Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2551
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
13 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
ตอนที่ 13 ตัดสินใจ

วันสุดท้ายของหนึ่งสัปดาห์ที่บริษัทอนุญาตให้ตั้นลาหยุดเนื่องจากอุบัติเหตุ บาดแผลต่างๆแทบหายสนิทแล้ว รอยฟกช้ำและอาการปวดขัดตามร่างกายก็หายไปด้วย หลังจากจัดการกับเสื้อผ้ากองโตเรียบร้อยแล้ว ตั้นกำลังจัดเรียงหนังสือใหม่ที่ซื้อมาระหว่างต้องนอนพักอยู่บ้านไว้บนชั้นหนังสือ สายตาเหลือบมองนาฬิกา วันนี้คงจะเหมือนกับทุกๆวันที่ผ่านมา อีกประมาณหนึ่งชั่วโมง กฤษ กับ น้ำผึ้งก็คงจะมาถึงที่นี่

หลายวันที่ผ่านมา เธอมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับน้ำผึ้งมากขึ้น จนยอมรับว่า หญิงสาวคนนี้ดีพร้อมในทุกด้าน ทั้งนิสัยใจคอ ชาติตระกูล ทรัพย์สมบัติ การศึกษา กิริยามารยาทที่อ่อนหวานนุ่มนวล มาถึงนาทีนี้ ตั้นยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความเหมาะสมกัน ความหวานที่เขาทั้งคู่มีให้กัน ทุกวันที่ผ่านไป เธอยังเป็นเพื่อนของกฤษได้ดี ทั้งๆที่ยอมรับและเข้าใจในเหตุผล แต่อาการเจ็บปวดในโพรงอกนั้นไม่เคยน้อยลง เธอได้แต่บอกตัวเองว่าเวลาคงจะช่วยได้

“นายกับน้ำผึ้งไปนั่งดูโทรทัศน์ก่อนนะ เดี๋ยวฉันเก็บล้างเอง” ตั้นพูดกับเพื่อนทั้งคู่หลังจากผ่านพ้นมื้อเย็นฝีมือของน้ำผึ้งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอร่อยและคุณค่าทางอาหาร

“ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันทำเอง นายไปให้น้ำผึ้งทำแผลเถอะ”

“ไม่เป็นไร ให้ฉันทำเองเถอะ รบกวนทั้งนายทั้งน้ำผึ้งมาหลายวันแล้ว” เจ้าของห้องพยายามจะขอทำหน้าที่นี้ด้วยตัวเอง

“เอาน่า แค่นี้ไม่ลำบากหรอก ฉันทำให้ได้ นายไปทำแผล จะได้หายเร็วๆ พรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานแล้ว” กฤษพูดกับเจ้าของห้องก่อนที่จะหันไปพูดกับน้ำผึ้ง

“น้ำผึ้งครับ ผมรบกวนหน่อยนะครับ”

“ไม่รบกวนหรอกค่ะ” เสียงอ่อนหวานตอบรับอย่างนุ่มนวล ก่อนจะส่งยิ้มมาให้ตั้น แล้วรุนหลังร่างโปร่งให้เดินไปนั่งที่โซฟารับแขก

ระหว่างที่กฤษเก็บล้างอยู่ในครัว กล่องปฐมพยาบาลซึ่งเดิมเคยตั้งอยู่มุมด้านในสุดของตู้ในห้องนอน ตอนนี้มาประจำอยู่ที่ชั้นด้านล่างของโต๊ะรับแขกตัวเล็กที่จัดไว้คู่กับโซฟา เพื่อให้คุณพยาบาลหยิบใช้ได้สะดวก และจากกล่องที่เคยมีเพียงยาพาราเซตตามอลกับยาแก้ปวดท้อง ปัจจุบันนี้เต็มไปด้วยยาและสิ่งของที่จำเป็นสำหรับการทำความสะอาดแผลของคนป่วยและยาสามัญประจำบ้านขนานต่างๆที่น้ำผึ้งนำมาให้

มือเรียวที่ชำนาญปฎิบัติกับแผลของตั้นอย่างนิ่มนวล ตั้นมองเสี้ยวหน้าขาวละมุนที่มีรอยยิ้มอบอุ่นประดับไว้อยู่เสมอ .. ใบหน้าของหญิงสาวที่เพื่อนของเธอรัก..ตั้นบอกกับตัวเองในใจ รับรู้อาการปวดลึกภายในโพรงอก ความเจ็บปวดที่เธอเริ่มชาชิน และเธอมั่นใจว่ามันไม่ได้ทำให้เธอแสดงอาการอะไรให้อีกฝ่ายรับรู้

“กฤษเล่าให้น้ำผึ้งฟังว่า รู้จักกับตั้นมาตั้งแต่เด็กเลยเหรอคะ”

“ค่ะ ตั้งแต่ ประถมต้นๆ เลยล่ะค่ะ ขี่จักรยานกัน เล่นกันเกือบทุกวัน”

“ดีจัง น้ำผึ้งอยากรู้จักกฤษตั้งแต่เด็กๆบ้างจังค่ะ” ดวงตากลมโตสดใสจับจ้องที่ใบหน้าของคนป่วย

“ทำไมเหรอคะ” ตั้นแปลกใจกับสิ่งที่น้ำผึ้งพูดถึงจนต้องเอ่ยปากถาม

“อยากรู้จักนิสัยใจคอ ความคิดของกฤษมากกว่านี้น่ะค่ะ”

