แบร์แนแด็ท....น่ารัก....น่ารัก ขี้ลืม.....ขี้ลืม ...... หนังปายหนายหว่า buy แล้ววbuyอีก......... faith, hope and charity เฟศบุ๊ค http://www.facebook.com/bernadette.soubirous.3
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
25 ธันวาคม 2550
 
All Blogs
 

Mission: Impossible III (2006) : Location and Countdown II and I

bring that to life, the filmmakers chose, in Chambliss’s words, “a huge Vatican sequence, a huge rooftop sequence in Shanghai, and huge factory sequence in Berlin. J.J.’s concept drives the scale of all the action in our story.”




โฉมหน้า Mission Impossible III
Jonathan Rhys-Meyers, Ving Rhames, Tom Cruise and Maggie Q in Paramount Pictures' Mission: Impossible III - 2006

ประเด็นที่ พูดถึง หนังเรื่อง Mission Impossible III กะคือ Location สถานที่ถ่ายทำ เรื่องฉากแอ๊กชั่น บู้ล้างผลาญ หัวใจจะวายค่ะ มันส์

Location แรก Rome Italy จำลองฉากวาติกันงานเลี้ยงดินเนอร์การกุศล ภาระกิจ ไปลักพาตัวคนร้าย และนำข้อมูลมาให้รัฐบาล

ทอมครูส ปีนกำแพงวาติกัน ปลอมตัวเป็ฯบาทหลวงคุณพ่อ เพื่อน ดำน้ำเข้าวาติกันทางแม่น้ำไทเบอร์ เจาะอุโมงค์ท่อระบายน้ำ ผู้ช่วยสาว แต่งชุดกาล่าดินเนอร์มากะรถสปอร์ต และเพื่อนอีกคน เป็นทหารสวิช


Walkway looks down to where Mission Impossible III was filmed








The Lamborghini Gallardo from Paramount Pictures' Mission: Impossible III - 2006



ฉากวาติกัน ใช้สถานที่ From Rome, the production moved south to the Palazzo Reale Della Reggia Di Caserta, near Naples, which would double for the Vatican. Chambliss was responsible for transforming the monumental fortress into the Vatican courtyard.

Palazzo Reale Della Reggia Di Caserta, near Naples เป็นมรดกโลกจาก ยูเนสโกด้วยUNESCO World Heritage Site





Lo scalone Reale




ลักพาตัวคนร้าย กะพาหนีนั่งเรือ high speed motor boat chase on the Tiber river Rome Italy,


พาคนร้ายหนีขึ้นเครื่องบิน ลงเครื่องต่อรถ บู้ล้างผลาญต่อ หัวจายวาย
Hoffman in ''Mission: Impossible III''
Mission Impossible III: Stephen Vaughan

คนร้ายอะ


While a lot of the action, explosions and stunts were done for real on the Calabasas bridge set, ILM added elements such as the water to make it appear it was shot on the real Chesapeake Bay Bridge.



To create the wide shots ILM composited the water, Virginia plates, extended the Calabasas bridge set to place the action on the Chesapeake Bay Bridge. They also added such details as the missile contrail to complement the pyro shots.



The ILM Model Shop and stage crew setup a huge pyro element for this shot of the Cobra going through it, in the Berlin sequence


This shot was created from six main non-mocon shots: two tiled of Tom Cruise performing the stunt and two other tiled of the explosion; plus two other plates. ILM would also add the UAV, helicopter, shockwave and additional debris and dust



ILM enhanced the Calabasas bridge set to enhance the apparent danger of the shots.

ฉากบู้ล้างผลาญเซี๊ยงไฮ้



ILM recreated Shanghai, including the building which Tom Cruise jumps off.









Director J.J. Abrams on location for Paramount Pictures'

ฉากแฮ๊ปปี้ เอนดิ้ง


โดยส่วนตัวเราชอบ Mission impossible ภาคแรก คลาสิค ที่สำคัญ เจ้าของตำนานเดินกล้องไม่เหมือนใคร ไบรอัน เดอพลามา 1 ใน 6 six catholic film maker hollywood กำกับอะ




Brian De Palma

ขอยกบทความ ซึ่งเขียนได้ดีมากเลยค่ะ เรื่องกำเนิด Mission Impossible ตั้งแต่ซีรีย์ ทีวี และจนกระทั้งเอามาทำหนังค่ะ บทความของ โดย ตีตั๋ว : วันที่่ 10 พฤษภาคม 2549 //www.cinemagonline.com/ticket/mi3.html

Mission Impossible III

โดย ตีตั๋ว : วันที่่ 10 พฤษภาคม 2549

30 กว่าปีก่อนตอนที่ซีรีย์ Mission: Impossible หรือชื่อไทย “ขบวนการพยัคฆ์ร้าย” ฉายออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม คอหนังฟรีร้องฮือฮาเป็นอย่างมาก



