Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2559
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
8 ธันวาคม 2559
 
All Blogs
 
ฝนพรางฟ้า (๖.ความตายทั้งห้า)







เกริ่นนำ

สวัสดีครับ หายไปหลายวันเลยทีเดียว ช่วงนี้ใกล้ปีใหม่แล้ว
น่าจะยุ่งกับการสะสางงานประจำทั้งคนเขียนคนอ่านเนาะ ฮ่า ฮ่า
แต่จะมาให้บ่อยกว่านี้นะครับ

ตอนนี้เรื่องเริ่มเข้าสู่องค์สองแล้ว
จะได้รู้กันซะทีว่า ทำไมผีอินทรถึงได้โกรธแค้น
และเขาจะล้างแค้นยังไง!

ขอบคุณคุณ sakeena, คุณยุ้ย ที่แวะเข้ามาคอมเม้นท์ให้กำลังใจนะครับ
และขอบคุณนักอ่านที่ทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามา 
เชิญติดตามบทที่ ๖ กันได้เลยครับ



-------------------------------------------------



ฝนพรางฟ้า

บทที่ ๖ ความตายทั้งห้า

- ณนณ -

www.go2writer.com


แสงสว่างเจิดจ้าค่อยๆ เลือนรางลงตามลำดับ จนกระทั่งเห็นสภาพแวดล้อมเจนชัด ภายใต้ท้องฟ้าครึ้ม หม่นมัว ด้วยเมฆสีเทาแผ่คลุมทุกทิศา ปโยธรคล้อยเคลื่อนเลื่อนต่ำราวกับจะแผ่ทับพื้นปฐพี

พระพายผ้ายผ่านหอบหิ้วนำความเย็นแล้งมาสู่ หนาว... หนาวเนื้อจนต้องยกแขนขึ้นกอดกระชับ

ขวัญข้าวตกอยู่ในสภาพงวยงง คลับคล้ายหลับใหล หากสติรู้แจ้ง... แน่ชัด... ที่นี่ บนลานดินกว้างว่างเปล่า ชายขอบล้อมรายด้วยไพรพฤกษ์ คล้ายๆ กับโลกใน Lucid Dream ที่เธอเห็นเป็นประจำ หาก มิใช่เสียทีเดียว ยังมีสิ่งที่แตกต่าง เธอมองเห็นลายมือตัวเองชัด ร่างกายไม่ถูกหน่วงเหนี่ยว แม้กระทั่งกระแสเวลาก็ยังไหลเรื่อยเที่ยงตรง ไม่บิดเบือน

ทุกอย่างล้วนสมจริง!

แล้วถ้าอย่างนั้น เกิดอะไรขึ้นกันแน่!

ทั้งที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก อากาศธาตุเบื้องหน้าก็พร่าไหว เห็นอะไรรางๆ เสมือนเงาสะท้อนบนผิวน้ำกระเพื่อม รู้ว่ามีรูป หากจับร่างนั้นได้ไม่ชัดเจน จนกว่าที่ผิวน้ำจะนิ่งสงบ

แล้วปรากฏเป็นเรือนกายชายเตี้ยล่ำ นุ่งโจงกระเบน ไว้ผมทรงมหาดไทย ชี้นิ้วไปยังกลางลาน สีหน้าแววตาขึงขัง

“ฆ่ามัน! เผามัน!”

ขวัญข้าวเขยิบถอยตามสัญชาตญาณ ทว่า บุรุษนั้นเหมือนไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของเธอ

พลันนั้นเอง บนลานดินว่างก็อึกทึกอึงมี่ด้วยสรรพเสียงแห่งความโกรธา อากาศธาตุพร่าไหว ก่อเกิดเป็นรูปเงา ก่อสานเป็นตัวคน คนแล้วคนเล่า หลากเพศ หลายวัย ต่างเดือดดาล แต่ละคนสวมชุดไทยโบราณสมัยอยุธยาทั้งสิ้น ทั้งชายและหญิง เพียงไม่นาน ก็แน่นขนัด ทุกสายตาจับจ้องไปยังกลางลาน กริ้วกร้าวระคนหวาดกลัว

“ฆ่ามัน! เผามัน!”

