ไปไหนไปกัน..คว้ากล้อง.. ส่องเลนส์..

ความสุขของคนเล่นของ





เรื่่องของกุหลาบ ตอน ความสุขของคนเล่นของ




อั้วก็เป็นมนุษย์ปถุชนคนหนึ่งเหมือนๆคนทั่วๆไปนี่แหล่ะ ที่มี รัก โลภ โกรธ หลง และ ย่อมมีเกิด แก่ เจ็บ และสามารถตายได้


“เกิด” ก็เกิดมาแล้วตั้งหลายปี เป็นแม่สาวราศีมังกรผู้มุ่งมั่น เอาการเอางาน (เขาว่าไว้ตามลักษณะส่วนใหญ่ของคนราศีนี้ งั้นอั้วก็คงเป็นข้อยกเว้นและเป็นคนส่วนน้อยของราศีนี้เหมือนกัน)


“เจ็บ” ก็เคยเจ็บมาแล้วเป็นเรื่องธรรมดา เจ็บล่าสุดนี่วันก่อนแดดมันร้อนตอนเดินกลับบ้านพัก ก็เลยกางร่มซะหน่อย (กลัวแดดแผดเผาผิวแขนอันขาวผ่องเป็นยองใย ทำยังกะไม่ใช่คนแถวนี้) โดยที่อีกมือหนึ่งมือถือแก้วชาเย็นที่ไม่ยอมทิ้งทั้งที่เหลือแต่ก้อนน้ำแข็งเปล่าก็ยังจะเก็บไว้ดูดกินเล่นอยู่ได้ เลยจะกางร่มด้วยมือข้างเดียว


ในจังหวะที่กางนั่นแหล่ะ ปลายร่มก็จิ้มเอาตรงข้อที่สองของนิ้วกลางข้างขวา (รอดตัวไปถ้าเจาะเข้าตรงปลายนิ้วนางข้างซ้ายล่ะก็ มีหวังค่าดองตกลงไปหลายบาทแน่ๆ ) เลือดซิบเลย เป็นแผลยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร (นึกว่าแผลกว้างยาวหลายศอกหลายวา)


แต่มันก็ทำให้เลือดสีชมพูระเรื่องของอั้วออกมาจากตัวได้ก็แล้วกันน่า เจ็บไม่พอ ยังมีแสบนิดๆด้วย

“ ไม่น่าโลภกินไม่หยุดเลยอั้ว แถมเจ็บตัวเพราะกลัวแดดอีกต่างหาก”

แต่เจ็บครั้งนี้ไม่มีได้อาย ไม่มีใครได้เห็นฉากการต่อสู้ย่อมๆกับร่มของอั้วแน่ๆ หลังจากแอบแลซ้ายแลขวาแล้วปลอดคนในระยะประชิด

บางเจ็บก็มีได้อายด้วย

หลายวันก่อน เพิ่งตื่นนอนแล้วหิวเอามากๆ ยังงงๆมึนๆ แต่ก็ต้องออกไปตามที่เสียงท้องเรียกร้อง (เสียงจ้อกๆ) ไปร้านสะดวกซื้อแถวบ้านนี่แหล่ะ ใกล้ดี

พอไปถึงก็รีบจอดรถและเดินดุ่มๆขึ้นฟุตบาทเตรียมวิ่ง 4x100 เข้าไปหาอะไรกินซะหน่อย อารามรีบร้อน หัวที่มีขนาดโตและโดนหาว่าหัวโตที่สุดในที่ทำงานก็ไปพิศวาสกับป้ายโฆษณาตรงริมฟุตบาทเข้าให้

“ โครมเลย มัวแต่เหล่เด็กแว๊นซ์หน้าร้านก็งี้แหล่ะ” ความคิดแรกที่แว้บเข้ามา ให้กำลังใจตัวเองซะหน่อย ถือว่าเจ็บแล้วคุ้มก็ยังดีกว่าเจ็บตัวฟรี ถ้าจะให้ดีก็ควรเหล่หนุ่มแบบไม่ต้องเจ็บตัวน่าจะดีที่สุด

