ธันวาคม 2555

 
 
 
 
 
 
1
4
7
8
10
11
13
15
17
18
19
21
24
25
28
31
 
 
All Blog
พระจันทร์ลายดาว.......ดวงตะวัน


โปรยปก

“เราสองคนเหมือนเกิดมาเพื่อแก้ปัญหาให้คนอื่นนะคะ”
“ของผม ‘แบก’ ครับ”

ชยันโตส่ายหน้า อีกครั้งที่เกี้ยวเกล้าบอกตัวเองว่าหล่อนเข้าใจ
“แล้วเคยคิดมั้ยครับว่าเมื่อไหร่มันจะจบสิ้นเสียที”
“คิดค่ะ คิดทุกครั้งที่มีปัญหามาตกหนักอยู่ที่เราคนเดียว”
“นอนไม่หลับ ลุกขึ้นมาเดินจงกรมรอบบ้าน”
“เข้าไปนั่งในห้องพระ ถามพระว่าหนูเป็นคนไม่ดีตรงไหน ทำไมชีวิตถึงได้มีแต่ปัญหา”

ชยันโตอมยิ้ม เกี้ยวเกล้าหัวเราะ แม้จะฟังดูขื่นและขมนิด ๆ
แต่ก็เป็นเสียงหัวเราะของคนที่เข้าใจโลก เข้าใจชีวิตอย่างที่มันเป็นจริง...จริง ๆ
“ใช่ว่าไม่อยากมีโลกสวยอย่างคนอื่นเขาหรอกนะคะ แต่ก็ผ่านปัญหามาเยอะจนรู้ว่า..”
“โลกไม่ต้องสวยนักก็ได้ ขอแค่มีกำลังใจสู้โลกเส็งเคร็งก็พอ”
“ค่ะ สำหรับฉัน ร้านพระจันทร์ลายดาวกับเพื่อน ๆ คือกำลังใจคือน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตของฉัน...คุณโตล่ะคะ”

ชายหนุ่มถอนหายใจยาว มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยดวงตาลึกซึ้ง ไม่เอ่ยคำใด ทั้ง ๆ ที่ในหัวใจมีคำร่ำร้องดังกึกก้อง...คุณเกี้ยวช่วยเป็นกำลังใจให้ผมได้มั้ย



หลังอ่าน  (มี spoil...เหมาะกับผู้ที่เคยอ่านแล้ว
)

คงเพราะแอบตั้งความหวังไว้  เมื่อมันไม่ได้ดังใจ  ความรู้สึกเลยยากจะบรรยาย
เพราะดวงตะวัน มิใช่นักเขียนมือใหม่ ...และเคยเป็นนักเขียนในดวงใจที่เราตามเก็บตามซื้อ จนครบทุกเล่ม....ดังนั้นมันจึงอดไม่ได้ที่จะคาดหวังไว้ในระดับหนึ่ง....เรื่องนี้ก็เป็นนิยายที่อ่านได้ดีนะคะ  แต่สำหรับเราแล้วมันไม่ราบรื่นเท่าไร  มีจุดสะดุดและข้องใจ ที่ขัดความสำราญจากเนื้อเรื่องพอควรเลยทีเดียว  

