ช่วงเดือนกรกฎาคมแบบนี้ เป็นช่วงฤดูฝน หาที่เที่ยวยาก จะไปทะเลก็คงไม่เหมาะ ไปเดินป่าก็กลัวทาก คิดไปคิดมาก็คงไม่มีที่ไหนเหมาะไปกว่าการไปชมทุ่งดอกกระเจียวแล้วล่ะครับ เพราะมันมีช่วงเวลาให้เราได้เที่ยวชมความงามกันแค่ 3 เดือนเท่านั้น คือตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ซึ่งก็ตรงกับช่วงฤดูฝนพอดี ตอนแรกผมตั้งใจเอาไว้ว่าจะไปชมดอกกระเจียวที่ อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม แต่ได้เห็นภาพถ่ายจากคนที่ไปมาแล้ว พบว่าต้องรอคิวขึ้นรถรับส่งไปชมทุ่งดอกกระเจียวกันนานมากๆ เพราะนักท่องเที่ยวไปเที่ยวกันเยอะ ผมต้องกระเตงเจ้าตัวเล็กจอมซนไปด้วย ไม่สะดวกรอนานๆ แบบนั้น เลยเปลี่ยนใจไปเที่ยว "อุทยานแห่งชาติไทรทอง" แทน ..... ทริปนี้เรามีเวลาเที่ยวจำกัดแค่เพียงสองวัน คือ 18-19 กค. 52 เราเลยต้องออกเดินทางกันตั้งแต่เช้ามืด ออกจากปราจีนบุรีบ้านผมตอนตี 5 ครึ่ง สองเด็กดื้อยังไม่ตื่นนอนเลยครับ ต้องอุ้มจากเตียงนอนขึ้นมานอนต่อเอาในรถ ผมขับรถรวดเดียวจากบ้านมาถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติไทรทองตอนประมาณ 9 โมงครึ่ง วันที่ผมไปเที่ยวอากาศไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่นัก ท้องฟ้ามีเมฆมากดูมืดครึ้มตลอดเวลา ฟ้าครึ้มแบบนี้ถึงแม้จะถ่ายรูปออกมาไม่ค่อยสวยแต่ก็มีส่วนดีตรงที่เวลาเดินเที่ยวจะได้ไม่ค่อยร้อน .....หลังจากเดินทางมาไกล ก็มาถึงอุทยานแห่งชาติไทรทองกันแล้วสองเด็กดื้อมาชวนไปเที่ยวชมดอกกระเจียวบานด้วยกันครับหน้าที่ทำการอุทยานฯ เป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ ปลูกดอกบัวไว้เยอะเลยดื้อใหญ่ชอบใจได้มาเที่ยวชมดอกกระเจียวบานดอกบัวสวยๆ ในบึงหน้าที่ทำการอุทยาน หลังจากจับสองเด็กดื้อล้างหน้าล้างตาแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เราก็ไปหาข้าวเช้าทานกันที่ร้านอาหารสวัสดิการของอุทยาน พออิ่มหนำสำราญกันดีแล้วก็ต้องไปติดต่อรถปิคอัพที่จะพาเราขึ้นไปทุ่งกระเจียว เพราะทางขึ้นมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ต้องข้ามลำห้วยซึ่งตลิ่งลึกและชันมาก รถเก๋งอย่างน้องซีวิคของเราไม่สามารถข้ามไปได้ ต้องเป็นรถกระบะถึงจะพอไปไหว เราต้องรอคนครบจำนวน 8 คนเสียก่อนรถจึงจะออก เสียค่ารถคนละ 60 บาท เด็กฟรี แต่ถ้าใครไม่อยากรอนานจะเหมาไปก็ได้ รู้สึกว่าราคาเหมาจะอยู่ที่ประมาณคันละ 500 บาท ..... หลังจากนักท่องเที่ยวครบเต็มคันรถแล้ว รถกระบะรับส่งก็พาเราออกจากบริเวณที่ทำการอุทยานฯ มุ่งตรงขึ้นเขาไปยังทุ่งดอกกระเจียวทันที ออกมาได้นิดเดียวก็มาถึงจุดที่ต้องข้ามลำห้วยกันแล้ว ตลิ่งสูงชันอย่างที่ว่าจริงๆ ขนาดรถกระบะสูงๆ ยังต้องค่อยๆ ลงเลยล่ะครับ พ้นจากลำห้วยจุดนั้นมาก็จะเป็นถนนลาดยางเรียบสนิทเกือบตลอดทาง ถนนส่วนนี้รถอะไรก็วิ่งได้ไม่มีปัญหา แอบคิดว่าที่เขาไม่สร้างสะพานข้ามลำห้วยเพราะจะเป็นการตัดเส้นทางทำกินของรถปิคอัพรับส่งคนนี่ละมั๊ง ..... รถรับส่งพาเราออกจากที่ทำการอุทยานฯ มาประมาณ 12 กม. ก็ขึ้นมาถึงลานจอดรถด้านบนแล้ว จากตรงนี้ก็ต้องเดินเท้ากันต่อแล้วล่ะครับ การชมทุ่งดอกกระเจียวที่นี่จะไม่เหมือนกับที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงามซึ่งรถจอดปุ๊บก็ถึงทุ่งกระเจียวทันที แต่ทุ่งกระเจียวที่ไทรทองแห่งนี้มีอยู่หลายทุ่ง แต่ละทุ่งก็อยู่ห่างจากกันค่อนข้างมาก กว่าจะเดินชมครบทุกทุ่งก็ต้องออกแรงเดินกันจนเหนื่อย เดินจากที่จอดรถมาไม่ไกลก็มาถึงจุดแรกที่ต้องแวะชม ซึ่งก็คือ"แนวผาพ่อเมือง" จากจุดนี้เราสามารถชมทิวทัศน์ได้กว้างไกลเป็นมุมมองแบบพาโนรามา ถ้าอากาศดีๆ สามารถมองเห็นไปได้ไกลถึงอำเภอภักดีชุมพลเลยล่ะครับ ..... มุมมองกว้างไกลที่มองเห็นจากจากแนวผาพ่อเมือง ถัดจากแนวผาพ่อเมือง ก็จะเป็นเส้นทางเดินเลียบไปกับแนวหน้าผา เราต้องเดินขึ้นเนินเขาค่อนข้างชันมาอีกพักใหญ่ จึงจะมาถึงหน้าผาที่นับได้ว่าเป็นไฮไล้ท์จุดหนึ่งของอุทยานแห่งชาติไทรทองที่ไม่ควรพลาดชม ผาแห่งนี้มีชื่อน่าหวาดเสียวว่า "ผาหำหด" ซึ่งมีลักษณะเด่นคือจะมีชะง่อนหินยื่นออกไปจากหน้าผาดูน่าหวาดเสียว ใครที่ได้ไปยืนที่ชะง่อนผาแห่งนี้ ผมว่าน่าจะมีสิทธิ์หดสมชื่อผานะครับ ผาหำหดนี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 864 เมตร จากที่ได้เห็นลักษณะหินตรงชะง่อนผาแล้วก็เสียวๆ ว่าซักวันเจ้าหินก้อนนั้นมันจะหักลงมาไหมเพราะดูแล้วหินก็ไม่หนาเท่าไหร่นัก เวลานั่งถ่ายรูปไปก็หวาดเสียวไป หวังว่ามันจะอยู่คงทนไปนานๆ อย่างน้อยก็ขออย่ามาหักเอาตอนที่เรากำลังนั่งถ่ายรูปก็แล้วกัน .....