“นี่มันป้ายหาเสียงของพรรคไหน อั้วจะไม่กาให้ซะเลยเนี่ย” อุบอิบๆ

ณ วินาทีที่รอดพ้นมาจากป้ายมาได้ ก็รู้สึกได้เลยว่าหน้าร้อนผ่าว หน้าแดง หูแดง ส่วนหน้าผากตรงที่ชนก็คงแดงอยู่แล้วอย่างไม่ต้องสงสัย (แถมมีรอยนูนด้วยล่ะเออ) เพราะที่ตรงนั้นน่ะมีผู้คนน้อยซะเมื่อไหร่ ถึงแม้ไม่รู้ว่ามีใครรู้เห็นบ้าง อั้วก็อายเป็นเน้อ โดยเฉพาะตอนที่ไปคนเดียว ไม่มีเพื่อนให้แก้เก้อเนี่ย

เข้าใจเลยว่าคนที่อยู่ในอาการ “ทั้งเจ็บทั้งอาย” นี่มันเป็นยังไง แต่อาการ “ทั้งเจ็บทั้งเหม็น” นี่ อั้วก็ไม่เคยเหมือนกัน

จากนั้นก็ได้แต่เอามาเป็นเรื่องเตือนใจให้เพื่อนๆในสังคมออนไลน์ได้ระวังตัวซึ่งเพื่อนๆก็ไถ่ถามด้วยเป็นห่วง แถมความหวังดีว่า

“ ป้ายเป็นอะไรมากมั้ยอ่ะ พังหรือเปล่า?” ไม่อยากจะบอกเลยว่าเพื่อนคนนี้ของอั้วเป็นหมอนะ ที่ห่วงป้ายมากกว่าเพื่อนอย่างอั้ว ทำกันได้ลงคอ

“เดี๋ยววันหลังมารับจ๊อบตรวจที่ที่ทำงานอั้วจะไม่พาไปกินเตี๋ยวร้านอร่อยเลยแกเนี่ย” พูดไปงั้นแหล่ะ ปกติเวลาเพื่อนคนดีขี้เกรงใจของอั้วคนนี้ไปกินข้าวด้วยก็มักจะเลี้ยงอั้วซะงั้น อั้วก็ขี้เกรงใจปฏิเสธใครไม่ค่อยเป็นซะด้วย เดี๋ยวเพื่อนจะเสียใจ แทนที่อั้วเป็นเจ้าบ้านจะพาหาข้าวหาน้ำให้กิน แต่ก็อยู่ในช่วงยอมรับได้ พบกันครึ่งทาง เพราะอั้วก็เอาขนมไปยื่นให้คืนเหมือนกัน

“หัวอั้วไม่ได้แข็งถึงขนาดชนป้ายชาวบ้านพังหรอกน่า ไม่ต้องห่วง ถามอาการอั้วหน่อยดีมั้ย” จากนั้นเพื่อนอั้วก็ถามอาการเอาใจอั้วจนซะหน่อย แต่อั้วก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก นอกจากจะเจ็บนิดๆคลำไปคลำมาก็เจอรอยนูนนิดหน่อยพอเป็นที่ระลึกสักสองสามวัน ของอาการ “หิวจนตาลาย” และก็ตามมาด้วยอาการ “อายจนหายหิว”

ก็เพราะอั้วเป็นมนุษย์เหมือนมนุษย์คนอื่นๆอีกน่ะแหล่ะ เมื่อมี “เกิด” มี “เจ็บ” ก็ต้องมี “ แก่ ” และมีโอกาส “ ตาย” ได้พอๆกับคนอื่นๆนั่นแหล่ะ แค่มันยังมาไม่ถึงก็เท่านั้น จะไปกลัวอะไร เพราะมันเป็นเรื่องของอนาคต

และก็ไม่ได้มีเครื่องรางของขลังที่ทำให้อั้วไม่ตายได้ด้วย ที่ทำได้ก็คือเครื่องรางที่มีไว้เพื่อทำให้ หัวใจแข็งแรงก็เท่านั้น

