ไปไหนไปกัน..คว้ากล้อง.. ส่องเลนส์..
ความสุขระยะไกล





เรื่่องของกุหลาบ ตอน ความสุขระยะไกล




“อั้วเพิ่งบอกแม่ว่า…กุมานจะมาเยี่ยมแหล่ะ เห็นบอกว่าไม่ได้มานานแล้ว…แม่อั้วเลยบอกว่า… มีประชุมอีกแล้วเหรอ หรือว่าตั้งใจมาเฉยๆ…อั้วบอกแม่…มาเล่นๆ…แม่อั้วเลยว่า….ไม่ได้มานานเลยเหรอ เห็นมาประจำ ไม่เหนื่อยบ้างรึ”

นี่เป็นคำพูดที่เฮียหัวโต เพื่อนสนิทคนหนึ่งของอั้วเอาแม่มาเม้าท์เล่าต่อที่หน้าเฟสบุคของอั้ว ก่อนวันออกทริปหนึ่งวัน อั้วก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าแม่ได้พูดเยอะกว่านี้มั้ย เป็นต้นว่า “ ไม่มีงานมีการให้ทำบ้างเลยเหรอ ทำตัวเหมือนกับว่างอยู่ได้ ” หรืออาจจะพูดแต่เพื่อนไม่ได้เล่า

จากนั้นก็มีลูกคู่มาแสดงความเห็นอกเห็นใจกับคำพูดของแม่เพื่อนอั้วอีกหลายยก …ผักเป็นหนึ่งในนั้น… ซึ่งล้วนเป็นการเอาความจริงมาตีแผ่ให้เห็นความดีของอั้วกันจะๆ

เพราะเรื่องที่เพื่อนอั้วเล่ามาน่ะเป็นความจริงล้วนๆ และเรื่องที่แม่มันบอกก็เป็นความจริงแท้ๆเหมือนกัน ก็ครั้งล่าสุดที่อั้วไปเยี่ยมเพื่อนคนนี้ อั้วก็มาประชุมจริงๆแหล่ะ ตอนต้นเดือนมีนาคมอั้วมีประชุมที่ รพ. เด็ก “การใช้ยาในเด็กและการเตรียมยาสำหรับผู้ป่วยเฉพาะราย” อ่ะแฮ่ม มีสาระสมหน้าตาวิชาการของอั้วน่ะแหล่ะ เรื่องไร้สาระนี่ไม่ค่อยถนัด (ขั้นนี้เลยคำว่าถนัดมานานแล้ว เขาเรียกว่าไร้สาระเข้าขั้นชำนาญการพิเศษเชียวแหล่ะ)

มาประชุมคราวที่แล้วอั้วก็ฉวยโอกาสอันดีนี้แวะไปเยี่ยมเยียนญาติที่มหาชัยซะหน่อย (เฮียหัวโต เพื่อนอั้วและเหล่าญาติมิตรของอั้วส่วนหนึ่งทำงานที่ รพ เอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดนี้ใบ้ให้นิดหน่อยว่า เป็น รพ ที่มีกองละครยกกองมาบ่อยๆ จึงไม่ต้องแปลกใจที่คนทำงานที่นี่จะแอกติ้งเก่งและเล่นสมบทกันแค่ไหน ทั้งตัวแสดงนำและตัวประกอบ)

ครั้งที่แล้วเป็นทริปกับญาติของอั้วเหล่านี้แหล่ะ ( 4 คน หน้าเก่าตอนทริปดอกไม้บานที่เชียงใหม่และไปชมต้นสตรอเบอรี่ที่สะเมิงเมื่อปลายปีก่อน…พี่ขวัญ พี่เบียร์ เฮียหัวโต และอั้ว แต่เปลี่ยนชื่อแก๊งค์ไปเรื่อยๆ หนีตำรวจ ทั้งที่สมาชิกนี่หน้าเดิมๆนี่แหล่ะ …แก๊งค์สต๊าฟโค้ช…แก๊งค์ทาสวัตถุ …แก๊งค์มอลลัสกา… คือมีแต่เปลือกเอาไว้อวดชาวบ้าน) ไปไหว้เจดีย์ภูเขาทองกันที่วัดภูเขาทองและจบทริปด้วยการนั่งแท็กซี่ไปหาของกินที่ย่านคนรวย ตรงสถานีรถไฟฟ้าอารีย์ น้ำแก้วละร้อยสองร้อยเอง (สมฐานะมากๆ) จนขากลับต้องรอโบกรถเมล์ฟรีมาที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ(สมฐานะมากกว่า) กลับท่ารถตู้มหาชัย (สำหรับทริปล่าสุดอั้วนี้เป็นทริปต่อเนื่องจากทริปภูเขาทอง และคำว่า “ลุงแท็กซี่อารีย์”จะติดปากเพื่อนร่วมทริปของอั้วตลอด)

“ฝนจะตกแล้วนะครับ” เสียงพนักงานบริการที่บริษัทรถทัวร์บอกผู้โดยสาร หลังจากที่อั้วเพิ่งงัวเงียและเดินลงจากรถพร้อมอาตี๋อาหมวยอาม่าอาโกคนอื่นๆที่มาจากอุบลด้วยกัน (ทำไมไม่ใช้คำว่าพี่น้องลุงป้าน้าอาเนี่ย …ก็จะได้เข้าๆกันกับอั้วๆซะหน่อยมิได้รึ)

“ไม่ทันแล้วจ้า ฝนตกหนักยังกะฟ้าจะรั่วแน่ะ แถมฟ้าร้องฟ้าแลบจนสว่างวาบไปหมด” อั้วบ่นอุบอิบคนเดียว
“ ทริปฟ้ารั่วนี่จะไหวมั้ยหว่า วันอื่นๆมีตั้งหลายวันเยอะแยะทำไมไม่ตกเนี่ย ตกวันที่อั้วมาเที่ยวต่างจังหวัดเนี่ยน่ะ” อั้วก็บ่นๆไปงั้นแหล่ะ ก็มันหน้าฝนนี่นะ ฝนไม่ตกก็กระไรอยู่ ดีแล้วแหล่ะที่แค่ฝนตก
… เพราะก่อนหน้านี้ …
“ทรงผมใหม่ สวยนะ จะไปเที่ยวไหน” น้องบุ๋มน้องที่ทำงานแซว (แซวกลางวงข้าวกลางวันกะจะให้อั้วเขินแล้วกินน้อยๆใช่มั้ยล่ะ เสียใจเน้อยิ่งเขินยิ่งกิน)

“จะไปเป็นแบบพรอตเทรตให้เลนส์เทเลซะหน่อย กลัวงามไม่สมเลนส์ใหม่พี่เบียร์ อิอิ” อั้วตอบด้วยน้ำเสียงชวนหมั่นไส้ แถมยักคิ้วหลิ่วตาให้

“ขอให้ฝนตกหนัก พายุเข้า” ยัยหนูดีอวยพรกลางวงส้มตำสำหรับทริปนี้ของอั้ว …ด้วยน้ำเสียงอิจฉาสุดฤทธิ์
“หิมะตกด้วยเลยล่ะกัน” น้องบุ๋มโพล่งออกมาแบบไม่เสียเวลาคิด

“เอ่อ คุณเพื่อนคะ จริงใจไปมั้ยพวกสูเนี่ย เอาใจช่วยอั้วเหลือเกิน เมืองไทยหิมะไม่ตกหรอก” อั้วตอบแบบนางเอก

ตอนฝนตกเหมือนฟ้าจะถล่มที่กรุงเทพอั้วเลยนึกถึงคำสาปแช่งของเพื่อนที่ทำงานขึ้นมา ก็แหม นะ ฝนมันตกที่กรุงเทพนี่เนอะ ที่ที่อั้วไปอาจจะไม่ตกแล้วก็ได้ (ที่ที่อั้วจะไปฝนไม่ตกแต่หิมะจะตกแทน ฮ่าๆๆ) หรือถ้าฝนตกหนักจริงๆก็อาจจะเปลี่ยนแผนกะทันหันก็ได้

“ถึงขั้นนี้แล้ว เปลี่ยนที่นอนกลางวันเฉยๆก็ได้” อั้วปลอบใจตัวเอง

อั้วอยู่ได้ทั้งนั้นแหล่ะกับเฮีย ทั้งในวันที่ “ฟ้าฝนเป็นใจ” หรือวันที่ “ฝนฟ้าไม่เป็นใจ” ก็เพื่อนรักอั้วทั้งคนนี่นา อยู่ที่ไหนก็ได้ สถานที่ไม่จำเป็นแล้วล่ะตอนนี้ (ก็ฝนมันตกนี่)

“เฮีย อรุณสวัสดิ์ ตอนนี้อั้วอยู่บนทางด่วน อีกประมาณครึ่งชั่วโมงมารับอั้วได้เลย” อั้วต้องโทรแจ้งเพื่อนซะหน่อยว่าใกล้ถึงแล้วนะ อย่ามัวแต่นอนฝันหวาน
“ฝนตกม่ะ ที่นั่น” ไม่ลืมฝากคำถามสำคัญ ที่อั้วกลัวคำตอบชะมัดเลย

“ฝนตกด้วยเหรอ อั้วไม่เห็นรู้เรื่อง แต่ตอนนี้ไม่ตกนะเฮีย อาจจะตกตอนกลางดึก แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ” โอ้ววว จ๊อดดดด “ฝนตกไม่ทั่วฟ้า” เป็นแบบนี้นี่เอง

และอั้วก็มารู้ทีหลังจากพี่เจ้าของร้านสปาที่อั้วไปนอนหัวโยก(เฝ้าเฮียหัวโตทำสปา)ว่าที่นั่นฝนตกแต่ตกตอนตีสามไม่ใช่ตอนเช้าแบบที่กรุงเทพ ก็เพราะฝนฟ้าอากาศเป็นเรื่องธรรมชาติเหนือการควบคุมของอั้ว อั้วทำได้ดีสุดก็แค่ควบคุมใจอย่าให้หวั่นไหวไปกับฝนฟ้าอากาศดีสุด (แล้วเคยทำได้บ้างมั้ยล่ะ…ก็มีทำได้บ้าง)

06.59 น. เพื่อนรักของอั้วก็พา “น้องฤกษ์ดี” มาจอดเทียบฟุตบาท แถมยืดอกบอกอั้วด้วยความภูมิใจ “ตรงเวลาเป๊ะๆ ยังไม่เจ็ดโมงเลย” ก็อั้วบอกเมื่อสองวันก่อนว่าไปถึงประมาณเจ็ดโมงนะ ที่เก่าเวลาเดิม

“โทรไปหาป้าขวัญดีม่ะ จะได้แวะรับด้วย” ลับหลังแอบเรียก “ป้าขวัญ” แบบเนียนๆ (พวกลื้อทั้งสองก็วัยใกล้พี่เค้าน่ะแหล่ะ ไปเรียกคนอื่นว่าป้าอยู่ได้)

“ พี่ขวัญ กุมาถึงแล้ว เอมารับแล้วด้วยจะให้แวะไปรับมั้ยคะ” ต่อหน้าต้องใช้คำว่า ”พี่ขวัญ”
“ไม่เป็นไรจ้า พี่ว่าจะไปถวายสังฑทานก่อนไปวัด เผื่อถือไปด้วยแล้วไม่สะดวก” ไม่สะดวกของเจ้นี่อาจจะหมายถึง ที่พี่เบียร์บอกว่าเอาไปไม พี่ขวัญเลยว่า “ไม่มีมาร บารมีไม่เกิด” สองเจ้นี่จริงใจต่อกันน่าคบหาสมาคม หรือว่า “เราตัดทริปวัดออกไม่ได้เหรอ แต่งตัวยากว่ะ” อั้วเพิ่งมารู้ทีหลังว่า ไอ้ที่แต่งตัวยากนี่หมายความว่ายังไง หลังจากที่เจอหน้า “พี่เบียร์” ญาติอีกคนหนึ่งของอั้วแล้ว

