Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2551
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
3 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
ตอนที่ 9 คำขอร้อง

ขณะที่สายตาของตั้นกำลังเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าวันนี้หม่นเทาเต็มไปด้วยเมฆฝนเหมือนกับหลายวันที่ผ่านมา ทำให้อารมณ์ของเธอที่ไม่ค่อยจะสดใสกลับสลดลงไปอีก ตั้นพยายามรวบรวมสมาธิให้กลับมาจดจ่อกับงานที่รอเธออยู่ตรงหน้าอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่เธอจะรวบรวมสมาธิได้สำเร็จ เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นก็ดึงความสนใจของเธอไปจากงานอีกครั้ง

“ว่าไง” ตั้นทักกับคนอีกฟากหนึ่งของโทรศัพท์ ทั้งๆที่รู้สึกแปลกใจกับจังหวะการเต้นของหัวใจที่เร็วและแรงขึ้น

“ไม่ว่าไง” น้ำเสียงคุ้นเคยที่เหมือนไม่ได้ยินมานานตอบกลับมาสั้นไม่ต่างกัน

“ไม่ว่าไง แล้วโทรมามีอะไร จะชวนไปกินเหล้ารึไง” ตั้นถาม เพราะตั้งแต่กฤษคบกับน้ำผึ้งแบบคนรัก กฤษก็แทบไม่ได้โทรหาเธอเลย ดังนั้นจึงไม่ต้องคิดถึงเรื่องชวนเธอกินข้าว

“รู้ได้ไง นี่กำลังเซ็งๆ เบื่อๆ อยู่เลย” ชายหนุ่มพูดจบแล้วถอนหายใจ

“เซ็งเรื่องอะไร ชีวิตหวานชื่น ชีวิตรักราบรื่น การงานรุ่งเรือง ยังจะเซ็งอะไรอีก” ตั้นล้อเพื่อนเหมือนอารมณ์หม่นมัวที่มีอยู่เมื่อครู่นั้นเป็นเพียงเรื่องโกหก

“ก็น้ำผึ้งไปสวิตส์ตั้งสามอาทิตย์ เฮ้ออออ..ออออ” เสียงถอนหายใจลากยาวบอกอารมณ์ของคนพูดได้ดี

“อ้าว ไปทำไม งานเหรอ”

“เปล่า ไปเยี่ยมคุณย่าของเขาที่ป่วย แล้วคุณย่าอยากจะให้หลานสุดที่รักที่เป็นพยาบาลมาดูแลอ่ะดิ”

“เหรอ ดีนี่หว่า ทำไมนายไม่ไปกับเขาด้วยเลยล่ะ ไปดูแลด้วย ไปเที่ยวด้วย จะได้ไม่ต้องมานั่งโอดครวญอยู่แบบนี้”

“ก็อยากไป แต่คิดว่าไม่เหมาะ เขาไปกันแบบครอบครัว ฉันยังไม่ได้เป็นครอบครัวอะไรกับเขานี่หว่า”

“เออ..ก็จริงแฮะ”

“ว่าแต่เย็นนี้ว่างมั้ยเนี่ย”

“ขอโทษ เย็นนี้ฉันไม่ว่าง เอาไว้อีกซักสองสามวันได้มั้ย” เย็นนี้เธอกับชานนท์ตกลงกันว่าจะเตรียมข้อมูล รวบรวมรายละเอียดทั้งหมดที่ต้องการเพิ่มเติมจากทีมสถาปนิก

“ทำไม หรือนายมีกิ๊กแล้วไม่บอกฉัน .. บอกให้เพื่อนที่แสนดีคนนี้รู้มั่งดิวะ จะได้ช่วยดูว่าที่เพื่อนเขย” เสียงทุ้มหัวเราะเบาๆ

“ไม่มี กิ๊ก กั๊ก เกิ๊กอะไรทั้งนั้นแหละ ต้องไปต่างจังหวัด เรื่องงาน โปรเจคโรงแรมที่พังงานั่นแหละ”