เมื่อรู้แน่ชัดว่าไม่มีใครเห็นเธอแน่ ขวัญข้าวจึงเลิกสนใจคนเหล่านั้น แต่หันไปเพ่งพิศกับสิ่งที่พวกเขากำลังจดจ่อกันแทน

มีเงาเลือนพร่าปรากฏขึ้นเช่นกัน กองไม้ก่อเรียงสูงตั้งดั่งเชิงตะกอน มัน ถูกมัดติดกับหลักเสาบนกองไม้นั้น! ก้มหน้าคอตก สะบักสะบอมทั่วตัว ขาข้างหนึ่งคดจนเห็นกระดูกที่หักปูดผิดรูป เนื้อตัวช้ำเขียว บางตำแหน่งมีเลือดซึมไหล ธารโลหิตอาบหน้าไปเสียครึ่งเสี้ยว ริมฝีปากของมันบิดเกร็ง ทว่า... บางครั้งก็เหยียดหยันคล้ายเยาะ

เจ็บร้าว... จู่ๆ ขวัญข้าวก็รู้สึกเหมือนมีใครบีบหัวใจของเธอแน่น อัดอั้น... อยากร้องไห้ ทว่าน้ำตามิอาจไหล

คุ้นตา เหมือนเธอเคยเห็นภาพเหตุการณ์เหล่านี้

หินก้อนหนึ่งถูกขว้างกระแทกเข้าเต็มขมับเขาดังตุ้บ! ขวัญข้าวอุทานตกใจ ยกมือปิดปาก หน้าซีด แต่คนถูกทำร้ายยังนิ่ง... เงียบ... หาใช่ด้วยยอมจำนน หากในท่าทีนั้น เหมือนเหยียดหยามว่าเขาสูงส่งกว่าใครๆ ที่คว้าไม้ฉวยหินเพื่อก่อประทุษกรรม

นานราวกับผ่านไปชั่วนาตาปี กว่าเสียงอื้ออึงของชาวบ้านจะเริ่มซา กลุ่มคนแหวกออกเป็นทาง เผยให้เห็นคนที่มาใหม่ บุรุษร่างกายกำยำสูงใหญ่ท่วงท่าองอาจ ดูจากอาภรณ์แล้ว คงเป็นขุนนาง มีบริวารแวดล้อม และถัดไปทางด้านหลัง ที่เดินตามติดๆ คือหญิงงามผู้เปี่ยมล้นด้วยจริตจะก้านมารยา!

คนถูกจำไว้กับหลักเงยหน้ามอง แววตาเคียดแค้นชิงชัง ริมฝีปากแตกเลือดไหลซิบๆ ขยับเบา หากน้ำเสียงทั่งท้นด้วยพายุอารมณ์

“ไอ้หมื่นหาญ! อีพุดซ้อน!”

เสียง... ซึ่งควรจะเบา หากขวัญข้าวได้ยินชัดเจน ราวกับเขาตั้งใจจะเอ่ยตรงมาถึงเธอ

“มึงมีอันใดจะแก้ตัวหรือไม่ ไอ้อินทร!” คนที่คาดว่าน่าจะเป็นหมื่นหาญเอ่ย รอยหยันเร้นลับในที

อินทร... ชื่อนี้...

หญิงสาวเผลอคลำแหวนที่คล้องนิ้วเรียวงามของตน ความเข้าใจที่แหว่งวิ่นเป็นชิ้นส่วนเริ่มลงรอยปะติดปะต่อ

ถ้าอย่างนั้น... ที่นี่... ดินแดนแห่งนี้ ก็คืออาลัยในความทรงจำ ของผู้เป็นเจ้าของแหวนทับทิมอาถรรพ์เช่นนั้นหรือ

หมื่นหาญก้าวหยุดตรงหน้านักโทษ มือทั้งสองไพล่หลัง วางมาด ริมฝีปากเหยียด บิดโค้งนิดๆ เพียงแวบราวกับแสงฟ้าปลาบ

อินทรขบฟันแน่น ร่างกายที่ควรจะเจ็บและล้า กลับสั่นสะท้านจนมองเห็นได้ชัด

“มึงจะฆ่าก็ฆ่า จะช้าอยู่ไย!” กระแสเสียงแหบแห้ง

“มึงมันเป็นผีกะ” หมื่นหาญเริ่มกล่าวข้อหา

“กูหาใช่ผีกะ”

“โกหก!”