ยุคนั้นผมเองยังเป็นเด็กนักเรียนมัธยมต้น ได้ยินชื่อ “ขบวนการพยัคฆ์ร้าย” ครั้งแรกถึงกับเป็นงง เดาไม่ออกว่าหนังจะมาแนวไหน ถึงเวลาฉายจริงก็ตั้งตาดู จำได้ติดตาฉากสุดท้ายพวกพระเอกขึ้นรถหนีทิ้งหน้ากากบนพื้นถนน แต่ถ้าถามว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ตอบไม่ได้ เพราะดูแล้วไม่รู้เรื่อง ต้องดูต่ออีกสัก 2-3 ตอนถึงจับทางได้



ไอ้หน่วย IMF นี่ที่จริงน่าจะเรียกว่า “ขบวนการต้มตุ๋นทางการเมืองระดับนานาชาติ” มากกว่า “ขบวนการพยัคฆ์ร้าย” เนื่องจากภารกิจหลักของหน่วยนี้คือการวางแผนแหกตาสุดแยบยลเพื่อล้มล้างเป้าหมายรัฐบาลเผด็จการตามคำสั่งจากเบื้องบน และสามารถปฏิบัติภารกิจสำเร็จลุล่วงด้วยดีทุกครั้งโดยไม่เปลืองกระสุน ส่วนพวกที่โดนตุ๋นจะกำจัดกันเองภายหลังก็เป็นเรื่องของพวกเขา ไม่เกี่ยวกับ IMF


ส่วนวิธีการต้มตุ๋นของพวก IMF นอกจากการจัดฉากวางแผนเล่นละครตบตาแล้ว ยังมีอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ล้ำสมัย (ยุคนั้น) เป็นตัวช่วย แล้วก็เป็นจุดขายให้คนดูคอยติดตามดูว่าแต่ละสัปดาห์จะมีอุปกรณ์ใหม่ๆมาให้ดู



สมาชิกหลัก (เล่นประจำทุกสัปดาห์) ประกอบด้วยหัวหน้าหน่วยคอยรับงานแต่ไม่ต้องทำงานซึ่งมี 2 คน คนแรกคือ Daniel Briggs (1966-1967) ที่เล่นได้แค่ปีเดียว แล้วก็เปลี่ยนหัวหน้าคนที่สองคือ James Phelps (1967-1973) หรือที่คุ้นเคยในชื่อ “จิม” รายนี้เล่นตลอดจนหนังเลิกสร้าง และพอมีการปัดฝุ่นเอามาทำหนังโรงใหญ่ Phelps ก็กลับมารับบทหัวหน้าเหมือนเดิม

สมาชิกที่มีบทเด่นอีก 2 คนคือ Rollin Hand (1966-1969) กับ Barney Collier รายหลังนี่เล่นตั้งแต่ฤดูกาลแรกจนเลิกสร้าง คุณ Hand เป็นนักปลอมตัวปลอมหน้า แทรกซึมเข้าไปก่อกวนในกลุ่มเป้าหมาย ส่วน Collier เป็นวิศวกรผิวดำเชี่ยวชาญเรื่องอุปกรณ์อีเลคทรอนิกส์

สมาชิก 2 คนสุดท้ายประกอบด้วย Cinnamon Carter (1966-1969) เป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม หน้าที่หลักคือนางนกต่อ คนสุดท้ายคือ Willie Armitage นักกล้ามตัวล่ำบึ๊ก ไม่ต้องทำอะไรนอกจากยกข้าวของ

ห้าคนข้างต้นเป็นสมาชิกกลุ่มแรกที่สร้างความโด่งดังให้กับหนัง หลังปี 1973 ตัวละครเก่าบางตัวออกไป ตัวละครใหม่เข้ามา แต่ก็ไม่มีอะไรโดดเด่นน่าจดจำ



ซีรีย์ Mission: Impossible ถือว่ามาถูกที่ถูกเวลาถือว่ามาถูกที่ถูกเวลา ในยุคที่สงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต (ขณะนั้น) กำลังร้อนระอุ สายลับหน่วยข่าวกรองเดินขวักไขว่ไหล่แทบชนกัน ความสำเร็จของหนังสายลับเจมส์ บอนด์ 007 ตอน Dr.No (1962) ส่งผลให้วงการโทรทัศน์อเมริกันแข่งกันทำหนังแนวนี้เป็นทิวแถว ไม่ว่าจะเป็น The Man From U.N.C.L.E. (1964), Danger Man (1964), Get Smart (1965) และ The Wild Wild West (1965) สำหรับ Mission: Impossible เป็นน้องเล็กสร้างหลังสุด แล้วก็สร้างติดต่อกันนานถึง 8 ฤดูกาล เรื่องอื่นเลิกสร้างไปแล้วแต่เรื่องนี้ยังสร้างอยู่

อีกจุดเด่นของ Mission: Impossible คือธีมดนตรีของหนังฝีมือของ Lalo Schifrin ใช้โน้ตดนตรีไม่กี่ตัวเล่นซ้ำไปซ้ำมา แต่เข้ากันได้ดีเหลือเกินกับไตเติลที่เห็นไม้ขีดไฟจุดสายชนวนระเบิด ซึ่งก็คือดนตรีที่ฉบับหนังใหญ่เอามาใช้โดยไม่เก้อเขิน ว่ากันว่า Lalo แต่งธีมดนตรีเฉพาะไว้แล้วอีกเพลง แต่ทางผู้อำนวยการสร้าง Bruce Geller ไม่ชอบ ดันไปชอบดนตรีประกอบที่ Lalo แต่งเพื่อมาใช้ในฉากไล่ล่าในหนังซะยังงั้น

