Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2551
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
3 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
ตอนที่ 7 ความสัมพันธ์

ตั้นเปิดประตูห้องพัก พบกับความมืดเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา เธอเอื้อมมือไปกดสวิตช์ไฟดวงเล็ก ไฟสีส้มให้ความสว่างกับทางเข้าของห้องพัก หญิงสาวก้มลงถอดรองเท้าแล้วปล่อยทิ้งไว้บนพื้น โดยไม่ได้ยกขึ้นวางบนชั้นเตี้ยๆที่อยู่ด้านข้าง

แสงสีส้มจากหลอดไฟด้านนอก ทำให้ห้องสว่างขึ้นเพียงเล็กน้อย เธอเดินลึกเข้าไปในห้องที่เงียบสงัด ... เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง

กระเป๋าโน้ตบุ๊กถูกวางลงบนพื้นพิงไว้กับโซฟา ก่อนจะทิ้งตัวนอนคว่ำหน้าลงไปกับเก้าอี้ตัวยาว เธอหลับตานิ่ง รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนของหัวใจท่ามกลางความเงียบรอบตัว

เธอยกนาฬิกาขึ้นดูเวลา เข็มสั้นเข็มยาวบอกเวลาสี่ทุ่มเกือบครึ่งแล้ว สามัญสำนึกบอกเธอว่าเธอควรจะหาอะไรใส่ท้องก่อนนอน เพราะทั้งวัน หญิงสาวกินกาแฟกับพายที่เป็นมื้อเช้าไปเท่านั้น แต่ร่างนั้นยังคงนอนนิ่งอยู่ท่าเดิม ไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัวไปตามเหตุผลที่สั่งมาจากสมอง

ความเงียบและความเย็บเยียบของโซฟา ทำให้ความรู้สึกของเธอจมดิ่งลงอย่างประหลาด นึกถึงบรรยากาศอบอุ่นที่เคยวนเวียนอยู่รอบตัว

…ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวโซฟาก็จะอุ่นขึ้นเองนั่นแหละ...เธอบอกกับตัวเอง

...อะไรอุ่นๆ ... เธอแปลกใจที่อยู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาโดยที่ไม่คาดคิด

บ้าจัง เหนื่อยขนาดนี้ยังมีแรงร้องไห้อีกเหรอ เธอถอนหายใจกับตัวเองในความมืด ปล่อยให้สายน้ำอุ่นๆไหลเรื่อยมาจากหัวตา จนกระทั่งหลับไป

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

ตื่นแต่เช้าไปทำงาน วุ่นอยู่กับงานจนค่ำ ในที่สุดตั้นก็ตัดสินใจเก็บของกลับบ้าน เธอลุกจากโต๊ะเดินไปที่ประตู กวาดสายตามองห้องที่ปราศจากผู้คน เหลือเพียงโต๊ะเก้าอี้อีกครั้ง ก่อนจะปิดสวิตช์ไฟแล้วเดินออกไปรอลิฟต์ หญิงสาวยืนอยู่ท่ามกลางแสงสลัวสีส้มในโถงโล่งที่เงียบสงัดกับปุ่มกดลิฟต์ไฟสีส้มจ้าที่คุ้นชินเพียงลำพัง

ตั้นออกจากบริเวณที่ทำงาน เดินเรียบเรื่อยไปตามถนน บางร้านเพิ่งเริ่มเปิด ในขณะที่บางร้านก็กำลังจะปิด จนเกือบจะถึงสถานีรถไฟฟ้า ถ้าร้านอาหารตามสั่งเจ้าประจำยังไม่ปิด ตั้นก็จะแวะฝากท้องไว้ที่ร้านนี้เสมอจนคุ้นหน้าคุ้นตากับเจ้าของร้านเป็นอย่างดี แต่ถ้าคืนไหนเธอออกจากออฟฟิศช้า ซึ่งเลยเวลาร้านปิดไปแล้ว หญิงสาวก็จะขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้าน ... ทุกวันยังคงเป็นแบบเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

เมื่อประตูเปิดออก เธอก้าวเข้าไปในตู้รถไฟฟ้าที่มีผู้คนบางตา ตั้นเลือกยืนที่ริมประตูมุมประจำ แผ่นหลังบอบบางแนบกับผนังรถไฟเย็นชืด ปล่อยสายตาทอดผ่านออกไปนอกกระจก

โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงดึงความสนใจของเธอออกมาจากวิวแสงไฟหลากหลายสีสันนอกหน้าต่างรถไฟฟ้า

“เย็นพรุ่งนี้ว่างรึเปล่า” เสียงทุ้มที่ไม่ได้ยินมาเกือบสามอาทิตย์ ส่งเสียงมาโดยปราศจากคำทักทายเหมือนเดิม

“ว่าง มีอะไร จะชวนไปก๊งเหรอไง” ตั้นเดา เพราะพรุ่งนี้เป็นเย็นวันศุกร์

“เออ เดี๋ยวเลิกงานแล้วไปรับนะ คงทุ่มนึงเหมือนเดิม นายจะเลิกงานรึยัง”

“คงเลิกแล้วล่ะ” เธอตอบโดยไม่จำเป็นต้องหยุดคิด

“เออ งั้นทุ่มนึงเจอกัน”

เสียงอีกฝั่งตัดสายไปแล้ว ตั้นลดโทรศัพท์ลง แต่ยังคงกำมันไว้ในมือ เสียงอุ่นทุ้มยังก้องอยู่ในหู หญิงสาวมองที่กระจกประตูของรถไฟฟ้า ภาพที่สะท้อนออกมาทำให้เธอแปลกใจ ภาพนั้นยังคงเป็นตัวเธอเหมือนเมื่อครู่ ต่างกันเพียงรอยยิ้มเล็กๆที่ปรากฏอยู่ตรงมุมปาก

...ยิ้ม... ทำไมเราต้องยิ้มด้วย? คำถามที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจ ทำให้ใบหน้าขาวนวลที่มีรอยยิ้มบางประดับอยู่บนเรียวปากกลับมาเรียบเฉยอีกครั้ง เธอทิ้งคำถามที่ตอบไม่ได้ไว้ให้ลอยคว้างอยู่ในอากาศ ไม่คิดจะเก็บมันมาขบคิด ไม่นำมารวมกับคำถามอีกมากมายที่เธอยังตอบไม่ได้ แล้วหันกลับไปสนใจแสงไฟที่อยู่นอกบานประตูรถไฟฟ้าอีกครั้ง

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

วันศุกร์นี้ก็เหมือนกับวันศุกร์อื่นๆที่ตั้นนัดกับกฤษ เธอกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนที่จะถึงเวลานัด

หญิงสาวเดินวนเวียนอยู่ในห้อง สายตามองนาฬิกาอดแปลกใจไม่ได้ที่คนนัดไว้มาช้า

เสียงออดที่ประตูดังขึ้น ทำให้หญิงสาวที่กำลังจะเดินกลับไปในห้องนอนอีกครั้ง หันหลังกลับ เดินตรงไปที่ประตู

ใครนะ มากันป่านนี้ มือเรียวเปิดประตูออก

ร่างสูงที่อยู่อีกฝั่งของประตูทำให้เธอแปลกใจ เพราะที่ผ่านมากฤษไม่เคยกดออด ทุกครั้งจะใช้กุญแจที่เธอให้ไว้เปิดประตูเข้ามาในห้อง

“ไปกันเถอะ” กฤษพูดขึ้น แล้วออกเดินนำไปก่อน

ตลอดทางที่เดินไปจนกระทั่งขึ้นรถ ตั้นได้แต่มองกฤษเงียบๆ เพียงเสี้ยวหน้าที่เห็นเมื่อมองจากด้านข้าง ก็รับรู้ได้ถึงความเคร่งเครียดลอยกรุ่นอยู่รอบตัว

“เป็นอะไรรึเปล่า ดูเครียดๆ” ตั้นมองหน้าคนที่กำลังทำหน้าที่ขับรถ

“เปล่า” กฤษตอบ ก่อนหันมายิ้มบางๆ

“ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจ อยากให้เราช่วยอะไรก็บอกได้นะ” เธอมองรอยยิ้มนั้นด้วยความกังวล

