กัปตันป่วยมาหนึ่งอาทิตย์แล้ว เราเริ่มรู้สึกก็เมื่อมันไม่สามารถเดินกลับบ้านได้ หลังจากไปขับถ่ายข้างนอกบ้านช่วงเวลาเช้าตรู่ ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันที่กัปตันทำทุกวัน เราต้องเข็นรถเข็นส่งน้ำแข็งไปรับกัปตันกลับบ้าน ซึ่งพอเข็นรถไปถึง กัปตันก็ยอมลากสังขารของตัวเองขึ้นรถเข็นเพื่อให้เราเข็นกลับบ้าน พอหยุดรถที่ลานจอดหน้าบ้าน กัปตันก็ไม่ยอมลง จนเราต้องเข็นเข้าบ้านไปยังข้างลังน้ำอัดลมซึ่งเป็นที่นอนประจำของกัปตัน นั่นแหละ กัผตันจึงยอมก้าวลงมา นี่คงเป็นการแสดงให้เห็นว่ากัปตันไม่มีแรงเดินจริงๆ แม้กระทั่งเดินจากหน้าบ้านเข้ามาในบ้านวันรุ่งขึ้น กัปตันก็ออกไปทำธุระส่วนตัวอีกตอนเช้าที่เพิงขายกาแฟใกล้บ้านทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองไม่มีแรง พอเสร็จธุระก็ไม่สามารถกลับบ้านได้เหมือนเดิมจะว่าไป ตั้งแต่เลี้ยงกัปตันมาไม่รู้กี่ปี ไม่เคยเห็นกัปตันฉี่หรืออึหรือทำเลอะเทอะอย่างอื่นในบ้านเลยสักครั้งเดียวสัตวแพทย์มาตรวจวินิจฉัยได้ว่า กัปตันเป็นโรค "หนองใน" ซึ่งอาการขณะนี้ หนองได้ไหลปะปนไปตามกระแสเลือดแล้ว กัปตันจึงถูกใส่น้ำเกลือให้ทันที หมอบอกว่าให้น้ำเกลือแทนอาหาร เพราะตอนนี้กัปตันไม่สามารถกินอาหารได้เลย และน้ำเกลือก็จะไปเจอจางหนองในเลือดได้อีกด้วยระหว่างให้น้ำเกลือ กัปตันดูซึมไปถนัดตา เรากลับมาบ้านวันเสาร์ กัปตันไม่ลุกขึ้นมาทักทายเหมือนเคย เพียงส่งสายตาเศร้าสร้อยที่เราไม่เข้าใจ ว่าหมายความว่าอย่างไร มาให้ ขาทั้งสองข้างของกัปตันไม่มีแรง และจะมีปัสสาวะออกมาเล็กน้อยตลอดเวลา เราก็พยายามเอาทิชชู่ไปซับ เพื่อไม่ให้ร่างกายของกัปตันชื้น และต้องพยายามเปลี่ยนท่านอนให้กัปตันตลอดเวลากัปตันยังคงรู้สึกตัวอยู่บ้าง เวลาเราเรียก จะแหงะหน้ามามองและแสดงท่าทีว่ารับรู้ ตอนนั้น เราสงสารกัปตันมากจนนั่งร้องไห้ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกัปตันเป็นหมาที่น่ารัก และคุ้นเคยกับเราที่สุดตั้งแต่เราเลี้ยงหมามาตลอดชีวิต กัปตันฉลาดแบบที่มันควรจะเป็น รู้ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรควรไม่ควร เช่น เวลาป๋าบอกไม่ให้กัปตันนอนขวางทาง กัปตันก็จะลุกเดินออกไปดีๆ เวลาจะฉี่จะอึก็ออกไปนอกบ้านไม่เคยทำให้เปรอะบ้านให้คนในบ้านต้องเป็นภาระเลย อีกทั้งไม่เคยมีบ้านไหนมาบ่นให้ฟังเรื่องว่ากัปตันไปทำเลอะเทอะที่บ้านเขาด้วยกัปตันซื่อสัตย์และรักแม่กะเรามาก โดยที่มันจะตั้งความสำคัญให้เป็นลำดับขั้น