Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2551
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
25 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
ตอนที่ 15 วันสำคัญ

ฝนหลงฤดูเม็ดโตที่เทลงมาโดยไม่มีเค้ามาก่อน ทำให้ผู้คนหาที่หลบกันวุ่นวาย ร่างเพรียววิ่งเลาะไปตามชายคาหน้าร้านขายของเพื่อให้ไปถึงสถานีรถไฟฟ้า ท่ามกลางเสียงฝนและเสียงอึกทึกวุ่นวายรอบๆตัว เธอยังได้ยินเสียงพวงกุญแจอันเดิมกระทบกับกระเป๋าตามจังหวะการก้าวเท้า เสียงคุ้นเคยที่คอยย้ำเตือนเสมอ

เมื่อกลับถึงบ้านในสภาพที่ชื้นฝน หญิงสาววางกระเป๋าบนเก้าอี้ตัวหนึ่งของโต๊ะกินข้าว ก่อนจะวิ่งไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำ โดยไม่ลืมที่จะทักทายเพื่อนร่วมห้องที่วันนี้แข็งแรงดีแล้ว

“รอแป๊ปนะนุ่ม ขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” ตั้นพูดพร้อมกับก้มตัวลงแตะหัวอุ่นนุ่ม

หลังจากจัดการกับธุระส่วนตัวเรียบร้อยและเทอาหารสำหรับแมวน้อยแล้ว เธอจึงลงมือจัดการกับปากท้องของตัวเองบ้าง ตั้งแต่มีเพื่อนร่วมห้องมาอยู่ด้วย หญิงสาวเปลี่ยนเวลากลับบ้านให้เร็วขึ้น เพราะเธอเป็นห่วงว่าเจ้าตัวเล็กจะต้องแขวนท้องรอ ถ้าเธอกลับบ้านช้า

หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ว่างฝั่งตรงข้ามกับกระเป๋า อาหารง่ายๆสองอย่างวางอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ เธอมองพวงกุญแจกระป๋องเบียร์สีเงินที่ห้อยอยู่กับกระเป๋า
ฉันเข้มแข็งขึ้นแล้วนะ วันนึงฉันจะเข้มแข็งกว่านี้เพื่อจะได้เป็นเพื่อนกับนายเหมือนเดิมโดยไม่รู้สึกเจ็บปวด..ตั้นยิ้มให้กับตัวเอง ก่อนจะลงมือกับมื้อเย็น

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

“ตั้นมือถือสั่น” เพื่อนร่วมงานที่นั่งพาร์ติชันติดกันตะโกนเรียกเจ้าของมือถือที่กำลังคุยเรื่องงานอย่างติดพันอยู่ที่มุมกาแฟ

“แป๊บนะ เดี๋ยวตามไปที่โต๊ะประชุม” ตั้นบอกกับก้องและนน ชายหนุ่มทั้งสองพยักหน้า ก่อนเดินมุ่งหน้าไปยังโต๊ะตัวใหญ่กลางห้อง ที่ใช้เป็นที่ประชุม ปรึกษางานสำหรับทีมย่อย

“หวัดดีหลิน มีอะไรด่วนรึเปล่า” ตั้นรีบรับโทรศัพท์เมื่อเห็นเบอร์เพื่อนสนิท ที่เพิ่งนัดกินข้าวกลางวันไปเมื่อวาน

“มีซิ ไม่มีจะโทรมาจิกขนาดนี้เหรอ สายตัดไปตั้ง 3 รอบ แล้วทำอะไรอยู่ยะถึงเพิ่งมารับ” น้ำเสียงสดใสร่าเริงตามนิสัยดังมาตามสาย

“พอดีคุยเรื่องงานอยู่น่ะ”

“เออ ลืมไปโทษที งั้นเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะ ... ที่วันอาทิตย์นี้เรานัดเจอกันตอนกลางวันน่ะ ขอเปลี่ยนเป็นเย็นได้มั้ย”

“อ้าว ทำไมล่ะ หลินติดธุระเหรอ”

“เปล่า ไม่ได้ติดธุระอะไรหรอก ไปเดินจัตุจักรด้วยกันตั้งแต่กลางวันซักสองรอบก็ยังได้ แต่มันมีธุระของกลุ่มเพื่อนเรานะซิ พอดีฉันเพิ่งรู้ข่าวเมื่อกี้นี้ ไม่งั้นฉันบอกแกตั้งแต่เมื่อวานที่เราเจอกันแล้ว”

“ข่าวอะไรเหรอ”

“เพื่อนคนนึงในกลุ่มเราจะขอนัดทั้งกลุ่มโดยพร้อมเพรียงกันเพื่อกินข้าวและจะมีเซอร์ไพรส์”

“เซอร์ไพรส์อะไร” ตั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย

“อืมมม ฉันก็ไม่รู้ เอกเป็นคนโทรมาบอกฉัน แล้วให้ฉันบอกต่อ พอฉันซักรายละเอียดมันก็บอกว่าไม่รู้ เพราะพลก็บอกมันมาแค่นี้เหมือนกัน บอกว่ารู้พร้อมกันทีเดียวเลยที่ร้าน เอกบอกว่าถ้ามีเซอร์ไพรส์คนจะได้ไปกันครบ ถ้าให้ฉันเดาคงเป็นเพื่อนกลุ่มเราจะแจกการ์ดแต่งงานน่ะแหละ แต่ทำตัวมีปัญหา มีปริศหนง ปริศนา” ข่าวที่ได้ยินทำให้ตั้นนิ่งไป สิ่งที่เพื่อนพูดช่วงท้ายประโยคผ่านหูไปโดยที่เธอแทบจับใจความไม่ได้

“แต่ เรา....” ยังไม่ทันที่สมองของตั้นจะหาคำพูดตอบกลับเพื่อนไป เสียงสดใสก็พูดขึ้นเสียก่อน

“ชั้นรู้น่าว่าเธอเป็นห่วงหนูนุ่ม ชั้นก็บอกเอกมันแล้ว ว่าตั้นอาจจะไม่สะดวก แต่เอกก็บอกว่าสงสัยจะเลื่อนลำบาก เพราะเจ้าคนต้นเรื่องมันว่างช่วงนั้น”

“...”