ก็เพราะ “ทริปธรรมะ” ครั้งนี้นอกจากพี่เบียร์ จะอุบอิบว่าแต่งตัวยากอ่ะ ทำตัวไม่ถูกแถมวัดนี้ “ลุงแท็กซี่อารีย์” ยังบอกไว้ว่าดีมาก ว่างๆแกก็จะขับรถมาถึงนี่ไม่ไกลเลย อยู่พุทธมณทลสาย 4 เป็นวัดปฏิบัติ ไปด้วยใจ และไม่มีการเรี่ยไรเก็บเงิน ไม่มีตู้รับบริจาค แต่มีหนังสือธรรมะ “แจกฟรี” (สงสัยเพราะเหตุผลอันหลังนี่ล่ะที่ทำให้มีทริปนี้เกิดขึ้น)

อั้วไม่อยากเป็นกบในกะลาครอบ ถ้า “ลุงแท็กซี่อารีย์” บอกว่า “ดี” อั้วและเพื่อนๆก็ควรแวะไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง ตามหลักพระพุทธศาสนากาลามสูตร อย่าเชื่อเพราะได้ยินเขาบอกมาว่า “ดี”

“ล้อหมุนกี่โมงดี พี่เอ” พี่เบียร์มักจะเรียกเฮียหัวโตว่า “พี่เอ” ตามน้องๆลิ่วล้อที่ห้องยาเรียกกัน
“เก้าโมงดีมะ แวะกินเกาเหลาเลือดหมูร้านดังออกรายการทีวีด้วย”
“แปดโมงดีกว่า เก้าโมงสายไป” พอพูดถึงเรื่องกินนี่เก้าโมงถือว่าสายเลยนะเจ้

อั้วกับเฮียหัวโตก็ต้องกลับมาตั้งหลักเตรียม “ทริปธรรมะ” นี่เหมือนกัน ขนาดเป้ของอั้วยังแน่นผิดปกติ ก็ไม่รู้ว่าจะแต่งตัวยังไงดี ทำตัวไม่ถูก เลยยัดๆเสื้อผ้ามาแบบมั่วๆเหมือนกัน (สุดท้ายอั้วก็แต่งตัวเป็นกุมารทองเหมือนนุ่งโจงกระเบนไปเรียนรำไทยซะงั้น ก็มันทำตัวไม่ถูกนี่นา ไม่ชิน)

“เฮียมาแค่สองวัน ทำไมเป้มันดูเต็มๆกว่าทุกครั้งเนี่ย” เฮียหัวโตว่าให้เป้อั้ว …ว่าให้อั้วซะเมื่อไหร่ล่ะ เป็นความผิดของเป้…

“ก็อั้วไม่รู้ว่าจะต้องแต่งตัวยังไงนี่นา เอามาไม่ถูก” อั้วตอบๆไป อย่างน้อยก็เอาเสื้อสีขาวมาสักสองตัวเผื่ออีกตัวไม่เข้าท่า (เผื่อติดพุงยัดไม่เข้า)

สรุปว่าอั้วกับเฮียหัวโตใส่เสื้อสีขาวสะอาด (แต่มีลายสีหลายเฉดยังกับกล้องแคนนอนรุ่นใหม่ ก็อั้วเป็นสาวกค่ายหนอนนี่นา) พี่เบียร์กับพี่ขวัญเหมือนนัดกันยังไงยังงั้น ใส่เสื้อสีดำทั้งคู่ เหมือนบอกกลายๆว่า ”ธรรมะกับอธรรม” ทั้งที่ความจริง จะเป็น “อธรรม” ทั้งหมดก็เหอะ

“ทำไมหน้าตายูเป็นแบบนี้” เฮียหัวโตถามพี่เบียร์แบบห่วงๆ คนที่ผ่านการชุปตัวจากเมืองนอกเมืองนามาเขาใช้ไทยคำอังกฤษคำก็ไม่น่าเกลียด “ กุ !!ยูน่ะเยอะ” บางเฮียหัวโตก็ว่าให้อั้วแบบนี้

“มะคืนนอนตีสาม กาแฟ “ดีด” และก็มัวแต่รื้อๆตู้เสื้อผ้า เอากระโปรง ชุดเดรส ชุดแสก มาลองทั้งคืน เพราะว่าจะไปวัด เลยไม่รู้ว่าจะต้องแต่งตัวยังไง” พี่เบียร์ตอบเข้าให้ และดูหลักฐานได้จากรูปพี่เบียร์ที่หน้าตาดู “อ่อนโยน” มากกว่าปกติทุกรูป

หรือว่าการไปวัดนี่อาจจะไม่ถูกจริตกับพวกทาสวัตถุพวกมอลลัสกา ที่มีแต่เปลือก โชว์รวย โชว์ห่วย อย่างพวกอั้ว เอาน่า วันนี้วันดี อากาศก็ “เป็นใจ” ถึงแม้เพื่อนร่วมทริปเราจะเกร็งๆกันบ้าง แต่ก็ถือว่าเริ่มต้นด้วยดี ตั้งแต่จิตคิดจะเข้าวัดแล้ว แค่คิดก็ได้บุญแล้ว
เผื่อสถานที่ที่ไปจะเหมาะเหม็งกับการมี “น้องดาวเสาร์” เพื่อเก็บรูปสวยๆมาฝาก “ญาติธรรม” คนอื่นๆบ้าง