ก็บอกแล้วว่าอั้วก็เป็นคนธรรมดาเหมือนคนทั่วไปและก็ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง และนิสัยผู้หญิงทั้งหลายมันก็อยู่ในตัวอั้วพอๆกับคนอื่นนี่ล่ะ ทั้งที่อั้วก็ปฏิเสธการบ้าช๊อปปิ้งที่เป็นกิจกรรมอันโปรดปรานของหญิงสาวทั่วไป และปฏิเสธการบ้าไปดูหมอดูด้วย

แต่ที่อั้วว่าไม่ได้บ้าช๊อปปิ้ง อันที่จริงก็มีวัตถุข้าวของสมบัติบ้าเต็มไปหมด หอบไปเต็มตัวเลยล่ะ กล้องตัวใหญ่เอย เลนส์เอย โทรศัพท์มือถือเอย โน้ตบุคเอย (อันนี้มันทาสวัตถุชัดๆ) อย่ามัวแต่ยืดอกบอกคนอื่นไปว่าไม่ได้บ้าซื้อของไปหน่อยเลย อันนี้ไม่นับแผ่นหนัง แผ่นเพลง หนังสือ และวัตถุอื่นๆอีกมากมาย

ที่บางอย่างซื้อมาเพราะคิดว่าจะได้ใช้ แต่ก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี แค่รู้สึกว่ามีก็พอใจ อันนี้ควรเลิกไปเสียดีกว่ามั้ย มีลูกบาส ไม้แบดมินตัน ลูกขนไก่เป็นโหลๆ รองเท้าวิ่ง ที่นานๆทีจะได้ออกงาน (ก็ตอนนี้ที่รู้สึกว่าต้องฟิตร่างกายซะหน่อยแล้ว)

แล้วที่ว่าไม่ได้บ้าการไปหาหมอดู แต่ก็มีบ้างที่โดนเพื่อนฝูงลากไปหรือไม่บางที อั้วก็องค์ลงเกิดฮึดอะไรมาก็ไม่ทราบได้ อยากรู้เรื่องราวศาสตร์ดูลายมือขึ้นมาก็ไปสรรหาหนังสือ ตำราดูลายนิ้วมือมาอ่านอย่างเอาเป็นเอาตาย และก็ยังมีคนบ้าจี้มากกว่าอั้วยื่นมือมาให้อั้วเป็นแม่หมอให้อีกด้วย ก็จะใครอีกล่ะ ก็พี่ๆน้องๆในที่ทำงานที่ผู้หญิงธรรมดานี่ล่ะที่ยังบ้าซื้อของและต้องดูหมอ

“ดูให้หน่อยว่าเป็นยังไง” พี่ปป.ที่ทำงานคนหนึ่งที่บ้าหมอดูจนขึ้นสมอง พร้อมยื่นมือข้างซ้ายแผ่ตรงหน้าอั้ว งานเข้าแล้วมั้ยล่ะ

“ อั้วเปล่าน้า อ่านไว้ประดับความรู้เฉยๆ” อั้วปฏิเสธเป็นพัลวัน ก็กลัวเอาตัวไม่รอดน่ะสิ ที่อั้วอ่านเพราะอยากรู้เฉยๆไม่ได้อยากไปดูให้ใครซะหน่อย

“ นี่ๆให้มันน้อยๆหน่อย อยากดูหมอก็ไปหาหนังสือมาอ่านเอาเองแล้วตั้งสำนักในห้องยาเหรอ” พี่เอ๋ พี่ที่ทำงานอีกคนของอั้วเหน็บเข้าให้

“ ก็อยากรู้นี่นาเลยต้องหามาอ่านเฉยๆ” อั้วแก้อั้วไปอ้อมแอ้ม พี่เอ๋ก็คงจะคิดในใจสินะ ว่า

“เรื่องงานน่ะช่วยแข็งขันแบบเรื่องอื่นๆหน่อยได้มั้ย ลื้อน่ะ ” แค่มองหน้าอั้วก็รู้ใจแล้วล่ะ

แต่ก็อย่างที่บอกว่าอั้วเป็นผู้หญิงธรรมดา ย่อมจะทำอะไรอย่างที่คนธรรมดาทั้งหลายเค้าทำ แล้วพี่เอ๋พี่สุดที่รักในที่ทำงานของอั้วน่ะ ทำงานเก่งโคตรๆเลย แถมเป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีหัวใจไว้เพื่อดูแลหัวใจของน้องๆร่วมงานได้อีก