Mission: Impossible ยังเป็นมาตรวัดความสามารถในการพากย์ของนักพากย์ไทยยุคนั้นด้วย โดยหลังพากย์ประโยคสุดท้าย “...เทปม้วนนี้จะสลายตัวภายใน 5 วินาที โชคดีนะจิม...” ผู้ชมก็จะเริ่มต้นนับ 1 ถ้าถึง 5 แล้วภาพบนจอเห็นเทปเกิดควันฟู่ ถือว่าใช้ได้ พากย์ตรงเสียงซาวด์แทร็กพอดี


การที่หนังถูกสร้างติดต่อกันนานหลายปีก็มีผลเสียเหมือนกัน การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระดับโลกส่งผลกระทบอย่างมากกับหนัง สหรัฐอเมริกาที่เคยสร้างภาพลักษณ์ให้กับตัวเองว่าเป็นผู้ปกป้องประชาธิปไตย กลับถูกเปิดโปงหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระว่า เป็นต้นเหตุในการล้มล้างหลายรัฐบาลในประเทศโลกที่สามที่ไม่ยอมเดินตามนโยบายของรัฐบาลสหรัฐ (ขณะนั้น) วิธีการล้มล้างที่ทำประจำก็คือเอา CIA เข้าไปทำงานด้านข่าวกรอง ส่งเงินเข้าไปสนับสนุนผู้นำทางทหารเพื่อให้ทำการปฏิวัติ อะไรทำนองนั้น หลังรัฐบาลนั้นๆกระเด็นจากอำนาจ สหรัฐก็จะเข้าไปมีบทบาท อ้างว่าเข้าไปรักษาประชาธิปไตย แต่สุดท้ายความจริงก็ปรากฏ สหรัฐเข้าไปรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง เข้าไปกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติของประเทศนั้นๆ ส่วนรัฐบาลทหารที่สหรัฐสนับสนุน เอาเข้าจริงๆก็เป็นยิ่งกว่าเผด็จการตักตวงผลประโยชน์ใส่กระเป๋าตัวเองและพวกพ้องไม่กี่คน



แล้วก็บังเอิญที่พฤติกรรมของหน่วย IMF ในหนังมันเหมือนกันเหลือเกินกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง IMF ถูกมองว่าเป็น CIA ซึ่งในหนังชุดทางโทรทัศน์ไม่ได้พูดถึง เพิ่งจะมายอมรับในหนังโรงใหญ่ Mission:Impossible (1996) กลุ่มคนที่เกลียดนโยบายรัฐบาลอเมริกัน ก็พลอยเหม็นขี้หน้าหนัง Mission: Impossible พาลไม่อยากดูซะยังงั้น



อีกประเด็นก็มาจากเนื้อในของหนังเอง หลังจากสร้างมา 8 ปีติดต่อกัน คนเขียนบทเกิดอาการหมดมุข ไม่รู้จะเล่นง่ามไหนต่อดี เรื่องสายลับล้มรัฐบาลชาวบ้านก็พ้นสมัย หน่วยขบวนการพยัคฆ์ร้ายไม่มีอะไรทำในระดับอินเตอร์ เลยต้องหันมาจัดการกำราบพวกพ่อค้ายาเสพติดภายในประเทศแทน แผนต้มตุ๋นก็ไม่แยบยล ดาราใหม่ที่มาแทน Martin Landau ที่เล่นเป็นนักปลอมหน้ากับ Barbara Bain ที่แสดงเป็นนางนกต่อต่างขาดความน่าสนใจ แถมวันดีคืนดีก็จัดการทำลายเอกลักษณ์ตัวเองด้วยการให้ฝ่ายพระเอกจับปืนยิงสู้กับคนร้าย




สุดท้ายหนังซีรีย์ Mission: Impossible ที่สร้างมาทั้งหมด 168 ตอนก็ต้องแขวนนวมแบบหมดสภาพในปี 1973

ว่างเว้นไปอีก 23 ปี Mission: Impossible (1996) ถึงได้กลับมาใหม่ในแบบหนังโรงใหญ่ ได้ซูเปอร์สตาร์ Tom Cruise มาเป็นดารานำ แฟนหนังซีรีย์ดีใจจนเนื้อเต้น แม้จะผิดหวังนิดๆ กับการสลับกลับหัวกลับหางบทหัวหน้าทีม Phelps และนี่คือเหตุผลที่ Peter Graves ที่แสดงเป็น Phelps ในชุดซีรีย์ปฏิเสธที่จะกลับมารับบทนี้ในหนังใหญ่