กฤษขับรถฝ่าการจราจรที่ติดขัดในค่ำวันศุกร์พาคนข้างๆมาถึงจุดหมาย สถานที่ที่สร้างความประหลาดใจให้เธอไม่น้อย ทันทีที่หญิงสาวเปิดประตูรถ ลมเย็นจากแม่น้ำก็พรูพัดเข้ามาปะทะกับใบหน้า เธอมองแสงไฟที่อยู่รอบบริเวณ และมองเห็นเสาสูงของสะพานพระราม 8

“โห เนื่องในกรณีพิเศษอะไรรึเปล่า นึกว่าจะพาไปร้านเดิม ตกลงจะมานั่งจิบเหล้ารับลมริมน้ำเหรอ อารมณ์ไหนเนี่ย” ตั้นกระเซ้าคนที่นั่งเงียบมาตลอดทาง เธออยากได้ยินเสียงหัวเราะที่คุ้นชิน เมื่อได้ยินเพียงความเงียบที่ตอบกลับมา ตั้นจึงเดินช้าๆ คอยคนที่กำลังหยิบของจากเบาะหลัง

หญิงสาวเลือกนั่งกับพื้นบริเวณริมฝั่งแม่น้ำ ห้อยขาตามสบาย หันหน้ารับลมเย็นสดชื่นที่พัดจากแม่น้ำ เสียงฝีเท้าหนักๆ เดินเข้ามาใกล้ แล้วทรุดตัวลงนั่งไม่ห่างกัน กฤษส่งกระป๋องเบียร์ให้กับตั้น เธอรับกระป๋องเย็นเฉียบมาถือในมือ

“เมื่อกี้ตอนแวะซื้อเบียร์ ยี่ห้อที่นายชอบมันไม่มีขายนะ” กฤษพูดเมื่อเขาเปิดกระป๋อง แต่คนข้างตัวยังไม่เปิด

“ไม่เป็นไรกินได้” เธอดื่มได้ทุกยี่ห้อ เพราะไม่ได้พิสมัยการร่ำสุรามากนัก ส่วนใหญ่แค่ดื่มเป็นเพื่อนเพื่อนเท่านั้น เธอจึงเลือกดื่มยี่ห้อที่รสชาติไม่บาดคอ

“แล้วมีเรื่องอะไรสำคัญรึเปล่า” ตั้นหันไปมองหน้ากฤษที่กำลังยกเบียร์ขึ้นดื่ม

มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมา กฤษลดกระป๋องเบียร์ลง หญิงสาวมองคนข้างตัว สายตาของคนทั้งคู่สบกันนิ่ง

“มีอะไรก็ว่ามา ไม่ต้องมาจ้อง ฉันอ่านสายตานายไม่ออก” เธอพูดเล่นกับเพื่อนเหมือนที่เคยเป็นมา เพราะต้องการช่วยลดบรรายากาศอึมครึมที่ปกคลุมอยู่รอบตัว

“คือ ... เราไม่ค่อยแน่ใจว่ะ ตั้น” คำเรียกขานที่เปลี่ยนจากการใช้สรรพนาม มาเป็นการเรียกชื่อ ทำให้ตั้นรู้ว่าเรื่องที่พูด คงเป็นเรื่องจริงจังไม่น้อย

“ไม่แน่ใจเรื่องอะไร” ตั้นเปิดกระป๋องเบียร์เพื่อทำลายความเงียบระหว่างรอให้อีกฝ่ายพูดต่อ

“เรากับตั้นยังเป็นแค่เพื่อนกันอยู่ใช่มั้ย” กฤษตัดสินใจหลุดคำถามออกมาหลังจากใช้เวลาอยู่นาน

ตั้นหันมามองหน้าคนถาม คำถามแปลก ชักชวนให้เธอคิดไปต่างๆนาๆ น้ำเสียงจริงจัง เธอไม่แน่ใจในสิ่งที่เธอคิด...รู้แค่ว่าหัวใจเธอไหววูบอย่างประหลาด ก่อนจะเต้นแรงขึ้น หญิงสาวหวังว่าน้ำรสชาติขมในกระป๋องจะช่วยทำให้หัวใจเธอหยุดแกว่ง

