Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
232425262728 
 
15 กุมภาพันธ์ 2557
 
All Blogs
 
Comment นิดหน่อย เกี่ยวกับ Her (2013) และ Lost in Translation (2003)

Smiley

พอดีว่าผมไป comment เกี่ยวกับ Her (2013) และ Lost in Translation (2003) ที่ status facebook ของคุณโตมร ศุขปรีชา แล้วเผลอพิมพ์ยาวไปหน่อย เลยขอยกมาเก็บไว้ที่นี่ด้วยครับ (พร้อมปรับปรุงและแก้คำผิดนิดหน่อยด้วย)

และเนื่องจากที่ entry นี้เป็น comment ไว ๆ แบบเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ ผมเลยไม่ได้เอา entry นี่ไว้ใน group blog "ดูหนัง แล้ว เล่าใหม่" (ซึ่งก็ไม่ได้เขียนมา 7 ปีแล้ว) แต่เอามาไว้ที่ "เรื่อย ๆ เปื่อย ๆ" นี่แทนนะครับ

ผมขอให้ข้อมูลเบื้องต้นก่อนว่า Her เป็นหนังปี 2013 (แต่ฉายบ้านเรา 2014) กำกับและเขียนบทโดย Spike Jonze ส่วน Lost in Translation เป็นหนังปี 2003 กำกับและเขียนบทโดย Sofia Coppola

Spike Jonze กับ Sofia Coppola เคยเป็นคู่ สามี - ภรรยา กัน เมื่อ ค.ศ. 1999 - 2003 (หย่าขาดกันแล้วเรียบร้อย)

Smiley


Smiley


ต่อไปนี้คือ comment ของผมครับ

ผมว่าผู้เขียนบทหนังทั้งสองเรื่องอาจไม่ได้ตั้งใจจะสื่อ "สาร" ตามที่เราเข้าใจว่าจะได้รับ "สาร" เช่นนั้นก็ได้ครับ แต่ผมเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าจะเข้าใจ "สาร" ที่ผู้เขียนบทเหล่านั้นเค้าตั้งใจจะสื่อหรือเปล่า แต่ก็คิดว่า ถ้ายังไง ผมจะขออนุญาตเห็นแย้งนิดหน่อยนะครับ (แหะ ๆ)

Smiley

ในเรื่อง Lost In Translation นั้น มีหลายฉากที่นางเอก (แสดงโดย Scarlett Johansson) ได้ออกเดินทางไปสังเกตุความเป็นไปของคนอื่น ๆ อยู่ด้วยเหมือนกัน หากแต่เป็นการสังเกตุอย่างห่าง ๆ ตามแบบนักท่องเที่ยว ไม่ได้ไปสัมผัสลงรายละเอียดอย่างลึกซึ้งอะไร ซึ่งอาจเป็นเพราะคุยกับใครไม่รู้เรื่อง เนื่องจากไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่น (ตามชื่อเรื่อง Lost in Translation) เช่น การไปเดินเล่นที่เมืองเกียวโต การไปสังเกตุคู่บ่าวสาวที่กำลังแต่งงาน การไปเดินเล่นที่วัด การไปดูพระสวดมนต์ (แต่ไม่ได้ไปสวดด้วย สังเกตุเฉย ๆ) การไปเรียนการจัดดอกไม้ (แม้ว่าไปแบบไม่ตั้งใจ) 

เป็นไปได้ว่า นางเอกอาจจะอยากไปมากกว่านี้ แต่ไม่มีใครพาไป เพราะคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง 

ส่วนเพื่อนคนญีปุ่นที่นางเอกพอจะสนทนาภาษาอังกฤษด้วยกันได้นั้น ก็กลับชอบแสงสีและชีวิตยามราตรี บางทีคนญี่ปุ่นเหล่านั้น อาจจะไม่ได้หลงไหลในวัฒนธรรมญี่ปุ่นของตัวเองก็ได้ เลยไม่ได้พานางเอกออกไปเที่ยวดูวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่น่าไหลหลงในตอนกลางวัน 

พอคุยกับใครไม่รู้เรื่อง แถมสามีก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน (เริ่มมีปัญหาชีวิตสมรส) สุดท้ายก็เลยมาสนิทกับพระเอกที่เป็นฝรั่งพูดภาษาเดียวกัน (และกำลังมีปัญหาชีวิตสมรสเหมือนกัน)... แม้เพิ่งจะพบเจอไม่นาน แต่ก็เป็นความรู้สึกชั่ววูบสั้น ๆ ที่ประทับใจกันและกัน

Sofia Coppola อาจอยากแค่จะสื่อ ถึง moment สั้น ๆ นี้ เพียงเท่านั้น

Smiley

ผมเห็นด้วยกับคุณโตมร ในเรื่อง Her ครับว่า ถ้า "สินค้า" ที่ซื้อขาย สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเอง (ตามใจฉัน) ได้แบบนี้ ผมก็คงต้องต่อว่าบริษัทนี้แน่  "สินค้า" ตัวนี้ ไม่เพียงเปลี่ยนตัวเอง แถมยังสอดรู้มากอีกด้วย แอบดูความลับของเรา ซึ่งผมเองก็ไม่ชอบตรงนี้เหมือนกันครับ 

เรื่องอาชีพของพระเอกผมก็ไม่ชอบ นึกอยากเปลี่ยนให้ พระเอกเป็น โปรแกรมเมอร์ ที่เป็นคนเขียน OS1 Samantha ขึ้นมาเอง จะได้เป็นพระเอกที่ nerd ๆ ที่จมอยู่กับตัวเองตั้งแต่ต้น แล้วหนังเรื่องนี้ จะได้เป็นหนังความรักของคน nerd ไป 