“เอาอย่างงี้ได้มั้ยล่ะ เย็นนี้กลับไปก็บอกนุ่มล่วงหน้า มันคงไม่ว่าอะไรหรอก นานๆจะพร้อมหน้าพร้อมตากันที ตกลงนะ”

“อืม...งั้นเราไปทำงานต่อก่อนนะ”

“จ๊ะ แล้วเจอกัน ร้านเจ๊หมู ห้าโมงเย็นนะ”

อีกฟากหนึ่งของโทรศัพท์วางสายไปแล้ว หญิงสาวเก็บโทรศัพท์ด้วยอาการเลื่อนลอย ยังไม่พร้อมจะเริ่มงานที่กำลังรอเธออยู่

หัวใจที่ครู่เหมือนกับหยุดเต้น ... มันจะเป็นอย่างที่เธอกลัวมั้ย

... ไม่ เราต้องยินดีกับเพื่อนซิ...

แต่อีกมุมหนึ่งของใจ ... เธอรู้ดีว่า เธอภาวนาให้สิ่งที่คาดเดาไว้มันไม่เกิดขึ้น

.... อีกหลายวันกว่าจะถึงวันอาทิตย์ คงพอมีเวลาให้เธอเตรียมใจ ... ตั้นกระซิบปลอบตัวเอง

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

เย็นวันนี้ก็เหมือนกับในทุกวัน หลังจากตื่นเช้าไปทำงาน เลิกงานแล้วก็กลับบ้าน แวะที่ตู้จดหมายก่อนจะขึ้นลิฟต์ แต่สิ่งที่ต่างจากวันอื่นๆคือ ตู้จดหมายที่เคยว่างเปล่า กลับมีจดหมายฉบับหนึ่งนอนอยู่ที่ก้นตู้

มือเรียวหยิบมาพลิกดู ตั้นนิ่งไป เมื่อเห็นลายมือคุ้นตาบนซองปิดผนึกสีฟ้าอ่อน

“ต้องไปให้ได้นะตั้น ... กฤษ”

ร่างโปร่งเดินไปขึ้นลิฟต์ด้วยความเคยชินของร่างกาย สมองสับสนกับสิ่งที่อยู่ในมือ ภาวนาว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่เธอคิดด้วยหัวใจที่สั่นไหว

ทันทีที่ประตูห้องถูกปิดลง ตั้นวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้ตัวเดิม ก่อนจะแกะซองนั้นแล้วดึงสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา การ์ดสีฟ้าอ่อนเรียบๆ ลักษณะของการ์ดบอกได้ทันทีว่าคือ การ์ดแต่งงาน

หัวใจของตัวเองที่คิดว่าเข้มแข็งขึ้นมากแล้วปวดร้าวเหมือนถูกกระชาก น้ำตาค่อยๆเอ่อขึ้นที่ขอบตา แล้วไหลอาบแก้มลงมาเป็นทาง ความเจ็บปวดแล่นริ้วขึ้นมาจากโพรงอก พื้นที่ที่เธอยืนอยู่เหมือนพังทลายลง

ดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาอ่านข้อความที่บอกวันที่ เวลา และสถานที่จัดงานอย่างพร่าเลือน เธอหยิบกระดาษโน้ตอันเล็กๆ มาจดข้อความเหล่านั้นไว้ ด้วยมือที่ไม่มั่นคงนัก ระวังไม่ให้หยดน้ำอุ่นจากปลายคางหยดลงบนกระดาษ แล้วติดมันไว้ที่หน้าตู้เย็น ก่อนจะเก็บการ์ดใส่ซองตามเดิม แล้วสอดเก็บไว้ระหว่างหนังสือในชั้นหนังสือ โดยเธอไม่คิดจะหยิบมันออกมาดูเป็นครั้งที่สอง

เราต้องยินดีกับความสุขของเพื่อนไม่ใช่เหรอ แล้วร้องไห้ทำไม... มือเรียวเช็ดหยาดน้ำอุ่นร้อน น้ำตายังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหล

วันที่ที่ระบุ คือ วันศุกร์ที่จะถึงนี้...เหลือเวลาอีกเพียงสามวันให้เธอได้ทำใจ เธออยากแสดงความยินดีกับเพื่อนอย่างจริงใจ

ทั้งที่ทำใจไว้แล้ว ว่าวันนี้จะต้องมาถึงสักวัน แต่เธอไม่คิดว่ามันจะมาถึงเร็วขนาดนี้ ความคิดที่ว่า วันหนึ่งเธอจะต้องแยกจากคนที่รัก กับ วันที่เธอต้องแยกจากคนที่เธอรักจริงๆ ความรู้สึกเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนั้นมากมายเกินกว่าจะนำมาเทียบกันได้ ความสูญเสียทำให้ความโดดเดี่ยวเย็นเยียบเข้าเกาะกุมหัวใจอีกครั้ง

น้ำตายังคงไหลออกมาเรื่อยๆโดยที่หญิงสาวไม่คิดจะหยุดมันอีกแล้ว ร่างบางทรุดลงนั่งกับพื้น

