พอดีว่าผมไป comment เกี่ยวกับ
Her (2013) และ
Lost in Translation (2003) ที่ status facebook ของคุณ
โตมร ศุขปรีชา แล้วเผลอพิมพ์ยาวไปหน่อย เลยขอยกมาเก็บไว้ที่นี่ด้วยครับ (พร้อมปรับปรุงและแก้คำผิดนิดหน่อยด้วย)
และเนื่องจากที่ entry นี้เป็น comment ไว ๆ แบบเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ ผมเลยไม่ได้เอา entry นี่ไว้ใน group blog "
ดูหนัง แล้ว เล่าใหม่" (ซึ่งก็ไม่ได้เขียนมา 7 ปีแล้ว) แต่เอามาไว้ที่ "เรื่อย ๆ เปื่อย ๆ" นี่แทนนะครับ
ผมขอให้ข้อมูลเบื้องต้นก่อนว่า Her เป็นหนังปี 2013 (แต่ฉายบ้านเรา 2014) กำกับและเขียนบทโดย Spike Jonze ส่วน Lost in Translation เป็นหนังปี 2003 กำกับและเขียนบทโดย Sofia Coppola
Spike Jonze กับ Sofia Coppola เคยเป็นคู่ สามี - ภรรยา กัน เมื่อ ค.ศ. 1999 - 2003 (หย่าขาดกันแล้วเรียบร้อย)
ต่อไปนี้คือ comment ของผมครับ
ผมว่าผู้เขียนบทหนังทั้งสองเรื่องอาจไม่ได้ตั้งใจจะสื่อ "สาร" ตามที่เราเข้าใจว่าจะได้รับ "สาร" เช่นนั้นก็ได้ครับ แต่ผมเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าจะเข้าใจ "สาร" ที่ผู้เขียนบทเหล่านั้นเค้าตั้งใจจะสื่อหรือเปล่า แต่ก็คิดว่า ถ้ายังไง ผมจะขออนุญาตเห็นแย้งนิดหน่อยนะครับ (แหะ ๆ)
ในเรื่อง Lost In Translation นั้น มีหลายฉากที่นางเอก (แสดงโดย Scarlett Johansson) ได้ออกเดินทางไปสังเกตุความเป็นไปของคนอื่น ๆ อยู่ด้วยเหมือนกัน หากแต่เป็นการสังเกตุอย่างห่าง ๆ ตามแบบนักท่องเที่ยว ไม่ได้ไปสัมผัสลงรายละเอียดอย่างลึกซึ้งอะไร ซึ่งอาจเป็นเพราะคุยกับใครไม่รู้เรื่อง เนื่องจากไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่น (ตามชื่อเรื่อง Lost in Translation) เช่น การไปเดินเล่นที่เมืองเกียวโต การไปสังเกตุคู่บ่าวสาวที่กำลังแต่งงาน การไปเดินเล่นที่วัด การไปดูพระสวดมนต์ (แต่ไม่ได้ไปสวดด้วย สังเกตุเฉย ๆ) การไปเรียนการจัดดอกไม้ (แม้ว่าไปแบบไม่ตั้งใจ)
เป็นไปได้ว่า นางเอกอาจจะอยากไปมากกว่านี้ แต่ไม่มีใครพาไป เพราะคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง
ส่วนเพื่อนคนญีปุ่นที่นางเอกพอจะสนทนาภาษาอังกฤษด้วยกันได้นั้น ก็กลับชอบแสงสีและชีวิตยามราตรี บางทีคนญี่ปุ่นเหล่านั้น อาจจะไม่ได้หลงไหลในวัฒนธรรมญี่ปุ่นของตัวเองก็ได้ เลยไม่ได้พานางเอกออกไปเที่ยวดูวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่น่าไหลหลงในตอนกลางวัน
พอคุยกับใครไม่รู้เรื่อง แถมสามีก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน (เริ่มมีปัญหาชีวิตสมรส) สุดท้ายก็เลยมาสนิทกับพระเอกที่เป็นฝรั่งพูดภาษาเดียวกัน (และกำลังมีปัญหาชีวิตสมรสเหมือนกัน)... แม้เพิ่งจะพบเจอไม่นาน แต่ก็เป็นความรู้สึกชั่ววูบสั้น ๆ ที่ประทับใจกันและกัน
Sofia Coppola อาจอยากแค่จะสื่อ ถึง moment สั้น ๆ นี้ เพียงเท่านั้น
ผมเห็นด้วยกับคุณโตมร ในเรื่อง Her ครับว่า ถ้า "สินค้า" ที่ซื้อขาย สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเอง (ตามใจฉัน) ได้แบบนี้ ผมก็คงต้องต่อว่าบริษัทนี้แน่ "สินค้า" ตัวนี้ ไม่เพียงเปลี่ยนตัวเอง แถมยังสอดรู้มากอีกด้วย แอบดูความลับของเรา ซึ่งผมเองก็ไม่ชอบตรงนี้เหมือนกันครับ