“ทำไมกฤษถึงถามแบบนี้ล่ะ ....” ตั้นมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่ที่คุ้นเคย เผื่อจะทำให้เธอได้รู้คำตอบ

“...อืมมม....จะว่าไงดีล่ะ .... เรื่อง....ที่ผ่านมา...ระหว่าง...เรากับ...ตั้น....มันทำให้เราไม่แน่ใจ” คำตอบที่เหมือนจะหลุดมาทีละคำ บ่งบอกความลำบากใจของคนตอบคำถามไม่น้อย

“....” ตั้นนิ่งรอให้กฤษพูดต่อให้จบ ทั้งสองสบตากันนิ่งนาน สีหน้าลำบากใจ กับสายตาที่บอกถึงความกังวลนั้น ทำให้ตั้นหันหน้ากลับไปทางแม่น้ำ แม้คำตอบที่ได้กลับมาจากกฤษจะไม่ชัดเจน แต่เธอก็ไม่ได้โง่ขนาดไม่เข้าใจว่า เขาหมายถึงอะไร

ชั่วขณะที่รอคำตอบ ความรู้สึกเหมือนมวลอากาศหนักอึ้งกดทับระหว่างคนทั้งคู่

“กฤษยังอยากให้เราเป็นเพื่อนอยู่มั้ยล่ะ ถ้าใช่ ....เราก็ยังเป็นแค่เพื่อนของกฤษ เหมือนเดิมนั่นแหละ” พูดจบแล้วก็ยิ้มให้ พร้อมกับยกมือขึ้นจับไหล่หนาของเพื่อน ก่อนตบเบาๆ เธอหวังว่าสิ่งนี้จะสามารถขับไล่ความไม่สบายใจของเพื่อนไปได้

รอยยิ้มที่คุ้นเคยปรากฏบนใบหน้าของชายหนุ่มอีกครั้ง

“ขอบใจว่ะเพื่อน ฉันกังวลเรื่องนี้อยู่ตั้งนาน ฉันอยากเคลียร์กับแกก่อน ก่อนที่ฉันจะจีบน้ำผึ้งจริงๆจังๆ”

เหตุผลที่ออกจากปากของเพื่อน ทำให้เธอรู้สึกเหมือนมีโพรงอากาศดำมืดหมุนวนอยู่ภายในกลางลำตัว ดูดเอาความรู้สึกทั้งหมดของเธอหายไป หญิงสาวนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกกระป๋องเบียร์ขึ้น แล้วหันไปทางเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มยกกระป๋องเบียร์ขึ้นเช่นกัน

“ขอแสดงความยินดีล่วงหน้า” ตั้นยิ้ม ทั้งๆที่รู้สึกว่าโพรงอากาศนั้นดูดเธอลึกลงไปเรื่อยๆ โพรงอากาศที่ลึกลงไปเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด

“ขอบใจ” กฤษยิ้มกว้างตอบกลับมา

กระป๋องเบียร์เคลื่อนที่เข้าหากัน กระแทกกันเบาๆ ก่อนจะถูกยกขึ้นดื่ม ตั้นดึงความรู้สึกทั้งหมดออกจากโพรงอากาศที่ว่างเปล่ากลับมาอยู่ที่รสขมของเบียร์

“เดี๋ยวๆ นี่แสดงว่า ... แกหาว่าฉันคิดอะไรกับแกเหรอเนี่ย หลงตัวเองไปหน่อยป่าววะ” ตั้นแกล้งหรี่ตาแล้วมองเพื่อนด้วยหางตา

ชายหนุ่มยิ้มขำกับท่าทางของเพื่อน

“ไม่ได้หลงตัวเอง ฉันเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอก แค่อยากจะเคลียร์ให้สบายใจ ทั้งฉัน ทั้งแก แล้วก็น้ำผึ้ง จริงๆฉันเองก็คิดไว้อยู่แล้วล่ะว่าคนอย่าง ‘นางสาวผกามาศ ฉายามารน้ำแข็งไร้ใจ’ น่ะไม่เคยสนใจใครอยู่แล้ว” กฤษตอบกลับด้วยน้ำเสียงยั่วเย้าเหมือนปกติ