ทำไมนะ คิดว่าตัวเองเข้มแข็ง ทำใจได้แล้ว แต่ทำไมยังต้องร้องไห้มากมายขนาดนี้... เธอกอดตัวเองไว้แน่น รู้สึกว่าอะไรบางอย่างที่อยู่ภายในตัวเองซึ่งเต็มไปด้วยรอยร้าวกำลังแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทำให้ความรู้สึกที่เก็บกักเอาไว้ไหลท่วมท้นออกมา ร่างบางพยายามรวบรวมแรงที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดเก็บกลั้นเสียงสะอื้น แต่เมื่อกำลังที่มีอยู่หมดลงเสียงสะอื้นก็หลุดออกมาจากริมฝีปากบาง ก่อนที่ร่างกายจะสั่นไหวไปตามแรงสะอื้น

เพื่อนร่วมห้องที่จ้องมองอยู่ใต้โต๊ะได้ครู่ใหญ่เดินเข้ามาหาหญิงสาวก่อนถูศีรษะและลำตัวกับขาของเธออย่างที่ชอบทำอยู่เสมอ

สัมผัสที่อบอุ่นนั้น ดึงตั้นให้ออกจากโลกที่เธอขังตัวเองไว้เพียงลำพัง มือเรียวชื้นน้ำตาลูบอุ่นนุ่มเบาๆ

“แล้วนุ่มล่ะ ตอนนี้ยัง..อยากอยู่กับฉันมั้ย” เจ้าของบ้านพูดกับแมวตัวน้อยด้วยน้ำเสียงขาดหายเป็นช่วงๆ ปนเสียงสะอื้น

“เมี้ยว” อุ่นนุ่มถูขาเจ้าของไปมาอีกครั้งแทนคำตอบ

“ขอบคุณนะ ที่ยังอยู่เป็นเพื่อนกัน” ตั้นพูดกับแมวน้อยในอ้อมกอด แม้น้ำเสียงแผ่วเบาสั่นเครือ แต่มีรอยยิ้มอ่อนบางที่เรียวปาก

ตั้นปล่อยให้ตัวเองร้องไห้เท่าที่ต้องการ ไม่เก็บซ่อนความรู้สึกทุกอย่างไว้ข้างในเหมือนที่ผ่านมา แล้วบอกกับตัวเองว่า...ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะร้องไห้กับเรื่องนี้

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

เมื่อวันสำคัญมาถึง ตั้นเลือกชุดสูทและเสื้อเชิ้ตตัวที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นชุดประจำเวลาไปงานแต่งงานของเพื่อนๆ โรงแรมที่กฤษเลือกเป็นที่จัดงานแต่งงานนั้น เป็นโรงแรมของเพื่อนสนิทของทั้งเธอและกฤษ ซึ่งสามารถเดินทางอย่างสะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้า แต่หญิงสาวตัดสินใจที่จะขับรถส่วนตัวไปเอง ทั้งๆที่หลังจากประสบอุบัติเหตุครั้งนั้น เธอแทบจะไม่ได้ขับรถไปไหนมาไหนเลย

หลังเลิกงานตั้นขับรถฝ่าการจารจรเข้าไปยังใจกลางเมืองมุ่งหน้าไปยังโรงแรมซึ่งเป็นสถานที่จัดงานด้วยหัวใจสงบนิ่ง หลังจากที่จอดรถเรียบร้อยแล้ว เธอหันไปหยิบเสื้อสูทที่แขวนไว้ที่เบาะหลัง จ้องมองพวงกุญแจกระป๋องเบียร์ที่ห้อยอยู่กับกระเป๋าอีกครั้ง เพื่อย้ำเตือนในสิ่งที่ตั้งใจ ก่อนจะนำเสื้อสูทไปใส่ในห้องน้ำและดูความเรียบร้อยของตัวเองในกระจกอีกครั้ง

สูทสีน้ำเงินเข้มเกือบดำ กับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน เธอมองตัวเองในกระจก มองลึกเข้าไปในดวงตาที่สะท้อนกลับมาเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าความเศร้าในวันก่อนๆ จะไม่ปรากฏชัดอยู่ในดวงตาของเธออีก

เรามาเพื่อแสดงความยินดีกับเพื่อน แล้วก็มาดูให้เห็นชัดๆอีกครั้งว่า เพื่อนเรามีความสุขมากแค่ไหน... ตั้นยิ้มให้กับตัวเองในกระจกด้วยหัวใจที่โหวงหวิว

จังหวะการเดินที่มั่นคงมาหยุดลงที่หน้าประตูบานใหญ่ของห้องบอลรูม แต่ประตูที่ปิดสนิท ด้านหน้าที่ไม่มีโต๊ะให้แขกที่มาร่วมงานลงชื่อ รับซอง แจกของชำร่วย ทำให้หญิงสาวลังเลเล็กน้อย แต่หลังจากตรวจสอบว่าไม่ผิดห้อง เธอจึงตัดสินใจเปิดประตูบานใหญ่หนานั้นออก

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

สิ่งที่อยู่ภายในทำให้เธอชะงักไปชั่วครู่ ในห้องบอลรูมขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยดอกกุหลาบสีขาวจัดเรียงเล่นระดับไว้อย่างประณีตสวยงาม บางแจกันสูงระดับหัวเข่า แต่บางแจกันสูงเกือบระดับอก ดอกกุหลาบนับร้อยนับพันเรียงตัวกันแน่นจนแทบจะไม่เห็นพื้นห้อง ท่ามกลางกุหลาบขาวพื้นที่บางส่วนถูกแทรกด้วยโต๊ะแก้วขนาดเล็กลวดลายอ่อนช้อยงดงามซึ่งวางช่อดอกกุหลาบสีแดงที่จัดแต่งไว้อย่างประณีต โดยที่เธอไม่เห็นแขกที่มาร่วมงานคนอื่นแม้แต่คนเดียว

กลิ่นหอมของดอกกุหลาบอบอวลเต็มห้อง ตั้นเดินไปใกล้ดอกกุหลาบสีขาวดอกโตดอกหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ยืนอยู่ ขณะที่กำลังจะแตะกลีบบางของกุหลาบ หญิงสาวตัดสินใจลดมือลง ก่อนจะได้สัมผัสกับกลีบนุ่ม