เรื่องอาชีพของพระเอกผมก็ไม่ชอบ นึกอยากเปลี่ยนให้ พระเอกเป็น โปรแกรมเมอร์ ที่เป็นคนเขียน OS1 Samantha ขึ้นมาเอง จะได้เป็นพระเอกที่ nerd ๆ ที่จมอยู่กับตัวเองตั้งแต่ต้น แล้วหนังเรื่องนี้ จะได้เป็นหนังความรักของคน nerd ไป
เรื่อง Her ผมก็ไม่แน่ใจว่า Spike Jonze ต้องการสื่ออะไรและเน้นที่อะไร แต่ผมว่า Spike Jonze เค้าไม่ได้ต้องการเน้นที่ระบบปฏิบัติการ (OS; Operating System) ที่เป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI; Artificial Intelligence) แน่ หรือ ไม่ได้ยึดติดกับความเป็นไปได้อย่างสมจริงทางเทคโนโลยี ว่า OS ในอนาคต จะต้องเป็นยังไง หรือ AI ควรต้องเป็นยังไง แต่อาจจะเน้นเรื่องการที่ได้สนทนากับใครสักคนเพื่อที่จะได้เข้าใจเงื่อนปมในจิตใจของตัวเองมากกว่า
พอดีพระเอกมีบุคลิกเก็บตัว nerd (ความเหงาที่สื่อออกมานั้น พระเอกอาจจะไม่ได้เสพติด แต่มันเป็นบุคลิกเฉพาะของคนแบบนั้นก็ได้) ภรรยาคนแรก ก็น่าจะ nerd ในระดับนึงเช่นกัน (เพราะก็ทำ PhD เกี่ยวกับ technology อะไรสักอย่าง ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หรือไม่) อย่างไรก็ตาม การเป็น nerd กับ nerd ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเข้าใจกัน แม้ว่าภรรยาจะเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กก็ตามที
แต่ถ้ามีใครสักคนที่ "สภาพจิตใจปกติ" แล้วเขาอยากหรือเต็มใจจะคุยด้วยกับคนที่บุคลิกเก็บตัว ก็อาจจะทำให้คนที่เก็บตัวนั้น เปิดใจแล้ว ก็อาจจะเข้าใจตัวเองมากขึ้นได้ว่า ตัวเองนั้น เคยพลาด หรือ มีปัญหาอะไร ถึงได้มีปัญหาความสัมพันธ์กับคนอื่น
Spike Jonze ที่เขียนบท น่าจะเขียนแบบไม่ได้ยึดติดกับเทคโนโลยีหรือความรู้อะไร และอาจจะไม่ได้มีความรู้อะไรมากนักเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ ขนาดการกลับหลังหัน (ฉาก Samantha พาไปซื้อของ แล้วบอกให้กลับหลังหัน) ยังบอกว่า 360 องศาเลย แทนที่จะเป็น 180 องศา
ผมว่า OS1 Samantha (พากษ์เสียงโดย Scarlett Johansson) น่าจะเป็นตัวแทนของ คนที่ "สภาพจิตใจปกติ" คนนั้น ซึ่งเป็นคนที่เปิดเผย ใจกว้าง พูดคุยอะไรด้วยก็ได้ เป็นคนที่พยายามปรับตัวเพื่อให้คุยกับคนอื่นได้ ปรับให้เข้ากับพระเอกได้
ส่วนประเด็นเรื่อง OS1 เปลี่ยนตัวเองไปเรื่อย ๆ จนวันนึงก็ตัดสินใจหายตัวไปเฉย ๆ เลยเนี่ย ผมว่า Spike Jonze คงอยากให้ OS1 เป็นเหมือนคนอีกคนหนึ่ง ที่ผ่านมาในชีวิตของเราเป็นช่วงสั้น ๆ... ทำให้เราเกิดความประทับใจ และแล้วก็จากไป ไม่หวนกลับมาอีก...
แต่ในช่วงที่มีปฏิสัมพันธ์นั้น ก็ได้ทำให้ตัวเราเองเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นบ้างเหมือนกัน สังเกตุจาก ฉากเขียนจดหมายขอโทษภรรยา ซึ่งดูว่าเหมือนว่า พระเอกคงจะสำนึกและเข้าใจอะไรบ้างอย่างได้ หลังจากที่ได้พูดคุยกับ OS1 Samantha
Spike Jonze อาจอยากแค่จะสื่อ ถึง moment สั้น ๆ นี้ เพียงเท่านั้น
โทษทีครับ พิมพ์ยาวไปหน่อย
cyber monday shoe sale //www.eddiemotorsports.com/wp-content/uploads/shopping17/Tf4aUgpscv/