ผาหำหด จุดขายอย่างหนึ่งของอุทยานแห่งชาติไทรทอง มาแล้วไม่ควรพลาดชมกันนะครับชะง่อนผาหำหด ยื่นออกไปกลางอากาศ ดูน่าหวาดเสียวสมชื่อเลยล่ะครับ หลังจากที่ได้หวาดเสียวเล็กๆ กับ "ผาหำหด" แล้ว เราก็จะได้ไปชมความงามของทุ่งดอกกระเจียวกันเสียที ทางเดินช่วงถัดไปเป็นทางราบ เดินกันได้สบายๆ ตอนออกเดินใหม่ๆ เจ้าลูกจอมซนทั้งสองของผมก็ยังสนุก เดินกันคึกคัก แต่พอไปได้ซักพักเจ้าดื้อเล็กก็ร้องให้อุ้มซะแล้ว ส่วนดื้อใหญ่ยังพอเดินไหว เดินต่อไปอีกพักใหญ่ๆ ก็จะเจอป้ายทางเข้าทุ่งกระเจียวทุ่งที่ 3 แต่เราไม่ได้แวะเพราะได้ยินมาว่าทุ่งที่ 3 นี้จะเป็นทุ่งที่ค่อนข้างเล็ก มีดอกกระเจียวไม่มากนัก เราเลยตัดสินใจเดินต่อไปยังทุ่งกระเจียวทุ่งที่ 4 ซึ่งเป็น "ทุ่งดอกกระเจียวขาว" แทน ..... มาเที่ยวที่นี่ต้องออกแรงเดินกันหน่อย ช่วงแรกสองเด็กดื้อก็ยังเดินกันสนุกอยู่ระหว่างทางจะมีดอกไม้เล็กๆ ตามทางเดินให้เด็กๆ ได้แวะดูกันด้วย ดื้อเล็กถ่ายภาพกับดอกกระเจียวขาวที่ขึ้นแทรกอยู่ในดงหญ้าเพ็กริมทาง หลังจากผมอุ้มดื้อเล็กเดินมาตามทางเดินอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเราก็มาถึงทุ่งกระเจียวทุ่งที่ 4 กันจนได้ ทุ่งกระเจียวแห่งนี้มีความพิเศษแตกต่างจากทุ่งอื่นคือ จะเป็น "ทุ่งดอกกระเจียวสีขาว" ล้วนๆ ซึ่งดอกกระเจียวขาวแบบนี้จะพบขึ้นกันเป็นทุ่งหนาแน่นก็เฉพาะที่อุทยานแห่งชาติไทรทองนี้เท่านั้น เรียกว่าหาดูได้ยากมาก มาถึงที่นี่แล้วไม่ควรพลาดชม ดอกกระเจียวสีขาวจะแตกต่างกับดอกกระเจียวสีชมพูตรงที่ดอกจะค่อนข้างเล็กและก้านดอกจะสั้น ทำให้ตัวดอกกลืนไปกับทุ่งหญ้า ดูไม่อลังการเท่ากับทุ่งกระเจียวสีชมพู ..... เดินมาไกลกว่าจะถึง ต้องเก็บภาพกับทุ่งกระเจียวขาวกันหน่อยภาพดอกกระเจียวขาวแบบใกล้ๆ ถึงจะดอกเล็กแต่ก็สวยนะครับ จากทุ่งกระเจียวขาว จะมีทางเดินลัดตัดไปถึงทุ่งกระเจียวทุ่งที่ 2 ได้ ไม่ต้องเดินย้อนกลับไปทางเก่า ช่วงนี้เจ้าดื้อใหญ่เริ่มบ่นเมื่อยเดินไม่ไหวแล้ว เอาละสิ ... คราวนี้ลำบากคนเป็นพ่ออย่างผมแล้วล่ะครับ ต้องอุ้มดื้อเล็กไว้แขนขวา อุ้มดื้อใหญ่ไว้แขนซ้าย แล้วพาเดินไปทุ่งกระเจียวทุ่งที่ 2 กว่าจะไปถึงก็เล่นเอาผมแทบหมดแรงข้าวต้มกันเลยล่ะครับ แต่มาถึงแล้วก็คุ้มค่าเหนื่อยเพราะดอกกระเจียวกำลังบานเต็มทุ่ง ดูเผินๆ เหมือนได้มาเดินเล่นอยู่บนสวนสวรรค์ มิน่าคนพื้นที่เขาถึงเรียกดอกกระเจียวอีกชื่อหนึ่งว่า "บัวสวรรค์" .....บรรยากาศทุ่งดอกกระเจียวทุ่งที่ 2 งดงามราวกับสวนสวรรค์ดื้อเล็กกับทุ่งกระเจียวสีสวยดื้อใหญ่ไม่น้อยหน้า ขอเก็บภาพกับดอกกระเจียวด้วยคนดอกกระเจียวที่นี่ สวยคุ้มค่ากับที่ต้องเดินทางไกลมาชมเลยล่ะครับ ได้ข่าวว่าดอกกระเจียวที่ป่าหินงามเริ่มจะมีเหี่ยวๆ แล้ว แต่ที่ไทรทองนี้ยังสวยอยู่ ออกจากทุ่งกระเจียวทุ่งที่ 2 ถ้าเราจะเดินต่อไปยัง "ทุ่งกระเจียวทุ่งที่ 1" ซึ่งเป็นทุ่งที่ใหญ่ที่สุดนั้น จะต้องเดินต่อไปอีกเป็นระยะทางร่วม 2 กิโลเมตร แต่ประเมินดูแล้วเจ้าดื้อใหญ่ของผมคงเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว จะให้ผมอุ้มไปทั้งสองคนผมก็คงไม่ไหวเหมือนกัน ประกอบกับตอนนั้นฟ้าเริ่มครึ้มมากขึ้น ฝนก็ใกล้จะตกเต็มที เราก็เลยตัดสินใจเดินกลับกันดีกว่า คงต้องรอให้สองเด็กดื้อโตกว่านี้หน่อยแล้วค่อยพามาเดินเที่ยวแก้ตัวกันใหม่ .....ริมทางเดินเท้า ก็ยังมีดอกกระเจียวให้ได้ชมกันอย่างใกล้ชิดดื้อเล็กนั่งพักเหนื่อยระหว่างเดินชมดอกกระเจียว พอเราเดินกลับมาถึงลานจอดรถปุ๊บฝนก็ตกปรอยๆ ลงมาปั๊บ เรียกว่าหลบฝนทันแบบหวุดหวิด ขากลับเราก็ต้องรอสมาชิกครบ 8 คนก่อนเช่นเคย หลังจากคนครบแล้วรถกระบะรับส่งก็พาเราออกเดินทางลงจากเขา ระหว่างทางมีฝนตกลงมาเป็นพักๆ แต่โชคดีที่เพื่อนนักท่องเที่ยวที่โดยสารมาในรถคันเดียวกันมีน้ำใจให้ครอบครัวผมนั่งในห้องโดยสาร ทำให้ดื้อเล็กดื้อใหญ่ไม่ต้องนั่งตากฝนอยู่หลังรถ ต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ..... หลังออกจากอุทยานแห่งชาติไทรทอง เราก็ขับรถกลับมาพักแถวๆ อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม เพราะผมได้จองที่พักที่นี่ไว้ล่วงหน้าแล้ว เราเข้าพักกันที่ "สะเลเตชาเล่ต์" เพราะเคยเห็นมีเพื่อนๆ มาทำรีวิวไว้ที่ Blueplanet