หลังแวะรับเพื่อนร่วมทริปทุกคนเราก็มุ่งตรงไปที่ “ สาย 4” เพราะคราวนี้กินเที่ยวไหว้พระทำบุญถ่ายรูปก็อยู่ที่ “สาย 4 ” นี่แหล่ะ (พอตอนเย็นไปกินข้าวกะ บอสน้อย “มะดะ” มะดะมันก็ถามอั้วว่าไปไหนกันมาบ้าง อั้วก็แค่ตอบสั้นๆว่า ”สาย4” เฮียหัวโตเลยบอกว่า “มิน่า ถามอั้วตลอดว่า ถนนเส้นนี้ชื่ออะไร อั้วก็อธิบายยืดยาวซะเยอะ เอามาใช้ประโยชน์แบบนี้เองรึ” ) และไม่ลืมที่จะแวะกินข้าวเช้าเพิ่มพลัง เกาเหลาเลือดหมู2 ข้าวขาหมู2 ข้าวเปล่า2 ไข่ตุ๋นแสนอร่อย2 โอเลี้ยง3 ชาดำ1 และหมูเต๊ะ 10 ไม้ต่อ 4 คน

และตอบเก็บเงิน เฮียหัวโตก็พูดกับเด็กเดินโต๊ะเก็บเงินว่า

“มีไม้หมูเต๊ะ ที่จานกุอยู่ 4 อันแน่ะ” ก็อั้วรู้นี่นาว่ามื้อนี่น่ะ กินเท่าไหร่จ่ายเท่ากัน (ลืมแบ่งไม้ไปให้จานพี่ขวัญอีก 2 อัน จะได้ไม่น่าเกลียด)

“เราไม่แวะไปดูแปลงเพาะพันธุ์พืชเหรอ จะได้ที่เที่ยวแบบใหม่ๆ” ทันที่ที่เหลือบเห็นป้ายเกี่ยวกับการเพาะขยายพันธุ์อะไรสักอย่าง พี่เบียร์ยังไม่เลิกชักจูงเปลี่ยนแผน “ตัดไปวัดออกดีม่ะ” ทั้งๆที่จะถึงทางเข้าวัดอยู่แล้ว

ทางเข้าวัดร่มรื่นมาก เป็นถนนแคบๆ พอขับสวนกันได้ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ ดูสงบและสดชื่นมาก จนอั้วต้องยก “น้องดาวเสาร์” มากดชัตเตอร์ระเบิดซูมเล่นๆ ความจริงก็แค่รถมันวิ่งเร็วภาพที่ได้เลยสั่นไหวเยอะไปหน่อยแค่นั้นเอง พูดไปงั้นแหล่ะว่าระเบิดซูม ถ่ายไปก็อวดรูปไป (กิเลสมันเยอะจริงๆจะเข้าวัดแล้วยังไม่วาย)

พอเจอทางเข้าวัดจริงๆก่อนจะเจอทางเข้าวัด เฮียหัวโตก็ตาไวมองเห็นพ่อค้าวาง”วัตถุ” กระเป๋าสานขายอยู่ข้างทาง

“ขากลับค่อยแวะก็ได้เฮีย” อั้วรีบบอก (ช่วยเพื่อนระงับกิเลส ถือเป็นบุญ ทีของตัวนี่ระงับยากเหลือเกินนะ)

ถึงแล้ว “วัดญาณเวศกวัน” เพื่อนอั้วขับเลยทางเข้าวัดซะงั้น และก็ต้องกลับรถโดยด่วน จนลุงคนขับมอไซต์ตามหลังจอดหลบภัยแทบไม่ทัน (แต่เพื่อนอั้วขับรถดีมีน้ำใจมีประสบการณ์ยาวนาน เคารพกฎตลอด แค่ครั้งนี้พลาดขับเลยทางเข้าวัดเฉยๆ)

“รู้มั้ยชั้นใคร ชั้นเอย่านะ ชั้นเอย่าไม่เคยพลาด ” พี่เบียร์ยังพูดจาให้กำลังใจได้ไพเราะเสียงดังเหมือนเดิมเพราะตอนนี้ยังไม่เข้าเขตวัด

พอวนรถได้ก็ขับเข้าไปในเขตวัด
“เราไปตรงไหนกันก่อนดีอ่ะ แล้วเราจอดรถที่ไหน อะไรยังไง เมื่อไหร่ ที่นี่ที่ไหน ชั้นคือคราย” ทุกคนรัวคำถามแบบไม่ต้องรอคนตอบ เพราะถึงรอก็ไม่มีใครมาตอบได้

ดูจากสภาพที่สงบมากภายในวัดที่ร่มรื่น เต็มไปด้วยต้นไม้หลากพันธุ์และรถหลากยี่ห้อที่ราคาหลายล้านสมฐานะคนขับ บ่งบอกว่าวัดนี้มีคนรวยมาปฏิบัติเยอะเลย แม้แต่หมาก็ยังดูดีสมเป็นหมาคนรวย
“หมาคนรวย” พี่เบียร์บอก
“เรียกสุนัขค่ะ เดี๋ยวจะไม่สุภาพ มาที่นี่เราต้องสำรวมนะคะ” อั้วบอกพี่เบียร์ ซึ่งเจ้ก็เอออรับคำเรียกสุนัขตามอยู่หลายที

อั้วและเพื่อนร่วมทริปกำลังคิดว่าจะทำตัวยังไงดี ระหว่างเฮียหัวโตขับรถไป ผ่านศาลาลากลางป่าซึ่งในนั้นเต็มไปด้วย “ญาติธรรม” นั่งสมาธิ สวดมนต์ เดินจงกรม และบำเพ็ญเพียรด้วยอาการสงบ น่าเลื่อมใส นอกศาลาข้างพุ่มไม้ อั้วก็เหลือบไป “ญาติธรรม” ผู้หญิงวัยน่าจะสี่สิบคนหนึ่งเดินจงกรม วนรอบพุ่มไม้และก้าวย่างเท้าอย่างสงบบนพรมผืนหญ้าที่น่าจะนุ่มเท้าดี