เรื่อง Her ผมก็ไม่แน่ใจว่า Spike Jonze ต้องการสื่ออะไรและเน้นที่อะไร แต่ผมว่า Spike Jonze เค้าไม่ได้ต้องการเน้นที่ระบบปฏิบัติการ (OS; Operating System) ที่เป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI; Artificial Intelligence) แน่ หรือ ไม่ได้ยึดติดกับความเป็นไปได้อย่างสมจริงทางเทคโนโลยี ว่า OS ในอนาคต จะต้องเป็นยังไง หรือ AI ควรต้องเป็นยังไง แต่อาจจะเน้นเรื่องการที่ได้สนทนากับใครสักคนเพื่อที่จะได้เข้าใจเงื่อนปมในจิตใจของตัวเองมากกว่า 

Smiley

พอดีพระเอกมีบุคลิกเก็บตัว nerd (ความเหงาที่สื่อออกมานั้น พระเอกอาจจะไม่ได้เสพติด แต่มันเป็นบุคลิกเฉพาะของคนแบบนั้นก็ได้) ภรรยาคนแรก ก็น่าจะ nerd ในระดับนึงเช่นกัน (เพราะก็ทำ PhD เกี่ยวกับ technology อะไรสักอย่าง ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หรือไม่) อย่างไรก็ตาม การเป็น nerd กับ nerd ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเข้าใจกัน แม้ว่าภรรยาจะเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กก็ตามที 

แต่ถ้ามีใครสักคนที่ "สภาพจิตใจปกติ" แล้วเขาอยากหรือเต็มใจจะคุยด้วยกับคนที่บุคลิกเก็บตัว ก็อาจจะทำให้คนที่เก็บตัวนั้น เปิดใจแล้ว ก็อาจจะเข้าใจตัวเองมากขึ้นได้ว่า ตัวเองนั้น เคยพลาด หรือ มีปัญหาอะไร ถึงได้มีปัญหาความสัมพันธ์กับคนอื่น

Spike Jonze ที่เขียนบท น่าจะเขียนแบบไม่ได้ยึดติดกับเทคโนโลยีหรือความรู้อะไร และอาจจะไม่ได้มีความรู้อะไรมากนักเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ ขนาดการกลับหลังหัน (ฉาก Samantha พาไปซื้อของ แล้วบอกให้กลับหลังหัน) ยังบอกว่า 360 องศาเลย แทนที่จะเป็น 180 องศา

ผมว่า OS1 Samantha (พากษ์เสียงโดย Scarlett Johansson) น่าจะเป็นตัวแทนของ คนที่ "สภาพจิตใจปกติ" คนนั้น ซึ่งเป็นคนที่เปิดเผย ใจกว้าง พูดคุยอะไรด้วยก็ได้ เป็นคนที่พยายามปรับตัวเพื่อให้คุยกับคนอื่นได้ ปรับให้เข้ากับพระเอกได้

ส่วนประเด็นเรื่อง OS1 เปลี่ยนตัวเองไปเรื่อย ๆ จนวันนึงก็ตัดสินใจหายตัวไปเฉย ๆ เลยเนี่ย  ผมว่า Spike Jonze คงอยากให้ OS1 เป็นเหมือนคนอีกคนหนึ่ง ที่ผ่านมาในชีวิตของเราเป็นช่วงสั้น ๆ... ทำให้เราเกิดความประทับใจ และแล้วก็จากไป ไม่หวนกลับมาอีก... 

แต่ในช่วงที่มีปฏิสัมพันธ์นั้น ก็ได้ทำให้ตัวเราเองเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นบ้างเหมือนกัน สังเกตุจาก ฉากเขียนจดหมายขอโทษภรรยา ซึ่งดูว่าเหมือนว่า พระเอกคงจะสำนึกและเข้าใจอะไรบ้างอย่างได้ หลังจากที่ได้พูดคุยกับ OS1 Samantha

Spike Jonze อาจอยากแค่จะสื่อ ถึง moment สั้น ๆ นี้ เพียงเท่านั้น

Smiley

โทษทีครับ พิมพ์ยาวไปหน่อย



Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2557
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2557 8:58:05 น. 3 comments
Counter : 2319 Pageviews.

 
Aw, this was an exceptionally nice post. Finding the time and actual effort to produce a very good article?? but what can I say?? I put things off a lot and don't manage to get anything done.
cyber monday shoe sale //www.eddiemotorsports.com/wp-content/uploads/shopping17/Tf4aUgpscv/


โดย: cyber monday shoe sale IP: 192.99.14.34 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2557 เวลา:17:51:26 น.  

 
Amazing article. I've gained a lot of intriguing and practical knowledge from the material you provide. I hope you'll keep writing excellent content. mapquest directions california


โดย: สมาชิกหมายเลข 7621623 วันที่: 19 กรกฎาคม 2566 เวลา:9:44:45 น.  

 
I love the blog. Great post. It is very true, people must learn how to learn before they can learn. lol i know it sounds funny but its very true. . .
https://www.merinotex.com/about-us/


โดย: faisal (สมาชิกหมายเลข 7869272 ) วันที่: 19 ธันวาคม 2566 เวลา:14:20:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Plin, :-p
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]









Instagram






บันทึก ท่องเที่ยว เวียดนาม


e-mail : rethinker@hotmail.com


Friends' blogs
[Add Plin, :-p's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.