Graves อาจลืมก็ได้ว่า ทุกอย่างใน Mission: Impossible คือสิ่งที่คนดูคาดไม่ถึง

ในแง่ของกลิ่นอายและบรรยากาศ ต้องถือผู้กำกับ Brian De Palma เก็บรักษาแบบฉบับของเก่าไว้แทบไม่ผิดเพี้ยน ไม่ว่าจะเป็นการเล่นละครปลอมหน้าหลอกลวง ตื่นเต้นกับการบุกล้วงความลับในศูนย์คอมพิวเตอร์สำนักงานใหญ่ CIA เร้าใจกับการวางแผนหักหลังซ้อนหักหลัง แค่กะพริบตาอาจตามเรื่องไม่ทัน ที่สำคัญ พระเอกเราแก้ปัญหาด้วยไหวพริบสติปัญญาเป็นสำคัญ ไม่ต้องใช้ปืนเป็นตัวช่วย



พอมา M:I 2 (2000) ที่กำกับการแสดงโดย John Woo บรรยากาศหนังเพี้ยนไปจากต้นฉบับเยอะ ทั้งที่เงื่อนไขอำนวยมากกว่า พระเอกทำงานตามคำสั่งเบื้องบน ไม่ได้หลบๆซ่อนๆหาทางฟอกตัวเหมือนภาคแรก แต่แทนที่จะทำงานเป็นทีม พระเอกกลับลุยเดี่ยวซะเป็นส่วนใหญ่ แถมโชว์ลวดลายยิงปืน 2 มือตามระเบียบ เล่นงานคนร้ายฝ่ายตรงข้ามตายเป็นเบือ

โทษใครไม่ได้ เนื่องจากเป็นไฟต์บังคับ หนัง John Woo จะไม่ให้ยิงปืน 2 มือ ไม่ให้มี slow motion ไม่มีนกพิราป ฯลฯ ได้ไง?

แต่ก็อีกนั่นแหละ พูดได้ไม่เต็มปากอีกเหมือนกันสำหรับ M:I 2 เพราะเบื้องหลังเขาบอกว่าหนังฉบับที่ John Woo ตัดออกมายาวตั้ง 3 ชั่วโมงครึ่ง แต่ทางพาราเมาต์ต้องการให้ยาวไม่เกิน 2 ชั่วโมง หนังก็เลยต้องรวบรัดไม่มีทางเลี่ยง



แล้วก็เหมือนมีอาถรรพณ์ คิดทำหนัง Mission:Impossible ทีไร เป็นต้องมีอุปสรรคมาขัดขวาง สมัยทำ M:I 2 ผู้กำกับที่นั่งแท่นมาคือ Oliver Stone ติดต่อทาบทามกันตั้งแต่หนังภาคแรกฉายใหม่ๆ แต่หลังจากคิดพล็อตวางโครงได้ไม่เท่าไหร่ Stone ก็เปิดหมวกอำลา เนื่องจาก Tom เคลียร์คิวหนัง Eyes Wide Shut (1999) ที่ถ่ายยังไม่เสร็จไม่ได้ ครั้นพอคิดจะเริ่มงาน M:i:III ก็ตกลงให้ David Fincher กำกับ แต่แล้ว Fincher ก็ถอนตัว เพราะจะไปทำหนังเรื่อง Lords of Dogtown (2005) แทน พอผู้กำกับหน้าใหม่ Joe Carnahan เข้ามาเสียบ เตรียมงานไปตั้งเยอะจนกระทั่งอีกเดือนหนังจะเปิดกล้อง (สิงหาคม 2004) แกก็ทิ้งเก้าอี้ไปอีกคน สาเหตุก็เพราะความคิดสร้างสรรค์ไม่ลงรอยกับคุณ Tom หลังจากนี้งานสร้าง M:i:III มีอันหยุดยาว เพราะพระเอก Tom ต้องไปเล่น War of the Worlds (2005) ที่ได้ไฟเขียวเปิดกล้องแบบฉุกเฉิน ร่นวันฉายให้เร็วขึ้นอีก 1 ปี สุดท้ายหวยก็มาลงที่ J.J. Abrams ผู้กำกับที่ Tom ประทับใจในฝีมือการกำกับหนังโทรทัศน์ Alias และกำหนดเปิดกล้องย้ายมาเป็นช่วงซัมเมอร์ 2005 สำหรับฉายในซัมเมอร์ปีถัดมา (2006)

การเปลี่ยนผู้กำกับและเลื่อนคิวไปมาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับหนัง M:i:III ไม่น้อย พล็อตเรื่องเดิมของ Fincher ที่ว่าด้วยตลาดมืดค้าอวัยวะมนุษย์ในแอฟริกาถูกเก็บใส่ลิ้นชัก, มีการทาบทาม Thandie Newton นางเอกหน้าพิลึกจาก M:I 2 จะกลับมารับบทเดิมในภาค 3 แต่เธอปฏิเสธเพราะอยากใช้เวลาอยู่กับครอบครัว บทนี้เลยถูกเปลี่ยนเป็นตัวละครใหม่ชื่อ Leah Quint ที่จะแสดงโดย Carrie-Anne Moss นางเอกที่แสดงเป็น Trinity ใน The Matrix แต่พอ J.J. Abrams มากำกับ หมอตัดตัวละครนี้ทิ้งแบบไม่เหลือใย, แล้วก็ไม่รู้ว่าบทน้อยเกินไปหรือเปล่า Scarlett Johansson ขอถอนตัวจากบท Lindsey Ferris ศิษย์เอกของ Ethan Hunt ปล่อยให้ Keri Russell รับบทแทน, Kenneth Branagh ก็ตกลงรับบทตัวร้ายของเรื่อง Owen Davian แต่เพราะเลื่อนเปิดกล้อง Branagh เลยถอนตัวไปอีกราย เพราะมีคิวแสดง As You Like It (2006) รออยู่ แต่มองว่าเป็นผลดีก็ได้เมื่อมี Philip Seymour Hoffman มาแทนที่ แล้วหมอก็เล่นเป็นผู้ร้ายได้ดีสมศักดิ์ศรีดาราตุ๊กตาทองหมาดๆ

