยายและรวมเรื่องสั้น ได้แก่ Red Sorghum, Big Breasts & Wide Hips, Life and Death Are Wearing Me Out and most recently, Frog ทั้งนี้ ม่อ เอี๋ยน เป็นนักเขียนคนที่ 4 ในเอเชียที่สามารถคว้ารางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมมาครองได้ ถัดจาก รพินทรนาถ ฐากูร จากอินเดียในปี พ.ศ.2456 , คาวาบาตะ ยาสึนาริ จากญี่ปุ่นในปี พ.ศ.2511 และเคนซาบูโระ โอเอะจากญี่ปุ่นในปี พ.ศ.2537
บทสัมภาษณ์พิเศษโดยจอห์น ฟรีแมน บรรณาธิการนิตยสาร แกรนต้า (Granta) ในงานลอนดอนบุ๊คแฟร์ เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.2555
จอห์น ฟรีแมน : นวนิยายหลายเรื่องของคุณเอาบ้านเกิดตัวเองมาใช้เป็นฉากของเมืองในนิยาย คล้ายๆ กับที่ฟอล์คเนอร์ใช้ทางตอนใต้ของอเมริกา อะไรทำให้คุณหันไปหาชุมชนกึ่งจินตนาการนี้ และการที่ผู้อ่านงานคุณอยู่ทั่วโลกจะมีนัยสำคัญอะไรกับพวกเขาไหมครับ ม่อ เอี๋ยน : เมื่อผมเริ่มเขียน สภาพแวดล้อมมันก็มีอยู่แล้วและเป็นของจริงมาก อีกทั้งสิ่งที่ผมเขียนก็นำมาจากประสบการณ์ส่วนตัว แต่หลังจากที่ผลงานได้ตีพิมพ์ ประสบการณ์ผมที่เกิดขึ้นในแต่ละวันก็หมดไป ผมจำเป็นต้องใส่จินตนาการลงไปในงานเขียนบ้างจนบางครั้งก็กลายเป็นฝันเฟื่องไปเลยก็มีครับ
จอห์น ฟรีแมน : งานเขียนของคุณบางส่วนทำให้นึกถึงกึนเทอร์ วิลเฮลม์ กรัสส์, วิลเลียม ฟอล์คเนอร์ และกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ ช่วงที่คุณเติบโตในประเทศจีน คุณหาอ่านงานเหล่านี้ได้ไหม และช่วยเล่าให้เราฟังหน่อยถึงนักเขียนที่มีอิทธิพลต่อคุณครับ
ม่อ เอี๋ยน : ตอนที่ผมเริ่มเขียนหนังสือในปี พ.ศ.2524 ผมไม่ได้อ่านงานของมาร์เกซ หรือฟอล์คเนอร์เลย มาอ่านงานของเขาก็เมื่อปี พ.ศ.2527 และพูดได้เลยว่านักเขียนทั้งสองท่านมีอิทธิพลต่องานเขียนของผม ผมพบว่าประสบการณ์ชีวิตของผมคล้ายคลึงกับพวกเขา เมื่อมาคิดทีหลัง ถ้าผมได้อ่านงานของพวกเขาเร็วกว่านี้บางทีผมอาจจะมีงานเขียนชิ้นเยี่ยมได้เหมือนพวกเขาครับ
จอห์น ฟรีแมน : นวนิยายของคุณในช่วงแรก ๆ อย่าง Red Sorghum ดูเป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อย่างชัดเจน ซึ่งบางคนอาจเรียกว่านวนิยายแนวโรมานซ์ด้วยซ้ำไป ขณะที่ปัจจุบันดูเหมือนคุณจะหันมาใช้ฉากและแก่นเรื่องที่ร่วมสมัยอย่างเห็นได้ชัด คุณตั้งใจให้เป็นอย่างนี้หรือเปล่าครับ ม่อ เอี๋ยน : ตอนเขียน Red Sorghum ผมอายุยังไม่ถึง 30 ถือว่ายังเด็กอยู่มาก ตอนนั้นชีวิตของผมเต็มไปด้วยเรื่องโรแมนติกมากมายโดยเฉพาะเมื่อหวนนึกถึงบรรพบุรุษ ผมได้เขียนถึงชีวิตพวกเขาแต่ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขามากนัก ดังนั้นผมจึงต้องใส่จินตนาการตัวเองลงไปในชีวิตของตัวละคร