จริงๆทั้งเธอและกฤษเองก็รับรู้มาตั้งนานแล้ว ว่าบางเรื่องระหว่างเธอและเขานั้นสนิทกันเกินกว่าเพื่อนสนิทต่างเพศจะทำด้วยกัน แต่เธอเองก็เชื่อเสมอว่า เรื่องบางเรื่องเธอไม่อยากนำหลักเกณฑ์ทางสังคมมาขีดกรอบให้วุ่นวาย

แล้วทำไมเขาต้องถาม....ถามคำถามในวันนี้ คงเป็นเธอเพียงคนเดียวกระมังที่เชื่อแบบนั้น

เขาสงสัยในความเป็นเพื่อนของเธอ หรือ เขาสงสัยตัวเธอกันแน่?

แม้ว่ารอยยิ้มกว้างที่เธอเห็นจะเหมือนกับกฤษคนเก่า แต่เมื่อมองลึกเข้าไปในดวงตา เธอกลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอคิดว่า มันยังมีเหตุผลอื่นมากกว่านี้ ที่กฤษไม่ได้บอกกับเธอ ในเมื่อเขาเลือกที่จะไม่บอก

มันก็คงเป็นเหตุผลที่เพื่อนอย่างเธอไม่จำเป็นต้องรู้ เธอจึงไม่คิดจะถามถึงเหตุผลนั้น บางทีกฤษอาจจะต้องการความชัดเจนในสถานภาพความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขา

ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง เป็นครั้งแรกที่ตั้นรู้สึกทรมาน เพราะมันไม่ใช่ความเงียบที่อบอุ่นเหมือนในช่วงเวลาที่ผ่านๆมา

ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะพูดอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์มือถือของกฤษก็ดังขึ้น ริงโทนเพลงรักหวานที่กำลังเป็นที่นิยม เสียงริงโทนที่ตั้นไม่รู้จักทำให้เธอตระหนักว่า มีอีกหลายเรื่องของ ‘เพื่อน’ ที่เธอไม่รู้ แต่เธอก็อดคาดเดาไม่ได้ว่า คนที่โทรเข้ามาน่าจะเป็น น้ำผึ้ง

กฤษรีบรับโทรศัพท์ก่อนที่จะเดินห่างออกไปเพื่อสนทนากับคนในสาย ท่าทีนี้ทำให้เธอเห็นเส้นกั้นระหว่างโลกของเธอและโลกของเขาชัดเจนมากขึ้น เธอมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินห่างออกไป ก่อนจะหันกลับมาสนใจกับแสงไฟของภัตตาคารบนเรือในแม่น้ำที่กำลังให้บริการกับลูกค้า

ตั้นนั่งชันเข่า แขนเรียวกอดเข่าทั้งสองข้างไว้หลวมๆ มือยังถือกระป๋องเบียร์ ปล่อยให้ลมแม่น้ำเย็นฉ่ำพัดผ่านปะทะใบหน้า เสียงฝีเท้า...จังหวะการเดินที่คุ้นหู...เข้ามาใกล้ นั่งลงเยื้องไปด้านหลังเธอเล็กน้อย แล้วมือกว้างก็วางลงบนบ่าของเธอ ท่ามกลางอากาศเย็นที่อยู่รอบตัว เธอรู้สึกถึงไออุ่นที่แผ่มาจากเพื่อนที่นั่งแทบชิดกัน

“เฮ้ย กลับกันเถอะ เดี๋ยวฉันจะไปหาน้ำผึ้งหน่อย เขาบอกว่า ซื้อตั๋วหนังเผื่อเพื่อนไว้ แต่เพื่อนไม่มา พอดีเป็นเรื่องที่ฉันอยากดูด้วย เขาเลยโทรมาชวน”

“เออ นายไปก่อนเถอะ ฉันขอนั่งรับลมอยู่ที่นี่ซักพัก อุตส่าห์มาถึงนี่แล้ว ยังรับลมไม่คุ้มค่าน้ำมันเลย” ตั้นตอบพร้อมกับยิ้มให้เพื่อน

“งั้นฉันไปก่อนแล้วกันนะ”

“อืม รีบไปเถอะ เดี๋ยวน้ำผึ้งจะรอนาน”