อันดับหนึ่งคือแม่ อันดับสองคือเรา อันดับสามคือน้องสาว ส่วนป๋าไม่นับเป็นอันดับ เพราะดูเหมือนกัปตันจะเกรงป๋ามากกว่า กับคนอื่น ไม่ต้องพูดถึงเลย ถ้ามีคนมาเราหรือทำให้เราร้องโวยวาย กัปตันจะตรงเข้าไปเห่าคนนั้น เห่าจนเขาหยุด แต่ถ้าเขาไม่หยุด กัปตันจะไล่งับเขาเลย ไม่เว้นแม้แต่น้องสาว พี่ที่เป็นคนทำกับข้าวให้กัปตันกิน หรือหลานเราตัวเล็กๆที่แค่มากอดเรา ในทางกลับกัน ถ้าเราไปกอดแม่ กัปตันก็จะเข้ามาเห่าเรา ถ้าเราไม่หยุด เขาจะมีวิธีที่ไม่งับ คือ จะเข้ามาแทรกตรงกลางระหว่างเรากะแม่จนกระทั่งเราออกห่างจากแม่จนได้ เราก็ชอบแกล้ง เข้าไปใกล้คนที่เราจะแกล้ง แล้วตีเขา เขาจะต้องเป็นฝ่ายวิ่งหนี เพราะกัปตันส่งเสียงมาก่อน เตรียมวิ่งเข้าหาเต็มที่... แต่อย่างที่บอก ... มีป๋าหนึ่งคนเป็นข้อยกเว้น เราหรือแม่ไปเกาะป๋า ลองเล่นกันสนุกๆ ดูซิว่ากัปตันจะทำยังไง ปรากฎว่า กัปตันเฉยครับทั่น ฮี่ ฮี่ ให้รู้ว่าไผเป็นไผกัปตันไม่ชอบเด็ก และค่อนข้างขี้รำคาญ เวลามีเด็กขี่จักรยานผ่าน กัปตันจะไล่เห่าเสียงดัง อาจเป็นเพราะกัปตันฝังใจสมัยกัปตันยังเล็กๆ ชอบมีเด็กๆมารังแก อีกคนที่กัปตันไม่ชอบคือ "ไอ้บี้" เด็กชายที่ตอนนี้โตเป็นหนุ่มแล้ว ขาเป๋ และขี้ยา ชอบมานั่งเล่นแถววินมอเตอร์ไซค์หน้าบ้าน แต่ไม่เป็นอันตรายกับใคร ไอ้บี้เป็นคนจิตใจดีแต่ขี้โอ่เล็กๆ กัปตันเห็นไอ้บี้ไม่ได้ จะต้องเห่าเสียงดังลั่นทุกที ไอ้บี้ก็พอไอ้บี้ ชอบชี้หน้าแล้วบอกว่า "เดี๋ยวเถอะมึง ไอ้กัปตัน" พูดอย่างนี้ทุกครั้ง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่าหนึ่งคนกะหนึ่งตัวนี้ที่บ้านเลี้ยงแมวคลอกไหน คลอกไหน กัปตันไม่เคยกัดหรือเห่าเลย น่าแปลกเจ้าแม่แมวก็เช่นกัน ไม่เคยแหย่เจ้ากัปตันเลย เหมือนรู้ว่าฉันและเธอต้องอยู่ร่วมกันไปอีกนานสำหรับเรา กัปตันเป็นหมาที่ขี้อ้อนอย่างมาก พอเราลงมาข้างล่าง หรือเพิ่งกลับจากกรุงเทพ กัปตันจะเอาหน้ามาไซ้กับขาเรา จนหนำใจ เราถึงจะเดินไปไหนต่อไหนได้ แต่สมัยที่กัปตันยังแข็งแรงนะ จะกระโจนเข้าหา จนเราเกือบล้มไปหลายครั้งทีเดียว พอป๋าดุเท่านั้นแหละ กริยาทุกอย่างที่ทำ หยุดหมดเวลาให้ของกัปตันไม่เคยยกแค่มือเดียว จะต้องสองมือเสมอ แต่ต้องรับเค้าไว้มือนึงก่อนนะ ม่ายงั้นจะไม่ค่อยได้ เพราะเค้าตัวใหญ่สิ่งที่น่ารักอีกอย่างของกัปตันคือ พอเรากลับบ้านและไปนู่นมานี่ กัปตันมักจะชอบเดินไปด้วย เช่นตลาด จนคนที่ตลาดเขารู้จักกัปตันเป็นอย่างดี เราเคยแกล้งเดินวนไปวนมาหลบกัปตันที่ตลาด