“เหรอ เออๆ งั้นถ้าว่างแล้วโทรมาหาฉันนะ ไม่ได้กินข้าวด้วยกันนานแล้ว ... แล้วถ้ามีอะไรให้ช่วยก็โทรหาได้เลย ช่วงนี้ฉันว่าง”

“เออ แล้วจะโทรไป”

หลังจากที่แน่ใจว่าอีกฝ่ายวางสายแล้ว เธอจึงเก็บโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก่อนจะลงมือทำงานด้วยความตั้งใจ เพราะอยากให้งานที่มีกำหนดเสร็จภายในสามวัน เหลือเพียงแค่สองวัน

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

ตั้นกับนนเดินลงมาจากอาคารที่จะกลายเป็นโรงแรมระดับห้าดาวของจังหวัด หลังจากคุยรายละเอียดกับทีมสถาปนิกถึงตำแหน่งจุดติดตั้งอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ และไปดูสถานที่จริงแล้ว

หญิงสาวมองเสี้ยวหน้าของคนที่เดินอยู่ข้างตัว นึกถึงครั้งแรกที่ได้พบกับเพื่อนร่วมงานคนนี้ ชานนท์เป็นชายหนุ่มที่สุภาพเรียบร้อย จริงจังกับงานเสมอ สองปีที่ทำงานด้วยกันมา ชานนท์มักมีใบหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ อยู่ภายใต้แว่นตากรอบทองตลอดเวลา

ตั้นสูดอากาศชื้นฝนยามเย็นอย่างสดชื่น ก่อนจะหันมามองทางเพื่อนร่วมงาน เพื่อจะถามความเห็นว่าจะเอายังไงสำหรับคืนนี้

“ถ้าตั้นไม่ว่าอะไรผมอยากกลับกรุงเทพคืนนี้เลยได้มั้ยครับ” นนพูดอย่างสุภาพตามนิสัย

“อืมม เราก็อยากกลับเลยนะ” เธอเข้าใจดีว่า ชายหนุ่มเป็นห่วงภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์

“ขอบคุณนะ เดี๋ยวขากลับผมขับรถเอง” ชายหนุ่มระบายยิ้มบางๆที่มุมปาก ทำให้ใบหน้าที่เคร่งขรึมดูอ่อนโยนขึ้น ตั้นอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเพื่อนที่เธออยากรีบกลับไปหา คนที่มักจะมีรอยยิ้มสนุกสนานประดับอยู่บนใบหน้าเสมอๆ

“ขอบคุณ งั้นเรารีบขึ้นรถกันเถอะ” เธอยิ้มตอบเช่นเดียวกัน

ตั้นมองทิวทัศน์สองข้างทางที่มืดมิด แสงไฟจากบ้านเรือนเป็นเพียงจุดเล็กๆอยู่ลึกเข้าไปจากริมถนน แสงจากหลอดไฟที่ติดเรียงรายไปตามริมทางหลวงสาดแสงสว่างขับไล่ได้เพียงความมืดมิดบนผิวการจราจร แต่ไม่ได้ซอกซอนลึกเข้าไปในพื้นที่สองข้างทาง อากาศในรถเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศทำให้ตั้นยกมือลูบต้นแขนเพื่อบรรเทาความหนาวเย็น เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นไข้ คงเป็นเพราะโดนละอองฝนตั้งแต่เมื่อคืน

เมื่อเข้าเขตจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ละอองฝนก็โปรยปรายลงมา ทำให้อุณหภูมิในรถลดต่ำลงอีก รถยนต์ยังคงมุ่งหน้าต่อไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางกลับเข้ากรุงเทพ สวนกับแสงไฟของรถอีกฟากถนนที่มุ่งหน้าลงใต้

