|
หลัง เปิดตัวไปเมื่อต้นเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ก็เชิญสื่อมวลชนไปสัมผัสกับสมรรถนะของเครื่องยนต์ใหม่ ดูราแม็กซ์ ที่วางในเอสยูวีรุ่น เทรลเบลเซอร์ บนเส้นทาง มัณฑะเลย์-พุกาม-ย่างกุ้ง ประเทศพม่า ระยะทางรวมกว่า 1,000 กิโลเมตร โดยวางกำหนดการไว้ 3 วัน 2 คืน มีรถให้ทดสอบทั้งหมด 7 คัน ติดตั้งเครื่องยนต์ ดูราแม็กซ์ รุ่นใหม่ ปี 2014 เป็นแบบดีเซลคอมมอนเรลเทอร์โบ 4 สูบ 2,800 ซีซี 200 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิด 50.95 กก.-ม. ที่ 2,000 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ เริ่มออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิในช่วงเช้ามืด ใช้เวลาบนเครื่องบินประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที เนื่องจากเที่ยวบินค่อนข้างเช้าจึงมีที่นั่งว่าง เมื่อเครื่องบินขึ้นจึงขยับขยายไปนั่งตรงที่ว่าง ผมย้ายไปนั่งริมหน้าต่างเพื่อชมวิวมุมสูงของเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งมีโอกาสเห็นไม่บ่อยนัก สังเกตว่าหลังจากกัปตันประกาศว่ากำลังจะลงจอด เครื่องบินได้บินวนไปรอบๆ อยู่พักใหญ่ ก่อนจะเริ่มลดระดับลงเพื่อลงจอดที่สนามบินมัณฑะเลย์ |
|
|
|
ระหว่างที่เครื่องบินกำลังลดระดับฝ่าก้อนเมฆ ก็รู้สึกว่าเครื่องบินเร่งความเร็วและเชิดหัวขึ้นพ้นเมฆอีกครั้ง ผมหันไปมองหน้าเพื่อนสื่อมวลชนรุ่นพี่ที่เคยทำงานเกี่ยวกับสนามบินมาก่อน ก็บอกมาว่ากลับสุวรรณภูมิแน่ๆ ตอนแรกผมก็ยังไม่เชื่อ แต่หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจกัปตันก็ประกาศว่าเครื่องลงไม่ได้ เนื่องจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ทำให้ทัศนวิสัยแย่กว่าจุดต่ำสุดที่กำหนดไว้ ต้องนำเครื่องกลับสุวรรณภูมิ ใช้เวลาพอๆ กับขามาก็ลงจอด เนื่องจากเป็นการเดินทางระหว่างประเทศ จึงไม่สามารถออกจากเครื่องบินได้ และกัปตันก็ประกาศอีกครั้งว่าจะบินกลับไปที่สนามบินมัณฑะเลย์ใหม่อีกครั้ง แต่ต้องรอตรวจสอบสภาพอากาศและตารางบินอีกครั้ง ทำให้ต้องนั่งรอในเครื่องบินอีกกว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง จึงบินกลับไปที่มัณฑะเลย์อีกครั้ง คราวนี้ลงได้โดยสวัสดิภาพ สรุปว่าการเดินทางครั้งนี้ใช้เวลากว่า 7 ชั่วโมง |
|
|
|
จากกำหนดการเดิมต้องไปถึงเมืองมัณฑะเลย์ซึ่งอยู่ใจกลางพม่าเวลา 8.45 น. ก็กลายเป็น 14.30 น. ตามเวลาของพม่าซึ่งช้ากว่าไทย 30 นาที ทำให้ต้องเปลี่ยนกำหนดการต่างๆ ที่วางไว้ทั้งหมด เพราะต้องขับรถลงมาทางตะวันตกเฉียงใต้กว่ากว่า 300 กิโลเมตร เพื่อให้ถึงที่พัก Bagan Lodge ในเมืองพุกาม ระยะทางรวมประมาณ 300 กิโลเมตร ช่วงแรกเป็นมอเตอร์เวย์และแยกออกไปอีกประมาณ 150 กิโลเมตร ถึงโรงแรมเกือบ 3 ทุ่มจากกำหนดเดิม 1 ทุ่ม ทานอาหารค่ำที่โรงแรมก่อนแยกย้ายกันพักผ่อน วันรุ่งขึ้นแวะชม