จนกัปตันตามไม่ทัน พอเดินมาถามแม่ค้า แม่ค้าบอก หมาหนูมันตามหาหนูซะวุ่นไปหมด สุดท้าย กัปตันต้องไปนอนรอที่บ้าน แฮะแฮะ ไม่ดีเลย แกล้งหมา ส่วนที่ธนาคาร กัปตันจะเป็นหมาตัวเดียวที่ได้รับอนุญาติให้เข้าไปนอนรอได้ หรือบางครั้งกัปตันไม่รู้ว่าเราอยู่ไหน ก็เดินไปหาที่ธนาคาร เดินเข้าห้องโน้นออกห้องนี้ ถ้าไม่เจอก็จะกลับ ถ้าเจอก็จะนั่งรอหากเรานั่งรถไปไหน กัปตันจะชอบตามขึ้นรถไปด้วย ไม่ยอมลง หากขึ้นไม่ได้ ก็จะวิ่งตามจนลิ้นห้อย สงสารจนต้องหยุดรถให้ขึ้นไปด้วย บางครั้งไม่ได้จริงๆ เขาก็จะวิ่งตาม ถ้าใครเคยดูหนังเรื่องแฟนฉัน ตอนที่น้องแน็ควิ่งตามน้องโฟกัสนั่นหละ เหมือนกันเลยอาทิตย์ต่อมา กัปตันต้องถูกให้น้ำเกลือตลอดเลย เพราะไม่สามารถกินอะไรได้ เราต้องโทรถามอาการจากแม่ทุกวัน บางวันทรง บางวันทรุด บางวันอึราดต้องเช็ดให้ เพราะขาไม่มีแรง นอนทับด้านใดมากๆก็จะเป็นแหล ต้องกลับด้านนอน ยิ่งเห็นยิ่งทรมาน เราอยากให้แม่พามันไปที่โรงพยาบาล เผื่อบางที มันจะดีขึ้น...แต่แม่เงียบ...หรือแม่รู้อะไรแต่ไม่บอกเราแม่อดหลับอดนอนเฝ้ากัปตันสามคืน เพื่อดูแลไม่ให้น้ำเกลือหยุดไหล พอเราเห็นขาที่ต้องใส่เข็มน้ำเกลือของกัปตัน เราอดเจ็บแทนไม่ได้สักทีวันสุดท้าย ... วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม หลังเลิกงาน เราขับรถจากสมุทรปราการด้วยความเร็วสูง หวังว่าจะถึงบ้านเร็วๆ เพื่อดูอาการกัปตัน แต่อะไรดลใจ ... เราหลงทาง ทั้งๆที่ไม่เคยหลงมาก่อน เพราะเป็นทางที่กลับบ้านทุกอาทิตย์...ถึงบ้านเกือบสามทุ่ม (ออกจากที่ทำงานห้าโมงเย็น) ปรกติจะถึงแค่ทุมกว่าๆเท่านั้นกลับมา แม่บอกว่า กัปตันรู้สึกกระสับกระส่ายจังวันนี้ กัปตันลืมตาอยู่นะ แต่เหมือนไม่รับรู้ในสิ่งที่เราพูดแล้ว เราไม่อยากคิดอย่างนั้นเลย ลิ้นของกัปตันแห้ง และห้อยออกมาจากปาก สีของลิ้นซีดมาก เราพยายามเอาน้ำหยอดให้กัปตัน แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล บางจรั้งกัปตันดูเหมือนรู พยายามเลียน้ำที่เราหยอดไว้ให้ แต่เราคิดว่ากัปตันคงไม่มีแรงทำอะไรทั้งนั้นแล้วหละตอนนี้แม่บนกับท่านท้าวมหาพรหมว่า ขอให้กัปตันหายดี....