“เราไปที่ห้องสมุด ไปนั่งอ่านหนังสือธรรมะ นั่งๆนอนๆเล่นที่นั่น ที่ตรงทางก่อนถึงวัดนี่ดีม่ะ” พี่ขวัญ คนที่ชิงไปถวายสังฑทาน ได้บุญคนเดียวไปแล้วมะเช้ารีบบอกน้องๆที่ทำท่าจะ “หลงทาง” เพราะดูจากสภาพแล้วพวกเราไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อถือศีลปฏิบัติธรรม เดินจงกรม เหมือนที่ “ญาติธรรม” ที่เราได้พบเจอและทำให้เรายำเกรงในรัศมีเงาบุญ จน “ทาสวัตถุ” ทั้งหลายสะบัดร้อนสะบัดหนาวไปตามๆกัน

“ทางไปห้องสมุดมีที่จอดรถมั้ยคะ และก็ออกไปทางไหนเหรอคะ” คนขับรถของทริปเรา แสดงอาการว่าเห็นด้วยกับคำพูดของพี่ขวัญโดยการถามทางกับพี่ยามหลังวัดซะเลย

ในที่สุดพวกอั้วก็มา “รับดวงตา” ที่ห้องสมุดธรรมสมาธิ เพราะที่นี่ “แจกดวงตา” ที่นี่เป็น “อุทยานแห่งธรรม” ที่ได้รับการจัดแต่งสวนและการดูแลรักษาอย่างดี มีสวนญี่ปุ่น สวนหิน สวนไม้ และปลูกต้นไม้อย่างสวยงาม มีศาลาให้ได้พักผ่อนหย่อนใจและให้ซาบซึ้งในพระธรรมคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์หลายท่าน มีการเขียนคำสอนตามไม้แปะๆตามสวน

ซึ่งอั้วและ “ทาสวัตถุ” คนอื่นๆได้เดินไปถ่ายรูปไปได้ ได้เป็นแบบพรอตเทรตให้เลนส์เทเลของพี่เบียร์ เป็นที่ที่พี่ขวัญ สามารถแชต “บีบี” ตลอดเวลาแบบไม่ต้องเกรงใจคนเดินจงกรมอีกต่อไป (ต่อให้พี่ขวัญจะพรางตัวยังไง ทำสีผมเจิศจ้า ทำทรงผมสั้นกุดแค่ไหน พวกอั้วก็จำได้เพราะจำท่าแชตบีบีของเจ้ได้)

ถ้ายังซึ้งจาก “ธรรมะ”ในสวนไม่พอ เราสามารถแวะนั่งเล่นที่ศาลาไม้หรือศาลาปูนเปลือยที่เย็นสบายนั่งอ่านหนังสือธรรมะของพระอาจารย์ชื่อดังทั่วประเทศ สรุปว่า ที่แห่งนี้ “ถูกจริต” กับพวกอั้วที่สุดแล้ว เพราะเราควรที่จะรู้ตัวเองว่าตัวเราเหมาะกับสถานที่แบบไหนที่จะอยู่ได้แบบเป็นตัวของตัวเองและมีความสุขแบบไม่รบกวนคนอื่น (ต้องรู้ตัวเองซึ่งมีคำสอนหนึ่งที่ “โดน” บอกว่า “กูรู้หมดทุกอย่าง ยกเว้นตัวกู”)

“เดี๋ยววันหลังมาอีกดีกว่า ใกล้ๆแค่นี้เอง บรรยากาศก็ดี มีคลองน้ำ และสวนสวย น่ามาพักผ่อนเล่น” เฮียหัวโตพูดก่อนกลับ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ถ่ายรูปกันจนสาแก่ใจ และได้รูปหมู่ครบ 4 คนมาด้วย จากการตั้งกล้องทั้งของ “น้องดาวเสาร์” ของอั้ว และ ของสมุนพี่เบียร์ วัตถุชิ้นใหม่ของเจ้ดีสมราคาจริงๆ(55-250 IS ในราคาห้าพัน อุบอิบแหล่งไว้ก่อนว่าซื้อมาจากที่ไหน)

ถือเป็นการปิดทริปที่งดงามน่าประทับใจเลยทีเดียว ภาคต่อของทริปภุเขาทอง และก็ยังนึกขอบคุณ “ลุงแท็กซี่อารีย์” อยู่เสมอ และขากลับเฮียหัวโตก็ได้แวะซื้อ “วัตถุ”ที่วางขายข้างทางจนได้ พร้อมๆไปหาสารน้ำกินแถวหน้า ม. มหิดล ศาลายา ก่อนกลับ พอบอสน้อยมะดะถามว่าไปไหนมาบ้างอั้วก็ ตอบสั้นๆแค่ “สาย4” ก็พอ

ถึงตอนนี้อั้วก็ตอบคำถามที่ใครๆชอบถามอั้วได้แล้วสินะว่า “เดินทางบ่อยๆไม่เหนื่อยเหรอ”

“เหนื่อยสิ แต่เหนื่อยมันก็หายได้นี่นา แล้วอีกอย่างกลับจากเที่ยวทีไรอั้วก็ลาพักร้อนนอนตลอดแหล่ะ” (ไมได้รบกวนเวลาทำงานซะหน่อย ไม่ได้ไปเหนื่อยเพลียในเวลางานนี่นา พูดซะดูดีเชียวนะ)

อั้วไม่เหนื่อยหรอก ก็ไปเยี่ยมญาติ ก็ไปเยี่ยมเฮียหัวโต

“เพื่อน” คนที่อั้วรักมากที่สุด

“เพื่อน” คนที่อ่านหนังสือเล่มเดียวกันคือเรื่อง “กล่องไปรษณีย์สีแดง”

“เพื่อน” คนที่ดูหนังเรื่องเดียวกัน คือหนังเรื่อง “เพื่อนสนิท”