เสียงชาวบ้านอีกแล้วที่เสือกแทรกเข้าคั่น หมื่นหาญปล่อยให้พวกชาวบ้านตะโกนด่ากันเสียครู่หนึ่ง พึงพอใจ ก่อนจะกลบเกลื่อนสีหน้า ตวาดลั่น

“พวกมึงหยุด!” คำสั่งนั้นเฉียบขาด “ไอ้อินทร มึงเป็นผีกะผีโพง ปลุกเสกเลขกลร่ายอาคมจนคนเจ็บป่วย ทั้งทำเสน่ห์คุณไสย ฝังรูปฝังรอย จนแม่พุดซ้อนตกเป็นเมีย ครั้นไอ้ผลล่วงรู้ความอุบาทว์จัญไรของมึง มึงจึงฆ่ามันที่ท้ายหมู่บ้าน”

“มึงมันใจคด กล่าวปดไม่คิดอาย!” อินทรด่า

“ฮึ! คนบาปหยาบช้าน้ำหน้าอย่างมึง หลักฐานชี้ชัดมัดตัวมึงถึงเพียงนี้ ยังคิดจะปฏิเสธ”

อินทรจ้อง... เพ่ง... คนตรงหน้า ราวกับว่าจะฉีกกระชากให้สะบั้น

“มึงใส่ความกู!”

“ความผิดของมึงชัดแจ้งดั่งนี้ เห็นควรให้ต้องโทษประหาร... จุดไฟ!”

สิ้นคำสั่ง คบไฟในมือของชายฉกรรจ์ที่ยืนข้างๆ แท่นก็ลุกพึ่บด้วยเปลวเพลิง หนึ่งในพวกมันส่งต่อให้เจ้านาย คนรับตีหน้าเครียด หากนัยน์ตาวาววับราวกับสาสมใจเสียเต็มประดา

ครานั้น หมื่นหาญโยนคบไฟลงกองฟืน เพลงร้อนแรงลุกติดลามเลียรวดเร็ว เพียงครู่ก็ส่งควันดำโขมงลอยเลื้อยสู่เบื้องบน เสียงไม้แตกเปรี๊ยะปร๊ะ พระเพลิงระบำเต้นโชติช่วง ครอกเอาอินทรให้ทุรนทุราย กล้ามเนื้อเต้นกระตุกระรัว สองขาสะบัดถีบจะดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ

ร้อน... ความร้อนแผ่ออกมาจนกระทั่งผู้สังเกตการณ์อย่างขวัญข้าวยังสัมผัสได้

ใจหาย... เขากำลังถูกย่างทั้งที่ยังมีชีวิต!

อินทรแหกปากตะโกนไม่เป็นคำเพราะความเจ็บปวดที่แทรกซ่าน คำรามก้องดุจกระโชกเสียงปีศาจ ควันโหมโรมเร้าเข้าหูเข้าตา ผิวหนังบางส่วนโป่งออก แล้วแตกโผละ บางส่วนเกรียมไหม้เยิ้มแหยะ กลิ่นเนื้อย่างโชนโชย เขาดิ้นเร่า ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก นักโทษอึดแรงเฮือกสุดท้าย กระชากแขนข้างหนึ่งจนหลุดจากโซ่ตรวนที่คล้องมัด เศษเนื้อร่อนหลุด ร่างดำเกรียมมีเศษเนื้อสีแดงปน ดวงตาฉายแววพยาบาท ทะลุผ่านม่านควัน ด้วยอำนาจแห่งความชิงชัง เขาชี้กราด!

“ไอ้พวกระยำ!” อินทรตะโกนสุดเสียง “กูขอสาปแช่งให้พวกมึงฉิบหาย พวกมึงทุกตัวคนต้องชดใช้หนี้เวรที่ทำไว้แก่กู นับจากบัดนี้ สืบชั่วกัลปาวสาน กูจะจองอาฆาตพวกมึงไม่ให้มีสุข กูจะคอยดูพวกมึงตาย ชาติแล้วชาติเล่า! พวกมึงต้องตาย! ตาย! ตาย!!”

ขวัญข้าวขนลุกเกรียว ความหวั่นสะพรึงแล่นจับใจ...

ต้นเหตุทั้งหมด...

รวดเร็วดั่งฟ้าแลบ อินทรตวัดสายตามาทางขวัญข้าวที่อึ้งงัน ตวาดลั่น

“กูจะทำให้ทุกอย่างเป็นจริง!”