“แล้วอย่ากลับดึกนักล่ะ” มืออุ่นร้อนที่ยังวางอยู่บนบ่าของเธอบีบเบาๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะยกมือเพื่อเป็นสัญญาณของการลาจากกัน ชายหนุ่มยืนขึ้นดื่มเบียร์อึกสุดท้าย แล้วหันหลังเดินห่างออกไป

ตั้นฟังเสียงฝีเท้าที่เบาลงเรื่อยๆ จนเสียงลมที่พัดอื้ออึงรอบตัวกลบเสียงนั้นไป เสียงสตาร์ทรถดังหลังจากนั้นสักพัก เธอรู้สึกเหมือนเพื่อนยังคงมองเธออยู่ แต่เธอไม่ได้หันกลับไปดูให้แน่ใจ เพราะเธอไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองอีก


ตั้นยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ฟังเสียงลมที่อึงอลอยู่เต็มสองหู ปล่อยให้สายลมพัดพาความนึกคิดกลับไปถึงเรื่องราวที่ผ่านมานาน…

. . . . . . . . . . . . . . . . . .

เธอนึกถึง พี่อั้ม ผู้ชายใจดี ร่างสูง ผิวเข้ม รุ่นพี่ที่ชมรมบาสเกตบอล ที่รู้จักจนกลายเป็นคนรู้ใจในช่วงเวลาสั้นๆ สมัยอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย

คนที่ ‘บอกรัก’ กับเธอ และขอคบเป็นแฟน แต่คบกันไม่นาน พี่อั้มเองอีกนั่นแหละที่เป็นฝ่าย ‘บอกเลิก’ กับเธอ ตั้นเองไม่ได้โกรธหรือเสียใจ เพียงแต่เธอไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น

“พี่หวังว่า ตั้นคงไม่โกรธพี่นะ” ตั้นมองเห็นความเศร้าอยู่ในดวงตาสีดำขลับคู่นั้น

“ตั้นไม่โกรธหรอกค่ะ ไม่ต้องห่วง” รอยยิ้มเศร้าๆ ปรากฏบนใบหน้ารุ่นพี่แทนที่รอยยิ้มใจดีที่เธอคุ้นเคย

เมื่อจบประโยค ทั้งคู่ก็อยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงจากกิจกรรมต่างๆในร้านอาหารที่ยังดำเนินต่อไปตามปกติ

“น้องตั้นไม่รู้สึกอะไรเลยอย่างที่พี่คิดไว้จริงๆ” ชายหนุ่มเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน

“.... ไม่รู้ซิคะ ตั้นเองก็ไม่ค่อยเข้าใจว่า ตั้นต้องรู้สึกยังไง” เธอหลุบสายตาลงมองหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่ข้างแก้ว

“ตั้น ... พี่คิดว่า ... บางทีความรู้สึกมันไม่จำเป็นต้องใช้คำว่า ‘ต้อง’ หรอกนะครับ แล้วบางทีเราก็ไม่สามารถหาเหตุผลมาเพื่อเข้าใจความรู้สึกได้หรอกครับ” ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ

“...” ตั้นได้แต่นั่งฟังเงียบๆ

“รู้อย่างนี้ พี่เชื่อคำเตือนของเจ้ากฤษก็คงจะดี” พี่อั้มหัวเราะเบาๆ

“นายนั่นเตือนอะไรพี่อั้มเหรอ เผาอะไรตั้นอีกอ่ะดิ” ชื่อเพื่อนสนิทที่ออกจากปากพี่ชายที่แสนดี ทำให้ตั้นเงยหน้าขึ้นมามองคนพูดตรงๆ เพราะต้องการรู้ว่าบุคคลที่สาม ที่คู่สนทนากล่าวถึงนั้น ‘เผา’ อะไรเธอไว้บ้าง

“เปล่า... เขาแค่เตือนว่า บางทีตั้นอาจจะไม่มีหัวใจ” ตั้นสบตากับคนฝั่งตรงข้ามนิ่ง เมื่อได้ฟังแล้วเธออดนึกถึงคนที่ชอบล้อเล่นกับเธอด้วยประโยคนี้ ทุกครั้งที่กฤษพูด เธอไม่เคยโกรธ ไม่เคยคิดมาก แต่ความรู้สึกตอนที่ได้ยินจากคนที่มีดวงตาแสนเศร้าคนนี้แล้วมันต่างกันเหลือเกิน เธอไม่เข้าใจว่าอะไรที่แสดงว่าเธอไม่มีหัวใจ