มีบางที ผู้หญิงธรรมดาอย่างอั้วก็ส่งข้อความหาพี่

“ รักพี่เอ๋นะคะ” นี่เค้าเรียกว่าธรรมดาแล้วเหรอ กล้าดีมากที่ส่งข้อความไปบอกรักหัวหน้างาน ที่ใครๆก็รู้ว่าพี่เอ๋ทำงานเก่งและดูดุในสายตาคนอื่นมากๆ

“รักเหมือนกัน จุ๊บๆ” พี่เอ๋ตอบข้อความอั้ว

ใครล่ะที่บอกว่าเจ้แกโหด ใส่ร้ายพี่สาวของอั้วกันเข้าไป พวกไม่รู้อะไรเนี่ย ถามน้องบุ๋มสิ ว่าโหดหรือป่าว “ ก็แค่ตับหายเป็นเสี่ยงๆก็แค่นั้น”

ถึงจะน่ากลัวอั้วก็มีเครื่องรางของขลังไว้รักษาตัวตลอดเวลาอยู่แล้วนี่นา จะไปกลัวอะไร ก็อั้วเล่นของและรู้ว่าพี่ของอั้วมีจินตนาการที่ล้ำเลิศมาก ไม่งั้นเจ้ก็คงไม่ติดหนึบหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ จนเอามานั่งอ่านหน้าเค้าเตอร์เหมือนอย่างที่อั้วเอาหนังสือดูลายมือมาอ่านน่ะแหล่ะ องค์ลงเท่าๆกัน

การมีเครื่องรางของขลังไว้ป้องกันหัวใจตัวเองนี่ก็ดีเหมือนกัน และอั้วก็ยังคิดอยู่เสมอว่าอั้วเป็นผู้หญิงธรรมดาที่เล่นของคนหนึ่งก็แค่นั้นเอง ของดีก็คงอยู่ที่ “ หัวใจ” นี่ล่ะมั้ง พอใช้บ่อยๆมันก็จะกลายเป็นเครื่องรางของขลังให้เราเอง เหมือน “สมอง” ถ้าเราฝึกใช้มันบ่อยๆมันก็คงไม่ฝ่อแล้วจะกระปรี้กระเปร่าอยู่ตลอดเวลา

เวรเช้าวันอาทิตย์

“ กบ!! เวลาไปซื้อของก็ควรจะหัดคิดเลข ทอนตังค์ช่วยแม่ค้าด้วยนะ สมองจะได้ไม่ตาย คิดอะไรไม่ออกแบบนี้” ไม่ต้องสงสัยว่าเป็นเสียงใคร ก็เสียงพี่เอ๋ของอั้วนั่นแหล่ะที่บอกพ่อหนุ่มรูปหล่อของเราที่มัวตาค้างดูรายการโปรดสตรอเบอรรี่ชีสเค้ก เพราะมัวแต่อึ้ง คิดอะไรสักอย่างไม่ออก ขณะจัดยาแอดมิดเป็นแบบสโลโมชั่น เจ้แกเลยชมเข้าให้หนึ่งดอก

“ ชัดเลย!! ว่าอั้วและทุกๆคนควรใช้สมองบ่อยๆเราจะได้มีความจำที่แม่นยำ และวิ่งปรู๊ดปร๊าด คิดอะไรก็ออก” อั้วก็คิดออกในบัดดลเลย พร้อมขอตัวและเอาหัวไปด้วยเพื่อไปรับออเดอร์ที่ตึกสูตินรีเวชก่อน

“ แต่ความจริงแล้วเวลาที่อั้วไปซื้อของ ก็มักจะทำหน้าตาเหมือนคิดช่วยแม่ค้า แต่ความจริงไม่ได้คิดอะไรหรอก แค่แอกติ้งให้ดูเหมือนไปแค่นั้น แม่ค้าจะถอนตังค์ผิดก็ยังไม่รู้ตัว” ขนาดฟอร์มดีขนาดนี้ยังเอาหัวไปชนป้ายข้างฟุตบาทได้คนเรา ก็บอกแล้วว่าอั้วก็แค่เป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งนี่นา