จุดหลัก นั้นจากมาฝั่งนางเอกล้วน ๆ หลายจุดให้ความรู้สึกขัดแย้ง....ผู้เขียนบรรยายบุคลิก นางเอกว่า สวย รวย แกร่ง กร้าว ชัดเจน ตรงไปตรงมา  แต่ก็ มีจิตใจที่ห่วงใยและพร้อมจะช่วยเหลือคนอื่น  แต่พอมองกลับไปทางฝั่งครอบครัวของนางเอกแล้ว เรากลับคิดว่า นางเอกใจคอคับแคบ แม้จะบอกว่ารักน้องชายต่างมารดา แต่ที่ต้องดุ เพราะน้องเกเร ....ในเนื้อเรื่องบอกไว้ว่า พ่อของนางเอกตายตอนเธออายุ 16 ซึ่งก็แปลได้ว่า ขณะนั้นน้องชายอายุประมาณ 6-7 ขวบ ...ซึ่งต้องเรียกได้ว่ายังอยู่ในวัยบริสุทธิ์...แล้วเธอเลี้ยงดูอบรมน้องชายบ้างหรือไม่ อย่างไร ...ณิกษ์จึงโตมาเป็นเด็กเกเร ....อนุมานได้ว่าเธอเลี้ยงด้วยน้ำเงิน มิใช่ด้วยรัก อย่างสายเลือดใกล้ชิดที่เหลืออยู่เพียง สองคนพี่น้อง....

ความร่ำรวยของนางเอกก็เป็นที่น่ากังขา....พ่อที่เป็นนักธุรกิจตายลงทิ้งมรดกและทรัพย์สมบัติไว้ให้นางเอกในวัย 16 ปี ดูแลและปกครอง...ในจุดนี้ผู้เขียนไม่ได้ให้ความกระจ่าง ว่านางเอกดูแลปกครอง อะไร และอย่างไร ...( หญิงสาววัย 16 ไม่น่าจะดูแลกิจการได้ และยิ่งเป็นกิจการใหญ่มาก ก็มักจะมีผู้จัดการผลประโยชน์ให้อยู่แล้ว/ บุคคลจะทำนิติกรรมได้ต้องอายุ 20 ปี )...มองผิวเผินจุดนี้ดูไม่สำคัญ  แต่มองอีกที มันส่งผลต่อความเป็นตัวตนของนางเอกนะ...และผู้เขียนเองก็ย้ำแล้วย้ำอีกในเรื่องนี้

ผู้เขียนใส่ไว้ชัดเจนว่า นางเอกนั้นสูงส่ง เพราะสวย และร่ำรวย ขณะที่พระเอกแสนจะธรรมดา....
ในจุดนี้ต้องบอกว่า  เราเห็นต่างอย่างยิ่ง  เพราะถ้ามองแบบในเนื้อเรื่อง  ย่อมจะเป็นการมองคนที่เปลือก...ขณะพระเอกคือดอกบัวที่เกิดจากโคลนตม ส่งเสียตัวเองร่ำเรียน จนปัจจุบันร่วมหุ้นกับเพื่อนเปิดบริษัทรับออกแบบ   ส่วนนางเอกไม่ได้แสดงไว้เลยว่าทำงานทำการใด ๆ มีรายได้จากเงินมรดกของบิดาเพียงเท่านั้นเอง...( เนื้อเรี่องนอกจากร้านพระจันทร์ลายดาวที่คิดทำแล้วไม่มีให้อ้างอิงใด ๆ เลยว่าขณะนี้ และที่ผ่านมานางเอกทำงานทำการอะไร...และที่คิดทำร้านก็เพราะช่วยเพื่อนมากกว่าทำงานเพราะเห็นคุณค่าของการมีงานทำ )....
จากมุมมองของเราแล้ว เรารู้สึกว่า นางเอกดู ล่องลอย และไร้ค่ากว่าพระเอก

ฉากติดกลอนประัตู นี่ก็ไม่เนียน...แล้วช่วงเวลาก่อนหน้านี้  อุปกรณ์ในบ้านที่ชำรุดเสียหาย นางเอกจัดการอย่างไรเล่า  แล้วกลอนประตูเนี่ย จำเป็นต้องใช้ช่างพิเศษที่ไว้ใจได้สุด ๆ เชียวหรือ  มันไม่ใช่ dead lock หรือลูกบิด ที่ต้องกลัวช่างแอบปั๊มกุญแจนะ ...นี่มัน กลอน ประตู ...