----------------------------------------------------------------------------------บันทึกจบลงแค่นี้ค่ะ เพราะตอนนั้นไม่สามารถเขียนต่อได้อีกต่อไปแล้ว ยังอุตส่าห์เหลือหน้ากระดาษว่างเปล่าอีกสองสามหน้าเผื่อจะมาเขียนให้จบแต่ พอจะเริ่มเขียนน้ำตามันไหล ใจมันสะอื้นบางทีก็นั่งร้องไห้อยู่คนเดียวปริ่มจะขาดใจเลยทำให้ตัดสินใจว่า ไม่เขียนเลยดีกว่าและบันทึกเล่มนี้ก็ไม่ได้ถูกเปิดอ่านอีกเลย เป็นเวลาเกือบสี่ปีแต่มันถูกนำไปด้วยทุกหนทุกแห่งและอยู่ข้างกายเสมอตอนนั้นยังแอบคิดว่า ขอให้กัปตันมาเกิดเป็นลูกของเราเถอะ----------------------------------------------------------------------------------ได้รับ Forward mail มาฉบับหนึ่งอ่านทีไร ร้องให้ทุกที"กฎทองของหมา " 1. ชีวิตของฉันอย่างมาก ก็จะสิ้นสุดเพียงแค่ 10-15 ปีเท่านั้น การต้องแยกจากเธอไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ นับเป็นความปวดร้าวอย่างยิ่งของฉัน จึงโปรดสังวรให้จงหนัก..ก่อนจะรับฉันเข้ามาในชีวิต 2. ให้เวลากับฉันสักหน่อย เพื่อทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าเธอต้องการอะไรจากฉัน 3. จงเชื่อมั่นในตัวฉัน เพราะเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับความเป็นอยู่ของฉัน 4. อย่าโกรธฉันให้นานนัก และอย่าลงโทษฉันด้วยการกักขัง เธอมีทั้งหน้าที่การงาน ความบันเทิงและมิตรสหาย แต่ฉันนั้น.....มีเพียงเธอ 5. พูดกับฉันบ้าง แม้ฉันจะไม่เข้าใจคำพูด แต่ฉันก็เข้าใจเธอได้จากน้ำเสียง 6. พึงระลึกอยู่เสมอว่า...ไม่ว่าเธอจะปฏิบัติอย่างไรต่อฉัน ฉันจะไม่มีวันลืมเลือนเลย 7. โปรดอย่าทุบตีฉัน เพราะแม้ฉันจะทุบตีเธอกลับไม่ได้ แต่ฉันก็สามารถกัดหรือข่วนตะกุยเธอได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันไม่อยากกระทำเลย 8. ก่อนจะดุด่าฉันสำหรับท่าทีที่คล้ายไม่เชื่อฟัง ดื้อดึง เกียจคร้าน ขอจงได้ถามตัวเธอเองก่อนว่า เกิดสิ่งผิดปกติกับตัวฉันหรือไม่ บางทีอาจจะมาจากเรื่องของอาหาร หรือถูกทิ้งไว้กลางแดดนานเกินไป หรือหัวใจของฉันแก่ชราและอ่อนล้าเสียแล้ว 9. ดูแลฉันเมื่อยามแก่เฒ่าด้วย เพราะวันหนึ่งเธอก็ต้องเป็นเช่นนั้น10. อยู่กับฉันเมื่อช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตมาถึง ขออย่าได้พูดเป็นอันขาดว่า " ฉันทนดูไม่ได้ ขออย่าให้มันเกิดขึ้นต่อหน้าเลย " เพราะเรื่องราวทั้งหมดจะง่ายขึ้นหาก...เธออยู่ด้วยสุดท้ายที่สุด...โปรดรำลึกเสมอว่า "ฉันรักเธอ"ปล. ไม่เคยกล้าถ่ายรูปกัปตัน เพราะตอนเด็กๆมีคนเคยขู่ว่า ถ้าหมาโดนถ่ายรูป...มันจะตายพอโตแล้วนึกขึ้นได้ ว่ามันจะตายได้ไงล่ะ ก็แค่ถ่ายรูป โดนแฟลช
ไม่ใช่เพราะมันยาว แป็นเพราะอ่านโปรยหัวไปสองสามบรรทัดก้อรู้แล้วว่ามันจะจบอย่างไร
ไม่เอ๊าไม่เอาเรื่องเศร้าๆเกี่ยกับหมา
ไม่อยากอ่านหง่ะ
รักนะกัปตัน จุ้บ จ้บ