บางครั้งโลกแห่งความจริงไม่สวยงาม...เฉกเช่นความฝัน แต่รู้สึกและจับต้องได้
Group Blog
 
<<
มกราคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
4 มกราคม 2554
 
All Blogs
 

Life&Family(15)...เปิดชีวิต"กะทิ" อดีตโจ๋หลังห้อง สู่ความภูมิใจของพ่อแม่








ทำไม "เด็กหลังห้อง" จึงถูกสังคมมองว่าเป็นเด็กดื้อหรือเด็กเกเร บางคนกลายเป็นลูกที่ไม่เอาไหนในสายตาของพ่อแม่ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย การที่เด็กคนหนึ่งถูกกดดันจากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง แม้กระทั่งครอบครัวที่ไว้วางใจของพวกเขาเองยังปฏิเสธความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ลองคิดดูก็แล้วว่าเด็กคนนั้นจะตกอยู่ในสภาพใด

เช่นเดียวกับ ชีวิตของ กะทิ หรือ ชวลิต จันทร์นิฤทัย อายุ 23 ปี อดีตเด็กหลังห้องที่ถูกสังคมมองว่าเขาเป็น "เด็กที่ไม่เอาไหน" กะทิเล่าว่า เขาเป็นลูกชายคนกลางของบ้าน มีพี่สาวและน้องชาย ซึ่งพ่อกับแม่จะชมพี่สาวอยู่เสมอ เพราะพี่สาวเรียนเก่ง ส่วนน้องชายก็มีผลงานจากที่โรงเรียนมาอวดพ่อแม่มากมาย ตรงข้ามกับเขาที่ไม่มีแม้ผลงานใดๆ มาโชว์ให้พ่อแม่ภูมิใจเลย



"ตอนเด็กๆ ผมเคยคิดว่า เป็นลูกที่พ่อแม่รักน้อยที่สุดและรู้สึกว่าขาดความอบอุ่น แต่ไม่เคยคิดโทษใครเลย อาจจะเป็นเพราะตัวเองเรียนหนังสือไม่เก่งเท่ากับพี่สาว ไม่มีผลงานมาโชว์ให้พ่อแม่ได้ดีใจเท่ากับน้องชาย และพูดได้ว่าเป็นเด็กเกเรในสายตาพ่อแม่ด้วยซ้ำ"

จนวันหนึ่ง พ่อแม่กะทิเริ่มมีปัญหา มีปากเสียง และทะเลาะเบาะแว้งกันทุกวัน ตอนนั้นเขาก็เรียนอยู่โรงเรียนประจำอยู่แล้ว ซึ่งเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เขาไม่อยากกลับบ้าน เพราะมันเป็นสิ่งที่โหดร้ายกับการต้องมานั่งดูพ่อแม่ทะเลาะกัน จึงทำให้ดูเหมือนว่ากะทิเป็นเด็กมีปัญหาในสายตาคนอื่น

แม้จะเรียนไม่เก่ง แต่กะทิก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดหรือสิ่งที่ไม่ดีเพื่อใช้เป็นทางออกเช่นกับเด็กคนอื่นๆ "ผมไม่อยากทำให้พ่อแม่เสียใจ แต่ผมก็ไม่สามารถทำให้พ่อแม่ภูมิใจได้ เพราะผลการเรียนก็ยังแย่เหมือนเดิม จากความหวังของพ่อแม่ที่อยากให้เป็นนายร้อย ได้มียศ มีตำแหน่งก็หมดไปกลับการสอบไม่ติด แต่พี่สาวสามารถทำได้ทุกอย่างดังที่ท่านหวังไว้ ผมจึงต้องมาเรียนมหาวิทยาลัยเอกชน เพราะอย่างน้อยๆ เราก็ยังเป็นเด็กรักเรียนและพยายามตั้งใจทำหน้าของตัวเองให้ดีที่สุด แม้จะไม่มีใครมองเห็นก็ตาม"

ต่อมาไม่นาน ตอนที่กะทิกำลังเรียนอยู่ปี 2 ครอบครัวต้องพบกับวิกฤตที่หนักหน่วง เมื่อคุณแม่เสียชีวิตด้วยโรคไตวายเฉียบพลัน กะทิเล่าว่า ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยพูดดีกับแม่เลย ซึ่งอาจเป็นเพราะเขาไม่ประทับใจที่แม่ชอบดื่มเหล้า ทุกๆ ครั้งที่แม่โทรศัพท์มาหาก็ไม่เคยคุยกันรู้เรื่อง แม้กระทั่งตอนที่แม่กำลังจะเสีย เขาก็ยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับแม่ เพราะท่านไม่รับรู้อะไรแล้ว