ใบหน้าสวยหวาน ผิวขาวเนียนละเอียด เรือนร่างเล็กบอบบางน่าทะนุถนอมปรากฏขึ้นในความทรงจำ ดอกไม้เหล่านี้เหมาะกับเธอคนนั้นเหลือเกิน...คนที่เป็นเจ้าสาวของงานในคืนนี้

ตั้นเดินลึกเข้าไปในห้องตามทางที่เว้นไว้ระหว่างกลุ่มของแจกันดอกไม้ที่ภายในอัดแน่นไปด้วยกุหลาบสีขาว ท่ามกลางบรรยากาศกรุ่นกลิ่นหอม เธออดคิดไม่ได้ว่า คนอย่างเธอเคยได้ดอกไม้ตอนไหนบ้าง ถ้าไม่นับช่อลิลลี่ที่กฤษซื้อให้เขาและเธอ กับ แจกันดอกไม้ที่แม่ส่งมาให้ในวันรับปริญญาแล้ว เธอก็เคยได้รับดอกไม้วันวาเลนไทน์บ้าง จากคนที่แจกดอกกุหลาบสีแดงให้กับเพื่อนทุกคนที่เจอ แต่สำหรับคนที่ตั้งใจให้กับเธอโดยเฉพาะคงไม่มี

บรรยากาศราวกับอยู่ในจินตนาการ ชักนำความคิดให้ฝันไปว่า อยากจะมีสักวันที่เธอได้รับดอกไม้จากคนที่เธอรัก แล้วเขาก็รักเธอด้วยเช่นกัน ตั้นยิ้มเศร้าให้กับช่อดอกกุหลาบสีแดงที่เธอเดินผ่าน

เพื่อน...คนที่เธอรัก ... กำลังจะแต่งงานในวันนี้...ความจริงที่ปรากฏขึ้นในความคิดทำให้เธอเสียวแปลบในใจ

ยังไม่ทันที่เธอจะได้เจอแขกที่มาร่วมงาน หรือ เพื่อนคนไหนที่คาดว่าจะมาร่วมงานแต่งงานของกฤษ เจ้าของงานก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า

กฤษใส่เพียงเสื้อเชิ้ตพับแขนขึ้น 2 ทบ กับกางเกงสแล็คธรรมดา

“หวัดดีเพื่อน เอ่อ ... ทำไมนายแต่งตัวแบบนี้ง่ะ หรือว่าคอนเสปต์ของงานคืนนี้เป็น ‘หลังเลิกงาน’ เหรอ” ตั้นทักทายเพื่อน พร้อมกับถามอย่างสงสัยถึงการแต่งตัวของเจ้าบ่าวในคืนนี้

“เปล่า” คำตอบที่ตอบกลับมาเพียงสั้นๆ ของชายหนุ่มยิ่งเพิ่มความสงสัย

“อ้าว เจ้าบ่าวทำไมแต่งตัวแค่นี้ง่ะ แล้วเจ้าสาวไปไหนแล้ว ฉันมานี่ยังไม่เห็นใครเลย” แขกเพียงคนเดียวของงานถามพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบๆห้อง พยายามมองหาแขกที่มาร่วมงานคนอื่นๆ

เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่ตอบมีเพียงสายตาที่มองมาที่เธอนิ่งนาน ทำให้ตั้นนิ่งอึ้งไปด้วยความตกใจ

“หรือว่า...ยกเลิกแต่งงาน...” เธอได้ยินเสียงของตัวเองกระซิบแผ่ว บางมุมของหัวใจกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี ที่อาจจะได้ช่วงเวลาเดิมๆของเขาและเธอกลับคืนมา แต่ในท้ายที่สุดหัวใจทั้งหมดก็หนักอึ้งด้วยความรู้สึกสงสารเพื่อน เพราะรู้ดีว่าเวลากฤษอกหักนั้นอาการหนักและน่าสงสารเพียงใด

“นายไปทำอะไรให้เจ้าสาวเขาเคืองน่ะ” ตั้นถาม ทั้งที่ยังกังวลว่า สาเหตุนั้นอาจจะมาจากเธอ แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่า ตลอดเกือบสามเดือนที่ไม่ได้ติดต่อกัน น้ำผึ้งคงเลิกไม่มั่นใจในตัวชายหนุ่ม และตัวเธอเองก็ไม่ได้มีความสำคัญกับอีกฝ่ายมากมายอะไร ...อย่าสำคัญตัวเองผิดไป

“...เปล่า...” คำตอบที่สั้นๆ ซ้ำๆ ไม่ช่วยให้เธอรู้ความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่าเดิม ตั้นมองหน้าเพื่อนที่คิดถึง บังคับไม่ให้ใจตัวเองสั่นไหว ก่อนจะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเพื่อค้นหาสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างใน

“แล้วทำไมเขาถึงเลิกกับนายกระชั้นงานแต่งขนาดนี้ล่ะ” ตั้นพูดพร้อมกวาดสายตามองเหล่าดอกกุหลาบมากมายที่มาคอยร่วมยินดีกับบ่าวสาว

“แกเคยรักใครมั้ยวะ” คำถามที่ถามกลับมาทำให้เธอชะงักไป

“แกถามเรื่องฉันทำไม เอาเรื่องของแกก่อนเถอะ แล้วนี่มายืนโด่อยู่นี่ทำไมวะ ทำไมไม่ไปง้อเขา ... มีอะไรให้ฉันช่วยมั้ย” ท้ายประโยคตั้นหยุดโวยวาย ลดน้ำเสียงลง หลังจากมองเห็นความเครียดเคร่งเกลื่อนอยู่เต็มหน้า เธอถามทั้งๆที่รู้ดีว่า คงช่วยอะไรไม่ได้มาก นอกจากรักษาระยะห่างที่เหมาะสมระหว่างเธอกับเขา..ที่เป็นเพียง ‘เพื่อน’ กัน