“เพื่อน” คนที่รู้ว่าอั้วไม่ชอบการข้ามถนนและเอามือซ้ายของตัวเองมาจับมือขวาของอั้วเมื่อรถวิ่งมาทางขวามือของอั้ว

“เพื่อน” คนที่เบี่ยงตัวมาอยู่ข้างซ้ายแล้วเอามือขวาของตัวเองมาจับมือซ้ายอั้วไว้ในคราวที่ข้ามถนนไปครึ่งเลนแล้วรถอีกเลยหนึ่งวิ่งมาจากทางซ้าย(บังรถให้)

“เพื่อน” คนนี้ของอั้ว “เจ๋ง” มั้ยล่ะ และก็ทำทุกครั้งที่ข้ามถนนด้วยกัน
ใครล่ะจะมี “เพื่อน” แบบที่อั้วมีบ้าง

“เพื่อน” คนที่มารับอั้วไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันที่คณะเพราะอั้วดันโดดเรียนภาคเช้าเพราะตอนกลางคืนเสพสื่อเกินขนาดโดยไม่บ่นไม่ด่าว่าให้อั้วสักคำ(งานถนัดอั้วล่ะที่ทำให้ชาวบ้านยุ่งยากด้วยเนี่ย)

“เพื่อน” คนที่ใครๆต้องถามเมื่อไม่ได้ไปด้วยกัน “คุณกุไปไหน” และเมื่อเจออั้วไปคนเดียว “ คุณเอไปไหน” เมื่อเจอเฮียคนเดียว (ก็เฮียน่ะ เรียนดี กิจกรรมเด่น แต่อั้วหน้าตาดีกว่า จะให้อั้วไปด้วยตลอดเวลาก็เมื่อยตายดิ แถมจะดับเอาง่ายๆเดี๋ยวงานราษฎร์งานหลวงเข้าเต็มไปหมด เดี๋ยวซ้อมหลีด เดี๋ยวซ้อมเทคนิคเชียร์ เดี๋ยวหารายได้เข้าสโม อั้วก็ทำได้ดีสุดแค่ไปรับเฮียตอนประชุมสโมเสร็จ ส่งข้าวส่งน้ำตอนทำแล็บก็พอแล้ว แถมบางทีตัวไร้ประโยชน์แบบอั้วก็ถูกเฮียเอามาใช้เป็นข้ออ้างเวลาอยากอู้ แล้วจะเอาอั้วไปอ้างกับเพื่อนไมนิ )

“เพื่อน” คนที่กัดหนมโตเกียวไส้ครีมแล้วบอกว่าอร่อยเลยเอาอีกข้างที่ยังไม่กัดให้อั้วกิน (แต่อั้วต้องรับผิดชอบไส้เผือกอีกอันนะ ของดีต้องแบ่งให้คนที่เรารักได้กินด้วยนะ กินคนเดียวไม่อร่อย)

“เพื่อน” คนที่บอกอั้วว่าไทลินิลเฉยๆไม่พอ อั้วต้องใช้ไทลินอล 8 Hour ก่อนนอน พร้อมยื่นให้หมดแผง (คอยหยิบยื่นสิ่งที่คิดว่าดีกว่าให้แก่กัน)

“เพื่อน” คนที่ดูดชาเขียวแล้วบอกว่าอร่อย แล้วก็ยื่นหลอดให้อั้วดูดด้วยโดยไม่ต้องเช็ดหรือตัดหลอดออก (อั้วตัดหลอดตอนกินน้ำแก้วเดียวกะพี่อ้วน อั้วโดนเขกหัวเลย ก็รังเกียจอ่ะ แต่พี่อ้วนก็กินเผือกทอดที่อั้วกัดไปแล้วครึ่งชิ้นต่อจากอั้วได้ พี่เป้เลยว่า “น้องเมไม่รังเกียจกุเหรอ”)

“เพื่อน” คนที่มีมือไว้ดูแลและชักจูงสิ่งดีให้เพื่อน (เฮียหัวโตเรียนเก่งอ่ะ พาอั้วเข้าแก๊งค์ติวแต่อั้วก็ชอบชิ่งมาดูละครน้ำเน่าก่อนสอบตลอดๆ)

“เพื่อน” คนที่สละถุงเท้าให้อั้วใส่เมื่อรู้ว่าอั้วหนาวและไม่สบาย( แถมบอกว่าอะดิดาสของแท้เลยนะ ยังอวดเปลือกไม่เลิก)

“เพื่อน” คนที่จะห่มผ้าให้เมื่ออั้วหนาวตอนนอนกลางวันตัวขดตากแอร์

“ เพื่อน” คนที่ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ในวันที่อั้วเหงื่อตก (อั้วมีอะไรเป็นของตัวเองบ้างเนี่ย)

“เพื่อน” คนที่ครั้งหนึ่งเคยมีวันที่ “ฟ้าไม่เป็นใจ” และเป็นวันที่มี “ฝนในใจ” และอั้วก็เป็นคนแรกที่มันนึกถึง และอั้วก็ว่า “กอดอั้วร้องไห้ได้เลย” “โทรหาอั้วได้ตลอด 24 ชม” และอั้วก็เยอะได้ต่อด้วยการ “ให้อั้วไปหาตอนนี้เลยดีกว่า”

“ เพื่อน” คนที่มันบอกว่า “วันที่แย่ที่สุด” แต่ “สิ่งที่มีค่าที่สุด” คือหนังสือเล่มหนึ่งที่อั้วเคยเอาให้มันไว้อ่านแล้วนึกสนุกๆเลยเขียนคำขยุกขยุยลงทุกหน้าของหนังสือ