“ถ้าถึงวันที่ตั้นรักใครซักคน ตั้นคงเข้าใจความรู้สึกของพี่มากกว่านี้” ร่างสูงยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายเศร้ามากมาย บางทีเธอคงคิดไปเอง เพราะหลังจากนั้น พี่อั้มกับเธอก็กลับมาพูดคุยกันอย่างปกติ และกลับมาเป็นรุ่นพี่ที่ใจดีเหมือนเดิม

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

ตั้นส่งน้ำสีอำพันรสขมลงคออีกครั้ง

“แล้วความรู้สึกตอนนี้ มันใช่ความรักมั้ยพี่อั้ม” ความรู้สึกที่ว่างโหวงจนปวดลึกๆในอก ตั้นได้แต่เพียงพูดเบาๆกับสายลมที่ไม่มีทางนำคำถามไปถึงคนที่เธอพูดด้วย

เธอใช้เวลาอยู่กับกฤษมานาน จนลืมไปว่าวันนี้จะมาถึง และมันจะมาถึงเร็วขนาดนี้ ... นับตั้งแต่วันที่เพื่อนของเธอได้พบกับเซียวเหล่งนึ่งคนที่เก้า ทั้งๆที่น่าจะรู้แล้ว ว่ามันต้องเป็นแบบนี้ น่าแปลกที่เธอยังคงรู้สึกใจหาย

…มันคงเป็นแค่ความผูกพัน หรือไม่ก็อารมณ์หวงเพื่อนแบบเด็กๆล่ะมั้ง...

...การยึดติดไม่ใช่ความรักซักหน่อย…

เธอให้คำตอบกับตัวเองในที่สุด โดยเลือกที่จะมองข้ามความปวดหนึบที่เกิดขึ้นข้างใน

ตั้นเดินห่างออกมาจากริมแม่น้ำ ขณะที่กำลังจะทิ้งกระป๋องเบียร์ลงถังขยะ ตั้นเปลี่ยนใจถือกระป๋องเปล่ากลับบ้านมาด้วย

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

ความมืดสงัดต้อนรับการกลับมาบ้านของเธอเหมือนเช่นทุกครั้ง

เธอไม่เข้าใจว่า เธอคาดหวังว่าจะพบอะไรเมื่อเปิดประตู นอกจากห้องที่มืดและเงียบ

มือเรียวกดเปิดสวิตช์ไฟให้แสงสว่างขับไล่ความืดมิด ทำไมคืนนี้เธอรู้สึกแสงสีขาวฟ้าจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ทำให้อุณหภูมิของห้องลดลงกว่าปกติ

ตั้นดึงตัวเองออกจากความคิดดังกล่าว เธอไม่ชอบให้ตัวเองรู้สึกมากกว่าที่จำเป็นแบบนี้เลย

…เมื่อเปิดไฟ แล้วห้องสว่าง... แค่นี้ ก็น่าจะเพียงพอกับการมีชีวิตอยู่แล้ว รายละเอียดที่มากเกินไป ... ความรู้สึกที่มากเกินความจำเป็น มันอาจจะทำให้ตะกอนที่นอนสงบนิ่งอยู่ก้นบึ้งของความทรงจำให้ฟุ้งกระจายขึ้นมา

เธอเดินเลี่ยงเข้าครัว ค้นหากล่องเก็บเครื่องมือ ล้างกระป๋องเบียร์จนสะอาดก่อนจะกดกระป๋องลงไปในแนวตั้งเพื่อให้กระป๋องแบนตามที่ต้องการ แล้วเจาะรูตรงช่องสำหรับดื่มจนทะลุด้านล่างของกระป๋อง ตั้นใช้กระดาษทรายลบความคมของรอยเจาะ ก่อนจะเข้าไปรื้อลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือในห้องนอน เพื่อหาส่วนประกอบสุดท้าย