ตอนที่เขียน Life and Death Are Wearing Me Out ผมอายุ 40 กว่า ช่วงชีวิตผมเปลี่ยนจากวัยหนุ่มเข้าสู่วัยกลางคน ชีวิตผมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ผมใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น ร่วมยุคร่วมสมัยมากขึ้น ความเลวร้ายในยุคสมัยของเราไดจำกัดความโรแมนติกซึ่งครั้งหนึ่งผมเคยรู้สึกครับ
จอห์น ฟรีแมน : คุณมักเขียนงานเป็นภาษาท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาถิ่นในเขตซานตง ทำให้สำนวนภาษาของคุณดูเคร่งครัด การทำเช่นนี้ทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิดบ้างไหมเวลาที่แปลเป็นภาษาอังกฤษแล้วทำให้สำนวนโวหาร การเล่นคำที่ทำให้การแปลงานของคุณออกมาเป็นภาษาอังกฤษทำไม่ได้ดังใจ หรือคุณยินดีจะให้ โฮเวิร์ด โกลด์แบล็ตต์ เป็นผู้แปลงานของคุณครับ
ม่อ เอี๋ยน : อันที่จริงแล้วผมใช้ภาษาถิ่น สำนวน การเล่นคำ ในช่วงแรกที่ผมเริ่มเขียนงานมาก เพราะขณะนั้น ผมไม่คิดว่างานของผมจะได้แปลเป็นภาษาต่าง ๆ ภาษาหลังผมจึงได้คิดได้ว่าการใช้ภาษาแบบนี้สร้างปัญหาให้นักแปลมาก ทั้งนี้การหลีกเลี่ยงไม่ใช้ภาษาถิ่น สำนวนโวหารหรือการเล่นคำผมทำไม่ได้
เพราะสำนวนโวหารมีลูกเล่น แสดงออกอย่างชัดเจน และเป็นลักษณะเฉพาะที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของนักเขียนคนหนึ่ง ดังนั้นในอีกด้านหนึ่งผมก็จะพยายามปรับการใช้สำนวนภาษาของผม และในขณะเดียวกันเมื่อผมเล่นคำผมก็คาดหวังว่านักแปลจะสามารถเลียนแบบการเล่นคำที่ผมใช้เป็นภาษาอื่นได้ด้วยซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ผมอยากเห็น
จอห์น ฟรีแมน : นวนิยายหลายเรื่องที่คุณเขียนมีตัวละครหญิงที่แข็งแกร่ง เป็นแก่นของเรื่องเช่น Big Breasts & Wide Hips, Life and Death Are Wearing Me Out และเรื่อง Frog คุณคิดว่าตัวเองสตรีนิยมหรือเปล่า หรือคุณแค่เพียงสนใจเขียนงานจากมุมมองของผู้หญิง ม่อ เอี๋ยน : ผมยอมรับว่าชื่นชมและนับถือผู้หญิง ผมว่าผู้หญิงมีคุณธรรม ชีวิตของพวกเธอและความอดทนต่อความยากลำบากมีสูงกว่าผู้ชายมาก เมื่อเผชิญกับหายนะภัยที่รุนแรงผู้หญิงจะกล้าหาญกว่าผู้ชาย
ผมเชื่อว่าผู้หญิงมีความสามารถและสมควรแล้ว ที่เธอจะมีความเป็นแม่ด้วย ซึ่งนำมาสู่ความแข็งแกร่งที่เราไม่อาจจินตนาการได้ ในงานเขียนของผม ผมพยายามนำจิตใจผู้ของพวกเธอมาไว้ในความคิดของผม พยายามทำความเข้าใจและตีความโลกจากมุมมองของผู้หญิง
แม้ถึงที่สุดแล้วผมก็ไม่ใช่ผู้หญิงอยู่ดีครับ ผมเป็นนักเขียนเพศชาย โลกที่ผมตีความไว้ในงานเขียนของผมราวกับว่าผมเป็นผู้หญิง อาจไม่ได้รับการยอมรับจากผู้หญิงก็ได้ แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ผมรักและชื่นชมพวกเธอ เพราะถึงอย่างไรผมก็เป็นผู้ชายครับ