คุณเอื้อง เพื่อนอั้วยังบอกเลยว่า “เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าโง่มาก บวกเลขลบเลขแทบไม่เป็นแล้ว แค่ 10 หาร 2 คิดไม่ออกต้องเอาเครื่องคิดเลขมากดล่ะ” เยอะไปมั้ยคะคุณเอื้อง

อั้วก็เลยคิดว่าถ้าเราใช้ “ หัวใจ” ของเราเราบ่อยๆมันก็จะแข็งแรงและมีพลังได้เอง

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่อั้วกลับบ้านแล้วบอกแม่ว่าที่หลังบ้านพักจะปลูกพริก

“ หนูทำสวนหลังบ้านด้วยนะแม่ ตอนนี้มีต้นกุหลาบหนู ดอกบานชื่น ดอกพุด ผักและขุดหลุมจะปลูกพริกด้วย แม่ช่วยหาต้นกล้าต้นพริกให้หนูหน่อยสิจ้ะ” พร้อมเกาะเอวออดอ้อน

อั้วจะดูน่ารักน่าเอ็นดูเป็นเด็กอนุบาลเสมอเวลาอยู่กับผู้หญิงที่น่ารักที่สุดในโลกคนนี้ ของขลังของอั้วก็แม่นี่แหล่ะความจริง แม้แต่ตอนคุยโทรศัพท์ก็จะมีเสียงอู้อี้ดูปัญญาอ่อนซึ่งอั้วจะใช้แต่กับแม่เท่านั้น พี่คนนึงยังว่าให้เลยว่าทำเสียงปัญญาอ่อนแบบนี้ได้ด้วยเหรอ คนที่ว่าไม่ใช่พี่เอ๋หรอก แต่เป็นพี่อ้วน พี่อีกคนที่ทำงานน่ะแหล่ะ

ก่อนขึ้นรถมาส่งที่ทำงาน ปกติอั้วจะให้ที่บ้านมารับตอนเย็นวันศุกร์แล้วก็กลับมาส่งตอนเย็นวันอาทิตย์ในสัปดาห์ที่ไม่มีเวรเสาร์อาทิตย์ (ทำให้แม่ยังเข้าใจว่าอั้วเป็นเด็กหญิงธรรมดาๆต่อไป แถมไม่อนุญาตให้หนุ่มหน้าไหน ไปส่งที่บ้านด้วย) ถึงจะอนุญาตก็คิดว่าจะมีอยู่รึ ก็ไม่แน่นา

“แม่ไปถอนพริกในสวนที่มันติดลูกติดดอกมาแล้วทำไมเนี่ย อั้วจะเอาแค่ต้นกล้าไม่ใช่ต้นโตแบบนี้” แม่อั้วนี่เว่อร์ได้อีก แถมไปเอามาจากสวนญาติๆมาให้อีก
“แค่ปลูกเล่นๆแม่ ไม่ได้ปลูกขาย เข้าใจอะไรผิดป่ะเนี่ย” อั้วคิดในใจ ใครจะกล้าขัดศรัทธาผู้หญิงที่มอบเครื่องรางของขลังให้กับอั้วล่ะ

“มาขึ้นเวรมั้ยกุ” เสียงพี่นิดหมูอ้วนโทรเข้าตอนบ่ายสามให้มาช่วยต่อเวรตอนสี่โมงเย็นหน่อย

ในวันอาทิตย์ที่อั้วมีต้นกล้าพริกที่แม่ลงทุนไปถอนมาจากสวนของตัวเองและสวนของญาติกำลังคอตกและเริ่มจะเหี่ยวแล้วบางส่วน ถ้าไม่ลงแปลงลงหลุมตอนนี้ก็อดและต้นพริกของแม่ก็จะตาย ตะกี้ก็เพิ่งกอดกับแม่ตัวกลม แม่ก็หอมแก้มดมหัวลูบหน้าลูบตาก่อนจะกลับไป

“ ไม่ว่างอ่ะพี่นิดหมูอ้วน จะต้องลงปลูกต้นพริกก่อน” คนฟังอาจจะรู้สึกว่ามันปกติอยู่มั้ยเนี่ย ยัยคนนี้ เห็นต้นพริกที่จะลงแปลงวันไหนก็ได้สำคัญกว่าการมารับเวรและทำหน้าที่ของตัวเองไป