ขณะที่รถกำลังเลี้ยวโค้ง แสงไฟจ้าจากรถฝั่งตรงข้ามก็พุ่งข้ามเกาะกลางถนนเหมือนตรงเข้ามาหารถของทั้งคู่ นนหักพวงมาลัยเพื่อหลบรถกระบะคันนั้น แต่ถนนที่ฉ่ำน้ำทำให้รถเสียหลักหมุนคว้างหลายรอบก่อนจะไถลตกจากถนนลงไปยังข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้ รถของบริษัทที่ทั้งคู่ขับมาฟาดกับต้นไม้อย่างแรง จนตัวถังรถฉีกออกจากกัน โชคดีที่ส่วนที่กระแทกเป็นประตูหลังจึงไม่มีใครบาดเจ็บร้ายแรง เมื่อเหตุการณ์ทั้งหมดจบลง ทั้งสองรีบออกจากรถปีนขึ้นไปยังถนนด้านบน ก่อนจะนั่งบนไหล่ทางด้วยอาการที่ยังไม่หายตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

หลังจากได้รับการตรวจรักษาอย่างละเอียดจากโรงพยาบาลในตัวจังหวัด ตั้นและชานนท์จึงเดินทางกลับกรุงเทพ ชานนท์ที่ถึงแม้ว่าจะต้องเข้าเฝือกที่ขา เขาก็ไม่ได้โทรบอกภรรยาเพราะเกรงว่าภรรยาจะเป็นห่วง สำหรับตัวเธอเองเธอไม่รู้จะโทรไปบอกใคร บ่ายโมงกว่าทั้งสองก็กลับถึงกรุงเทพ

ตั้นปิดประตูห้องหลังจากกล่าวคำทักทายในใจกับความเงียบที่คุ้นเคย ก่อนจะค่อยๆเดินไปที่ห้องน้ำ เธอยังเดินไม่ค่อยถนัดนัก เพราะเจ็บรอยเย็บแผลเหนือเข่าและปวดข้อเท้าที่เคล็ด

หญิงสาวถอดเสื้อผ้าที่ขาดและเลอะคราบเลือดแห้งกรังออก ตั้นมองสภาพในตัวเองในกระจก ขอบตาดำคล้ำเนื่องจากอดนอนมาหลายวัน หน้าผากมีผ้าก็อตแผ่นใหญ่ปิดทับบนแผลที่เย็บไว้ รอยบาดเล็กน้อยที่มีอยู่ทั่วไปตามลำตัวทำให้การทำความสะอาดร่างกายทำได้เพียงแค่เช็ดตัวเท่านั้น ร่างบางนั่งลงที่ขอบอ่างอาบน้ำก่อนจะใช้น้ำอุ่นเช็ดทำความสะอาดร่างกาย

เมื่อตั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ความอ่อนเพลียทำให้เธอตัดสินใจที่จะนอนพักผ่อน แทนที่จะหาอะไรกินแม้ว่าอาหารมื้อสุดท้ายของเธอ คือ อาหารเย็นของเมื่อวานนี้ ยังไม่ทันที่เธอจะเดินโขยกเขยกถึงเตียง เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เธอเดินไปหาโทรศัพท์แทนเตียงนอน

“สวัสดี ตั้นใช่มั้ย”

“ใช่ มีอะไรรึเปล่าก้อง” เธอถามเพื่อนร่วมงานที่มีน้ำเสียงร้อนรน และพูดสุภาพกว่าปกติ

“ผมมีเรื่องอยากให้ตั้นช่วยหน่อยน่ะครับ”

“เรื่องอะไรเหรอ”

“งานชิ้นที่แล้วน่ะ”

“มีอะไรรึเปล่า ก้องส่งงานไปแล้วไม่ใช่เหรอ” งานชิ้นที่แล้วมันควรจะต้องเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ เธอคิดในใจ คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันโดยที่เธอไม่รู้ตัว เพราะเหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายคือสรุปรายละเอียดจำนวนอุปกรณ์ที่ได้จากการถอดแบบซึ่งก้องเป็นคนรับผิดชอบ

“คือ...มัน...มีปัญหานิดหน่อยน่ะครับ ผมเลยก็เอากลับมาแก้ แต่...ผมอยากปรึกษากับทีมด้วย” เสียงตอบตะกุกตะกักเป็นช่วงๆ