บทไคลแมกซ์ช่วงท้าย ...หลังจากถูกเพื่อนรักหักหลังหมาด ๆ   นางเอกยังสามารถให้อภัย เดินเข้าไปโอบกอดผจงนวล ได้อยู่อีก....ตรงนี้ดูยังไงก็ไม่เป็นธรรมชาติ  ให้เป็นคนดียังไง ขณะที่แผลยังสดใหม่ ก็ไม่น่าจะขนาดนั้นนะ  ( และก็ถ้าเธอเป็นคนดีขนาดนั้นจริง ทำไมเธอไม่ดีกับ แม่เลี้ยงและน้องชายให้มากกว่านี้ )

อีกจุดที่รบกวนอรรถรส คือในการเล่าเรื่อง ผู้เขียนยังคงมีการ Copy &paste อยู่...แต่เธอพัฒนาขึ้น เพราะหนึ่งข้อความ(คำพูด) เธอสามารถ paste ไม่ต่ำกว่า 4-5 ครั้งในเรื่อง....จนเราอดคิดไม่ได้ว่า  มากไปหรือเปล่า ข้อความนี้สำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ ถึงต้องย้ำ paste มาขนาดนี้  ....อะไรก็ตามที่ใช้มากไป มันจะเฝือ  และน่ารำคาญ

อ่านเล่มนี้จบลงแล้วอดรู้สึกไม่ได้ว่า พัฒนาการทางสำนวนภาษาของผู้เขียน นั้นสวนทางกับรสนิยมของเรา....เราชอบถ้อยคำและสำนวนที่เรียบง่าย แต่ให้ความรู้สึกจับใจมากกว่า....ขณะที่พักหลัง ๆ ผู้เขียนนิยมใช้ศัพท์สำนวนที่สวย เก๋  แต่ให้ความหมายแปร่งปร่า  และลดทอนอารมณ์จากเนื้อเรื่อง.....ทั้งนี้ทั้งนั้นในจุดนี้เป็นความคิดเห็น และรสนิยมส่วนบุคคล ผู้อ่านท่านอื่นอาจไม่รู้สึกเหมือนเราก็ได้นะคะ

ถ้าดูภาพรวมกว้าง ๆ ไม่คิดมากเหมือน จขบ.  เล่มนี้ก็ไม่ได้แย่นะคะ  อ่านได้ค่ะ มีการหยอดมุกพราวพราย ( ขำไม่ขำ เนียนไม่เนียน.. นั่นอีกเรื่องหนึ่ง )  แต่เราชอบงานเก่า ๆ ของดวงตะวันมากกว่า  ส่วนจะติดตามผลงานของเธอต่อไปหรือไม่  ต้องขอตอบตามตรงว่า เริ่มลังเลแล้วค่ะ  เพราะค่าหนังสือสมัยนี้แพงเหลือใจ..





p.s.  ปทานุกรมศัพท์ ฉบับ ดวงตะวัน ประจำเล่ม


โมงยาม  :  ใช้แทนความหมายตั้งแต่เวลาชั่ววินาที จนถึงเวลาในช่วงหนึ่งของชีวิต มีทั่วไปตลอดเล่ม
โชนฉาน :  ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะแปลได้ถูกความหมาย
หรือไร   :   เป็นหนึ่งในสำนวนที่ขาดไม่ได้ จึงถูกใช้อยู่เป็นระยะ ตลอดเล่มเช่นกัน
ผิดภาพ  :   น่าจะหมายถึง ผิดจากภาพที่นึกไว้
หม่นมืด  :   ตกลงมันจะแปลว่า หมองมัว  หรือมืดทึบจนมองไม่เห็นล่ะ




Create Date : 09 ธันวาคม 2555
Last Update : 9 ธันวาคม 2555 21:56:01 น.
Counter : 2137 Pageviews.