แต่อั้วก็พูดตามที่ใจคิดน่ะแหล่ะ

ต้นพริกที่มีเครื่องรางของขลังของแม่จะตาย อั้วไม่อยากบอกแม่ว่าทำต้นไม้ของแม่ตายไปแล้ว ที่แม่ตากแดดไปขุดมาจากสวน ตอนเที่ยงๆ จนเหงื่อท่วมตัวแม่เลยแหล่ะ

ยังไงซะเวรนี้มันก็มากะทันหันเกินไปโดยไม่แจ้งล่วงหน้าหลายๆชั่วโมงกว่านี้ ไม่ให้ทำใจเลย ไม่รับพี่ก็คงเข้าใจอยู่หรอก ให้อภัยอั้วเถอะ ก็อั้วมีธุระจริงๆนี่นา แต่อั้วก็ไม่ได้ถามแม่หรอกว่า

“พี่ให้หนูไปรับเวร แหล่ะแม่”

เพราะแม่อั้วก็คงจะบอกว่า

“ไปทำงานช่วยพี่เค้าเหอะ พริกเอาไว้ก่อนก็ได้ ” แม่อั้วใจดีแบบนี้เสมอและเป็นคนดีมากๆ แม้บางครั้งที่อั้วได้รับการเอารัดเอาเปรียบจากค่าจ้างหรือผลประโยชน์ที่อั้วพึงได้รับ แม่ก็จะบอกแค่ว่า

“ให้เพิ่นไปซ้าลูก เงินทองเราหาทีหลังเอาก็ได้ เขารับเราเข้าทำงาน เขามีบุญคุณ” เป็นไงล่ะเครื่องรางของคลังที่แม่มอบให้อั้ว

“แต่นั่นเป็นสิทธิ์ของหนูนะแม่” อุบอิบๆแต่ก็รู้อยู่ว่าทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ใช้เครื่องรางที่แม่ให้มาดูแลหัวใจตัวเองดีกว่า

เพราะแม่เคยบอกไว้ด้วยว่า

“พี่ที่นี่ดีนะ รับเราเข้าทำงานโดยไม่ใช่เส้นสาย เราเป็นคนจนและเส้นไม่ใหญ่ พี่เขาก็รับเรา ให้ไปนั่งในห้องยาและให้พี่เขาใช้ตลอดเวลาด้วย” แม่บอกอั้วตอนเข้ามาทำงานที่นี่ใหม่ๆ ที่ยังไม่มีเวรและให้อั้วไปนั่งให้พี่ๆใช้สอย (อั้วก็รู้ว่าพี่ที่นี่ดี แต่ไปนั่งให้ใช้สอยนี่แม่งๆไงไม่รู้ แต่อั้วก็ทำอยู่แหล่ะในช่วงที่เข้ามาทำงานใหม่ ไปช่วยพี่ทำงานนอกเวลา ความจริงไปดูทีวีเพราะที่บ้านพักยังไม่ติดทีวี เอ้า นึกว่าเชื่อแม่)

ในที่สุดอั้วก็อยู่ลงแปลงปลูกต้นพริกของแม่จนมืดค่ำ และพ่อก็เอาตาข่ายมากันพวกสัตว์เขี่ยให้ด้วย เหงื่อท่วมตัวเลย แต่ก็รู้สึกได้ถึงพลังที่มองไม่เห็น นั่นคงเป็นเครื่องรางของขลังที่แม่มอบให้

“เป็นไงปลูกต้นพริก” พี่นิดหมูอ้วนถามอั้วในตอนเช้าวันจันทร์ จับน้ำเสียงไม่ได้ว่าเป็นแบบไหนเหมือนกัน แต่อั้วก็มีโอกาสตอบแทนพี่อีกหลายครั้งในโอกาสต่อมาอยู่เรื่อยๆ แต่เครื่องรางในหัวใจของอั้วที่แม่ให้มันคงทำให้อั้วได้แก้ตัวอีกไม่ได้อีกในหลายๆครั้ง