“นั่นมันเรื่องของเรา เราแก้ปัญหาเองได้ ถ้าตั้นอยากช่วยก็ตอบมาก่อน ว่าตั้นเคยรักใครมั้ย แล้วยังรักเขาอยู่รึเปล่า” คำตัดรอนที่มองว่าเธอกำลังจะล้ำเส้นไปยุ่งกับเรื่องส่วนตัว ทำให้ปวดหนึบในใจ แต่ชื่อเต็มที่กฤษเรียก รวมทั้งสายตาที่มองกลับมา บอกให้รู้ว่า กฤษจริงจังกับเรื่องนี้ ตั้นจึงเลือกที่จะมองข้ามความเจ็บปวดนั้นไป แต่กับคำตอบ เธอคงไม่สามารถบอกความจริงกับคนตรงหน้าได้ ตั้นจึงเลือกที่จะตอบแบบไม่จริงจัง หวังว่าคำตอบนั้นจะเรียกรอยยิ้มจากเพื่อนได้บ้าง

“ไม่เคยมั้ง เพราะแกก็เป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าฉันไม่มีหัวใจ จำไม่ได้เหรอไง” ตั้นยิ้มกลบความขมขื่นที่พุ่งขึ้นมาให้กลับลงไป

“เราถามตั้นตรงๆ ตั้นตอบเราตรงๆไม่ได้เหรอ” ประโยคที่ตอบกลับมาทำให้คนฟังถอนหายใจบาง สิ่งที่จะต้องพูดถึงคือ ความรู้สึกที่เธอพยายามอย่างมากที่จะลบมันให้จางหายไป

คำถามที่ไม่อยากตอบทำให้หญิงสาวเงียบไป แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงนิ่งเพื่อรอฟังคำตอบ ตั้นจึงตัดสินใจที่จะพูดความจริงบางอย่าง

“... ก็เคยนั่นแหละ ฉันก็แค่คนธรรมดาคนนึง“

“แล้วตอนนี้นายยังรักเขาอยู่มั้ย”

“...ไม่แล้ว...” ตั้นบอกความตั้งใจที่แน่วแน่ พร้อมกับมองหน้ากฤษ

“ทำไม”

“ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้” ตั้นบอกความรู้สึกที่เก็บไว้ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจ ความรู้สึกที่เธอคิดจะเก็บมันเป็นความลับไปตลอดชีวิต ไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสบอกกับคนที่เธอรัก

“แล้วตั้นเคยบอกรักเขามั้ย” มีความกังวลเจืออยู่ในน้ำเสียงของร่างสูง

“ไม่เคย” เธอส่ายหน้าน้อยๆ รอยยิ้มบางเบายังประดับไว้ที่มุมปาก อย่างน้อยถ้าเธอมีแววตาที่เจ็บปวด คนที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้จะได้รับรู้ว่า เธอยังสบายดี

“ทำไม ไม่เสียดายโอกาสเหรอ ถ้าไม่ลองแล้วจะรู้ได้ไง เขาอาจจะรักตั้นเหมือนกันก็ได้” คนที่ได้แต่ถามคำถามยังคงมองมาที่เธอนิ่ง

“ไม่นะ ไม่เสียดาย แต่ดีใจ” เธอยังคงตอบคำถามด้วยรอยยิ้ม แต่ดวงตาหลุบลงมองพื้น

“ทำไมถึงดีใจ ต้องเสียใจไม่ใช่เหรอ”

เมื่อเปิดโอกาสให้ความรู้สึกที่เก็บอยู่ภายในหลุดลอดออกมาเพียงเล็กน้อย ความจริงทั้งหมดก็พร่างพรู เหมือนสิ่งที่ปิดกั้นอยู่พังทลาย และถ้าการตอบคำถามเหล่านี้จะช่วยให้กฤษได้คำตอบเพื่อนำไปแก้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นอยู่กับเขาแล้ว ตั้นก็ยินดีที่เธอจะมีประโยชน์กับเพื่อนบ้าง

“ตอนนั้นก็เสียใจ แต่ต่อให้ฉันพูดไป ฉันก็ต้องเสียใจ แล้วเขาก็คงต้องลำบากใจด้วย ทำไมฉันต้องทำอะไรให้มันเสียความรู้สึกกันหลายคนด้วยล่ะ แค่ฉันคนเดียวก็น่าจะพอแล้ว อย่างน้อยที่สุด ฉันก็ไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจ ฉันอยากจะเห็นเขามีความสุขมากๆ” เธอรู้สึกว่ากระบอกตาอุ่นขึ้น ความเจ็บปวดที่หัวใจเมื่อครู่แผ่ซ่านถึงปลายนิ้ว ตั้นกำมือแน่น

“เขาคนนั้นไม่ได้สำคัญกับตั้น พอที่จะทำให้ตั้นพยายามจะทำให้เขารักตั้นเลยเหรอ”

“ไม่ดิ เพราะเขาสำคัญฉันเลยอยากให้เขามีความสุขไง เรื่องบางเรื่องต่อให้พยายามให้ตายก็ทำไม่ได้ นายก็เป็นเพื่อนกับเรามาตั้งนานแล้ว นายก็รู้ว่าเราเป็นได้แค่เท่าที่เห็นเนี่ยแหละ กี่ปีกี่ปี ก็เหมือนเดิม เป็นได้เท่านี้” เธอหลุบตามองพื้นก่อนจะถอนหายใจยาว

“แล้วนายไม่ต้องการใครซักคนที่จะใช้ชีวิตร่วมกันบ้างเหรอ” น้ำเสียงที่เคร่งเข้มอ่อนลงเล็กน้อย