"ผมทำอะไรไม่ถูก จึงหันไปดื่มเหล้าเพื่อแก้ปัญหา ทั้งๆ ที่รู้ว่าทุกคนกำลังเศร้าและเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะพ่อ พี่สาวพูดคำๆ หนึ่งที่ทำให้ผมคิดได้ ว่าแค่นี้ครอบครัวยังไม่แย่พอใช่ไหม ถึงต้องมาทำตัวให้เป็นปัญหาอีก แทนที่จะช่วยกันแก้ไขกลับฉุดให้มันเลวร้ายลงกว่าเดิม จากที่ผมไม่เคยอยู่ติดบ้าน ตรงกันข้ามอยากกลับบ้านมาดูแลพ่อ เพราะรู้ว่าพ่อเหงา อยากพูดคุยให้กำลังใจกับท่าน แต่ไม่เคยคิดว่าจะทำดีเพื่อทดแทนที่ไม่เคยทำให้กับแม่ แต่วันนี้ผมจะขอทำดีเพื่อพ่อและทุกคนในครอบครัว อีกอย่างผมไม่อยากเสียใจภายหลังและจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าผมก็ทำดีได้" กะทิสารภาพ



หลังจากนั้น กะทิ ก็เริ่มตั้งใจเรียน แม้ผลการเรียนจะไม่ได้ดีมากแต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่เลวร้าย เขาช่วยงานของมหาวิทยาลัยจนได้รับทุน และช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อด้วยการขายของหารายได้พิเศษหลังเลิกเรียน เพราะตอนนี้พ่อต้องทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูลูกๆ ทั้ง 3 คน "พอเวลาผ่านมาไม่นาน แม้ความเสียใจของทุกคนมันไม่ได้ลดลง แต่ครอบครัวของเราก็รักกันมากขึ้น ช่วยดูแลกัน ผมจึงคิดว่า อยากมีบ้านที่ต่างจังหวัด เพื่อจะได้พาทุกคนไปพักผ่อนและใช้เวลากับครอบครัว แต่จะทำอย่างไรให้มันเป็นการสร้างรายได้ด้วย วันหนึ่งมีโอกาสได้มาเที่ยวปาย จึงเห็นว่าการสร้างรีสอร์ทสามารถตอบความต้องการได้และเริ่มสร้างบ้านพักด้วยหยาดเหงื่อและแรงกายของตัวเอง"

กะทิ เล่าให้ฟังอีกว่า วันแรกที่รีสอร์ทบ้าน "กะทิสด" เปิดให้บริการ ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา แต่น่าเสียดายที่แม่ไม่ได้อยู่รอวันที่เขาประสบความสำเร็จ ส่วนพ่อเห็นทุกอย่างที่ลูกคนนี้ลงทำเองด้วยน้ำพักน้ำแรง ไม่เว้นแม้แต่การให้บริการลูกค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อของเขาไม่เคยเห็นลูกตั้งใจทำงานอย่างนี้มาก่อนในชีวิต "ผมมีความสุขที่เห็นพ่อยิ้ม และดีใจที่วันหนึ่งผมก็สามารถทำให้ท่านภาคภูมิใจได้"

ถึงตอนนี้ พูดได้ว่า เขาประสบความสำเร็จในชีวิตไปกว่าครึ่งทาง แม้จะหนทางอาจจะไม่ได้ราบรื่นและสวยงาม แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นลูกที่ไม่เอาไหนอีกต่อไป กะทิจึงฝากทิ้งท้ายและให้กำลังใจกับคนๆ อื่นว่า อย่าคิดว่าพ่อแม่ไม่รัก และอย่าแก้ปัญหาด้วยทางออกที่ผิด เพราะคนที่เสียใจมากที่สุดคือพ่อแม่และคนในครอบครัวของเราเอง เมื่อมีปัญหาจะต้องช่วยกันฟันฝ่ามันไปให้ได้ และอยากให้ทุกคนเริ่มทำดีตั้งแต่วันนี้ แม้จะไม่มีใครเห็นก็ตาม เพราะมันอาจจะสายเกินไปสำหรับวันพรุ่งนี้..


เรื่องและภาพจาก ผู้จัดการออนไลน์




 

Create Date : 04 มกราคม 2554
0 comments
Last Update : 4 มกราคม 2554 12:54:53 น.
Counter : 619 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


atruthoflife10
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




กลับคืนสู่ธรรมชาติ ด้วยสุขภาพที่ดีกว่า

ไตรลักษณ์
เกิดขึ้น 26 พ.ย.2553

ดับไป....???

Friends' blogs
[Add atruthoflife10's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.