เห็นภาพที่พักจากรีวิวนั้นแล้วดูสวยมากๆ ก็เลยตั้งใจว่าถ้าได้มาเที่ยวชมทุ่งดอกกระเจียวเมื่อไหร่จะต้องมาพักที่สะเลเตชาเล่ต์ให้ได้ ซึ่งเมื่อได้มาพักเองก็รู้สึกว่าไม่ผิดหวังจริงๆ ..... ที่พักสวยๆ ของเราวันนี้ ที่ "สะเลเตชาเล่ต์"ชื่อรีสอร์ทตั้งชื่อตามดอกสะเลเต ดอกไม้สีขาวสวยดอกนี้ ที่รีสอร์ท "สะเลเตชาเล่ต์" ในตอนนี้ ยังมีบ้านพักเพียงแค่ 2 หลังเท่านั้น คิวจองก็เลยยาวไปหลายเดือนเชียวล่ะ แต่ตอนที่ผมไปเห็นว่ากำลังสร้างบ้านพักหลังที่ 3 อยู่ จากที่ได้เห็นภายนอกแม้จะยังสร้างไม่เสร็จก็ยังดูสวย แถมยังมีดาดฟ้าไว้นั่งชมวิวซะด้วย ไว้สร้างเสร็จคงต้องลองมาพักดูบ้าง ในทริปนี้ครอบครัวผมได้จองบ้านพักทรงแปดเหลี่ยมไว้ เพราะดูแล้วน่าจะมีพื้นที่ในห้องกว้างกว่าบ้านอีกหลัง แถมยังมีระเบียงบ้านกว้างๆ ไว้ให้นั่งพักผ่อนทำกิจกรรมกันได้ บนระเบียงมีม้านั่งยาวสองตัวให้เราได้นอนเล่นด้วย ตอนกลางคืนถ้าได้มานอนชมดาวเต็มฟ้าก็น่าจะโรแมนติกดี แต่น่าเสียดายช่วงที่ผมไปฟ้าปิด มีเมฆมากมาตั้งแต่ช่วงเย็นแล้ว ตกกลางคืนเลยมองไม่เห็นดาวเลยซักดวง อดโรแมนติกเลยครับ .....บ้านพักแปดเหลี่ยมที่เราจะได้เข้าพักในวันนี้ในภาพนี้เป็นบ้านพักอีกหลังหนึ่ง เป็นทรงสี่เหลี่ยมมุมพักผ่อนสบายๆ บนระเบียงหน้าบ้านพัก ภายในบ้านตกแต่งสวยงาม ที่นอนนุ่มกำลังดี นอนสบายมีผ้าเช็ดตัวให้พร้อม พับไว้เป็นรูปดอกไม้สวยงามมาก ส่วนนั่งเล่นภายในบ้าน ไว้นั่งสังสรรค์กันก็เพลินดี ตู้เก็บของหัวเตียง ใหญ่ขนาดดื้อใหญ่เข้าไปนั่งเล่นได้เลยห้องน้ำแม้จะไม่กว้างนัก แต่ก็ตกแต่งได้สวยน่ารักดีตรงนี้เป็นส่วนเปียกสำหรับอาบน้ำ มีม่านกั้นแยกจากส่วนแห้งมุมตู้เสื้อผ้าและกระจกแต่งตัว ที่นี่มีชา กาแฟและลูกอมให้บริการฟรีด้วยรูปเพนต์สีสวยๆ ที่หัวเตียง ตอนกลางคืนเปิดไฟแล้วดูสวยดีนะกระดึงคู่นี้แขวนอยู่หน้าบ้าน นอนฟังเสียงก็เพลินดีเหมือนกัน บ้านพักที่นี่จะมีแต่พัดลมไม่มีแอร์เช่นเดียวกับรีสอร์ทอื่นๆ ในแถบป่าหินงามนี้ เพราะว่าอากาศที่นี่เย็นสบายเหมือนหน้าหนาวก็เลยไม่จำเป็นต้องพึ่งแอร์ นอนตอนกลางคืนผมยังต้องปิดหน้าต่างและนอนห่มผ้าเลยล่ะครับ อากาศเย็นสบายดีจริงๆ แม้แต่พัดลมยังแทบไม่ได้เปิดใช้เลย หลังเก็บของเข้าที่พักแล้วเราก็พากันไปเดินเล่นในบริเวณรีสอร์ทกัน รอบๆ บ้านพักของเรา มีดอกไม้สวยปลูกไว้เต็มไปหมด ทั้งดอกบัวดิน ดอกสะเลเต และอื่นๆ อีกเยอะ ใครที่ชอบดอกไม้คงจะดูกันเพลินไปเลย .....