“ ก็ดีค่ะ ปลูกเสร็จหมดเลย” อั้วตอบไปตามความจริง

ก็เพราะอั้วเป็นผู้หญิงธรรมดาที่ รัก โลภ โกรธ หลง และก็ไม่ได้เป็นนางฟ้าตลอดเวลานี่เนอะ จะได้แสนดีหลุดโลกจนน่าหมั่นไส้เหมือนนางเอกละครนางเรื่อง

การเล่นกับเครื่องรางของขลังยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น อั้วยังนำไปสู่เพื่อนสนิทน้องสนิทอีกด้วย สองปีที่แล้วมีศิษย์น้องคนหนึ่งที่สนิทกันจะสอบใบประกอบวิชาชีพและเกิดอาการกลัว นอยด์ และหวั่นสารพัด เหมือนอั้วที่เคยเป็นมาก่อน

“ไม่เป็นไรหรอก ลื้อเป็นคนดีของพ่อแม่ ของเพื่อนและครูบาอาจารย์ อั้วคิดว่าลื้อต้องสอบได้แน่ๆ” พูดไปงั้นแหล่ะ ไม่ได้ช่วยให้คนที่จะเข้าสู่สนามสอบเหล่านี้ใจชื้นขึ้นมาได้หรอก และก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะสอบผ่านหรือป่าวด้วย

“ งั้นอั้วจะตักบาตรทำบุญให้ลื้อด้วยดอกกุหลาบทุกเช้าเลยดีมั้ย เป็นการเอาใจช่วย ให้ลื้อสอบได้ และเป็นการปลุกให้ตื่นมาอ่านหนังสือตอนเช้าด้วยดีมั้ย”
เพราะเวลาอั้วตักบาตรเสร็จทุกเช้า หลังจากหลวงตาให้ศีลให้พรแล้วก็มองแปลกๆว่า คิดไม่ซื่อกับหลวงตาป่ะเนี่ย ดอกไม้อื่นมีเยอะแยะ
อั้วก็จะส่งข้อความไปบอกศิษย์ผู้น้องทุกเช้าว่า “ทำบุญเอาใจช่วยแล้วนะ ตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือได้แล้ว”

ก็บอกแล้วว่าอั้วเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นจริงๆ ยังไม่นับการหอบเอาดอกกุหลาบสีแดงไปให้พี่หมอที่ซี้กันหน้าห้องตรวจเพื่อไปสวัสดีปีใหม่พี่หมอ(เสียดายที่ตอนนี้พี่หมอคนนี้ไม่อยู่แล้ว ไม่งั้นคงได้ดอกกุหลาบสวนหลังบ้านที่อั้วปลูกเองกับมือ)

นอกจากจะใช้ ”สมอง” ทำงานแล้วก็ควรใช้ ”หัวใจ” ทำงานด้วย แต่ควรใช้ให้ถูกกาลเทศะ คนเยอะๆก็อายเป็นนะ ต้องไปตอนไม่มีคนนอกจากป้าพยาบาลหน้าห้องเท่านั้น เวลา consult ก็แสนจะสบายเลยทีนี้ ขนาดแลนสั่งยาแล้วพี่หมอคนนี้ยังตามมาชะโงกที่เค้าเต้อร์เลยว่า
“กุ ดูให้พี่หน่อย สั่งยารักษามาลาเรียมาถูกมั้ย พี่ไม่แน่ใจ”
“มาถามทำไมเนี่ย อั้วก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” ในใจคิด แต่ก็ตอบว่า
“ได้ค๊าพี่ต๊ากกกก สบายมากกกก”

ผลของการเป็นคนมีเครื่องรางของขลังก็คือ ศิษย์น้องคนนั้นของอั้วสอบใบประกอบวิชาชีพผ่าน แต่ความจริงไม่น่าจะใช่เพราะอั้วหรอกแต่คงเป็นเพราะตัวของศิษย์น้องเองน่ะแหล่ะ ที่มุ่งมั่นตั้งใจจริงจนประสบผลสำเร็จ