ตั้นมองลึกเข้าไปในดวงตากลมโตคู่นั้น เธอไม่แน่ใจว่าสายตานั้นหมายความว่าอย่างไร ฟังดูจากน้ำเสียงแล้วบางทีมันอาจจะแฝงความรู้สึกกังวลถึงอะไรบางอย่างมากกว่าเพียงคำพูดธรรมดา

“กฤษเป็นคนดีนะคะ วางใจได้ แม้ว่าจะจูจี้ขี้บ่น ปากร้าย ชอบเป็นห่วงเกินกว่าเหตุเหมือนกับพ่อ แต่รับรองได้ว่า น้ำผึ้งคิดไม่ผิดหรอกค่ะ ที่เลือกกฤษ” ร่างโปร่งสบตานิ่งกับอีกฝ่ายด้วยความจริงใจพร้อมกับรอยยิ้ม ทั้งๆที่ปวดในอกเหมือนถูกลิ่มตอกย้ำลงไปตรงกลางแผลที่เป็นหลุมลึก ตั้นพยายามกดความรู้สึกส่วนลึกให้กลับลงไป

“กฤษปากร้ายด้วยเหรอคะ น้ำผึ้งไม่เคยรู้”

“แสดงว่าน้ำผึ้งยังไม่เคยโดน แต่ไม่โดนคงจะดีกว่าค่ะ” ตั้นยิ้มให้กับอาการปวดแปลบในใจ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป และได้ทิ้งบาดแผลสดใหม่ไว้ในความทรงจำ

“น้ำผึ้งอยากจะรู้จักกฤษมานานแบบตั้นบ้างจัง อยากรู้ทุกเรื่องของกฤษน่ะค่ะ” รอยยิ้มเขินอายน้อยๆประดับอยู่บนเรียวปากอิ่มสีกุหลาบ

คนที่อยู่ในฐานะเพื่อนสนิท เก็บกลั้นความรู้สึกก่อนจะกลืนก้อนแข็งๆลงไปในคอ

“... เวลาจะยาวนานหรือสั้นมันอาจจะไม่เกี่ยวก็ได้นะคะ เวลาคงไม่ได้ทำให้คนรักกัน แต่มันแค่ทำให้คนสองคนผูกพันกัน ถ้าทั้งสองคนเกิดมาเพื่อกันและกัน ก็ต้องเป็นคู่กันจนได้นั่นแหละค่ะ แต่ถ้าไม่ได้เกิดมาเพื่อกันและกัน ต่อให้ใช้เวลาด้วยกันยาวนานเท่าไหร่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง...”

ความกังวลเกิดขึ้นทันที เมื่อดวงตาของตั้นสบกับดวงตาของผู้ฟังที่นิ่งเงียบไป สายตานั้นเหมือนค้นหาอะไรบางอย่างที่เธอพยายามแอบซ่อนไว้ในส่วนลึกที่สุดของใจ ตั้นไม่อยากให้ใครสักคนรู้ถึง ...ความรัก ที่ควรจบอยู่แค่คำว่า เพื่อน แต่ตัวเธอเองหยุดมันไม่ได้ และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดตอนนี้ คือคนที่เธอไม่อยากให้รู้ที่สุดกำลังสงสัยในตัวเธอ

“เอ่อ...น้ำผึ้งอึ้งไปเลยเหรอคะ ที่ตั้นน้ำเน่าขนาดนี้” ตั้นทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดลง ด้วยประโยคที่พยายามเรียกรอยยิ้ม

“คุยอะไรกันอยู่ครับ” เสียงขัดจังหวะที่ดังขึ้น ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากบทสนทนาและสายตาที่สร้างความกังวลใจ

และเหมือนกับทุกเย็นที่ผ่านมา เมื่อกฤษเข้าร่วมวงสนทนา ตั้นก็ผันตัวกลายเป็นผู้ฟังที่อยู่นอกวงแทบเกือบจะทันที ระหว่างที่ตั้นฟังทั้งสองคนพูดคุย เล่าเรื่องราว เสียงหัวเราะรื่นรมย์ มองคนทั้งคู่หยอกเย้ากัน โดยไม่สามารลบความกังวลต่อสายตาเมื่อครู่ออกไปจากสมองได้

“จริงเหรอคะที่ตั้น ขี้เหนียวน่ะค่ะ” เสียงหวานที่หันมาพูดกับตั้น ดึงเธอออกจากความคิดวิตกของตนเอง และทำให้เธอกลับเข้าร่วมวงสนทนาอีกครั้ง

“น้ำผึ้งอย่าไปเชื่อมากนะคะ กฤษชอบเผาเพื่อนค่ะ”

“อ้าว นายจะเถียงว่าไม่จริงหรือไง”

“แล้วนายมีอะไรยืนยัน” ตั้นโต้กลับไม่ยอมแพ้

“จำตอนรับน้องได้มั้ย”

“รับน้องเหรอ ทำไม ฉันทำอะไร” ตั้นขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“น้ำผึ้งครับ เรื่องมันมีอยู่ว่า คุณตั้นคนดีของน้ำผึ้งน่ะนะครับ จริงๆจะต้องถูกรุ่นพี่จับให้ผูกข้อมือกับผู้ชายปีหนึ่งในคณะ แต่ด้วยความพยายาม และความสามารถส่วนบุคคล เธอคนนี้ก็หนีหลุดรอดออกมาได้” กฤษเล่าด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน

“จริงเหรอคะตั้น เก่งจัง ทำยังไงเหรอคะ” น้ำผึ้งหันมาถามผู้ที่กำลังถูกเผา

“ก็วิ่งอ้อมตึกหน่อย หลบๆรุ่นพี่นิด ก็รอดแล้วค่ะ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น” ตั้นตอบพร้อมกันนึกย้อนความหลัง