“เพื่อน” คนที่ซวยพร้อมกับกับอั้วเพราะโดนผู้ชายตึกตรงข้ามบอกด้วยสายตาว่า”ผู้หญิงโรคจิต” เพราะก่อนหน้านี้ยัยฝ้ายกะยัยน้องแหม่ม แอบมาเหล่หนุ่มไว้แล้วชิ่ง อั้วกะเฮียหัวโตไม่รู้เรื่องเดินไประเบียงเลย “โดน” ในฐานะเจ้าของห้อง

“ เพื่อน” คนที่อั้วสามารถเขียนจดหมายด้วยลายมือส่งไปรษณีย์ได้สัปดาห์ละหนึ่งฉบับ ส่งไปให้มันอ่านเล่นๆ “แก้เครียด”
คนไรชอบเครียดเวลามีงานเยอะๆ(ใครเขาก็เป็นมิใช่รึ หรือว่าอั้วไม่เคย ไม่มีงานมีการทำกะชาวบ้านเขาหรือไง)

และก็ไม่ต้องแปลกใจไปหรอกว่าทำไมอั้วถึงมี กัลยาณมิตร ได้ขนาดนี้ ก็เพราะว่าอั้ว “มีดี” น่ะสิ เฮียหัวโตบอกบ่อย “ลื้อน่ะอะไรๆก็ดี แถมปากก็ดีด้วย” ชมแบบนี้อั้วก็เขินสิ (แน่ใจรึว่าโดนชมอยู่น่ะ)

การเป็นคนดีเท่านี้ยังไม่พอ เราจะต้องมี “เพื่อนดี” คบหาสมาคมไว้ จะได้ไม่ชักจูงไปสู่ “ทางเสื่อม” ถึงตอนไหนที่ใครสักคนหลงก็คอยเตือนคอยให้สติ คอยทำหน้าที่ของเพื่อนทั้งวันที่ “ฟ้าเป็นใจ” หรือวันที่ “ฟ้าไม่เป็นใจ”

“กัลยาณมิตร” มี 4 ประการ คือ มิตรอุปการะ มิตรร่วมทุกข์ร่วมสุข มิตรแนะนำผลประโยชน์ และมิตรมีใจรัก มีผู้รู้บอกว่าการมีกัลยาณมิตรนี่หมายถึงการมีแสงเงินแสงทองที่ดีงามในชีวิต อย่างตอนเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นจะมีแสงเงินแสงทองขึ้นถ้าใครมีกัลยาณมิตรเขาว่าชีวิตจะมีแต่สิ่งดีงามเหมือนกัน

เพราะว่าเพื่อนสนิทของอั้วมิใช่แค่คนที่ควรรู้ว่าเวลาจะสั่งเมนูอาหารจะต้องสั่งรายการที่ไม่มีมายองเนส กะปิ ซอสพริก ซอสมะเขือเทศ น้ำสลัด และอาหารทีมีรสเปรี้ยวเกินไป รวมถึงผลไม้สระอีที่มีรสเปรี้ยว สตรอเบอรี่ ลิ้นจี่ แต่แตงมี(แตงโม) ลำยี(ลำไย) นี่กินได้

“ลื้อนี่สมควรขาดสารอาหาร เน้นว่าสารอาหารที่มีประโยชน์ กินไอ้นั่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้ ขนาดกินได้บางอย่างยังอ้วนได้ขนาดนี้เนี่ย” เฮียหัวโตสรรเสริญเยินยออั้วเข้าให้
“ก็นั่นน่ะสิ กินแต่อาหารไม่มีประโยชน์” อั้วยอมรับก็ได้ว่าช่างเลือกกิน

แต่เพื่อนสนิทของอั้วควรต้องรู้ด้วยว่าเวลา “เครียดหรือทุกข์” แล้วสามารถมากอดอั้วแน่นๆให้อั้วกอดตอบและจะหายเครียดได้เพราะอั้วได้รับเอาความเครียดความทุกข์ของเพื่อนมาไว้กับตัวเองแล้วเรียบร้อย จากอ้อมกอดวิเศษอันนั้นแหล่ะ

“ช่วงนี้ อั้วเครียดกะงานน่ะ” เฮียหัวโตบอกกับอั้วตอนที่พาน้อง “ฤกษ์ดี” มาส่งอั้วที่ท่ารถ มันเป็นแคมเปญหนึ่งของมาสด้าสามด้วยนอกจากพาเที่ยวแล้วยังต้องส่งกลับให้ถูกที่ด้วย

“โอเค งั้นดูแลตัวเองดีๆ เดี๋ยวเจอกันใหม่ ส่งอั้วแค่นี้ล่ะ” ไม่พูดเปล่า อั้วยังแถมกอดแน่นๆนานๆฟรีๆให้เพื่อนรักไปด้วย ก็อั้ว “มีดี” ที่ไม่ต้องซื้อหาในราคาแพงเท่า “วัตถุ”

แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าชาวบ้านร้านตลาดมหาชัยจะเห็นภาพนั้นแล้วคิดเลยเถิดเป็นอย่างอื่นหรือป่าว ก็ช่างสิ อั้วไม่ใช่คนแถวนั้นซะหน่อย ถ้าเรตติ้งจะตกก็ของเฮียหัวโตไม่ใช่ของอั้วซะหน่อย อั้วก็กลับมาโปรยเสน่ห์กับ “ความสุขระยะใกล้” ของอั้วต่อ