M:i:III เอาหนัง 2 ภาคแรกมาผสมผสานได้สัดส่วน ฉากแอ็กชั่นใหญ่โตไม่กระจอกงอกง่อย เข้าใจเลือกโลเคชั่นที่ทั้งสวยทั้งแปลกตา ขณะเดียวกันก็ยังมาการปลอมหน้า เล่นละครตบตา หักเหลี่ยมซ่อนคมให้คนดูได้บริหารความคิดติดตามเรื่องไปด้วย


แต่ถ้าจะเทียบให้ชัด M:i:III กระเดียดไปทางหนังสายลับ 007 ที่ปราศจากบทรักฟุ่มเฟือยไม่เลือกกาละเทศะ ส่วนหนังที่เก็บอารมณ์ดั้งเดิมของ Mission:Impossible ขอยกให้ Ocean’s Eleven กับ Ocean’s Twelve




J.J. Abrams ประกาศว่าเขาไม่ได้ทำหนังสายลับ แต่ทำหนังที่ว่าด้วยเรื่องราวของคนที่เป็นสายลับ อารมณ์ของ M:i:III ก็เลยออกมาใกล้เคียงกับ Alias หนังซีรีย์สุดฮิตของเขา หากมองมุมนี้ถือว่า Abrams ทำออกมาได้รสชาติกลมกล่อม พระเอก Hunt อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก อุตส่าห์เลิกงานภาคสนามเพื่อมีชีวิตส่วนตัว มีความรัก มีครอบครัว แต่งานเสี่ยงตายก็วิ่งกลับมาหาอีก ครั้นจะปิดงำเป็นความลับ ก็ส่งผลร้ายต่อชีวิตครอบครัวอีก


บทสรุปที่ Abrams ให้ไว้ก็คือ หากเป็นสายลับต้องไม่มีคนรัก แต่หากมีคนรักต้องไม่มีความลับ ชีวิตคู่จะได้ยั่งยืนนาน คตินี้ไม่ได้สงวนไว้เฉพาะคนที่เป็นสายลับ ใช้ได้กับคนทำงานทุกอาชีพ

บทหนังส่งให้ Tom Cruise เด่นกว่าใครเพื่อน ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก แล้วแกก็เล่นไปตามเพลงแบบไม่มีอะไรน่าตำหนิ ยกเว้นบทวิ่งอกตั้งดูสง่าแต่ขัดตาเหลือกำลัง แต่ที่ขโมยซีนแบบสุดๆยกให้ Philip Seymour Hoffman บุคลิกของแกคือคนธรรมดาที่แสนร้ายกาจ เห็นน้ำตาคลอเบ้าตอนที่กำลังเข้าด้วยเข้าเข็มจะยิงหรือไม่ยิงคนรักของพระเอกดี ไอ้น้ำตานี่เองที่ทำให้เห็นอีกด้านที่ไม่ร้ายของแก



ที่เด่นแบบไม่ต้องปรุงแต่งอีกคนคือ Maggie Q ที่แสดงเป็น Zhen ลูกน้องชาวเอเชียของ Hunt ยามใส่ชุดแดงดูทั้งเท่ทั้งเซ็กซี ยิ่งเสียงออดอ้อนตอนจำใจกดระเบิดทำลายรถ Lamborghini ได้ใจผมไปเต็มๆ!

หนังดูเหมือนทิ้งปมปริศนามากมาย แต่เอาเข้าจริงๆก็ทำความเข้าใจไม่ยาก ดูไปคิดตามไปเดี๋ยวก็เข้าใจเอง

Source://www.ilmfan.com/articles/2006
/todd_vaziri_mission_impossible_3/
//www.cinemagonline.com/ticket/mi3.html
//en.wikipedia.org/wiki/Mission:_Impossible_III
//www.cinemareview.com/production.asp?prodid=3405
//movies.yahoo.com/movie/1808728916/photo/stills
//en.wikipedia.org/wiki/Caserta_Palace
//www.collider.com/dvd/reviews/article.asp/aid/4541/tcid/3
//www.pimall.com/nais/pivintage/llyods.html







 

Create Date : 25 ธันวาคม 2550
18 comments
Last Update : 10 มกราคม 2551 18:43:10 น.
Counter : 3408 Pageviews.