“ทำเป็นพูดดี แต่จริงๆ ก็หอบใช่มั้ยล่ะ”

“เออ ใช่” ตั้นมองรอยยิ้มของคนช่างแกล้ง

“แล้วตั้นทำไมต้องหลบล่ะคะ ไม่อยากรับน้องเหรอคะ”

“ไม่ใช่หรอกครับน้ำผึ้ง คุณตั้นคนน่ารักของน้ำผึ้งน่ะ เขาอยากเก็บภาพบรรยากาศงานรับน้องผ่านเลนส์ในมุมมองของตัวเองน่ะครับ”

“แล้วยังไงต่อคะกฤษ ไม่เห็นเกี่ยวกับที่กฤษว่าตั้นงกเลย”

กฤษเหลือบตามองเพื่อนเก่าก่อนจะมองหญิงสาวร่างเล็กที่กำลังรอฟังอย่างตั้งใจ

“พอผมเจอคุณตั้นที่สนาม ระหว่างที่กำลังหามุมกล้องเหมาะๆ ผมก็พยายามชวนเขาไปด้วยกัน เขาก็ปฎิเสธอยู่นั่นแหละ จนผมต้องเอาเรื่องเงินรางวัลที่รุ่นพี่จะแจกมาล่อ คุณตั้นถึงยอมไปรับน้องกับผม”

“ตั้นผูกข้อมือกับกฤษเหรอคะ” ดวงตากลมโตแฝงความหวั่นไหวไม่มั่นใจที่มองมาทางเธอ ทำให้เธอกลั้นหายใจไปชั่วขณะ ตั้นไม่แน่ใจว่าน้ำผึ้งรู้เรื่องเล่าต่อๆกันมาของประเพณีการผูกข้อมือในวันรับน้องมากน้อยแค่ไหน

“ค่ะ แต่ว่า เรื่องของเรื่องคุณกฤษคนดีของน้ำผึ้งน่ะค่ะ เขาวางแผนว่าจะไปขอผูกข้อมือกับเซียวเหล่งนึ่งคนที่สอง แต่เขาไปช้าไปหน่อย เซียวเหล่งนึ่งคนนั้นเลยไปผูกข้อมือกับคนอื่นแล้ว พอเพื่อนเดินแบกกล้องบังเอิญผ่านไปได้จังหวะพอดี เลยตกเป็นผู้โชคร้ายค่ะ” ตั้นเล่าพร้อมกับแกล้งทำสีหน้าระอาใจให้เกินกว่าความจริง พร้อมกับส่ายศีรษะ เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากหญิงสาวร่างเล็กที่เป็นเซียวเหล่งนึ่งคนปัจจุบันของกฤษ

“เซียวเหล่งนึ่งคนที่สอง เหรอคะ น่ารักมั้ยคะ” น้ำผึ้งถามตั้นด้วยรอยยิ้มกว้าง

“เซียวเหล่งนึ่งคนนั้นรู้สึกว่า กฤษยังไม่มีโอกาสรู้จักชื่อด้วยซ้ำ มัวแต่รีๆรอๆ ปรากฏว่าเธอมีแฟนไปแล้ว” ตั้นเล่าจากความทรงจำของวันวานด้วยรอยยิ้ม ดีใจที่ได้แกล้งเพื่อนกลับบ้าง โดยไม่สนใจกับความปวดหนึบในช่องอก

“สู้เซียวเหล่งนึ่งคนนี้ของผมไม่ได้หรอกครับ” กฤษพูดพร้อมกับจับมือเรียวเล็กมากุมไว้ในฝ่ามือใหญ่

“ใช่ค่ะ ตั้นก็ว่าอย่างงั้น น้ำผึ้งน่ารักมากๆเลย” ตั้นช่วยย้ำเพื่อเพิ่มความมั่นใจ เธอไม่อยากเห็นแววตาที่แฝงไว้ด้วยความไม่มั่นใจในตัวเพื่อนของเธอ รอยยิ้มอบอุ่นที่ตอบกลับมาจากน้ำผึ้งทำให้ความกังวลของตั้นลดลง

สามทุ่มเวลาเดียวกับทุกค่ำคืน แขกที่ทำให้ห้องสว่างไสวก็ขอตัวลากลับ เจ้าของห้องมายืนส่งทั้งคู่หน้าประตูเหมือนกับทุกครั้ง แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปจากทุกวันคือ มือใหญ่ของร่างสูงจับไหล่ทั้งสองของตั้น เพื่อดึงให้หญิงสาวมายืนนิ่งอยู่ตรงหน้า ความอบอุ่นที่ห่างหายไปนานบวกกับความรู้สึก..รัก..ที่เธอเพิ่งเข้าใจตัวเอง ทำให้ใจเต้นแรง เธอกลัวว่าสายตาของน้ำผึ้งที่กำลังสังเกตอยู่จะเห็นอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น และเพราะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหน ตั้นจึงได้แต่หลบสายตาร่างสูงที่กำลังมองตรงมา รอจนแน่ใจว่าจังหวะการเต้นของหัวใจเป็นปกติพอที่จะสามารถกลบเกลื่อนความรู้สึกส่วนลึกที่อยู่ภายในใจได้แล้ว จึงสบตากับเพื่อน...แค่เพื่อนที่รู้จักกันมานาน ไม่ใช่คนที่เธอรัก

“พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแล้ว ไปไหวมั้ย ถ้าไม่ไหวก็ลาหยุดอีกซักอาทิตย์มั้ย” ชายหนุ่มถามขึ้นหลังจากที่เอามือทั้งสองข้างออกจากไหล่บอบบาง แต่ยังไม่หยุดสายตาสำรวจร่องรอยบาดแผลที่ยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง

“ไม่เอาแล้ว กินนอน กินนอน จนเบื่อจะแย่แล้ว”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนเช้าจะมารับนะ ห้ามหนีไปก่อน ไม่งั้นโดนลงโทษ” กฤษพูดจบแล้วขยี้ผมตั้นเล่นเบาๆ ก่อนจะใช้ปลายนิ้วไล้ผ้าก็อตสีขาวสะอาดที่ปิดแผลบริเวณหน้าผากของหญิงสาวอย่างเบามือ

มือเรียวของน้ำผึ้งที่ยืนอยู่ข้างกฤษสอดจับมือใหญ่อีกข้างไว้หลวมๆ เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ สายตาที่จ้องมองมาที่เธอหวั่นไหวหวาดระแวง เหมือนจะมองทะลุเข้าไปรับรู้ความรู้สึกที่เธอพยายามแอบซ่อนไว้ ดวงตาคู่นั้นทำให้เธอรู้สึกละอายใจเหลือเกิน

“ขอบคุณมากๆเลยนะคะ น้ำผึ้ง กฤษด้วย ไม่น่าจะต้องมาลำบาก มาเสียเวลากันขนาดนี้เลย”

“ไม่ลำบากอะไรหรอกค่ะตั้น กฤษคะ กลับกันเถอะค่ะ ตั้นจะได้พักผ่อน” น้ำผึ้งพูดกับเจ้าของห้อง ก่อนจะหันไปพูดกับกฤษ เรียวปากอิ่มยังคงมีรอยยิ้มประดับไว้

“นั่นซิครับ” ร่างสูงหันไปพูดกับคนข้างตัวกระชับมือเรียวที่อยู่ในอุ้งมือให้แน่นเข้า ก่อนจะกล่าวลาแล้วจูงมือกันเดินออกไป

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .


ตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกาดิจิตอลสว่างเรืองท่ามกลางความมืด ตั้นนอนลืมตาโพลงอยู่บนเตียง ฝ่ามือซ้ายรับรู้ถึงสัมผัสแข็งของวัตถุกลมแบนที่แนบนิ่ง พวงกุญแจกระป๋องเบียร์มีอุณหภูมิเดียวกับเจ้าของเพราะมันถูกกำไว้ครู่ใหญ่

ในความคิดยังคงวนเวียนติดอยู่กับสายตาของหญิงสาวที่เหมือนมองเห็นสิ่งที่เธอพยายามปิดบัง ตั้นไม่อยากเข้าข้างตัวเองว่า น้ำผึ้งคงไม่รู้ในสิ่งที่เธอคิด เพราะถ้าน้ำผึ้งไม่เอะใจ แววตาที่แฝงรอยหวั่นไหวนั้นคืออะไร

เปลือกตาบางปิดลง ทบทวนสิ่งต่างๆที่ผ่านมาในแต่ละช่วงเวลา ตั้งแต่ต้องออกมาใช้ชีวิตคนเดียว คนที่สนใจความเป็นอยู่ของเธอมากที่สุด ก็คือ กฤษ ยิ่งคิดยิ่งไม่รู้สึกแปลกใจเลย ที่อีกฝ่ายจะรู้สึกว่าเธอเป็นเพียงภาระชิ้นใหญ่ เธอต่างหากน่าสมเพชที่ไม่เคยรู้ตัวเองมาก่อนว่าสร้างความลำบากใจให้เพื่อนมากแค่ไหน

เธอไม่รู้ว่าตอนนี้ความคิด...ความรู้สึกของน้ำผึ้งเป็นอย่างไร แต่สิ่งสุดท้ายที่อยากให้เกิดขึ้น คือ น้ำผึ้งเข้าใจกฤษผิดเพราะเธอ

เพื่อนคนที่คอยอยู่ใกล้...ห่วงใยในเวลาที่เจ็บป่วย อยู่เคียงข้างในเวลาที่โดดเดี่ยว คนที่ใช้เวลาร่วมกันมากมาย แต่ต่อไปนี้ จะมีแค่ตัวเธอเองก็พอ..มันเพียงพอแล้ว สำหรับการที่จะมีลมหายใจต่อไปในแต่ละวัน

จากเดิมที่ตั้งใจจะอยู่เคียงข้างในฐานะเพื่อน แต่ถ้าระยะห่างระหว่างเธอกับเขากำลังจะเป็นปัญหา สิ่งเดียวที่คนอย่างเธอพอจะทำให้ได้ คือเธอควรจะถอยห่างออกมาจนกว่าเธอจะหยุดใจตัวเองไว้เพียงแค่คำว่า “เพื่อน” จริงๆ

ร่างบางซึมซับความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านออกจากโพรงอก นอนขดตัวกอดตัวเองที่เหมือนกำลังปริร้าวไว้แน่น เก็บความทรงจำที่แสนเจ็บปวดรวมไว้กับตะกอนที่นอนนิ่งอยู่ใต้บึ้งของจิตใจ แล้วปล่อยสติให้ล่องลอยไปกับความมืดที่เงียบสงัด

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

กลิ่นจากกาแฟผงสำเร็จรูปลอยอวลทั่วห้องในยามเช้า ตั้นจิบกาแฟช้าๆ รอฟังเสียงเปิดประตู เมื่อกาแฟพร่องไปครึ่งแก้ว เสียงที่เธอรอคอยก็มาถึง