8 comments
  
จขบ.อ่านด้วยเหตุผลมากกว่าเรา ตรงน้องต่างแม่...เราเคยเจอครอบครัวหนึ่ง แนวนี้เลย เลี้ยงดูมา เหมือนจะน้องแต่ก็ยังมีเรื่องตะขิดตะขวง เหมือนจะรักแต่ก็มีชังอยู่ในที เหมือนจะหวังดี แต่ก็สร้างความรู้สึกที่ไม่ใช่
โดย: ~:พุดน้ำบุศย์:~ วันที่: 9 ธันวาคม 2555 เวลา:16:50:16 น.
  
ไม่กล้าอ่านคอมเม้นท์เลยค่ะ เพราะซื้อไว้อยู่เหมือนกัน (แต่คงอีกนาน ยังไม่ได้เริ่มอ่าน ดวงใจเจ้าเอ๋ยเลยค่ะ)
โดย: Sab Zab' วันที่: 9 ธันวาคม 2555 เวลา:19:55:04 น.
  
เรื่องนี้ยังไม่เคยอ่านเลยค่ะ
ขอบคุณรีวิวค่ะ ...อ่านไว้พิจารณา


ปล. ตอนเข้ามา ...กำลังจะถามว่า
หนังสือเล่มนี้ มีคำว่า "โชนฉาน" บ้างหรือไม่

เจอ P.S. ช่วงท้ายไป อย่างฮาเลย
บังเอิญจังว่าคุณสะดุดใจกับคำเดียวกับเรา

"โชนฉาน" ..เราเจอบ่อยมาก ...และเกือบทุกเล่ม...
ส่วนตัว คิดว่าพอเข้าใจความหมายนะ (แต่ถูกต้องหรือเปล่าไม่รู้)

เราว่าคำมันสวยเก๋ดี ..แต่มันไม่ใช่คำปกติ ที่คนใช้บ่อยๆ ทั่วไป
พอเราเห็นคำๆ นี้ ..ใช้หลายต่อหลายครั้งในหนึ่งเล่ม ...มันกลายเป็นสะดุด และเผื่อไป ..
โดย: nikanda วันที่: 9 ธันวาคม 2555 เวลา:20:26:21 น.
  
^
^
เห็นด้วยกับคห.ข้างบนเต็ม ๆ

นอกจากคำแปลก ๆ (ที่คนเขียนคิดว่าเก๋)ที่จขบ.ยกมาข้างบนนั่น
ส่วนตัวนึกได้คำหนึ่ง ที่ดูเหมือนคุณดวงตะวันจะใช้บ่อยมาก...

คำว่าละม้าย...ละม้ายว่า...อย่างนั้นอย่างนี้...

บางเล่มเจอบ่อยชนิดหน้าละ 3-4 ครั้ง เลยทำให่รู้สึกว่านักเขียนที่เค้าเขียนนิยายเยอะ ๆ บางทีก็จนต่อถ้อยคำเหมือนกันแฮะ

หรือจะเป็นจุดนี้หรือเปล่า...
ที่ทำให้เราสะดุดกับงานของดวงตะวัน จนห่างเหินไปในระยะหลัง ๆ นี้ ?
โดย: แม่ไก่ วันที่: 9 ธันวาคม 2555 เวลา:22:50:26 น.
  
ยังไม่ได้อ่านค่ะ
เพราะยังไม่ได้อ่าน "ดวงใจเจ้าเอ๋ย"
มาแอบอ่านรีวิวไว้ก่อน
โดย: เหมือนพระจันทร์ วันที่: 10 ธันวาคม 2555 เวลา:11:05:30 น.
  
ยังไม่ได้อ่านดวงใจเจ้าเอ๋ยเลยค่ะ
โดย: หวานเย็นผสมโซดา วันที่: 10 ธันวาคม 2555 เวลา:23:16:36 น.
  