 

Merry Christmas ย้อนหลัง
และ
Happy New Year ล่วงหน้าจ้า...
มีความสุขมากๆนะค่า

เค้า Tag ตัวด้วยล่ะ...
เข้าไปดูที่ Blog ของ annie นะคะ

 

โดย: annie_martian 26 ธันวาคม 2550 15:47:59 น.  

 

ได้ดูทั้ง 3 ภาค แล้วครับ
เห็นสวาวสวย ในภาค 3 แล้วก็อดใจไม่ไหว
อยากหามาดูอีกจังอะ ... สวย เซ็กซี่ เอเซียง่ะ
...น่ารัก ๆ ๆ ๆ

 

โดย: haro_haro 26 ธันวาคม 2550 16:13:42 น.  

 

Merry Christmas ย้อนหลัง
และ
Happy New Year ล่วงหน้าจ้า...
มีความสุขมากๆนะค่า

เค้า Tag ตัวด้วยล่ะ...
เข้าไปดูที่ Blog ของ annie นะคะ



โดย: annie_martian วันที่: 26 ธันวาคม 2550 เวลา:15:47:59 น.

ตอบ Merry Christmas คนน่ารักจ้า ปายปาย ปายดูฮิ๊วววว

เดี๊ยว E ta haro กะตามปายยแถสาวสาวแน่แน่เล๊ยยย

 

โดย: Bernadette 26 ธันวาคม 2550 18:20:19 น.  

 

ได้ดูทั้ง 3 ภาค แล้วครับ
เห็นสวาวสวย ในภาค 3 แล้วก็อดใจไม่ไหว
อยากหามาดูอีกจังอะ ... สวย เซ็กซี่ เอเซียง่ะ
...น่ารัก ๆ ๆ ๆ



โดย: haro_haro วันที่: 26 ธันวาคม 2550 เวลา:16:13:42 น.


ตอบ เค้าดูหนังแอ็คชั่นบู๊ ล้างผลาญ นี้ดูสาวสาว เง๊ออออออออ

 

โดย: Bernadette 26 ธันวาคม 2550 18:23:20 น.  

 

^
^
แหม ๆ ไม่ให้มองสาวๆ ได้งัยอ่า ก็เธอ เซ้กส์+ซี่ ซะขนาดนั้น ไม่ไช่เรื่องนี้เรื่องเดียว นา ...อิอิ..



แงม ๆ

 

โดย: haro_haro 26 ธันวาคม 2550 19:43:22 น.  

 



ขโมยเค้ามาฝากจ้า มีความสุขนะจ๊ะ

 

โดย: หอมกร 26 ธันวาคม 2550 20:31:59 น.  

 

^
^
แหม ๆ ไม่ให้มองสาวๆ ได้งัยอ่า ก็เธอ เซ้กส์+ซี่ ซะขนาดนั้น ไม่ไช่เรื่องนี้เรื่องเดียว นา ...อิอิ..



แงม ๆ



โดย: haro_haro วันที่: 26 ธันวาคม 2550 เวลา:19:43:22 น.


ตอบ เธอสวยม๊ากกเป็งลูกครึ่งฮาวายอ่า ดังแว๊วววว

 

โดย: Bernadette 26 ธันวาคม 2550 20:34:18 น.  

 

แงม ๆ



โดย: haro_haro วันที่: 26 ธันวาคม 2550 เวลา:19:43:22 น.

หญิงชุดแดงแห่ง M:i:III
หญิงชุดแดงแห่ง M:i:III



วันที่่ 13 พฤษภาคม 2549



บนจอหนัง Mission: Impossible III เธอคือ Zhen สาวหวานสายลับห้าว หนึ่งในสมาชิกทีม IMF แต่ในชีวิตจริง ใครๆเรียกเธอว่า Maggie Q อดีตนางแบบระดับแนวหน้าและนางเอกหนังฮ่องกง



Maggie Quigley เกิดที่ Honolulu มลรัฐ Hawaii เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 1979 พ่อของเธอเป็นชาวอเมริกัน (ไอร์แลนด์ผสมโปแลนด์) แม่เป็นชาวเวียดนาม ตอนอายุ 17 ย่าง 18 ปี หลังเรียนจบไฮ-สกูล เธออพยพมาใช้ชีวิตในเอเชีย เดินทางไปเกือบทั่วทวีป ปักหลักแรกเริ่มที่ญี่ปุ่น ก่อนย้ายไปอยู่ไต้หวัน แล้วก็มาลงเอยที่ฮ่องกง อยู่ที่นั่นนาน 8 ปี


Above, Maggie takes aim in Live Free Or Die Hard
Left, Maggie in a publicity shot
ตอนที่ทำงานกับหนังสือพิมพ์ฉบับยักษ์ในฮ่องกง เพื่อนร่วมงานพบกับความยากลำบากในการสะกดนามสกุลของเธอ สุดท้ายก็แก้ปัญหาด้วยการเขียนแค่ตัวอักษร Q เฉยๆ ตั้งแต่นั้นมา ทุกคนก็เรียกชื่อฉบับสั้น Maggie Q ติดปาก