บานประตูเปิดออก ก่อนที่ร่างสูงคุ้นตาจะหยุดถอดรองเท้า แล้วเดินเข้ามายังโต๊ะกินข้าวที่ตั้นนั่งดื่มกาแฟอยู่ เธอจับจ้องทุกอิริยาบถเพราะรู้ว่าอีกนานกว่าจะได้เจอเพื่อนคนนี้อีกครั้ง เพื่อนคนที่ทำให้ใจเธอหวั่นไหว และถึงแม้ว่าเจอกันอีกครั้ง สายตาที่เธอมองร่างสูงอาจมองด้วยสายตาและความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ไม่เหมือนเช่นวันนี้

“กาแฟมั้ย” คนที่กำลังดื่มกาแฟอยู่ก่อนถามขึ้น เธออยากเก็บภาพของกฤษที่ใช้เวลาอยู่ภายในห้องนี้ไว้ให้นานอีกหน่อย

“อืม ก็ดีเหมือนกัน” ร่างสูงเหยียดแขนออกไปเต็มที่ก่อนจะบิดตัวไปมาเพื่อขับไล่ความง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ แล้วนั่งลงตรงข้าม เอนหลังพาดศีรษะไว้บนพนักพิง เหยียดขายาว ตั้นยิ้มกับตัวเองเมื่อเห็นท่าทางผ่อนคลายของชายหนุ่ม และ อดเปรียบเทียบกับท่าทีแสนสุภาพเมื่อมีน้ำผึ้งอยู่ด้วยไม่ได้

แก้วกาแฟควันกรุ่นวางลงตรงหน้าชายหนุ่มที่ยังคงหลับตา เธออดนึกสงสัยไม่ได้ว่า แก้วนี้เป็นแก้วที่เท่าไหร่ที่ได้มีโอกาสชงให้กับเขา ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เธออยากจะบันทึกทุกเรื่องราว ทุกเหตุการณ์ระหว่างเธอกับเขาไว้ให้ละเอียดกว่านี้ กว่าที่มีเหลือไว้ในความทรงจำ

หลังจากตั้นดื่มกาแฟและเก็บล้างแก้วทั้งสองใบเรียบร้อยแล้ว กฤษเดินไปคว้ากระเป๋าโน้ตบุ๊กสีดำใบประจำของเพื่อนขึ้นสะพายบนบ่า ก่อนจะเดินนำออกไปจากห้อง เจ้าของห้องปิดประตูห้องแล้วเดินตามร่างสูงไป

สายตาของคนที่เดินตามมาจับจ้องที่แผ่นหลังกว้าง .. อบอุ่น ให้ความรู้สึกปลอดภัยกับคนที่อยู่ใกล้ ก่อนที่ความคิดจะพาความรู้สึกจมดิ่งไปกับความเจ็บปวด สายตาของเธอสะดุดกับสีเงินของพวงกุญแจที่ตัดกับสีดำของกระเป๋า ซึ่งช่วยให้หยุดความคิดฟุ้งซ่านและกลับมาอยู่กับความเป็นจริง

’สิ่งที่นายต้องการจากฉันคงเป็นแค่เพื่อนคุย เพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว ฉันเคยตั้งใจจะเป็นแค่เท่าที่นายอยากให้เป็น แค่เท่าที่นายต้องการ ไม่รบกวนก้าวก่ายอะไรไปมากกว่านั้น แต่วันนี้บางสิ่งมันเปลี่ยนไป ... คนที่อยู่ข้างนายคงไม่สบายใจถ้าฉันยังอยู่ตรงนี้ และนายเองก็คงไม่เป็นไร ถ้าฉันจะไม่อยู่ที่นี่ เพราะ นายมีเพื่อนที่จะร่วมคุย ร่วมกิน ร่วมเที่ยวอีกมากมาย .. ไม่จำเป็นต้องเป็น...ฉัน... ไม่จำเป็นเลย ..’ ตั้นบอกกับกฤษในใจ พร้อมกับรู้สึกร้อนที่ขอบตา

เมื่อเห็นร่างบางทิ้งระยะห่างจากเขา ชายหนุ่มลดช่วงก้าวลงจนเธอขึ้นมาเดินเคียงข้าง

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

รถแล่นเรื่อยไปตามทาง การจารจรยามเช้าไม่ติดขัดมากนัก ตั้นเหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนขับ

“เป็นอะไร ไม่สบายรึเปล่า เงียบเชียว” กฤษถามขึ้นขณะที่รถกำลังติดไฟแดง ก่อนจะใช้มืออุ่นร้อนแนบกับหน้าผากมนของตั้นเพื่อวัดไข้

“ไม่ได้เป็นอะไร สงสัยหยุดไปนานเกิน เลยยังไม่ชินกับตื่นเช้าล่ะมั้ง” ตั้นตอบด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับฟังเสียงจังหวะหัวใจตัวเองที่เต้นแรงขึ้น

“น้ำผึ้งน่ารักดีนะ” ตั้นพูดขึ้น หลังจากที่ทั้งคู่ปล่อยให้ในรถมีเพียงความเงียบ

“เออดิ เนี่ยผู้หญิงในสเปคเลย ดูสะอาด บริสุทธิ์ น่ารัก เรียบร้อย อ่อนหวาน” กฤษพูดอารมณ์ดี รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้า เมื่อพูดถึงคนที่อยู่ในหัวใจ