ร่างกายเขาสะบัดหลุดออกจากพันธการ พร้อมๆ กับผู้คนที่เคยแน่นขนัดเต็มลานประหารต่างเลือนหายไปด้วยวิธีการเดียวกับที่โผล่ออกมา บรรยากาศรอบด้านสลัวลง มีแต่เสียงกรีดร้องแผดก้องไปทั่ว ไม่ยอมหยุด ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และในที่สุดก็มืดมิด ในโลกแห่งนี้ มีเพียงอินทรที่ยืนจังก้าบนเชิงตะกอนที่ลุกโหม กับเธอที่ยืนนิ่งในความมืดมิด

ขวัญข้าวรวบรวมความกล้า ริมฝีปากบางขยับ สั่น

“ที่ว่าจะทำให้เป็นจริง หมายถึงอะไร”

“ฆ่า!” คำตอบกลับมีแต่ท่าทีแห่งการคุกคาม

“ใคร”

“ทุกคน”

เปลวไฟบนเชิงตะกอนมอดดับ โลก... มืดมิด ขวัญข้าวเหลียวรอบด้าน แต่มองไม่เห็นสักอย่าง ไม่มีแม้แต่แสงสะท้อน

ละม้าย... โลกันตนรก!

“เดี๋ยวสิ... อย่าเพิ่ง!”

เสียงสะอื้นไห้ เสียงครวญครางดังมาจากรอบด้าน พลันนั้น ประภาสเรืองรองค่อยผ่องกระจ่างบางเบา เทียนสี่เล่มถูกจุดล้อมรอบเธอทั้งสี่ด้าน แต่ละเล่มล้วนมีผู้ครอง ยืนก้มหน้าเศร้าหมองอาดูร นัยน์ตากลวงโบ๋เหมือนโดนควักทิ้ง

ทุกคนล้วนคุ้นเคย!

พี่กุมภ์... เปรียว... รติมา... อธิก์...

ทั้งสี่คน...

หญิงสาวหมุนรอบ ความตายที่รายล้อม... ความตายทั้งสี่...

ไม่สิ ไม่ใช่

เทียนเล่มสุดท้ายอยู่ในมือเธอ!

วูบนั้น ทั้งสี่คนก็เอนหงาย ล้มไปทางด้านหลัง พลัดหล่นลงสู่ความมืด เปลวเทียนดับแสง แล้ว ณ ที่ไกลๆ อินทรที่มีไฟลุกติดท่วมร่างก็วิ่งเร็วตรงมาทางเธอ!

ขวัญข้าววิ่งหนี ไว... ให้ไวที่สุด แต่ไม่พ้น อินทรรวดเร็วดุจเสือร้าย เพียงครู่เดียวเขาก็พุ่งเข้ารวบร่างเธอไว้แน่น หญิงสาวร้องกรี๊ด จังหวะเดียวกันนั้นเอง ท่อนแขนแข็งแรงก็จับเธอเหวี่ยงโยน ขวัญข้าวลอยเหิน แล้วร่วงหล่นตก

ทว่า เพียงเสี้ยววินาที ความมืดมิดรอบกายก็แปรเปลี่ยนเป็นสายน้ำกว้าง หญิงสาวตะเกียกตะกายไขว่คว้าหาสิ่งที่จะยึดจับได้ แต่ไม่มี เธอเคว้งคว้างท่ามกลางธารนทีจนแขนขาไร้เรี่ยวแรง

เริ่มจมดิ่ง... จมลงไป... ดิ่งลงไป... ไหลไปพร้อมกับกระแสสินธุ์


หนาวเหน็บเจ็บช้ำย้ำฤทัย

มืดมนหม่นไห้ใครเล่าเห็น

น้ำตาร่วงร้าวทุกเช้าเย็น

ดั่งเล่นบทโศกวิโยคครวญ


มืดมน... อนธกาล...