“ไม่” เธอสบตากับดวงตาสีเข้มคู่นั้นอีกครั้ง

“ทำไมล่ะ เห็นแต่ก่อนยังมีคนในสเปคอยู่เลย”

“เอ่อ..ฉันแค่คิดว่า คนหนึ่งคนไม่ได้เกิดมาเพื่อจะเป็นได้ทุกอย่างล่ะมั้ง แล้วคนบางคนก็เหมาะกับแค่บางอย่าง ซึ่งฉันเองก็เหมาะที่จะเป็นแบบนี้”

“แบบไหน ยังไง”

“ก็แบบที่นายเห็นนี่แหละ อยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ... เฮ้ย! ฉันตอบจนหมดแล้ว จบรึยัง เกมส์ยี่สิบคำถามของนาย ถ้าหมดแล้วก็ฟังฉันมั่งนะ” ตั้นพูดตัดบทหลังจากรู้สึกตัวว่า เธอพูดมากเกินไป และสิ่งที่พูดอาจจะไปสร้างความลำบากใจให้กับเพื่อนได้

สายตาของร่างสูงยังจับจ้องอยู่ที่คู่สนทนานิ่ง

“อย่าเสียเวลามัวแต่ถามเรื่องไร้สาระของฉันอยู่เลย มันไม่ได้ทำให้อะไรในชีวิตนายดีขึ้นหรอกนะ เอาเวลาไปง้อน้ำผึ้งดีกว่า ฉันเชื่อว่านายรู้อยู่แล้วล่ะ ว่าตอนนี้น้ำผึ้งอยู่ที่ไหน ไปขอโทษเธอ บอกเธอว่าเธอสำคัญกับนายแค่ไหน นายตามหาเธอมานานขนาดไหน ... ฉันไม่อยากให้นายเสียคนที่ดีพร้อมแบบน้ำผึ้งไป” มือเรียวที่กำลังจะยกขึ้นตบไหล่เพื่อนเพื่อให้กำลังใจชะงักไป เมื่อรู้สึกตัวว่าเธอควรรักษาระยะห่างที่เหมาะสมสำหรับเพื่อนไว้ ตั้นเปลี่ยนใจนำมือนั้นมาสอดเก็บไว้ในกระเป๋าของเสื้อสูทแทนเพื่อกลบเกลื่อนการกระทำเมื่อครู่ มือที่สอดเข้าไปในกระเป๋าสัมผัสกับซองที่เตรียมมาเพื่อแสดงความยินดีกับเพื่อน ในซองนั้นมีเช็คเงินสดที่ระบุจำนวนเงินมากกว่าเงินค่าตรวจรักษาเมื่อครั้งที่เธอประสบอุบัติเหตุที่ตั้งใจจะคืนให้กฤษตั้งแต่เกือบสามเดือนก่อน

เมื่อเห็นกฤษยังคงนิ่งเงียบ รวมกับแววตาครุ่นคิดของร่างสูง ทำให้เธอตัดสินใจยุติบทสนทนาไว้เพียงเท่านี้ ตั้นมองร่างสูงอยู่ชั่วขณะเพื่อเก็บไว้เป็นอีกหนึ่งภาพความทรงจำ

“ไว้นายง้อน้ำผึ้งเขาได้แล้วจัดงานใหม่ แจกการ์ดอีกรอบอย่าลืมแจกการ์ดฉันล่ะ” ตั้นหวังว่าทั้งสองจะคืนดีกันสำเร็จ มือเรียวหยิบซองออกจากกระเป๋า

“ซองนี่ ไหนๆฉันก็เตรียมมาแล้วนายก็รับไว้เถอะนะ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะรับ เธอจึงเดินไปยังโต๊ะกระจกแล้ววางมันไว้คู่กับช่อดอกกุหลาบสีแดง ก่อนจะเดินกลับมาลาเจ้าภาพ

“มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ วันนี้ฉันกลับล่ะ” เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายรับรู้ว่าเธอกำลังจะกลับ ตั้นเดินเบี่ยงตัวหลบร่างสูงเพื่อไปยังประตู ขณะที่กำลังจะเดินผ่านกฤษ มือกว้างจับต้นแขนของเธอไว้ แขนแข็งแรงออกแรงดึงรั้งเธอมาประชิดตัว ก่อนที่จะรวบร่างโปร่งบางไว้ในอ้อมกอด

ตั้นได้แต่ยืนตัวแข็งอยู่ในอ้อมแขนนั้นด้วยความตกใจ ความอบอุ่นบางอย่างในอกที่ห่างหายไปนานแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง ตั้นยอมทำตามใจตัวเอง ปล่อยตัวเองให้อยู่ในอ้อมกอดนั้น แต่เพียงไม่นานก็ต้องตัดใจ เมื่อนึกถึงความเป็นจริง ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา เธอพยายามอย่างหนักที่จะคิดกับอีกฝ่ายว่าเป็นเพียงเพื่อน

“เฮ้ย ปล่อยเถอะ เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นเข้ามันคงไม่ดีกับนายเท่าไหร่” ตั้นพูดเตือนสติเพื่อน พร้อมกับนึกถึงร่องรอยความหวาดหวั่นไม่แน่ใจที่อยู่ในดวงตาของน้ำผึ้ง

“เราขอโทษนะตั้น” เสียงอ่อนอุ่นตอบกลับมา

“ขอโทษเราเรื่องอะไร” น้ำตาจากความหวั่นไหวที่แห้งไป กลับมาเอ่อขอบตาอีกครั้ง ทั้งๆที่เธอตั้งใจแล้วว่าจะไม่ร้องไห้อีก