“หาแฟนซักคนดิ เอาแบบสเปคแกก็ได้ แล้วแกจะมีความสุข รื่นเริงแบบฉัน ... อ้อ...ลืมไปว่า แกไม่มีหัวใจ” กฤษพูด ก่อนจะหัวเราะกับมุขของตัวเองเบาๆ โดยที่ไม่รู้ว่าประโยคนี้จะทำให้แผลในใจที่ยังสดใหม่ของคนที่นั่งมาด้วยขยายกว้างขึ้น

“อ้าว ทำไมเงียบไปล่ะ ล้อเล่นแค่นี้โกรธเหรอ” ชายหนุ่มละสายตาจากถนน เหลือบตามองคนข้างตัว

“เปล่า แค่นี้จะโกรธทำไม ชินแล้วกับไอ้มุขแบบนี้น่ะ” รอยยิ้มบางปรากฏที่มุมปาก

“แล้วทำไมเงียบล่ะ หรือว่ายังเจ็บตรงไหนอีกรึเปล่า ไปหาหมอมั้ย”

“ไม่ได้เป็นอะไร” ตั้นยังคงยืนยันคำเดิม

...ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เราเริ่มยึดเขาไว้ ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ตอนโต หรือ ตั้งแต่รู้ว่าในอ้อมแขนนั้นอบอุ่นแค่ไหน… ตั้นตั้งคำถามกับตัวเองทั้งๆที่รู้ดีว่า คงไม่ได้รับคำตอบ

รอยยิ้มที่มีอยู่เสมอบนใบหน้าคมหายไป เหลือเพียงใบหน้าที่เรียบนิ่งกับรอยย่นน้อยๆที่หัวคิ้ว

“เรามีเรื่องจะขอร้องกฤษหน่อย” ประโยคที่ตั้นพูดขึ้นมาก่อน ทำให้หัวคิ้วที่ขมวดน้อยๆคลายลง ตั้นเรียก ‘กฤษ’ แทนสรรพนาม เพื่ออยากให้เพื่อนตั้งใจฟังคำขอร้องของเธอ

“เรื่องอะไร ว่ามาได้เลย ถ้าช่วยได้เราช่วยเต็มที่” กฤษยิ้มกว้างแบบเด็กๆ รอยยิ้มแบบเพื่อนที่มีให้เธอตลอดมา

ตั้นมอง ‘เพื่อน’คนที่เธอรัก นิ่งนาน ก่อนจะพูดในสิ่งที่เธอคิดมาตลอดทั้งคืน

“เราไม่อยากติดต่อกับนายซักพัก” ประโยคที่ได้ยินทำให้ กฤษละสายตาจากถนน มามองหน้าคนพูด ซึ่งก็ได้พบกับสายตาที่มองตรงมาอยู่ก่อน

แม้ว่าทุกสิ่งยังคงเคลื่อนไหวไปตามปกติ รถยังคงเลื่อนไหลไปตามถนน แต่ระหว่างคนทั้งคู่ ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่ง แม้กระทั่งลมหายใจ กฤษเป็นฝ่ายทำลายความนิ่งเงียบที่น่าอึดอัดขึ้นมาก่อน หลังจากที่หันกลับไปสนใจความเป็นไปบนท้องถนนแล้ว

“ทำไม..”

“ก็ไม่มีอะไร” ตั้นตอบเสมองไปทางอื่น

“มันจะไม่มีอะไรได้ยังไง” กฤษพูดเสียงเครียดเข้ม สายตาไม่ละจากถนน

“อย่าทำเสียงเครียดแบบนี้ดิวะ ไม่เห็นยากอะไรเลย แค่ไม่โทรศัพท์ ไม่ไปกินข้าว งดกินเหล้า ไม่ไปแวะที่ห้อง หรือที่ทำงาน แค่นี้เอง ไม่ดีเหรอ นายจะได้มีเวลาอยู่กับน้ำผึ้งเยอะขึ้นไง” ตั้นพยายามปรับบรรยากาศในการสนทนาให้ดูเบาลง

“แล้วเหตุผลมันคืออะไร นายจะไปไหน หรือต้องการจะทำอะไรกันแน่” เสียงทุ้มที่ตอบกลับมา ทำให้เธอรู้ว่าความพยายามปรับบรรยากาศนั้นยังไม่เป็นผล

“ก็ไม่ได้ไปไหน ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ ทำงานแล้วก็กลับบ้าน” ตั้นตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆบนหน้า เพื่อให้อีกฝ่ายลดความเครียดเคร่งลง พยายามไม่ใส่ใจกับความเจ็บร้าวในอกที่มากขึ้นเรื่อย ยิ่งเมื่อนึกถึงความจริงที่ว่า คนอย่างเธอไม่มีปัญญาหนีไปอยู่เมืองนอกเพื่อรักษาแผลใจในตอนที่อกหัก ที่เดียวที่เป็นของเธอ ก็คือห้องเล็กๆบนตึกสูงที่เธอเรียกว่า บ้าน

“รบกวนนายแค่นี้นายคงไม่ขัดนะ” ตั้นพูดต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบ

“ถ้ามันมีเหตุผลดีพอ” กฤษตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง หลังจากเงียบไปพักใหญ่

“เหตุผลเหรอ ... เอาเป็นว่า ... หยุดอาทิตย์นึงที่ผ่านมา ฉันเห็นหน้าแกทุกวันจนเบื่อแล้วมั้ง” ร่างบางหัวเราะเบาๆ กับประโยคเย้าแหย่ เธอพยายามหาเหตุผลที่ห่างไกลจากความจริงที่เธอปิดบังไว้มากที่สุด เพื่อให้อีกฝ่ายยอมรับคำขอร้องของเธอ