ธรรม์ทัพยังจำเรื่องผีที่แม่เล่าเมื่อตอนเขาย่างเข้าสู่วัยรุ่นได้ดี

“มันเป็นเรื่องที่เกิดในโรงพยาบาลที่เชียงใหม่ ตอนนั้นประมาณเที่ยงคืนได้ นางพยาบาลที่เพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่คนหนึ่งเป็นเวรดึก พอถึงเวลาก็ต้องไปดูคนไข้ตามตาราง ซึ่งในสมัยนั้น โรงพยาบาลที่ต่างจังหวัดจะเงียบมาก เพราะความเจริญยังมีไม่มากนัก บรรยากาศตามทางเดินก็มืด จนทำให้รู้สึกใจคอไม่ค่อยดี แต่ระหว่างทางที่กำลังจะเข้าไปในห้องคนไข้ เธอเจอผู้ชายคนหนึ่ง แต่งตัวเหมือนบุรุษพยาบาลยืนอยู่ข้างหน้า ก็เริ่มใจชื้นขึ้น คิดว่ามีคนเป็นเพื่อน ถึงจะไม่รู้จักแต่ก็อุ่นใจ เลยเอ่ยทักเขาไป แต่ผู้ชายคนนั้นไม่พูดอะไรตอบ ทีแรกเธอนึกว่าเขาไม่ได้ยิน เลยทักซ้ำ แต่ผู้ชายคนนั้นยังยืนนิ่งเหมือนเดิม พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็เริ่มหนาว ขนลุกซู่ เพราะสังเกตได้ว่า เขายืนนิ่งเหมือนหุ่น ไม่ขยับเขยื้อน และที่สำคัญ เขาไม่มีเท้า! เห็นแต่ชายกางเกงจางๆ เกือบจะเลือนหาย ลอยเหนือพื้น!

“พยาบาลคนนั้นตั้งสติ แล้วรีบเดินผ่านเร็วๆ ในใจนึกถึงคำสอนที่เคยได้ฟังมาว่า ถ้าเจอผีให้สวดมนต์แผ่เมตตา เธอเลยเดินไปอุทิศส่วนบุญไป พอถึงห้องคนไข้ เปิดประตูก็เห็นผู้ชายคนเดิมมารอด้านในก่อนแล้ว เขายิ้มแสยะบอก กูไม่เอาส่วนบุญของมึง!”

ฟังแล้วก็รู้สึกขนลุก หากอดไม่ได้ที่จะสงสัย ว่าทำไมผีตนนั้นถึงไม่รับการแผ่เมตตาจากนางพยาบาล

ก็ลุงอีกนั่นแหละ ที่อธิบาย

“วิญญาณที่ผูกใจเจ็บแค้นกับอะไรสักอย่างหนึ่ง มักไม่ยอมรับบุญกุศลหรือความเมตตาจากผู้อื่น เพราะถ้าเขายอมรับสิ่งเหล่านั้นแล้ว เขาจะต้องเลิกอาฆาตพยาบาท  สำหรับคนที่ในหัวใจมีแต่ไฟแค้น การที่มีคนทำดีกับเขามากๆ มักทำให้เขาทรมาน สองอย่างนี้ไปด้วยกันไม่ได้”

“น่าเสียดายนะครับ” ธรรม์ทัพออกความเห็น “คงไม่มีวันมีความสุข”

“ขึ้นอยู่กับว่า ความสุขนั้นคืออะไร” ลุงตอบเรียบๆ “ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งที่ดีหรือชั่วในสายตาเรา เราก็ไม่ควรไปตัดสินเขา เพราะไม่ว่าจะดีหรือชั่ว สุดท้ายแล้ว สรรพสิ่งล้วนเป็นเพียงมายา คนทุกคนล้วนเลือกในสิ่งที่เขาอยากเลือกทั้งสิ้น นั่นอาจเป็นความสุขในแบบของเขา”

“ถ้าอย่างนั้น เวลาที่เราเห็นสิ่งที่ไม่ดี เราก็ควรเพิกเฉยเหรอครับ”

“ไม่ใช่... แต่เจ้าจะช่วยเหลือใครด้วยหัวใจที่มีแต่การตัดสินไม่ได้ เจ้าต้องรัก และพื้นฐานของความรัก คือการยอมรับในตัวตนที่แท้จริงของคนๆ นั้น”

“จะทำได้ยังไงล่ะครับ ในเมื่อเรารู้ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งไม่ดี แล้วเราจะรักลงได้ยังไง”

“ได้ เพราะเรารักเขา แต่ไม่ได้รักการกระทำของเขา” กระแสเสียงของลุงราบเรียบ... หากชุ่มเย็น... “เมื่อไหร่ที่เจ้าเข้าใจในสิ่งนี้ เจ้าจึงจะหลุดพ้น”

“หลุดพ้นจากอะไรครับ”