“ปัญหาอะไรเหรอ” ตั้นถามด้วยน้ำเสียงมีกังวล เพราะถ้านำกลับมาแก้อีกครั้ง นั่นอาจจะหมายถึง ความล่าช้าในการส่งงานให้กับลูกค้า

“รายละเอียดมันเยอะน่ะครับ ตั้นช่วยแวะเข้ามาที่บริษัทหน่อยได้มั้ยครับ”

“...” อาการบาดเจ็บทำให้เธอไม่ได้ตอบรับไปในทันที

“จริงๆผมก็ไม่อยากจะรบกวนตั้นหรอกครับ แต่ผมโทรไปหานนแล้ว ภรรยาของนนบอกว่านนขาหักและกำลังหลับคงไม่สะดวกเข้ามาที่บริษัทในวันนี้น่ะครับ” ยังไม่ทันที่เธอจะตอบอะไร เสียงรัวเร็วก็ตอบกลับมา ทำให้เธอคาดเดาว่าคงไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ

บางทีภรรยาของนนอาจจะไม่ได้บอกกับก้องว่า นนประสบอุบัติเหตุอะไร ทำให้ก้องไม่รู้ว่าเธอก็บาดเจ็บด้วยเหมือนกัน หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะตอบตกลง เพราะอย่างน้อยเขาก็เคยยอมช่วยเหลือตอนที่เธอต้องไปส่งของสำคัญให้กับกฤษ

“ได้ค่ะ แต่ประมาณสี่โมงครึ่งได้มั้ย” ตั้นเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบบ่ายสามโมงครึ่ง

“ได้ครับได้ เพราะตอนนี้ผมก็ออกมาติดต่องานให้บอสข้างนอกเหมือนกัน กว่าจะเข้าไปก็คงพอดีกันน่ะ” เสียงตอบกลับมา บอกถึงความโล่งใจของเจ้าตัว

เมื่อการสนทนาจบลง ตั้นเอนหลังลงกับโซฟาตั้งใจว่าจะหลับตาพักสักครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกครั้งเพื่อไปหาเพื่อนที่สำนักงาน แต่ด้วยความเพลียและอาการไข้ที่ยังไม่หายดีทำให้เธอผล็อยหลับไป

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

หญิงสาวยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเมื่อเธอลงจากแท็กซี่ที่หน้าตึกสำนักงาน

ห้าโมงแล้ว ก้องจะมารึยังนะ ตั้นนึกก่อนจะค่อยๆก้าวโดยไม่ลงแรงมากนักที่ข้อเท้าขวาที่ยังเคล็ดอยู่

“เจออุบัติเหตุขนาดนี้ ยังอุตส่าห์มาอีกเหรอ” พี่สินีทัก เมื่อเห็นตั้นเดินเข้าออฟฟิศมา ฝ่ายสูงวัยกว่าเดินเข้าไปช่วยประคองร่างบางที่กำลังเดินไปยังโต๊ะทำงาน แม้ว่าตั้นจะปฏิเสธความช่วยเหลือก็ตาม

“ก้องให้มาช่วยดูงานหน่อยน่ะค่ะ จะได้รีบปิดงาน”

“นายก้องจะลายาวไปฉลองวันเกิดให้แฟนน่ะซิ วันก่อนเห็นเขามาอ้อนวอนหัวหน้าอยู่เป็นนาน บอสเลยยื่นคำขาดว่า ถ้างานนี้ไม่เรียบร้อยก็ไม่ต้องไป” หญิงสาวร่างท้วมพูดไปค้อนไปเหมือนคนที่พูดถึงมาอยู่ตรงหน้า เมื่อสินีเห็นตั้นได้แต่ยิ้มโดยไม่พูดอะไรต่อ เธอเลยเปลี่ยนเรื่องคุย

“นี่ถ้าไม่อ่วมขนาดนี้ พี่จะชวนเราไปงานวันเกิดพี่เย็นนี้ซะหน่อย ... ว่าแต่...อ่วมขนาดนี้จะไปมั้ย ถ้าไปไหวพี่ก็อยากให้ไปนะ เพราะปีนี้ฉลองใหญ่ ในโอกาสที่พี่ถูกหวย” สินีมองหน้าคนฟังที่ผิวขาวแดงเรื่อด้วยพิษไข้