ตั้นร้อยกระป๋องเข้ากับสร้อยข้อมือที่เธอเอาออกมาจากซองที่อยู่ก้นลิ้นชัก เส้นที่เธอซื้อเพราะกฤษเป็นคนเลือกให้ ตอนไปเดินตลาดไนท์บาซ่าด้วยกันเมื่อครั้งที่ไปเที่ยวเชียงใหม่กับกลุ่มเพื่อนสนิท เพื่อนๆที่เคยสัญญากันไว้ว่าจะไปเที่ยวด้วยกันทุกปี แต่เมื่อโตขึ้น ทุกคนก็ยุ่งกับภาระรับผิดชอบของตัวเอง จนปัจจุบันนี้เหลือแค่เธอกับกฤษที่ยังไปเที่ยวด้วยกันทุกปีเหมือนเดิม

“ยืนดูอะไร ... นายจะซื้อสร้อยเหรอ” ตั้นเดินย้อนกลับมา หลังจากเดินตามกลุ่มเพื่อนที่ล่วงหน้าไปก่อนเพราะเธอมองไม่เห็นร่างสูงที่ควรเดินตามมาข้างหลัง

“เปล่า มายืนดู เผื่อแกจะสนใจมั่ง” กฤษตอบโดยไม่ได้มองเพื่อนที่เดินมายืนข้างๆ

“ทำไมฉันต้องสนใจด้วยล่ะ”

“หนึ่งเป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสมาเที่ยวเชียงใหม่ สองเผื่อว่าแกจะดูเป็นผู้หญิงขึ้นมามั่ง ผู้หญิงเขาต้องมีอะไรกุ๊กกิ๊กน่ารักมั่งดิ” กฤษมองคนที่ยืนข้างๆ ก่อนจะปั้นหน้าให้ดูจริงจังเกินความเป็นจริง ทำให้ตั้นอดขำไม่ได้

“เนี่ย อย่างเส้นนี้ก็สวย เรียบๆ แต่กุ๊กกิ๊กหน่อยๆ เหมาะกับแกออก” กฤษชี้ไปที่สินค้าชิ้นหนึ่งที่วางบนแผง สร้อยสีเงินเส้นเล็ก แบบเรียบๆ สามเส้นพันไว้ด้วยกัน ตรงปลายมีหินสีฟ้าหม่นเล็กๆห้อยอยู่

ตั้นซื้อมาตามคำคะยั้นคะยอของแม่ค้าที่เป็นคุณยายแต่งตัวมอซอ

หินสีฟ้าหม่นหลุดหายไปนานแล้ว ตั้งแต่เธอใส่ได้วันแรก แต่เธอยังคงเก็บสร้อยที่เหลือไว้

เมื่อเธอร้อยสร้อยเข้ากับกระป๋องแล้ว ตั้นมองดูงานประดิษฐ์ฝีมือของตัวเอง ก่อนจะนำไปคล้องกับซิปของกระเป๋าโน้ตบุ๊กใบที่ถือประจำแทนพวงกุญแจ

หญิงสาวมองที่กระป๋องเบียร์นิ่งนาน …ทุกครั้งที่มองเห็นมัน เธอจะจดจำค่ำคืนนี้...คืนที่ทั้งคู่ได้ย้ำอย่างชัดเจนว่าเป็น ‘เพื่อน’ กัน

ตั้นสูดหายใจลึกเข้าเต็มปอด หวังว่ามวลของอากาศจะช่วยเติมเต็มความรู้สึกว่างเปล่าที่อยู่ข้างในให้ลดลงบ้าง ก่อนจะถอนหายใจยาว เมื่อสิ้นเสียงถอนหายใจ ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ร่างบางนั่งนิ่งเพื่อรับรู้ความเงียบเชียบ เดียวดาย ที่โอบล้อมอยู่รอบตัว ก่อนจะลุกขึ้นไปเตรียมตัวเข้านอน






Create Date : 03 กรกฎาคม 2551
Last Update : 3 กรกฎาคม 2551 11:43:31 น. 0 comments
Counter : 289 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แค่ก้อนหินที่อยากบินได้
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ขอมี Blog กับเค้าด้วยคนนะคะ ^ ^

Friends' blogs
[Add แค่ก้อนหินที่อยากบินได้'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.