“ทุกๆเรื่องเลย” อ้อมกอดกระชับแน่น เสียงอ่อนโยนกระซิบที่ข้างหูทำให้เธออยากยกแขนโอบรอบแผ่นหลังกว้างนี้เหลือเกิน ระหว่างที่ร่างบางในอ้อมกอด กำลังต่อสู้กับความต้องการ และความเหมาะสม ประโยคที่ตามมาทำให้หญิงสาวตัดสินใจได้

“เราเป็นห่วงตั้นนะ” เสียงทุ้มที่เธอฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน

ก็แค่เป็นห่วง ไม่ใช่ความรักหรอก เป็นแค่ความสงสารอย่างเพื่อนคนหนึ่งจะมีให้ เท่านั้นที่กฤษมีให้เรา... มือเรียวสะกิดแผ่นหลังของคนที่กำลังกอดเธอไว้ เพื่อเตือนสติ ตั้นกลืนก้อนแข็งที่ขึ้นมาติดอยู่ในลำคอให้ลงไป ก่อนจะปรับเสียงให้เป็นปกติ

“ปล่อยเถอะกฤษ เรายังสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

กฤษคลายอ้อมแขนเพียงครู่เดียว ก่อนจะสอดแขนข้างหนึ่งรอบเอว ส่วนแขนข้างที่เหลือโอบประคองแผ่นหลังบอบบาง ชายหนุ่มสูดกลิ่นหอมธรรมชาติหวานละมุนจากร่างคนที่คิดถึง พร้อมกับความรู้สึกที่เต็มตื้นขึ้นในอก โพรงอกที่เคยว่างเปล่าเหมือนถูกเติมเต็มขึ้นมาอย่างประหลาด เขาแอบเก็บเกี่ยวความสุขโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว

“เรากินข้าวครบทุกมื้อนะ ไปทำงานปกติ หวัดก็ไม่เป็น” ตั้นที่ยังยืนนิ่งให้ร่างสูงแนบกอด อุณหภูมิของร่างกายที่โอบล้อมตัวเธอนั้นทำให้ในสมองสับสน เธอได้ยินเสียงของตัวเองพูดไปเรื่อยๆ ขณะที่สติส่วนหนึ่งกำลังสั่งให้ตัวเองมองข้ามความรู้สึกบางอย่างที่กำลังเอ่อล้นขึ้นมา

“แล้วหัวใจล่ะตั้น หัวใจของตั้นยังแข็งแรงดีอยู่มั้ย”

คำถามจากเจ้าของวงแขนที่ยังกอดเธอไว้สร้างความรู้สึกหลากหลายเกิดขึ้นในใจ มันอัดแน่นอยู่ในช่องอกจนหญิงสาวทรมาน เธอต้องการออกจากสถานการณ์นี้ก่อนที่จะหมดแรงดึงรั้งความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ไม่ให้ออกไปจากที่ซ่อนภายในตัวเธอ

“ยังแข็งแรงดีอยู่ซิ” เธอขบริมฝีปากแน่น เพื่อกดเก็บความรู้สึกหลายหลากที่พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างยากเย็น เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยเธอออกจากอ้อมแขน หญิงสาวจึงออกแรงผลักไหล่หนา

“ไม่จำเป็นต้องอดทนไว้ก็ได้นะตั้น” น้ำเสียงที่อ่อนโยน ทำให้กระบอกตาของเธอร้อนผ่าว

“เราไม่เป็นอะไรนี่นา เพราะถ้าอยู่ไม่ได้ ก็คงจะตายไปนานแล้วล่ะ” ตั้นยังคงดิ้นรนที่จะออกจากวงแขน

“ทำไมพูดเรื่องตาย เราไม่ยอมให้ตั้นตายหรอก”

“...ได้โปรด..ปล่อยเราเถอะนะ..” ตั้นขอร้องเมื่อแรงของเธอไม่สามารถทำให้หลุดออกจากอ้อมแขนที่แน่นหนานั้นได้ แม้ว่าจะพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติแต่มันก็ยังสั่นเครือด้วยแรงอารมณ์ที่เก็บซ่อนไว้ภายใน

“... ไม่ว่าเรื่องอะไร ตั้นไม่จำเป็นต้องอดทนไว้คนเดียวอีกแล้ว ขอให้เราช่วยแบ่งปันมันมาบ้างได้มั้ย ขอร้อง ... เรารักตั้นนะ...”

คำว่า “รัก” ทำให้น้ำตาที่ตั้นพยายามอย่างสุดกำลังที่จะห้ามมันไม่ให้ไหลออกมา ค่อยๆไหลออกมาช้าๆ

“พูดอะไรน่ะกฤษ นายบ้ารึเปล่า คนที่นายรักคือน้ำผึ้ง ไม่ใช่ฉัน แล้วก็ปล่อยฉันซักที” ร่างบางหมดแรงดิ้นรน แขนเรียวตกลงข้างตัว ได้แต่ยืนนิ่งในอ้อมกอด เธอยังคงจดจำได้ทุกรอยยิ้มที่อ่อนโยน ความอ่อนหวานอบอุ่น ในทุกการกระทำ และคำพูดของคนทั้งคู่ที่มอบให้กันได้เป็นอย่างดี

กฤษดันร่างบางออกห่างจากตัว จ้องมองนิ่งนานลึกเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา ซึ่งไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย มือกว้างจับต้นแขนเรียวไว้หลวมๆ

“ที่เราพูด เราพูดจริงนะ”

“ระหว่างเรา ไม่มีอะไรนอกจากคำว่า เพื่อน ไม่ใช่เหรอ ..นายแค่ผูกพันกับเพื่อนอย่างฉัน ที่คบกันมานานก็เท่านั้น และวันนี้ฉันก็ยังเป็นเพื่อนนายอยู่” ตั้นยิ้มทั้งน้ำตา ความทรงจำริมแม่น้ำยังกระจ่างชัด เธอไม่อยากให้กฤษเห็นสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้เลย