พัดลมเพดาน ที่เราเปิดใช้น้อยจริงๆ เพราะอากาศเย็นสบายอยู่แล้วอาหารเช้าของเราในวันนี้ ให้มาเยอะพอสมควรทานได้พอดีอิ่มต้นไม้ต้นน้อยๆ ที่ขึ้นอยู่ในมุมเล็กๆ มุมหนึ่งในรีสอร์ทดอกถั่วปินโตสีเหลืองสวยขึ้นอยู่บนพื้นข้างทางเดินเต็มไปหมดเลยดอกบัวดินแสนสวยขึ้นได้แม้บนกำแพงหินดอกไฮแดรนเยียสีสดใส ปลูกไว้ข้างบ้านพักมุมหนึ่งบนระเบียงหน้าบ้านมุมนั่งเล่นแบบสบายๆ ภายในรีสอร์ทก่อนกลับก็ขอถ่ายรูปกับบ้านพักเจ้าของรีสอร์ทกันหน่อย สำหรับทริปนี้ผมไม่ได้แวะเข้าไปเที่ยว "อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม" เลย เพราะผมเคยไปเที่ยวมาแล้วถึงสองครั้ง และช่วงที่ผมไปคิดว่านักท่องเที่ยวคงจะเยอะเพราะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ สภาพอากาศก็ดูมืดครึ้มเหมือนฝนใกล้จะตก อีกอย่างก็กลัวเจ้าตัวเล็กทั้งสองของผมจะเดินเที่ยวไม่ไหวเพราะเมื่อวานออกแรงเดินกันมาเยอะแล้ว ผมเลยพาไปเที่ยวที่"น้ำตกเทพพนา"แทนเพราะอยู่ไม่ไกลจากรีสอร์ทที่เราพัก น้ำตกแห่งนี้เป็นน้ำตกขนาดกลาง มีจำนวน 3 ชั้น แต่ละชั้นมีความสูงแตกต่างกัน แต่ชั้นที่ 3 จะเป็นชั้นที่สูงที่สุด เป็นน้ำตกที่ตั้งอยู่ท่ามกลางสภาพป่าที่มีความสมบูรณ์ ในวันที่เราไปแม้น้ำตกจะมีน้ำไม่มากนัก แต่ก็มีนักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวกันเยอะเลยล่ะครับ ..... น้ำตกเทพพนาในหน้าฝน น้ำดูไม่มากเท่าไหร่ น้ำตกเทพพนาอีกมุมหนึ่ง หลังออกจากน้ำตกเทพพนาก็ถึงเวลาเดินทางกลับบ้านกันแล้ว เจ้าดื้อใหญ่ของผมติดใจเล่นน้ำตกถึงกับบ่นไม่อยากกลับเลยล่ะครับ เลยกะว่าไว้ปีหน้าถ้ามีโอกาสอาจพามาเที่ยวใหม่อีกรอบ ตอนนั้นโตกว่านี้น่าจะเดินอึดกว่านี้หน่อยแล้วมั๊ง จะได้พาไปเดินเที่ยวที่ป่าหินงามดูบ้าง แล้วก็เล็งๆ บ้านพักหลังใหม่ของสะเลเตชาเล่ต์ที่กำลังสร้างอยู่ตอนนี้ไว้ด้วย ถ้าปีหน้าได้มาคงต้องขอลองไปพักดูซักหน่อย สำหรับทริปนี้ก็คงต้องขอจบลงเพียงเท่านี้ ไว้พบกันใหม่ทริปหน้า สวัสดีครับ