คราวนี้ลุงกลับเงียบ ไม่ตอบ

ผู้พยากรณ์ แม้จะล่วงรู้ความลับสวรรค์ ทว่า มิอาจแทรกแซง สรรพสิ่งย่อมต้องเป็นไปตามวาระ แต่ละคนจำต้อง เติบโต และ ก้าวข้ามห้วงมหรรณพแห่งสังสารวัฏด้วย ปัญญาพิสุทธิ์ แห่งตน

ทว่า วันนี้เขาเริ่มเข้าใจเลือนๆ ลางๆ ขึ้นมาบ้าง แต่ทุกครั้งพอจะทำให้กระจ่างชัด ความเข้าใจกลับยิ่งถอยไกล

ยิ่งล่าไล่ ยิ่งหลุดลอย

หยุด... จึงบังเกิด...

คงเช่นกัน กับหญิงสาวในอ้อมแขน...


ธรรม์ทัพวางร่างเล็ก บาง ลงบนโซฟาอย่างทะนุถนอม ทั้งเนื้อทั้งตัวของเธอเปียกโชก แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้คนตัวสูงซึ่งเผชิญหน้ากับสิ่งเร้นลับมาตลอดชีวิตต้องประหลาดใจเท่ากับ เห็นแหวนทับทิมอาถรรพ์ที่คล้องรัดนิ้วหัวแม่มือของเธอ!

มันเดินทางไปสู่เจ้าของ!

นึกสังหรณ์ใจแต่แรก ว่าวันนี้จะต้องมีเรื่องไม่ดี แม้จะไม่รู้ว่าเรื่องใดก็เถอะ จึงขับรถออกมาตามสัญญะที่ยึดโยงวิญญาณ์ สุดท้ายก็ได้พบ

ตอนที่มาถึง แม่บ้านวัยกลางคนชื่อป้าต้อยกำลังลนลาน ทำอะไรไม่ถูก ยักแย่ยักยันอยู่กับโทรศัพท์มือถือ ตัวสั่นสะท้าน รอบๆ มีแต่ข้าวของหล่นกระจัดกระจาย พอเขาถาม จึงได้รับคำตอบที่แสนจะตะกุกตะกักว่า ผู้เป็นเจ้านายหายตัวไป

ขวัญข้าวหายตัวไปต่อหน้าต่อตา!

กว่าจะเรียกสติให้กลับมาสู่อาการสงบได้ก็กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง และตอนที่ป้าต้อยกำลังขอร้องให้เขาโทรศัพท์หาคู่หมั้นของหญิงสาว เธอก็คืนกลับ

หล่นลงมาตรงหน้าประตูบ้าน... ตำแหน่งเดียวกับที่หายไป!

การโทรฯ แจ้งจึงไม่ใช่เรื่องรีบด่วน คนตัวสูงถูกเร่งให้เข้าไปช่วยอุ้มเธอไปวางบนโซฟา ธรรม์ทัพสอดแขน ยกประคองอ่อนโยน คนตัวเล็กเนื้อเย็นเฉียบ

หญิงสาวเหมือนตุ๊กตา... ตุ๊กตาแก้ว สวยงาม เปราะบางและแตกง่าย

เสื้อผ้า ผมเผ้า เปียกซ่กเหมือนตกน้ำตกท่า... และคงจะเป็นการตกน้ำเสียจริงๆ กระมัง เพราะลูกแม่น้ำอย่างเขามีหรือจะจำกลิ่นที่ติดกายเธอไม่ได้

กลิ่นแม่น้ำ...

มือหนา แข็งแรง เอื้อมปัดปอยผมเปียกที่ติดแนบดวงหน้าอิดโรยออก แก้มเผือดไร้สีเลือด หากลมหายใจยังเป็นปกติ ละม้ายคนนอนหลับ

ธรรม์ทัพหันไปกล่าวกับแม่บ้านที่เอาแต่พร่ำเรียกชื่อเจ้านายตนเองให้ได้สงบใจ

“ป้าหาผ้ามาเช็ดตัว ถ้ามีน้ำอุ่นเตรียมมาด้วยนะครับ”

“พาไปโรงพยาบาลดีไหมคะ”

“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วล่ะครับ อีกสักพักคงฟื้น แต่ถ้าป้าไม่สบายใจ เดี๋ยวผมไปเตรียมรถ”