“ตั้นเคยกอดใครซักคน แล้วรู้สึกว่าความสุขมันเต็มตื้นในหัวใจ อยากกอดไว้ไม่อยากห่างไปไหนบ้างมั้ย” กฤษถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“มันก็แค่ความรู้สึกที่ไม่ได้สำคัญอะไรไม่ใช่เหรอ เมื่อเทียบกับคนในฝันของนาย คนที่นายเฝ้าตามหามาตลอด ในที่สุดนายก็ได้เจอเธอแล้ว เธอเหมาะสมกับนายมากนะ ปล่อยเราเถอะ แล้วรีบไปตามเธอกลับมา แต่งงานกับเธอ นายจะได้มีความสุขอย่างที่นายฝันไว้ไง“

“เราไม่อยากหลอกตัวเองอีกแล้ว” กฤษจับมือที่พยายามแกะมือเขาออกจากต้นแขน มาประทับจูบกลางฝ่ามือเบาๆ การกระทำที่เหมือนกับในความทรงจำที่ลางเลือนทำให้หญิงสาวนิ่งงัน

“เหมาะสมรึเปล่าไม่เกี่ยวกันหรอก เรารู้แค่ว่า เวลาอยู่กับตั้นเราเป็นอย่างที่เราเป็น ไม่ต้องเป็นคนดี ไม่ต้องเป็นฮีโรในสายตาใครๆ ไม่ต้องสมบูรณ์แบบมากมายอะไร แล้วเราก็มีความสุข เราเพิ่งรู้ความหมายของคำว่า...ชีวิตมันว่างเปล่า..ที่คนอื่นเขาพูดกันตอนที่อยู่ห่างตั้นนี่แหละ ความว่างเปล่า ที่น้ำผึ้งก็ทำให้มันหายไปไม่ได้”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ มีเพียงสายตาที่มองมา กฤษจึงพูดเรื่องที่คิดว่าควรจะพูดเพื่อให้คนที่เขารักสบายใจ

“วันนี้ไม่ใช่วันแต่งงานของเรากับน้ำผึ้งนะ” กฤษยิ้มให้ตั้นอย่างอ่อนโยน รอยยิ้มที่เธอคิดว่าเธอไม่เคยได้รับ

“เราขอเลิกกับน้ำผึ้งไปตั้งเดือนกว่าแล้ว ตั้นคงไม่ได้อ่านการ์ดที่เราส่งไป มันไม่ได้มีชื่อเจ้าบ่าว เจ้าสาวอะไรเลย มีแค่สถานที่ วัน เวลา เท่านั้นเอง ตั้นเข้าใจผิดไปเอง” มือใหญ่ประคองแก้มอย่างทะนุถนอมก่อนจะใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาออกอย่างเบามือ

“ดอกกุหลาบสีขาวทุกดอกในห้องนี้ แทนคำขอโทษกับทุกคำพูด ทุกการกระทำของเราที่ทำให้ตั้นรู้สึกไม่ดีหรือเสียใจ ส่วนช่อดอกกุหลาบสีแดงทุกช่อ แทนช่อดอกไม้ที่เราควรจะให้ตั้นมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่ได้ให้ ตั้นรับมันไว้ได้มั้ย”

สายตาของตั้นมองไปยังดอกกุหลาบมากมายที่เรียงรายอยู่เต็มห้อง ก่อนสายตาจะมาหยุดที่คนตรงหน้าอีกครั้ง

“นะ ตั้น ให้เราได้แบ่งปันความสุข ความโดดเดี่ยว ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าของตั้นนะ กับเรา ตั้นไม่จำเป็นต้องอดทนขนาดนี้แล้วก็ได้” นิ้วแกร่งปาดน้ำตาออกจากผิวแก้มอย่างแผ่วเบาทะนุถนอม ก่อนจะเลยไปสัมผัสผมนุ่มด้วยความรักใคร่

กฤษดึงตั้นเข้ามาแนบกอดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้สองแขนเรียวโอบกอดแผ่นหลังกว้างของกฤษแน่น พร้อมกับร้องไห้สะอื้นตัวโยน ปลดปล่อยทุกสิ่งที่เก็บไว้มานานในอ้อมแขนแข็งแรงนั้น





Create Date : 25 กรกฎาคม 2551
Last Update : 25 กรกฎาคม 2551 14:45:02 น. 3 comments
Counter : 269 Pageviews.

 
ขอบคุณที่ให้จบแบบนี้ค่า
ซึ้งๆๆๆ
นึกว่าจะให้จบเศร้าซะแล้ว


โดย: ท้องฟ้า IP: 61.90.74.37 วันที่: 25 กรกฎาคม 2551 เวลา:20:41:07 น.  

 
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด



คนที่สองก็ได้ แงๆๆๆ


สนุกค่ะๆๆๆ


โดย: หมูปิ้ง IP: 74.214.66.120 วันที่: 26 กรกฎาคม 2551 เวลา:7:33:25 น.  

 
+++ คุณท้องฟ้า

ขอบคุณมากนะคะที่ตามอ่าน

จริงๆอยากเขียนให้คนอ่านลุ้นเหมือนกันว่าจะจบยังไง ^ ^

จบแบบใจร้ายไม่ไหวอ่ะค่ะ เพราะพุทราก็ไม่ชอบเรื่องเศร้าเหมือนกันค่ะ ^ ^



+++ คุณหมูปิ้ง

ขอบคุณมากนะคะที่ตามอ่าน ดีใจจังที่คุณหมูปิ้งชอบค่ะ


โดย: แค่ก้อนหินที่อยากบินได้ วันที่: 31 กรกฎาคม 2551 เวลา:12:08:23 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แค่ก้อนหินที่อยากบินได้
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ขอมี Blog กับเค้าด้วยคนนะคะ ^ ^

Friends' blogs
[Add แค่ก้อนหินที่อยากบินได้'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.