“ขอโทษด้วยนะคะ แต่ตั้นคงไม่ไหวจริงๆ สุขสันต์วันเกิดนะคะพี่นี นี่ของขวัญค่ะ” ตั้นหยิบกล่องของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสีสันสดใส

“ขอบคุณนะจ๊ะ วันหลังไม่ต้องลำบากซื้อมาให้หรอกนะ” สินีรับกล่องของขวัญไปด้วยความยินดี พร้อมกับนึกขอบคุณในน้ำใจของน้องสาวคนนี้

หกโมงเย็นแล้ว ยังไม่เห็นวี่แววของเพื่อนร่วมงาน แต่ก้องเกียรติโทรเข้ามาบอกว่า

“ให้รออีกนิด กำลังจะถึงแล้ว” พร้อมกับขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่

ตั้นมองดูเพื่อนๆในสำนักงาน บางส่วนเริ่มเตรียมตัวกลับบ้าน เย็นนี้คนส่วนใหญ่ในแผนกที่ตั้นอยู่ออกจากออฟฟิศเร็วกว่าปกติเพื่อไปงานวันเกิดของสินี เธอรู้สึกถึงอุณหภูมิของตัวเองที่สูงขึ้น

เพียงแค่หนึ่งทุ่มทั้งออฟฟิศก็เหลือแค่เธอ ซึ่งถ้าเป็นตามปกติเวลานี้ยังมีคนทำงานกันอีกหลายคน ความเงียบและความอ่อนเพลียทำให้ตั้นเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว

ตั้นตื่นขึ้นมาดูเวลา สองทุ่มกว่าแล้ว โทรศัพท์มือถือของคนที่ขอร้องให้เธอมาที่ออฟฟิศก็ติดต่อไม่ได้ อาการไข้ของเธอก็แย่ลงเรื่อยๆ รู้สึกตามัว มึนศีรษะเหมือนมีหมอกหนาอยู่เต็มสมอง

เธอกินเครกเกอร์ที่เตรียมไว้สำหรับกินกับกาแฟไปสองสามแผ่นก่อนจะกินยาลดไข้ตามลงไป แล้วหลับไปอีกครั้ง ด้วยหวังว่าเมื่อตื่นขึ้น ยาจะช่วยทำให้ไข้ลดลง และมีเรี่ยวแรงพอที่จะกลับบ้าน

เมื่อตื่นมาอีกครั้งเกือบสามทุ่มระดับความร้อนของร่างกายไม่ลดลง ตั้นรู้สึกอาการแย่ลงอีก ลมหายใจที่ร้อนผ่าว อาการปวดตามตัวที่เพิ่มมากขึ้น ในหัวที่ขาวโพลนเธอนึกถึงกฤษ มือเรียวหยิบโทรศัพท์กดเบอร์มือถือของอีกฝ่ายด้วยความคุ้นเคย เพื่อขอให้ช่วยมารับเธอกลับบ้าน

“กฤษ ตอนนี้ว่างมั้ย” ตั้นพยายามเรียกเสียงที่แห้งโหยให้เป็นปกติ เพื่อกรอกเสียงลงไป เมื่อกฤษรับสาย

“ขอโทษว่ะเพื่อน ตอนนี้ฉันกินข้าวกับน้ำผึ้งอยู่ น้องเขากลับเร็วกว่ากำหนด” ตั้นได้ยินเสียงเปียโนดังแผ่วๆแทรกมากับเสียงทุ้ม

“...เหรอ งั้นไม่เป็นไร”

“นัดกินข้าวเอาไว้คราวหน้าแล้วกันนะ”

“อืมม”

“งั้นแค่นี้ก่อนนะ” กฤษตัดบท แล้ววางสาย แต่ตั้นยังคงแนบโทรศัพท์กับหู ฟังเสียงสัญญาณอยู่อย่างนั้น เหมือนไม่รับรู้ว่าอีกฝ่ายวางหูไปแล้ว