ยังไม่ทันขาดคำ มือเล็ก บาง ก็คว้าแขนเขาไว้ ยึดแน่น... เท่าที่พอจะมีเรี่ยวแรง ประหนึ่งว่านี่คือที่พึ่งสุดท้าย นัยน์ตาเข้มดั่งเพลิงนิลหันมอง เจ้าของดวงหน้าละมุนลืมตา เอ่ยเบา

“ไม่ต้อง... ฉันไม่เป็นไร”

“คุณขวัญ!” ป้าต้อยร้อง ไม่รู้อารมณ์ไหนเพราะระคน ทั้งยินดี ตกใจ สับสน “เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไม...”

หญิงสาวหน้าซีดเซียว แสงในตาอ่อนล้า ธรรม์ทัพจึงบอก

“เดี๋ยวค่อยถามเถอะครับ ตอนนี้ให้คุณขวัญเปลี่ยนชุด หาอะไรอุ่นๆ ดื่มก่อนดีกว่า”

“ค่ะ” ป้าต้อยรับคำโดยง่าย

“ส่วนคุณ” เขามองดูมือน้อยที่จับแขนเขามั่นครู่หนึ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาจับจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย “ไว้ดีขึ้นแล้ว ผมจะตอบคำถามที่คุณอยากรู้เอง”


>>> โปรดติดตามตอนต่อไป



[หมายเหตุ* นิยายเรื่อง ฝนพรางฟ้า(ฉบับใหม่) อัพเดทสามที่นะครับ มีใน bloggang, dek-d, และ www.go2writer.com หากพบเจอที่อื่น แปลว่าโดนผีหลอกนะครับ เพราะตัวจริงไม่ได้อัพ ฮ่า ฮ่า... จึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน]


Create Date : 08 ธันวาคม 2559
Last Update : 13 ธันวาคม 2559 7:58:09 น. 2 comments
Counter : 875 Pageviews.

 
หน้ากลัววววว


โดย: sakeena IP: 14.207.197.152 วันที่: 9 ธันวาคม 2559 เวลา:15:15:59 น.  

 
สวัสดีครับคุณ sakeena

น่ากลัวก็ต้องอ่านบทต่อไปนะครับ
หนามยอกต้องเอาหนามบ่งล่ะเนอะ ฮ่า ฮ่า

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ให้กำลังใจครับ



โดย: ณนณ (ploy666 ) วันที่: 13 ธันวาคม 2559 เวลา:7:57:28 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ploy666
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




หนังสือที่มีวางจำหน่ายเฉพาะในบล็อก
https://ploy666.bloggang.com




ชื่อเรื่อง : เศวตธามัน (บัลลังก์ศศิธรา)
นามปากกา : สิตาปางค์
ประเภท : จินตนิยาย , โรแมนติก
รูปเล่ม : ขนาด 700 หน้า A5
ออกแบบปก : Little thing

ราคา : 850.- บาท
สินค้าหมด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ploy666&group=28

สั่งซื้อที่ : .........

หมายเหตุ : งดใส่ลายเซ็นนักเขียนทุกกรณีค่ะ

** ***********************************



ชื่อเรื่อง : เงาบรรณ
นามปากกา : ลายน้ำ
ราคา : 259.- บาท
สั่งซื้อที่ (ยุติการสั่งซื้อ)

สินค้าหมดค่ะ



****************

นิยายที่อัพล่าสุดคือเรื่อง

รอยทรายบนลายรัก
...และ...
กระต่ายในใจจันทร์



***********

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า
ทนไม่ไหวแล้ว...
จงเรียนรู้ ที่จะขอความช่วยเหลือ

โลกไม่ได้โหดร้ายเกินไปนัก
ผู้คน ก็ไม่ได้ใจร้ายไปซะทั้งหมด

เป็นกำลังใจให้ค่ะ...


Ploy666.



************

หมายเหตุสักนิดค่ะ...

ถ้าเป็นไปได้ งดการแปะรูปใส่คอมเม้นท์นะคะ
เจ้าของบล็อกเข้าหน้าจอไม่ได้จ้า เน็ตห่วยมากมาย

ขอบคุณคนใจดีทั้งหลายล่วงหน้าค่ะ


**************

เนื้อหาต่างๆที่อัพในบล็อก
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย


Friends' blogs
[Add ploy666's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.