Maggie เป็นเด็กปั้นของเฉินหลง ทำงานร่วมกับพระเอกจมูกโตนานหลายปี ซึ่งก็ไม่แปลกหากเธอจะชื่นชมสุดยอดดารากังฟูเอเชียร่วมสมัยคนนี้ แล้วก็เพราะผ่านการฝึกเล่นหนังแอ็กชั่นอย่างคร่ำเคร่งนี่เอง ที่ทำให้ผู้หญิงคนเดียวในทีม IMF โดดเด่นเคียงบ่างเคียงไหล่เมื่อเข้าฉากกับดาราชายมีอันดับอย่าง Tom Cruise หรือ Ving Rhames

ทีมงาน Mission:Impossible III ไปเจอตัวเธอที่ฮ่องกง ก็เลยถือโอกาสทาบทามทางโทรศัพท์ แล้วก็ชวนเธอไปพบกับผู้กำกับ J.J. Abrams ที่ LA เมื่อมาถึงตามนัดปรากฏว่าเธอเกิดป่วยกะทันหัน แต่ก็พยายามตั้งใจนั่งฟัง J.J. พูด เขาพูดย้ำกับเธอว่าไม่ต้องการให้ผู้หญิงคนเดียวในทีม IMF ถูกเพื่อนร่วมทีมเพศชายข่มรัศมี แล้วก็ไม่ต้องการให้คนดูรู้สึกว่าผู้หญิงลูกทีมของพระเอก Tom Cruise เบอร์กระดูกห่างจากเจ้านาย (ในหนัง) มากเกินไป

แล้วเธอก็ได้เล่น Mission:Impossible III แต่อย่าถามเหตุผล เพราะเธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมผู้กำกับถึงเลือกเธอ

เพราะรู้ว่าโอกาสแบบนี้ไม่ได้วิ่งมาหาง่ายๆ Maggie ก็เลยตั้งใจฝึกฝนตัวเองอย่างหนัก นับแล้วหลายสัปดาห์ก่อนหนังเปิดกล้อง ระหว่างถ่ายก็ยังฝึกซ้อมคิวบู๊ต่อไม่หยุด รวมแล้วเธอมุ่งมั่นกับการซ้อมเล่นบทบู๊สำหรับหนัง Mission:Impossible III ไม่น้อยกว่าครึ่งปี สาเหตุที่ต้องซ้อมหนักขนาดนี้ก็เพราะในการเล่นหนังแอ็กชั่น จะซ้อมๆหยุดๆไม่ได้ จะต้องซ้อมต่อเนื่องจนกระทั่งหนังปิดกล้อง



กับผู้กำกับ J.J. Abrams เธอยกย่องเขาเป็นอย่างมาก ในสายตาของเธอ Abrams ไม่ได้เป็นคนประเภทยกตนข่มท่าน แต่เป็นคนสนุกสนานร่าเริง ฉลาดปราดเปรื่อง สัญชาตญาณของเธอบอกตัวเองว่าผู้กำกับคนนี้ต้องการอะไรที่ไม่ใช่ธรรมดาจากนักแสดง


Maggie พูดอย่างเปิดอกว่าเธอชอบบท Zhen ใน Mission:Impossible III มากๆ สายลับชาวจีนคนนี้เป็นผู้หญิง 2 บุคลิกภาพ ออกลุยเคียงบ่าเคียงไหล่กับพรรคพวกได้ไม่ขัดเขิน หรือจะแต่งตัวสวยเป็นสาวเซ็กซี ก็ดูมีเสน่ห์น่าหลงใหล

ข้อคิดปิดท้าย Maggie ยืนยันหนักแน่น ไม่ว่าจะเล่นหนังเล็กหรือหนังใหญ่ นักแสดงจะต้องทุ่มเทฝีมือเหมือนกันหมด หนังใหญ่อย่าง Mission:Impossible III ต้องการฝีมือการแสดงที่ไม่น้อยหน้าดาราที่ร่วมแสดงคนอื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายเป็นอย่างมาก ขณะที่หากต้องแสดงหนังทุนต่ำแค่ $1 ล้านกับ Philip Seymour Hoffman เธอสารภาพว่าคงคิดหนัก ต้องถามตัวเองตลอดว่าเล่นดีพอหรือเปล่า?

เงินหาใช่เครื่องมือตัดสินคุณภาพเสมอไป
และปรากฏตัวในโฆษณาทางทีวีอีกมากมาย อย่างเช่น นีเวีย , Just Diamond Jewellery และ Oil Of Olay นอกจากนี้ยังรวมไปถึงสื่อพิมพ์โฆษณาต่าง ๆ ใน Elle Fashion, Max Factor และ Hong Kong Bank และหน้าปกนิตยสารดัง ๆ ของฮ่องกงอีกด้วย เช่น Cosmopolitan, Vogue, Marie Claire ทั่วแทบฮ่องกงและใกล้เคียง ผลงานก่อนหน้านี้ของ Maggie Q เธอได้แสดงละครทีวีไต้หวัน เรื่อง “House Of the Dragon” และภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอใน “Ghost Model”


Source: //www.cinemagonline.com/article/maggieQ.html

 

โดย: Bernadette 26 ธันวาคม 2550 20:53:31 น.  