น่าจะรู้อยู่แล้วว่า กฤษไม่ได้ว่างขนาดนั้น และเราก็ไม่ได้สำคัญพอ เสียงกระซิบแผ่วๆดังอยู่ในหัวขณะที่เก็บโทรศัพท์ด้วยอาการเลื่อนลอย อาการปวดลึกในโพรงอกเล่นงานเธออย่างหนักหน่วง

ตั้นรวบรวมแรงทั้งหมดที่มี กัดฟันเอาชนะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทั่วร่างกายเนื่องจากอาการไข้ ลงจากตึก เดินออกไปริมถนนเพื่อเรียกรถแท็กซี่ สายฝนโปรยบางๆ ทำให้ผมของเธอชื้น ละอองน้ำเกาะพราวบนเสื้อสูทสีดำก่อนจะค่อยๆซึมลงไปในเนื้อผ้า

หลังจากโผเผขึ้นรถแท็กซี่ ตั้นกดเบอร์โทรศัพท์ไปที่ห้องตัวเอง

เสียงจากโทรศัพท์เป็นเสียงสายว่าง แต่ไม่มีคนรับ ตั้นก็พูดกับสัญญาณเสียงที่รอให้ใครบางคนรับโทรศัพท์ ... ใครบางคน...ที่เธอ..ไม่มี

“ตอนนี้อยู่บนแท็กซี่นะ กำลังจะกลับบ้าน ฝนตกหน่อย แต่คงถึงบ้านไม่เกินสี่ทุ่มหรอก ยังไงคอยเปิดประตูรับด้วยนะ” ตั้นคุยกับปลายสายที่ว่างเปล่า เพื่ออย่างน้อยถ้าเธอโชคร้ายเจอกับคนขับแท็กซี่ที่เป็นมิจฉาชีพ มันอาจจะทำให้เขาลังเลไม่กล้าทำอะไรเพราะเธอมีคนที่รอการกลับบ้านของเธออยู่ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับตัวเองขึ้นอีกนิด .. ไม่อยากให้ความโชคร้ายของตัวเอง ไปทำให้คนอื่นๆเดือดร้อน

สัญญาณเสียงอีกฝั่งของปลายสายตัดไปก่อนที่เธอจะพูดจบ หญิงสาวกดตัดสัญญาณโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ เมื่อเธอไม่รู้จะพูดอะไรกับความว่างเปล่าต่อไปอีก

ตั้นเอนหลังพิงเบาะหนังที่เย็นเยียบของรถแท็กซี่ มองเม็ดฝนที่ตกกระทบกระจกหน้าต่างไม่ขาดสาย แสงไฟจากสองข้างทางทำให้หยดน้ำสีแปลกตา ตั้นมองภาพสองข้างทางที่ผ่านไปด้วยสติที่เหลือไม่ถึงครึ่ง อากาศในรถทำให้คนเป็นไข้สูงต้องยกแขนขึ้นมากอดอก

คนป่วยพยายามประคองสติที่เหลือไว้ไม่ให้หลับ โดยการพยายามบีบแผลที่แขนเป็นระยะๆ ความเจ็บปวดเรียกสติมาให้อยู่กับเธอได้ดี แต่ไม่ช่วยลดอาการคลื่นไส้ลงมากนัก

เธอพยายามสบตากับคนขับแท็กซี่เมื่อเห็นเขามองมา เพื่อบอกว่า เธอยังไหว รับรองว่าไม่อาเจียนเลอะเทอะในรถแท็กซี่แน่นอน





Create Date : 03 กรกฎาคม 2551
Last Update : 3 กรกฎาคม 2551 11:46:01 น. 0 comments
Counter : 257 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แค่ก้อนหินที่อยากบินได้
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ขอมี Blog กับเค้าด้วยคนนะคะ ^ ^

Friends' blogs
[Add แค่ก้อนหินที่อยากบินได้'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.