อ่านแล้วค่ะเรื่องนี้ ในเรื่องของคำหรือสำนวน และการ copy & paste ไม่ค่อยไ้ด้ติดใจอะไรมากนัก เหมือนจะชินไปแล้วเพราะอ่านของดวงตะวันมาเยอะ แต่ก่อนเคยรู้สึกว่ามันก็เฝือไป ตอนนี้เฉยๆ แหะๆๆ

แต่ที่รู้สึกติดใจเป็นตรงท้ายๆของเรื่องเหมือนคุณ serverlus ที่ว่า ทำไมนางเอกถึงได้อภัยให้กับเพื่อนได้ง่ายดายขนาดนั้น มันมีแต่ในนิยายเท่านั้นหล่ะ...คนดีขนาดนั้น เป็นนกจิ๊บคงทำได้อย่างมากที่สุดก็คงเดินมามองหน้าแล้วไม่พูดอะไร ด่าด้วยสายตาอ่ะ...

ส่วนเรื่องของน้องชาย นกจิ๊บก็เห็นต่างจากคุณ serverlus นะคะ ด้วยความที่น้องชายเป็นลุกเมียน้อย ซึ่งก็มีอยู่ตอนนึงที่บรรยายถึงความเจ็บปวดของแม่นางเอกที่ต้องทนเห็นสามีเอาผู้หญิงอื่นมาอยู่ในชายคาเดียวกัน แล้วความเจ็บปวดนั้นก็ซึมซับมาถึงนางเอก รู้สึกแต่ก็เข้าใจ...มันเลยเหมือนที่คุณพุดบอกค่ะ จะรักก็ไม่ได้เต็มร้อย จะเกลียดก็ไม่ได้เต็มที่ ค้างๆคาๆ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

เรื่องงานของนางเอก...นกจิ๊บเดาเอาเองนะคะว่า นางเอกไม่น่าจะทำงานอะไรเลยตั้งแต่พ่อตาย ธุรกิจก็คงมีคนจัดการไปตามระบบ แล้วเก็บกินแต่ผลกำไรหรือปันผลอะไรทำนองนั้นนะคะ เพราะไม่มีตรงไหนของเรื่องที่พูดให้เห็นชัดเจนเลยว่า นางเอกทำอะไร นอกจากคอยช่วยแก้ปัญหาให้คนอื่น 55555 หรือนี่คือ อาชีพของนางเอก (ล้อเล่นๆๆ)
โดย: rainoflove (rainoflove ) วันที่: 26 ธันวาคม 2555 เวลา:16:04:13 น.
  
^
^
นั่นแหละค่ะ คุณนกจิ๊บ ที่เราว่ามันไม่เคลียร์ นางเอกจะชังน้องชายน่ะไม่ผิดอะไร แต่ผู้เขียนเหมือนจะใส่โทนไว้ว่านางเอกน่ะรักน้องชาย คือประมาณว่า ไม่ว่าจะเลวยังไง นั่นก็คือน้อง...ตรงนี้ให้ความรู้สึกขัดมาก ๆ ....หรือไม่ก็น่าจะเขียนให้เห็นชัดเจนไปเลยว่าทั้งรักทั้งเกลียด

ก็ในเมื่อนางเอก ไม่ได้ทำงาน(ธุรกิจ ) ส่วนงานในบ้าน ก็มีแม่เลี้ยงคอยจัดการ ...แล้วนางเอกน่ะ แกร่ง และเก่ง จากตรงไหน ( ตามที่เขียนบรรยายไว้เลิศลอย )

อีกจุดคือมุมมองของเราที่เห็นว่านางเอกนั้นไม่ได้สูงส่งกว่า พระเอกตามแบบที่เขียนไว้เลยสักนิด การมองคนที่ฐานะ เป็นการมองคนที่เปลือก มันเป็นค่านิยมที่ผิด ที่เราไม่คิดว่าจะเห็นมันในงานของดวงตะวัน... ( ผู้เขียนคิดเห็นอย่างนี้จริง ๆ หรือนี่ ?? )
โดย: Serverlus วันที่: 26 ธันวาคม 2555 เวลา:19:25:49 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Serverlus
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [?]