ทุกเย็นที่กฤษกับน้ำผึ้งมาช่วยดูแลเธอที่บ้าน มันเป็นการตอกย้ำขอบเขตของคำว่า “เพื่อน” ซ้ำๆให้ลึกลงไป นับตั้งแต่วันแรกที่เธอได้รู้ว่า ... ‘รัก’ และความรู้สึกเจ็บปวดจากการสูญเสียจนถึงวันนี้ แม้ว่าความเจ็บปวดนั้นจะยังไม่ลดลง แต่เธอก็คุ้นเคยกับสิ่งนั้นจนชาชิน

สิ่งที่เธอหวาดกลัวและกังวล คือ สายตาที่เหมือนจะล่วงรู้สิ่งที่แอบซ่อนอยู่ในใจ บางทีมันอาจจะเป็นความรู้สึกผิด แต่เธอต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจให้น้ำผึ้งเห็น ตั้นจึงเลือกที่จะเว้นระยะห่างกับเพื่อนให้มาก พอที่จะทำให้ทุกฝ่ายสบายใจ

กฤษไม่ได้จอดรถส่งตั้นที่ริมถนนเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ชายหนุ่มเลี้ยวรถผ่านประตูเข้าไปจอดในที่จอดรถบนตึกที่ตั้นทำงานอยู่

แม้ตั้นจะไม่แน่ใจว่าความนิ่งเงียบของอีกฝ่ายจะหมายความว่ายอมตกลงกับเงื่อนไขของเธอ แต่เมื่อกฤษไม่โต้แย้งอะไรอีก หญิงสาวจึงตีความว่าเขายอมรับในคำขอร้อง เมื่อรถจอดสนิท ตั้นจึงรีบพูดธุระสุดท้ายที่เหลืออยู่ให้จบ

“แล้วนี่ .. ค่าใช้จ่ายตอนพาเราไปหาหมอนะ” ตั้นล้วงมือเข้าไปในช่องซิปด้านหน้าของกระเป๋าสีดำใบใหญ่ หยิบซองสีขาวติดมือออกมาก่อนจะวางซองนั้นไว้ที่ช่องว่างระหว่างเกียร์กับคอนโซลที่อยู่ด้านข้างคนขับ

“ทำไม ตั้นไม่บอกเราตรงๆ ตั้งแต่ตอนที่เราไปบ้านตั้น ไปยุ่งกับชีวิตตั้น บอกกันตรงๆก็ได้ เราเข้าใจ” กฤษพูดเสียงเครียด สายตาจับจ้องใบหน้าของอีกฝ่ายนิ่ง

ตั้นมองลึกเข้าไปในดวงตาของกฤษ แล้วก็รู้ว่า คำพูดข้ออ้างที่เธอยกขึ้นมานั้นทำร้ายจิตใจเพื่อนที่เธอรักมากขนาดไหน

“เราขอโทษ อย่าจริงจังนักดิ เมื่อกี้ล้อเล่นเอง” ตั้นเอ่ยขอโทษด้วยรอยยิ้ม ทั้งๆที่หัวใจของเธอร้องไห้

“แล้วเหตุผลจริงๆมันคืออะไร” กฤษยังคงยืนยันคำถามเดิม

ความอบอุ่นจากมือใหญ่ที่ยึดต้นแขนเธอไว้ เป็นสิ่งที่เธอไม่อยากสูญเสียไป แต่หลังจากที่ระยะห่างเพิ่มขึ้นความอบอุ่นนี้อาจจะเหลืออยู่เพียงในความทรงจำ

ตั้นถอนหายใจเพื่อลดความอึดอัดที่เก็บกักไว้ภายใน ก่อนจะตัดสินใจพูด เมื่อเห็นว่าถ้าไม่มีคำตอบดีๆ จากเธอ กฤษคงจะไม่ยอมทำตามที่ขอร้อง แต่เหตุผลดีๆ นั้น มันต้องไม่ใช่เหตุผลที่ทำร้ายเพื่อนของเธออีก และต้องไม่ทำให้เธอเสียเพื่อนที่ชื่อ กฤษ ไป

“ฉันแค่สมเพชตัวเองน่ะ” ความจริงบางส่วนจากหัวใจทำให้ขอบตาของหญิงสาวร้อนผ่าว

“สมเพชตัวเองเรื่องอะไร” ใบหน้าที่แฝงความหงุดหงิด และแววตาที่เจือด้วยความเจ็บปวดเมื่อครู่อ่อนแสงลง มือที่จับยึดต้นแขนก็คลายออก ก่อนจะเลื่อนมาแตะที่แก้มเบาๆ

มือเรียวบางจับมือของกฤษออกจากแก้ม เพียงชั่วครู่ที่มือทั้งสองสัมผัสกัน ทำให้ตั้นอดน้ำตาซึมไม่ได้ เธอปัดความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลให้หายไปเพื่อควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงอาการที่ผิดปกติ

“ฉันสมเพชตัวเอง ที่ทำยังไงก็แสดงความยินดีเรื่องนายกับน้ำผึ้งจากใจจริงไม่ได้ซักที ....”