จอห์น ฟรีแมน : การหลีกเลี่ยงไม่ให้งานเขียนถูกเซ็นเซอร์เป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อนมากหรือไม่ คุณมีวิธีการมากน้อยแค่ไหนครับ ที่ทำให้งานเขียนแนวสัจจนิยมผสมจินตนาการ และการเขียนที่ใช้เทคนิคแบบดั้งเดิม จะทำให้นักเขียนสามารถแสดงออกถึงความห่วงใยโดยไม่ต้องอาศัยวิธีเขียนโจมตีผู้อื่น ม่อ เอี๋ยน : เป็นอย่างนั้นจริง ๆ หลายคนเขียนวรรณกรรมเพื่อตอบสนองต่อการเมือง ในชีวิตจริงของพวกเราอาจมีสิ่งที่แหลมคมหรือละเอียดอ่อนที่นักเขียนไม่อยากยุ่ง นี่เองที่ทำให้นักเขียนสามารถใส่จินตนาการลงไปเพื่อกันตัวเองออกจากโลกความเป็นจริง
หรือนักเขียนอาจจะทำให้เหตุการณ์ใหญ่โตขึ้นได้ เพื่อให้ชัด มีสีสัน และเป็นสัญลักษณ์ของโลกแห่งความเป็นจริง ดังนั้นผมเชื่อมั่นว่าข้อจำกัดหรือการเซ็นเซอร์นั้นส่งผลต่อการสร้างสรรค์งานวรรณกรรม
จอห์น ฟรีแมน : หนังสือเล่มล่าสุดของคุณที่แปลเป็นออกมาภาษาอังกฤษ ประชาธิปไตย (Democracy) เป็นบันทึกความจำที่สั้นมากเล่าถึงจุดจบของยุคสมัยในจีน จากประสบการณ์คุณในฐานะเด็กชายและชายหนุ่มผู้หนึ่งมีน้ำเสียงที่เศร้า และการที่เรามาจากโลกตะวันตกทำให้เรารู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง เรามักเชื่อว่าความก้าวหน้า หมายถึงสภาวะที่ดีกว่าเดิมเสมอมา
แต่บันทึกความทรงจำของคุณบอกว่ามีบางอย่างที่หายไป มันยุติธรรมหรือเปล่าที่อธิบายแบบนั้น
ม่อ เอี๋ยน : บันทึกความจำที่คุณกล่าวถึงเต็มไปด้วยประสบการณ์ส่วนตัวและวิถีชีวิตของผม งานเขียนชิ้นนี้ยังยังเสนอภาพจินตภาพบางอย่างด้วย น้ำเสียงเศร้าที่คุณพูดถึงนั่นแหละถูกแล้ว
เพราะเรื่องนี้เล่าถึงคนอายุ 40 ปี ผู้คิดถึงวัยหนุ่มที่ไม่อาจย้อนคืนได้ของตัวเอง อย่างตอนที่คุณยังหนุ่มคุณอาจเคยหลงรักผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ผู้หญิงคนนั้นเป็นกลับกลายเป็นภรรยาของคนอื่นไปแล้ว ความทรงจำนั้นจึงออกเศร้า
ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมานี้ เราได้เห็นประเทศจีนพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะด้วยเรื่องมาตรฐานการครองชีพ ความรู้ หรือระดับจิตวิญญาณของพลเมือง ก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัด ที่แน่นอนคือมีหลายสิ่งที่เราไม่พอใจในชีวิตประจำวันของเรา แม้ประเทศจีนจะเจริญก้าวหน้า
แต่ความก้าวหน้านี้ก็นำมาซึ่งปัญหาหลายประการ เช่น ปัญหาสิ่งแวดล้อม ศีลธรรมเสื่อมลง เพราะฉะนั้นความเศร้าหมองที่คุณพูดถึงจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุผลสองประการ อันแรกผมคิดว่าช่วงวัยหนุ่มได้ลาจากผมไปแล้ว และสองคือผมกำลังกังวลกับสภาพการณ์ที่ปรากฏอยู่ในประเทศจีนเวลานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ผมไม่เคยรู้สึกชื่นชมยินดีเลยแม้แต่น้อย
จอห์น ฟรีแมน : งานเขียนเล่มต่อไปของคุณในภาษาอังกฤษคือเรื่องอะไรครับ
ม่อ เอี๋ยน : Sandalwood Penalty ครับ
ขอบคุณ มติชนออนไลน์
สิริสวัสดิ์โสรวารค่ะ
Create Date : 13 ตุลาคม 2555 |
Last Update : 13 ตุลาคม 2555 18:43:45 น. |
|
0 comments
|
Counter : 3109 Pageviews. |
|
|
|
|
|