“ความสุขระยะไกล” ของอั้วก็มีอยู่ตลอดเวลาน่ะแหล่ะ เพราะอั้วไม่ได้จะคิดทิ้งใครไว้เบื้องหลังสักคน ครอบครัว เพื่อน และคนดีๆในชีวิต แม้บางคนจะไม่ได้เจอก็ยังคิดถึงกันเสมอ ระยะทางจะเป็นแค่ตัวเลขเหมือนอายุหรือป่าวอั้วก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่การไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลานี่ทำให้ “ความคิดถึง” ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ และชวนให้นึกถึงวันดีๆที่ผ่านมาจนแทบจำไม่ได้เลยว่า อั้วกับเพื่อนก็เคยมี “วันแย่ๆ” ด้วยเหมือนกัน มิใช่แค่ “วันดีๆ” แต่ถึงตอนนี้อั้วก็จำวันแย่ๆไม่ได้แล้วด้วย
ปล. ทริปนี้ ขอขอบคุณเหล่าญาติทาสวัตถุทั้งหลาย “พี่เบียร์” ที่แนะนำสื่อที่ตรงกับจริตของอั้วให้เสพอยู่เสมอ “พี่ขวัญ” ญาติธรรมที่น่าคบหา “คุณโอ” ที่เลี้ยงเตี๋ยวมื้อเที่ยงในวันจะที่กลับ ป้ามด ยัย “มะดะ” บอสน้อยที่พาอั้วไปหายาแก้ไออย่างแรง และขอบคุณปลาทูมหาชัยที่ทำให้อั้วอิ่มท้องมื้อเย็นอันอบอุ่นท่ามกลางญาติในวันแรก สุดยอดความลับ ก่อนอั้วกลับตบท้ายทริปด้วยการแวะไปตรวจดวงชะตา(แต่เรื่องนี้ออกสื่อไม่ได้ใช่มั้ยเฮียหัวโตและก็คุณโอ นึกว่าจะเลิกงมงายได้แล้วซะอีกแน่ะ ความจริงนี่คือ ไฮไลท์ ของทริปนี้เลยนะ)




--------- @ ---------- @ ----------- @ ----------




โลกกุหลาบ คือ โลกของคุณกุหลาบ ที่ใช้คำแทนตัวเองว่าอั้ว ไม่ใช่ลูกจีนแต่มีตาแค่ชั้นเดียว ไม่ใช่มาเฟีย แต่ก็เป็น “ขาใหญ่ ” พอตัวเหมือนกัน


เรื่องเล่าของสาวคิดบวก.. น้องสาว..คนนี้..

สำนวน..ชวนหัวร่อ... ยากเกินที่จะเก็บเอาไว้ดูคนเดียว...

เลยทำสนธิสัญญากันเล็ก ๆ .. ว่าจะเอาลง blog ของพี่สาว..

ยังมีสาส์นฮา ๆ ของน้องสาวกุหลาบอีกหลายฉบับ

จะทะยอยนำมาให้ได้บริหารลักยิ้่ม..











Create Date : 10 กรกฎาคม 2554
Last Update : 15 เมษายน 2558 21:15:07 น. 9 comments
Counter : 2250 Pageviews.

 
ไม่ใช่มาเฟีย... แต่ขาใหญ่เหมือนกันค่ะ

สำนวนอ่านแล้วฮาจริง ๆ ด้วย

อ่านแล้วมีความสุขจังค่ะ...สำนวนน้องสาวกุุหลาบ


^^


โดย: โสดในซอย วันที่: 10 กรกฎาคม 2554 เวลา:10:20:36 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับพี่ปุ้งกี๋

ชอบคำว่า "ความสุขระยะไกล" นี่ล่ะครับ










โดย: กะว่าก๋า วันที่: 11 กรกฎาคม 2554 เวลา:6:12:27 น.  

 


ดอกเทียนหยดรึเปล่าครับพี่
สวยจังเลยครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 11 กรกฎาคม 2554 เวลา:8:29:56 น.  

 
เชียงใหม่ก็ฝนตกตอนเย็นมาสามวันติดกันแล้วครับพี่



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 11 กรกฎาคม 2554 เวลา:8:56:22 น.  

 
ดอกไม้ภาพสุดท้ายสวยหวานมากๆ .....

ว่าแต่ Pari Pari นี่ใครอ่ะ หรือเปลี่ยนชื่อ login ใหม่แล้ว .....


โดย: NET-MANIA วันที่: 11 กรกฎาคม 2554 เวลา:12:57:08 น.  

 
ปาริ ปาริ ก็ จขบ. เองค่า... เรียกกันเล่น ๆ .. แต่ใช้กันจริง ๆ ...


โดย: poongie วันที่: 11 กรกฎาคม 2554 เวลา:14:46:27 น.  

 

ชื่อนี้..เก๋จ้ะ

ปาริ ปาริ

กี่ชื่อ...ก็ยังเป็นคนเดิม..หัวใจดวงเดิม...





โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 11 กรกฎาคม 2554 เวลา:16:57:32 น.  

 
สวัสดีครับ...
แวะเข้ามาทักทายครับ...สบายดีนะครับ...
ขอบคุณมากนะครับที่แวะเข้าไปทักทายกัน...ยินดีมากมายครับ...
กำลังจะกลับมาภายในเร็ววันนี้ครับ


โดย: เพลงดาบกระบี่เดียวดาย วันที่: 11 กรกฎาคม 2554 เวลา:21:08:06 น.  

 

สุขระยะไกล คำสวยจังค่ะพี่ปุ๋งกี๋
แถมดอกกุหลาบสวยสดชื่นจังค่ะ


โดย: Sweety-around-the-world วันที่: 11 กรกฎาคม 2554 เวลา:21:19:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

poongie
Location :
อุบลราชธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]




มามะ มาเที่ยวกัน มามะ มาถ่ายรูปกัน..
I'm an one who fall in love with photographing and travelling, Let's travel by my photos together.
...การท่องเที่ยว คือกำไรของชีวิต.. ช่วงนี้เลย .. หัด .. ค้ากำไร .. เกินควร ถึงรูปจะไม่สวย เรื่องจะไม่เด่น แต่ขอสงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539 ห้ามละเมิดไม่ว่าการลอกเลียน นำรูป ข้อความที่เขียนไว้หรือส่วนหนึ่งส่วนใดในบล็อกแห่งนี้ ไปเผยแพร่อ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อกนะคะ
Visitor Map
Create your own visitor map!
New Comments
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2554
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
10 กรกฏาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add poongie's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.