“ทำไมวะ” กฤษขมวดคิ้ว

“อืมมม ... เป็นเพราะฉันอิจฉาล่ะมั้ง เวลาที่นายหวานกับน้ำผึ้งน่ะ อิจฉาที่ฉันไม่มีแฟนกับเขามั่ง” ตั้นเลือกที่จะโกหกอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะเบาๆ และหวังว่าอีกฝ่ายจะเชื่อเหตุผลของเธอ

“ไอ้บ้า เรื่องแค่นี้เนี่ยนะ” กฤษใช้มือใหญ่ขยี้ผมนุ่มอย่างที่มักทำเป็นประจำ

“หวังว่านายคงเข้าใจ ให้เวลาฉันหน่อย เจอกันคราวหน้า ฉันจะรู้สึกยินดีกับนายด้วยใจจริง” สายตาของหญิงสาวจับจ้องอยู่บนใบหน้าที่ดูผ่อนคลาย ดวงตากลับมาสดใสเหมือนเดิมไม่มีแววหงุดหงิดหรือเจ็บปวดแฝงอยู่

“แล้วนายต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ในการใช้รักษาโรคขี้อิจฉานี่ล่ะ” กฤษเกาหัว ท่าทางสบายๆแบบเด็กๆกลับมาหลังจากผ่านพ้นเรื่องที่กังวลใจไป

“ไม่รู้ซิ อาจจะ เดือน สองเดือน หรือ สามเดือน ก็ไม่รู้เหมือนกัน ... แต่คงไม่นานเกินไปหรอกน่า เอาเป็นว่า ถ้าฉันหายเมื่อไหร่ ฉันจะโทรไปนัดเลี้ยงเหล้านายดีมั้ย” คนโกหกพูดด้วยรอยยิ้ม

“...” กฤษไม่ตอบรับ เพียงแต่ขมวดคิ้ว

“แล้วฉันสัญญาว่าจะไม่ทำให้นายเดือดร้อน หรือเป็นห่วง แต่ถ้านายมีข่าวดีกับน้ำผึ้ง แล้วอยากให้ฉันไปงานแต่งงาน ก็ส่งการ์ดมาล่ะ แล้วฉันจะไปแน่นอน แต่ถ้าไม่อยากให้ฉันไป ก็ไม่ต้องส่งมา ... ที่ฉันขอมันคงไม่ยากเกินไปใช่มั้ย” ตั้นพูดรัวเร็ว อยากให้อีกฝ่ายยอมรับปากกับเธอ เพราะหญิงสาวรู้ว่าถ้ากฤษรับปากแล้ว เขาก็จะทำตามนั้นอย่างเคร่งครัด

“.. ก็ได้ แต่ฉันมีข้อแม้...” กฤษตอบกลับมาหลังจากใช้เวลาในการตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่ง

“อะไรว่าไปเลย” ตั้นตอบรับ อยากให้สถานการณ์นี้รีบผ่านพ้นไป ก่อนที่เธอจะไม่สามารถเก็บซ่อนความรู้สึกเหล่านี้ได้อย่างมิดชิด

“เอาเงินคืนไป” กฤษยื่นซองคืนให้ตั้น

“ไม่เอาหรอก นายอุตส่าห์พาฉันไปตรวจ แล้วยังให้ต้องออกเงินให้อีกเนี่ยนะ” ตั้นยืนยันคำเดิม ตามความตั้งใจที่จะไม่รบกวนเพื่อนคนสำคัญมากไปกว่านี้

“ถ้าตั้นไม่เอาเงินคืนไป เราก็ไม่รับปากในสิ่งที่ตั้นขอเหมือนกัน”

สายตาของร่างสูงทำให้ตั้นรับรู้ความตั้งใจแน่วแน่ของชายหนุ่ม ซึ่งถ้าไม่ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว เธอคงไม่ได้ในสิ่งที่ขอร้อง ในที่สุดตั้นก็ยอมรับเงินกลับมา เพื่อให้กฤษยอมทำตามสัญญา

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

เธอเดินเข้าไปในตัวอาคาร พร้อมกับฟังเสียงของกระป๋องกระทบกับกระเป๋าเบาๆ พร้อมย้ำกับตัวเอง

…เราเป็นเพื่อน เพื่อนอีกคนหนึ่งของเขา...เท่านั้น จะมีหรือไม่มีเรา ทุกอย่างสำหรับกฤษก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่ซิ บางทีถ้าไม่มีคนที่คอยทำให้เดือดร้อนลำบากใจ กฤษคงมีความสุขมากขึ้น… ร่างบางเงยหน้าขึ้นมองเพดานเพื่อให้น้ำตาที่ซึมออกมาไหลกลับเข้าไปข้างใน

เย็นวันนั้นเมื่อตั้นกลับถึงบ้าน หญิงสาวจ้างช่างมาเปลี่ยนกุญแจห้อง





.



Create Date : 13 กรกฎาคม 2551
Last Update : 13 กรกฎาคม 2551 22:21:56 น. 3 comments
Counter : 270 Pageviews.

 
ชอบชื่อล๊อคอินของคุณจังค่ะ กิกิ


โดย: ถั่วงอกน้อยค่ะ วันที่: 13 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:45:18 น.  

 
ในที่สุดก็ได้อ่าน กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด



สองตอนรวดเลยยย ชอบคุณนะคะ


โดย: หมูปิ้ง IP: 74.214.91.77 วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:3:44:14 น.  

 
+++ คุณ ถั่วงอกน้อยค่ะ

ขอบคุณนะคะที่แวะมาเยี่ยม

แล้วก็ขอบคุณด้วยค่ะที่ชอบ login ของพุทรา ^ ^




+++ คุณ หมูปิ้ง

มาเยอะหน่อย จะได้อ่านจุใจ แต่ไม่รู้จุใจป่าว ^ ^


โดย: แค่ก้อนหินที่อยากบินได้ วันที่: 31 กรกฎาคม 2551 เวลา:12:00:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แค่ก้อนหินที่อยากบินได้
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ขอมี Blog กับเค้าด้วยคนนะคะ ^ ^

Friends' blogs
[Add แค่ก้อนหินที่อยากบินได้'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.