 

diehard 4
เจ้าหล่อน ก็เซ็กซี่ สุดยอดเลยล่ะ .... หยิบมาอีกรูปอะนะ .. ว้าวๆๆๆ



เง้อออออ...

 

โดย: haro_haro 26 ธันวาคม 2550 20:54:25 น.  

 

ขบวนการพยัคย์ร้าย ได้ดูทั้ง 3 ภาคแร้ว

ชอบมั๊กๆเช่นกันจ้า

คิดเรื่องนางเอกเหมือนตาฮาโร่ ก๊ากส์

 

โดย: mr.cozy 27 ธันวาคม 2550 9:36:27 น.  

 



แวะมาส่งความสุขปีใหม่จ้า

 

โดย: หอมกร 27 ธันวาคม 2550 9:50:54 น.  

 

ขบวนการพยัคย์ร้าย ได้ดูทั้ง 3 ภาคแร้ว

ชอบมั๊กๆเช่นกันจ้า

คิดเรื่องนางเอกเหมือนตาฮาโร่ ก๊ากส์



โดย: mr.cozy วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:9:36:27 น.


ตอบ ผู้ชายนี้ กะดูหนังแอ็คชั่นเป็นส่วนประกอบอะปะงะ

นางเอกสาวๆๆนี้ ธีมหลักของเรื่องแน่แน่เลยงะ

มะเห็นบอกชอบทอมครูส เหมือนสาวสาวเลย แฮะแฮะ

 

โดย: Bernadette 27 ธันวาคม 2550 9:55:29 น.  

 

แวะมาส่งความสุขปีใหม่จ้า




โดย: หอมกร วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:9:50:54 น.

ตอบ อะจ้า สุขสันต์ปีใหม่จ้า

 

โดย: Bernadette 27 ธันวาคม 2550 9:56:20 น.  

 

Thanks for missing on your tag..ja

But my head is not good to remember
all things in the pass..

Just head for the future..so I could not be able to
answer any tag...So sorry.. na..ka

Glitter Graphics - GlitterLive.com


 

โดย: เริงฤดีนะ 27 ธันวาคม 2550 11:01:16 น.  

 

Tagg .. Tag Tagg จ้า..

สาวๆ เยอะจริงด้วยอ่า ..
เสร็จแล้วจ้า แท็ก ง่า..

 

โดย: haro_haro 27 ธันวาคม 2550 12:00:25 น.  

 

Thanks for missing on your tag..ja

But my head is not good to remember
all things in the pass..

Just head for the future..so I could not be able to
answer any tag...So sorry.. na..ka




Glitter Graphics - GlitterLive.com






โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:11:01:16 น.

ตอบ เที่ยวบ่อยแน่แน่ มะเป็งไรจ้า

 

โดย: Bernadette 27 ธันวาคม 2550 14:57:57 น.  

 

มารีอองยังดูไม่ครบเลยค่ะคุงแบร์ ขอบคุณที่ไปเยี่ยมที่บล็อคนะค่ะ ขออนุญาตแอดเป็นเพื่อนนะฮะ ข้อมูลเพื่อนๆนี่เยอะๆกันทั้งนั้นเลย

 

โดย: มารีออง 27 ธันวาคม 2550 20:28:12 น.  

 

มารีอองยังดูไม่ครบเลยค่ะคุงแบร์ ขอบคุณที่ไปเยี่ยมที่บล็อคนะค่ะ ขออนุญาตแอดเป็นเพื่อนนะฮะ ข้อมูลเพื่อนๆนี่เยอะๆกันทั้งนั้นเลย



โดย: มารีออง วันที่: 27 ธันวาคม 2550 เวลา:20:28:12 น.

ตอบ ดูเลย ยุยุ ถาม E Ta Haro_Haroงะ ดูหนังแอ็คชั่นดันดูสาวสาวหุหุ

 

โดย: Bernadette 28 ธันวาคม 2550 8:45:16 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Bernadette
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




In the name of the Father, and of the Son, and of the Holy Spirit

The Ave Maria asks Mary to "pray for us sinners."

Amen

PaPa for all Father W e pray year of priests.



Card Michael Michai Kitbunchu, Archbishop of Bangkok, is the first member of the College of Cardinals from Thailand.

source :http://www.asianews.it/news-en/Michai-Kitbunchu,-first-cardinal-from-Thailand-3038.html

พระคาร์ดินัล ไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู คณะเชนต์ปอล part1

ฺBishop ฟรังซิส เซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช พิธีรับPallium Metropolitans Bangkok Thailand >

สารคดี เทศกาลแห่ดาว สกลนคร Welcome
Sakonnakorn Christmas Thailand
Metropolitans Tarae Sakornakorn Thailand


Orchestra and four vocal Choir - *Latin* Recorded for the Anniversary of the Pope Benedict XVI April 19 This is the Anthem of the Vatican City. The Songs are called Inno e Marcia Pontificale ...

We are Catholic.

หน้าเฟส อัพรูป หาที่อัพรูปใหม่อยู่ http://www.facebook.com/bernadette.soubirous.3


MusicPlaylist
MySpace Music Playlist at MixPod.com

Friends' blogs
[Add Bernadette's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.