ทุกวันนี้นอกจากเครื่องรางของขลังของแม่แล้ว อั้วก็ยังพกโกเมน หินสีแดงอัญมณีประจำราศีเกิดไว้ติดตัวตลอดเวลาเพราะเขาว่ากันว่าจะเสริมดวงสุขภาพ และห้อยพระเครื่องของหลวงปู่คำบุที่ได้มาตอนไปสวดมนต์ข้ามปีตอนต้นปี(สุดท้ายอั้วก็เป็นผู้หญิงธรรมดาที่งมงายมากกว่าผู้หญิงธรรมดาดีๆนี่เอง)



ขอขอบคุณ คนต้นเรื่อง
คุณแม่ ผู้มีเครื่องรางของขลังให้อั้วเสมอ
พี่เอ๋ พี่ทำงานที่แสนดี
พี่หมอ ศิษย์น้อง และผองเพื่อนคนอื่นๆที่ทำให้อั้วได้มีโอกาสได้ใช้เครื่องรางของขลังที่แม่ได้ให้ไว้กับอั้วเสมอมา



--------- @ ---------- @ ----------- @ ----------




โลกกุหลาบ คือ โลกของคุณกุหลาบ ที่ใช้คำแทนตัวเองว่าอั้ว ไม่ใช่ลูกจีนแต่มีตาแค่ชั้นเดียว ไม่ใช่มาเฟีย แต่ก็เป็น “ขาใหญ่ ” พอตัวเหมือนกัน


เรื่องเล่าของสาวคิดบวก.. น้องสาว..คนนี้..

สำนวน..ชวนหัวร่อ... ยากเกินที่จะเก็บเอาไว้ดูคนเดียว...

เลยทำสนธิสัญญากันเล็ก ๆ .. ว่าจะเอาลง blog ของพี่สาว..

ยังมีสาส์นฮา ๆ ของน้องสาวกุหลาบอีกหลายฉบับ

จะทะยอยนำมาให้ได้บริหารลักยิ้่ม..







 

Create Date : 10 มิถุนายน 2554
5 comments
Last Update : 15 เมษายน 2558 21:14:41 น.
Counter : 687 Pageviews.

 


มาอ่านตอน 2 ของคุณกุหลาบจ้ะ


ไม่มีเวอร์ชั่น "คุณน้องขา" บ้างเหรอ...


ยังไม่เขียนบล็อกเป็นของตัวเอง มาลงตรงนี้ก็ได้จ้ะ



 

โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ 10 มิถุนายน 2554 17:20:37 น.  

 


เฮดบ๊อกแหล่มมากๆ เลยจ้า
แวะมาอ่านก่อนนอนค่ะ..หลับฝันดีนะคะ

 

โดย: อุ้มสี 11 มิถุนายน 2554 0:07:13 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับพี่ปุ้งกี๋






 

โดย: กะว่าก๋า 11 มิถุนายน 2554 6:06:08 น.  

 

สุขและทุกข์เป็นกระดาษแผ่นเดียวกัน
แค่อยู่คนละหน้าเท่านั้นเองครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 11 มิถุนายน 2554 7:48:10 น.  

 

บางทีเราเลยเผลอขยำกระดาษทิ้งไป
ทั้งที่ความสุขอยู่ในกระดาษนั้นน่ะครับพี่ปุ้งกี๋ อิอิิ


 

โดย: กะว่าก๋า 11 มิถุนายน 2554 8:11:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


poongie
Location :
อุบลราชธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]




มามะ มาเที่ยวกัน มามะ มาถ่ายรูปกัน..
I'm an one who fall in love with photographing and travelling, Let's travel by my photos together.
...การท่องเที่ยว คือกำไรของชีวิต.. ช่วงนี้เลย .. หัด .. ค้ากำไร .. เกินควร ถึงรูปจะไม่สวย เรื่องจะไม่เด่น แต่ขอสงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539 ห้ามละเมิดไม่ว่าการลอกเลียน นำรูป ข้อความที่เขียนไว้หรือส่วนหนึ่งส่วนใดในบล็อกแห่งนี้ ไปเผยแพร่อ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อกนะคะ
Visitor Map
Create your own visitor map!
New Comments
Group Blog
 
 
มิถุนายน 2554
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
10 มิถุนายน 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add poongie's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.