ดินแดนทะเลเจดีย์แห่งเมืองพุกาม ซึ่งเป็นโปรแกรมของเมื่อวานที่นำมารวมกับวันนี้ ใช้เวลาดื่มด่ำกับอารยธรรมโบราณอยู่นานพอสมควร จึงออกเดินทางไปยังร้านอาหารกลางวัน Sunset Garden Restaurant ซึ่งอยู่ติดริม แม่น้ำอิรวดี ว่ากันว่าช่วงที่พระอาทิตย์ตก บรรยากาศจะสวยงามมาก น่าเสียดายที่คณะของ เชฟโรเลย ต้องออกเดินทางต่อ เพราะจุดหมายของวันนี้คือเมืองย่างกุ้ง อยู่ห่างออกไปอีกกว่า 600 กิโลเมตร |
|
|
|
หลังทานอาการกลางวันเสร็จก็ขับย้อนทางเดิมเพื่อกลับขึ้นมอเตอร์เวย์อีกครั้ง สภาพถนนค่อนข้างเรียบกว้างและโล่ง แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ มอเตอร์ไซค์ จักรยาน คน และสัตว์เลี้ยง ที่สามารถเข้ามาในมอเตอร์เวย์ได้ ช่วงที่ต้องขับบนมอเตอร์เวย์ ระยะทางประมาณ 450 กิโลเมตร คิดว่าคงใช้เวลาไม่นานเพราะคาดว่าจะขับด้วยความเร็วสัก 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่เอาเข้าจริงตำรวจพม่าที่ขับรถนำ กลับใช้ความเร็วแค่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามที่กฎหมายกำหนด เพราะถ้าเจ้าหน้าที่ทำผิดกฎหมายเองจะโดนโทษหนัก แต่เท่าที่สังเกตดูก็พบว่าขบวน เชฟโรเลต ถูกแซงอยู่บ่อยครั้ง แม้แต่รถทัวร์ขนาดใหญ่ก็ยังแซง ในวันที่ 2 ผมรับหน้าที่เป็นผู้ขับตั้งแต่ออกจากโรงแรม และขับจนกว่าจะค่ำค่อยเปลี่ยนให้เพื่อนอีกคนช่วยขับ การขับรถในพม่าค่อนข้างยาก และยังมีหลายความสับสนเช่น หลักบอกระยะทางมีหน่วยเป็นไมล์ แต่ป้ายกำหนดความเร็วมีหน่วยเป็นกิโลเมตรต่อชั่วโมง การจราจรก็ยังมีความสับสนเพราะพม่าขับรถชิดขวา แต่รถที่ใช้มีทั้งพวงมาลัยซ้ายและขวา การให้สัญญาณก็มีความแปลกเช่น รถช้าขับชิดขวา ถ้าจะให้รถเร็วที่มาจากด้านซ้ายแซงขึ้นไป จะเปิดไฟเลี้ยวซ้าย คาดว่าน่าจะติดมาจากสมัยที่พม่ายังขับรถพวงมาลัยขวาและขับชิดซ้าย (รถพวงมาลัยขวาขับชิดซ้าย ถ้าจะให้รถด้านหลังแซงขึ้นไปก็จะเปิดไฟเลี้ยวซ้าย) ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากประเทศอังกฤษ ที่เข้ามายึดครองพม่าอยู่ช่วงหนึ่ง เมื่อพม่าประกาศอิสรภาพจึงต้องการลบล้างความเป็นอังกฤษออกไปจากประเทศ จึงเปลี่ยนมาขับรถชิดขวา และเปลี่ยนหน่วยวัดความเร็วเป็นไมล์ต่อชั่วโมง |
|
|
|
การที่ชาวบ้านที่ยังคงใช้ชีวิตตามปกติ เหมือนก่อนที่จะมีมอเตอร์เวย์ตัดผ่าน ทำให้ต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในช่วงค่ำ เพราะจักรยานและมอเตอร์ไซค์หลายคันไม่มีไฟส่องสว่าง ผู้คนก็ออกมานั่งกันที่ข้างทางและเกาะกลางถนน และที่สร้างความยากลำบากในการขับรถตอนกลางคืนในประเทศพม่า คือ ผู้ขับรถส่วนใหญ่จะเปิดไฟสูงขับเป็นเรื่องปกติ แม้จะขับสวนทางมาในระยะใกล้ หรือขับแซงจากด้านหลังขึ้นไปก็ไม่ลดไฟต่ำให้ ตอนแรกคิดว่าจะเปิดไฟสูงกันเฉพาะถนนนอกเมืองที่ไม่มีไฟส่องสว่าง แต่เมื่อเข้าถึงตัวเมืองย่างกุ้งแล้วก็ยังเปิดไฟสูงกันอยู่ ทำเอาปวดตาไปตามๆ กัน ในเรื่องการใช้สัญญาณแตรก็ยังมีความสับสน ไกด์นำทางบอกผ่านวิทยุสื่อสารว่าเมื่อจะแซง ต้องให้สัญญาณแตร ส่วนเพื่อนที่ขับด้วยกันมีประสบการณ์ในการขับรถในประเทศเพื่อนบ้านอย่างช่ำชองบอกว่า บางครั้งถ้ารถจะออกจากซอยแล้วเรากดแตร เป็นการเตือนว่าไม่ให้ออกมา รถคันนั้นจะออกมาเลยเพราะการกดแตรแสดงว่าเราเห็นรถคันนั้นแล้ว ในช่วงที่ผมขับมีรถจะออกจากซอยทางขวา ผมก็เผลอกดแตร รถคันนั้นก็ขยับยื่นหัวออกมาเกือบครึ่งเลน ทำให้ผมและรถท้ายขบวนต้องหลบกันพัลวัน เนื่องจากถูกจำกัดความเร็ว จึงไม่มีโอกาสได้ลองสมรรถนะของเครื่องยนต์ใหม่กันมากนัก เท่าที่ขับก็พบว่าอัตราเร่งไหลลื่นต่อเนื่องกว่าเดิมเล็กน้อย อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยการขับทั้ง 2 วัน อยู่ที่ 13 กิโลเมตรต่อลิตร ความเร็วเฉลี่ย 57.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ได้ใช้กันอย่างเต็มประสิทธิภาพคือ ระบบเบรกดิสก์ 4 ล้อ ที่ยังคงให้ความมั่นใจได้ทุกครั้งที่ต้องเบรกกะทันหัน |
|
|
|
ออกจากมอเตอร์เวย์แล้วต้องขับในเมืองย่างกุ้งอีกประมาณ 30 กิโลเมตรเพื่อเข้าพักที่ Sedona Hotel วันรุ่งขึ้นก่อนเดินทางกลับเมืองไทย ได้แวะไปสักการะ พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ซึ่งอยู่ในเมืองย่างกุ้ง การจราจรช่วงเช้าของวันธรรมดารถติดสาหัสพอๆ กับเมืองไทย แต่วุ่นวายกว่าด้วยจักรยานและมอเตอร์ไซค์ สังเกตเกาะกลางถนนที่มีการปลูกหญ้าและต้นไม้ไว้ ก็ยังมีคนข้ามถนนไปนั่งเล่นเหมือนเป็นสวนสาธารณะขนาดย่อม โชคดีที่วันนี้เดินทางด้วยรถบัสจึงไม่ต้องเคร่งเครียดกับการจราจร |
|
|
|
ต่อจากนั้นจึงไปเยี่ยมชม ศูนย์เชฟโรเลต หรือ Chevrolet Brand Experience Center ซึ่งเป็นความร่วมมือกับ บริษัท แปซิฟิก อัลไพน์ จำกัด เปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2556 นี้ จากนั้นจะเปิดศูนย์ผู้แทนจำหน่ายที่รองรับการขาย การบริการ และชิ้นส่วน โดยจะเปิดตลาดในพม่าด้วยการทำกิจกรรมเพื่อสังคมหรือ CSR เช่น เชฟโรเลต วัน เวิลด์ ฟุตบอล มอบลูกฟุตบอลที่มีความทนทานสูงให้ชุมชนต่างๆ ในพม่าจำนวน 5,000 ลูก ภายในเวลาครึ่งปี มอบรถยนต์ 2 คันให้กับองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร เพื่อใช้เดินทางช่วยเหลือและให้บริการชาวพม่า รวมทั้งมอบเครื่องยนต์และชิ้นส่วนให้สถานศึกษาในพม่า เพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาสเรียนรู้เทคโนโลยีและได้รับประสบการณ์จริง หลังจากเยี่ยมชม Chevrolet Brand Experience Center แล้วก็เดินทางต่อไปยังร้านอาหารกลางวัน และเตรียมขึ้นเครื่องบินกลับเมืองไทยที่สนามบินนานาชาติย่างกุ้ง ขอบคุณ: บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด อำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง |