ลูกไม้ลายดอกรัก :กฤษณา อโศกสิน
พิมพ์ครั้งที่๑,กันยายน ๒๕๕๖ / จำนวน๘๒๓ หน้า / สนพ.ศรีสารา / ราคาปก ๕๙๐ บาท
เรื่องราวจากปกหลัง
เรื่องราวความรักที่เริ่มงอกงาม ตามกล้าไม้ลำเล็ก
ครั้นแล้วจึงเติบใหญ่ขึ้นตามวัยอันยาวนาน
บุรษหนี่งพร้อมด้วยความอดทนตรึงใจ
เฝ้าถากถางป่าแห่งอุปสรรค
นำดอกรักแรกผลิมามอบให้นางในฝัน
ผู้ต่อมากลายเป็นนางในความจริง
คือสตรีผู้เป็นยอดหญิงหนึ่งเดียวของเขา
ผู้ร่วมกันสร้างอุทยานแห่งความสมปรารถนาไว้ด้วยกัน
บนลูกไม้ผืนใหญ่ที่ผู้เขียนถักทอด้วยความสุขล้ำจากหัวใจ...
เรื่องราวเพิ่มเติม...(สปอยล์เนื้อหาเต็มที่....เกือบละเอียด)
เรื่องราวเกิดขึ้นในสมัยปลายรัชกาลที่๖ - ๗ ราวพุทธศักราช ๒๔๕๗ - ๒๔๗๖ แม่หุ่นและนายสงัดหอบลูกๆกว่า ๗ ชีวิต เข้าไปพึ่งใบบุญผู้เป็นพี่สาวนามว่าป้าห้องผู้มีฐานะร่ำรวยกว่า โดยหวังว่าผู้เป็นพี่สาวจะรับเอาบุตรไปอุปการะเพื่อแบ่งเบาภาระเรื่องการเลี้ยงดูและส่งเสริมให้ได้ร่ำเรียนเพราะนางเองฐานะขัดสนเหลือเกินแค่อาชีพทำกับข้าวไปขายรายได้ก็แทบไม่พอเลี้ยงครอบครัว เพราะมีลูกจำนวนมาก หาด เด็กชายอายุ ๘ ขวบ มีพี่น้อง ๖ คนคือ หุงเหม หงส์ หัสถ์ และน้องชายสินและสันต์
หาดเองก็อยากเรียนเขาแอบหวังอยู่ลึกๆว่าผู้เป็นป้าจะเลือกตัวเขาด้วย นางห้องผู้เป็นใหญ่ในบ้าน และมีอำนาจตัดสินใจกว่าผู้เป็นสามีอย่างนายขันนางตัดสินใจเลือกหัสถ์พี่ชายของหาด ถึงแม้ว่านางเองจะมีลูก ๒ คนอย่างแหลมและขิงอยู่แล้วแต่เพื่อช่วยน้องสาวนางจึงต้องรับหลานมาอุปการะเลี้ยงดู
นายไสวและลูกสาวชมพู่ได้มาเยี่ยมสงัดผู้เป็นน้องชาย และเอ่ยปากชวนกลับไปเยี่ยมบ้านสักคราพร้อมทั้งยอกยอปอปั้นญาติทางฝ่ายภรรยาว่าร่ำรวยเงินทองเป็นเศรษฐีในย่านนั้น และกำลังจะรับชมพูลูกสาวตนไปอุปการะ นายสงัดเองไม่เคยกลับไปเลยตั้งแต่ออกมามีครอบครัวถึง๑๖ ปีเต็ม จึงเดินทางกลับมหาชัยบ้านเกิดพร้อมกับนายไสว
หลังจากพากันข้ามฟากไปส่งชมพู่ที่บ้านเถ้าแก่ทันและแม่บุญปลูก ผู้ที่มีชื่อเสียงว่าเป็นเศรษฐีร่ำรวยในย่านนั้น บ้านที่หาดได้มีโอกาสเห็นทองปรางและทองปริกสองศรีพี่น้องลูกสาวเศรษฐีที่ทำเอาหาดตะลึงงึงงันไปเลย เมือได้เจอครั้งแรก เพราะเป็นเด็กสาวกำลังน่ารักหน้าตาคมคายผิวขาวนวลเปล่งปลั่งแบบคนจีนทั้งสองคนพี่น้องทองปรางอายุ ๗ ขวบ ส่วนทองปริกอายุ ๔ ขวบ นายสงัดก็ได้ดื่มฉลองกับพี่ชายหลังจากไปส่งชมพู่พอเช้ามานายสงัดเสียชีวิตเนื่องด้วยทานเหล้าและกินหอยแครงลวก ซึ่งเดิมทีนายสงัดก็มักชอบดื่มเหล้าเป็นประจำอยู่แล้ว...
นางหุ่นหอบลูกๆทั้ง๖ มาร่วงานศพ ทางญาติๆได้ปรึกษาหารือกันว่านางหุ่นจะอยู่อย่างไรเพราะมีแต่ลูกสาวลูกชายก็ยังเล็กนัก นางห้องผู้เป็นพี่สาวจึงติดต่อให้ความช่วยเหลือโดยหาที่ทางบ้านเช่าพร้อมทำเลที่อยู่ใหม่ให้โดยย้ายครอบครัวเข้าไปอยู่ในตัวอำเภอเมืองและอยู่ใกล้ตลาดและสามารถค้าขายได้สะดวกขึ้นหาดเคยเอ่ยปากขอแม่เรียนแต่แม่บอกว่าไม่มีเงินมากพอที่จะส่งเสียถ้าหาดเรียนแล้วก็จะไม่มีใครเลี้ยงสินกับสันต์ซึ่งยังเล็กอยู่
หาดยังคร่ำครวญอยู่กับหงส์พี่สาวที่เขาสนิทที่สุดว่าตัวเขาอยากเรียนหนังสือ ด้วยความสงสารน้อง หงส์จึงรับปากและบอกว่าจะแอบขโมยเงินแม่ให้จำนวน๕ บาทเพื่อที่เขาจะได้มีเงินติดตัวไปบางกอก โดยหาดสัญญาว่าจะกลับมารับน้องชายไปอยู่ด้วย
หาดนั่งเรือมาลงที่ท่าเตียนจากนั้นจึงถามทางไป(วัดสำเพ็ง)หรือวัดปทุมคงคาเนื่องด้วยเขาเคยได้รับคำแนะนำจากหลวงลุงรวย ซึ่งเป็นเพื่อนพ่อว่าจะฝากฝังให้เขาได้เรียนหนังสือเมื่อครั้งที่หลวงลุงรวยกลับไปเยี่ยมบ้าน หาดได้พบกับหลวงลุงรวย หลวงลุงลี้และหลวงพี่จุ้ยหลวงลุงรับปากว่าจะให้เขาได้เรียนหนังสือที่วัดนี้ หาดเป็นเด็กที่ขยันขันแข็งและใฝ่รู้แม้จะเพิ่งมาอยู่ใหม่ไม่ทันไรก็สามารถอ่านก ฮ ผสมพยัญชนะ สระ ได้อย่างรวดเร็ว แต่การที่หาดเป็นเด็กขยันและเรียนรู้ได้เร็วย่อมเป็นที่อิจฉาของนายเอี้ยวซึ่งเป็นเด็กเกเรไม่ชอบเรียนหนังสือ หาทางกลั่นแกล้งตลอด หาดสามารถเรียนผ่านแบบเรียน ๓ เล่มเร็วได้ และสามารถขึ้นเรียนชั้นมัธยมปีที่ ๑ ได้ และต่อมาได้พาสส์ ๒ ชั้นไปอยู่ ม.๔ได้เพราะขยันและใฝ่รู้ หาดจึงเรียนภาษาอังกฤษและภาษาจีนเพิ่มเติม
แม่หุ่นป้าห้องและหัสถ์นำสินมาส่งให้เล่าเรียนและฝากให้หาดดูแลน้องด้วย ป้าห้องเล่าว่าหัสถ์เรียนเก่งและก้าวหน้ามากและตอนนี้เข้าเรียนนายร้อยและได้รับประทานนามสกุลจากเสด็จในกรมว่า วิชชาสินธ์ และมาแจ้งข่าวให้หาดและครอบครัวได้ทราบเพื่อที่จะได้ไปแจ้งที่อำเภอ
หาดรับสันต์มาอยู่ด้วยอีกคนเพื่อแบ่งเบาภาระแม่ถึงแม้ว่าบรรดาพี่สาวทั้งหุงและเหมจะออกเหย้าออกเรือนไปเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงแต่หงส์เท่านั้นที่อยู่ช่วยนางหุ่นขายกับข้าว เมื่อรับน้องมาอยู่ด้วยภาระค่าใช้จ่ายก็ต้องพิ่มขึ้นทั้งค่าเรียนค่าอาหารทั้งสามมื้อแม้ว่าหาดจะช่วยทางวัดทำงานทั้งรับจ้างรดน้ำต้นไม้และทำความสะอาดวัดหรือทำงานทุกอย่างที่สามารถแลกเป็นเงินได้แต่ก็ยังไม่พอ หาดจึงตัดสินใจบวชเรียนเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายเรื่องอาหาร ซึ่งหลวงลุงก็เห็นชอบด้วย
ครอบครัวเถ้าแก่ทันหรือคุณป๋าที่บรรดาลูกๆเรียยกกันเป็นครอบครัวใหญ่เขามีลูกชาย ๓ ลูกสาว ๔ อันได้แก่บุญพยอม บุญเจิด เทิด ทิว ทศทองปรางและทองปริก ทองปริกเสียชิวิตเมื่อมีอายุได้ ๙ ขวบ ด้วยสาเหตุใดไม่แน่ชัด เถ้าแก่ทันสงสัยว่าลูกสาวตนถูกคุณไสย เพราะเจอก้อนเนื้อมีเส้นขนแปลกๆที่ไหม้ไม่หมด บนเชิงตะกอน สร้างความคับแค้นใจให้เขาเป็นอย่างมากเพราะเขารักและเอ็นดูลูกสาวคนสุดท้องอย่างมาก
บุญพยอมลูกสาวคนโตแต่งงานกับสุมิตรลูกชายเจ้าสัวใหญ่ฐานะมั่งคั่งจึงทำตัวหรูหราฟุ่มเฟือย มีลูกชายคือบุญมนูส่วนบุญเจิดนั้นตั้งแต่ออกเรือนไปก็หายเงียบไปเนื่องด้วยเป็นคนมัธยัสถ์อดออมเทิดนั้นเรียนนายร้อยตำรวจ ส่วนทิวและทศหลังจากจบมัธยมก็กลับมาช่วยพ่อทำงานที่บ้านเนื่องด้วยไม่อยากเข้าไปเรียนที่บางกอก
ทองปรางโตเป็นสาวแรกรุ่นหน้าตาสวยหมดจดกว่าบรรดาเพื่อนๆอย่าง อิ่มเอม มานีและจรุง จึงมีนายตำรวจอย่างขุนรามรณฤทธิ์มาเลียบเคียงเมื่อวันหนึ่งเกิดไฟไหม้บ้านเสียหายนายทันจึงสร้างบ้านไม้สักทองหลังใหญ่และได้รับคำแนะนำจากขุนรามรณฤทธิ์ หาช่างจากบางกอกมาช่วยปลูกบ้านจนเสร็จสมใจ เถ้าแก่ทันรู้สึกพอใจนายตำรวจคนนี้อยู่บ้างอยากได้เป็นเขย แต่ด้วยลูกสาวไม่ชอบจึงนึกเสียดายอยู่ไม่น้อย
นายไสวย้ายเข้ามาหาที่ทำกินใหม่เนื่องจากที่อยู่เดิมเริ่มคับแคบเพราะทองดำและแก้วลูกชายทั้งสองต่างก็มีครอบครัวกันหมดแล้ว ที่ทางเริ่มคับแคบจึงย้ายมาค้าขายอาหารทะเลที่นายทองดำจะนำขึ้นรถไฟมาให้พ่อขายที่ตลาดนางเลิ้งและไปอาศัยอยู่กับครอบครัวของพี่วรงค์พี่ชายของวราห์ซึ่งเป็นญาติทางพ่อของนายไสวนั่นเอง
เมื่อหาดสึกแล้วอายุ ๑๙ ปีหลังจากเรียนจบ ม.๘ ในระหว่างที่เขารอเข้าเป็นทหารแกณฑ์ ๒ ปีอยู่นั้นลุงไสวชวนหาดกลับไปเยี่ยมชมพู่ที่บ้านเกิด เป็นครั้งแรกที่หาดได้กลับมาเจอทองปรางเมื่อเขาและเธอได้พบกันทองปรางและหาดต่างก็รู้สึกแปลกๆ เพราะในแววตาที่เห็นนั้นไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อนราวกับเป็นรักแรกพบนางบุญปลูกให้การต้อนรับขับสู้เขาและลุงเป็นอย่างดี เนื่องด้วยเห็นว่าหาดเองเรียนจบสูงเป็นผู้มีความรู้อยู่บ้าง
หลังจากที่กลับไปเข้ารับประจำการทหารเกณฑ์ หาดขออนุญาตเขียนจดหมายถึงพี่ชมพู่ โดยส่งผ่านนายทองดำลูกชายลุงไสวนั่นเอง ชมพู่นำไปให้ทองปรางเป็นคนอ่านให้ฟังทองปรางแม้จะเรียนจบแค่ม.๒ เพราะหลังจากที่ครูพุดตายไป และไม่ชอบใจครูคนใหม่จึงไม่ไปเรียนอีกแต่ก็สามารถอ่านออกเขียนคล่องได้เป็นอย่างดี ด้วยเนื้อความในจดหมายไต่ถามถึงข่าวคราวพี่ชมพู่และกล่าวพร่ำเพ้อพรรณาถึงความน่ารักความงามและฝากความคิดถึงแก่ทองปราง เมื่อทองปรางเป็นผู้อ่านจึงข้ามข้อความนั้นเสียไม่ให้ชมพู่ทราบและได้แต่เก็บซ่อนความรู้สึกดีใจเอาไว้ พร้อมกับตอบจดหมายโต้ตอบแทนชมพู่ด้วย
เถ้าแก่ทันกับแม่ทองปลูกเริ่มแปลกใจ เนื่องด้วยอาการของทองปรางเก็บตัวเงียบไม่ร่าเริงคล้ายกับเมื่อตอนทองปริกสิ้น บัดนี้อาการซึมเศร้าของลูกสาวทองปรางเริ่มกลับขึ้นมาอีกนายทันจึงเป็นห่วงกลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิมที่จะต้องเสียลูกสาวไปอีก จึงเริ่มสงสัยและต้องหาสาเหตุและที่มาที่ไปให้ได้ ถามเพื่อนๆของลูกสาวก็ไม่มีใครรู้ เมื่อวันหนึ่งนางปลูกสงสัยอาการมีพิรุธของชมพู่จนกระทั่งเจอจดหมายของหาด ทองปรางแก้ตัวให้แทนว่าเพราะพี่ชมพู่ไม่รู้หนังสือจึงเป็นฝ่ายอ่านให้ฟังและโต้ตอบจดหมายแทน แต่นายทันและนางบุญปลูกไม่เชื่อจึงได้คาดคั้นเอาความจริงกับชมพู่ว่าเป็นแม่สื่อแม่ชักโดยเฆี่ยนจนชมพู่ยอมสารภาพมาทั้งหมด ทองปรางสงสารชมพู่จึงออกมาสารภาพว่าชอบพอรักใคร่อยู่กับหาด นางบุญปลูกไม่อาจยอมรับได้ที่ลูกสาวคิดใฝ่ต่ำ เลือกชายไร้ทรัพย์สมบัติมาเป็นคู่ครองสถานการณ์จึงตกอยู่ในสภาพอึมครึม
เทิดเรียนจบตำรวจแล้ว ได้ประจำการที่เมืองเหนือไม่นานก็ส่งจงหมายส่งข่าวมาบอกว่าต้องการสินสอดเพื่อที่จะสู่ขอทับทิม ลูกสาวธรรมการที่อำเภอส่วนทิวหลังจากที่กลับมาอยู่ที่บ้านก็เกิดรักใคร่ชอบพอกับทองสุกลูกสาวกำนันที่บางกอก นางบุญปลูกจึงได้เข้าไปบางกอกสู่ขอตามประเพณีให้เสร็จเรียบร้อย และได้รับข่าวจากสุรีย์พี่สาวของสุมิตรว่าสุมิตรและบุญพร้อมได้เลิกรากันไปปีกว่าแล้ว ข่าวนี้นำความเศร้าสลดเสียใจมาสู่ครอบครัว เพราะยังไม่มีผู้ใดได้ข่าวบุญพยอมเลย
จดหมายฉบับล่าสุดหาดแจ้งว่าในระหว่างที่ฝึกทหารอยู่นั้นเขาเป็นผู้มีความรู้จบสูง จึงได้รับโอกาสจากกรมทหารได้เรียนนายดาบและสำเร็จแล้วกำลังรอรับประกาศนียบัตรอยู่จดหมายฉบับนี้เปรียบเหมือนประกาศิตของนางบุญปลูกเมื่อนางทราบเรื่อง จึงได้ประกาศกร้าวว่าห้ามมิให้นายทองดำมาเหยียบบ้านนี้อีกซึ่งหาดเองก็ได้ทราบข่าวนี้ด้วยเช่นกันเนื่องจากได้ติดต่อผ่านนายดาบตะบูนผู้เป็นของสามีจรุงเพื่อนสนิทของทองปรางนั่นเอง
บัดนี้หาดซึ่งมีอายุ๒๒ ย่าง ๒๓ สอบราชการได้ในตำแหน่งราชบุรุษ(พนักงานฝึกหัด) ในกระทรวงพาณิชย์และคมนาคมได้รับเงินเดือน ๔๕ บาท ด้วยความเป็นผู้มีความขยันและตั้งใจทำงาน หลวงธนสารสันทัดหัวหน้าจึงได้สนับสนุนให้หาดเรียนด้านกฎหมายเพื่อส่งเสริมความรู้ในหน้าที่การงานในภายภาคหน้า
หาดกลับไปเยี่ยมแม่ทองปรางและชมพู่อีกการนัดพบกันของหาดและทองปรางโดนเถ้าแก่ทันจับได้ หาดจึงได้เอ่ยปากขออนุญาตคุยกับทองปรางโดยเปิดเผย โดยจะเข้าตามตรอกออกตามประตูและสัญญาว่าภายในสองปีจะทำตัวให้ทัดเทียมเก็บเงินมาสู่ขอและจะอดทนจนกว่าจะถึงวันที่เถ้าแก่เห็นว่าเขานั้นดีพอที่จะคุ้มครองแม่ทองปราง การพูดจาอย่างผู้มีความรู้ของหาดจึงทำให้เถ้าแก่ทันพึงพอใจอยู่บ้างในความกล้าหาญของเขา พลางก็คิดว่าตัวเองก็เคยผ่านในจุดเดียวที่หาดกำลังเผชิญอยู่เช่นกันเมื่อสมัยที่เขาเป็นเพียงแค่ลูกคนจีน ที่มีเพียงแต่ตัวและได้มารักใคร่ชอบพอกับแม่บุญปลูกจนและฝ่าฟันอุปสรรคจนสามารถก่อร่างสร้างตัวมาได้ถึงปัจจุบัน เถ้าแก่ทันได้แต่ทำเฉยเมื่อได้รับฟัง แต่ก็ไม่ได้คัดค้านอันใด เนื่องด้วยลูกสาวก็เอ่ยปากบอกว่าจะไม่แต่งงานกับชายใดนอกจากหาดเพียงผู้เดียว
อาการป่วยของอิ่มเองสร้างความโศกเศร้าให้กับพ่อแม่และเพื่อนๆเนื่องด้วยอิ่มเอมแต่งงานกับขุนรามรณฤทธิ์ยังไม่ถึงสามปีก็ได้ข่าวว่าเขามีเมียน้อย เมื่ออิ่มเอมทราบข่าวถึงกับช็อคและป่วยกะทันหันจำใครๆไม่ได้เลย นางบุญปลูกพอได้ทราบข่าวก็ได้แต่โล่งอก เพราะเคยหมายมั่นปั้นมืออยู่ว่าอยากได้เป็นลูกเขย
หลังจากกลับจากเยี่ยมทองปรางหาดก็คิดแล้วคิดอีกหาทางออกว่าจะสามารถก่อร่างสร้างตัวภายในเวลาอันรวดเร็วได้อย่างไร หัวหน้าและหัสถ์ซึ่งบัดนี้ได้เลื่อนยศเป็นขุนวิชชาสินธ์เสนีย์และแต่งงานกับคุณสมรเป็นลูกสาวของสกุลผู้มีชื่อเสียงในสังคมและไม่ต้อนรับครอบครัวทางฝ่ายสามีซึ่งเธอเห็นว่าไม่มีฐานะ หัสถ์ได้ให้คำแนะนำว่าจะหาทางช่วยโดยจะหยิบยืมเงินทองจากญาติคุณสมรให้ตามที่เถ้าแก่ทันเรียกร้องคือ ทองคำหนึ่งหีบ ๕๐ บาท เงิน ๑๐๐ ชั่ง โดยมีข้อแม้ว่าหลังงานแต่งต้องนำสินสอดมาคืนพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ๑ บาท แต่หาดต้องไปตกลงกับฝ่ายเถ้าแก่ทันก่อน ทองปรางตัดสินใจบอกพ่อในวันแต่งงานของทศกับอรุณีกับหญิงสาวในละแวกนั้น เมื่อนายทันทราบได้แต่อึ้งไปเหมือนว่าลูกเขยจะวิธีใช้เบ็ดเปล่าตกปลากะพงและนางบุญปลูกได้ร้องให้หนักสงสารในชะตากรรมลูกสาว ว่าต้องไปตกระกำลำบากแน่คราวนี้เพราะฝ่ายชายมีแต่ตัวจริงๆ ซึ่งหาดก็ก้มหน้ายอมรับโดยดีเนื่องด้วยเขามีแต่ตัว ความจนเป็นสิ่งที่ใครๆก็ไม่ต้องการเมื่อมันติดตัวมาก็ต้องยอมรับในโชคชะตามาตั้งแต่เกิดอย่างหน้าชื่นตาบาน
หาดไม่สามารถหาเงินและทองได้ครบตามจำนวนการหยิบยืมจากญาติๆคุณสมรได้ทองมาเพียง ๓๐ บาท และแล้วก็มาถึงวันสู่ขอ มีผู้ร่วมขบวนเพียง ๕ คนและพระจุ้ยอีก ๑ รูป วัน เถ้าแก่ทันและนางบุญปลูกเมื่อไม่ได้ตามที่ร้องไปจึงโกรธมากเพราะเสียหน้าชาวบ้านแม้จะยอมโอนอ่อนให้ตามข้อเสนอแต่ยังไม่สามารถหาสินสอดทองหมั้นมาได้ครบจึงถูกฝ่ายหญิงไล่ตะเพิดออกจากบ้านแทบไม่ทัน
สายสมรไปกู้ทองมาเพิ่มอีก ๒๐ บาท เป็น ๕๐ บาทครบจำนวน ส่วนเงินนั้นสามารถหาได้เพียง ๒๐ ชั่ง ขบวนสู่ขอครั้งที่ ๒จึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เถ้าแก่ทันก็ไม่พอใจเช่นเดิม และเอะอะโวยวายขึ้นมาอีก ทองปรางจึงร้องไห้และกล่าวขึ้นมาว่าถ้าหากไม่ได้แต่งคราวนี้จะหนีไปบวชชีหัวอกคนเป็นพ่อแม่ต้องหวานอมขมกลืนจำต้องยอมยกลูกสาวให้ ฤกษ์งามยามดีจึงกำหนดจัดงานมงคลขึ้นในอีก ๓ เดือนถัดไป นางบุญปลูกลงทุนจัดงานให้สมเกียรติวงศ์ตระกูล จึงเตรียมการใหญ่ไม่ให้น้อยหน้าคนทั้งบาง ทั้งการจ้างขบวนแห่ด้วยเงินตัวเองจัดเงินค่ากั้นประตูเงินประตูทองจนเข้าสู่พิธีนับสินสอดและรดน้ำ
หลังจากแต่งงานหาดต้องไปเช้าเย็นกลับที่ทำงาน ทองปรางตั้งครรภ์หลังจากแต่งงานมา ๒ สัปดาห์ หลังครบกำหนดอยู่บ้านฝ่ายหญิงตามประเพณี ๑ เดือน นางบุญปลูกและทศไปส่งน้องสาวที่บ้านเช่าของหาดที่บางกอกนางยังแอบสงสารลูกสาวอยู่มาก กลัวลูกสาวไปลำบากแม้ว่าจะให้ชมพู่ตามไปดูแลก็ยังมิวายไม่สบายใจเพราะเป็นบ้านเก่าแต่อยู่ในสภาพดีหน่อยด้านข้างมีรั้วสังกะสีกั้นอยู่ติดกับวัดส่วนเครื่องเรือนก็ไม่มีอะไรมากมายเทียบอย่างบ้านเดิมของทองปรางไม่ได้เลย
นางบุญปลูกมาเยี่ยมลูกสาวบ่อยขึ้น เพราะบัดนี้ลูกสาวท้องโตขึ้นใกล้คลอดเต็มที แต่ก็ยังไม่นอนค้างเพราะยังมีทิฐิอยู่ลูกคนแรกของหาดเป็นลูกสาว นางหุ่นและป้าห้องแวะมาเยี่ยมหาดและลูกสะใภ้ส่วนหงส์บัดนี้แต่งงานมีครอบครัวแล้ว
ครอบครัวพ่อแม่ลูกสี่คนเดินจูงมือเด็กหญิงวัย ๒ ขวบและอุ้มเด็กชายอายุขวบกว่า ออกมาจากร้านถ่ายรูปที่สี่แยกพาหุรัด แล้วพากันเดินตามถนนไปไหว้พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ที่สะพานปฐมบรมราชานุสรณ์(สะพานพุทธยอดฟ้า) เนื่องในโอกาสสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ครบ๑๕๐ ปี
ปลายปี ๒๔๗๖ หลังผ่านการปฏิรูปการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยหาดก็ได้สำเร็จวิชากฎหมายได้เป็นเนติบัณฑิตเรียบร้อยแล้ว
หาดนึกไม่ถึงเลยว่าความลำเค็ญที่ผลักดันให้เขาก้าวเข้ามาจนถึงวันนี้ จะมอบความเกษมเปรมปรีย์ให้แก่ชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีเป็นบิดาของหญิงสาวและลูกรักอย่างเต็มเปี่ยมจนประมาณค่ามิได้ การศึกษาหนุนนำให้เขาคว้าโอกาศเดินไปข้างหน้าสู่อนาคตที่สวยงาม...
ความคิดเห็นหลังจากที่ได้อ่าน
จากหน้าปกรูปดอกบัวน่าจะสื่อความหมายไปในเรื่องของการศึกษา หาด ตัวเอกของเรื่องเหมือนดังบัว ๔เหล่า หาดเหมือนบัวเหล่าที่ ๑ คือพวกที่มีปัญญาฉลาดใฝ่รู้ใฝ่เรียนสามารถเรียนรู้และเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ในสมัยอดีตไม่มีโรงเรียนเปิดสอนทั่วไปจะเห็นได้ว่าในสมัยก่อน วัดมีบทบาทที่สำคัญมากในเรื่องการเรียนการศึกษาใครอยากได้ความรู้อ่านออกเขียนได้ก็ต้องไปหาพระหรือหลวงพี่ที่สำเร็จนักเปรียญธรรมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ท่านทรงมีความคิดอันก้าวไกล ให้มิชชันนารี และครูฝรั่งสอนเรื่องภาษา เพื่อที่จะได้ติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ...
อาจจะไม่ดราม่าหนักมากส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการสู้ชีวิตของหาดมากกว่า ส่วนการกีดกันเรื่องความรักระหว่างหาดกับทองปรางมันก็น่าสงสารทั้งสองฝ่าย หาดซึ่งมีแต่ตัวกว่าที่จะก้าวขึ้นมายืนในจุดนี้ก็ถือว่าเขาเองก็ต้องดิ้นรนไขว่คว้าอยู่ไม่น้อย ขณะเดียวกันก็สงสารเถ้าแก่ทันและนางบุญปลูกอยู่เช่นกันขึ้นชื่อว่าหัวอกคนเป็นพ่อแม่ล้วนแล้วแต่อยากให้ลูกมีความสุขความสบายลูกมีอนาคตที่ดีพ่อแม่ก็ย่อมที่จะสบายใจ เรื่องคู่ครองก็ให้โอกาสลูกสาวเลือกคู่ครองได้อย่างเต็มที่ แต่กลับกลายเป็นว่าทองปรางเลือกคนที่ไม่มีอะไรนอกจากความรู้พ่วงความจน พ่อแม่ก็ย่อมต้องเสียใจเป็นธรรมดา...เรื่องราวมันอยู่บนพื้นฐานของความจริงในเมื่อลูกสาวรักพ่อแม่ก็ต้องรักด้วยและยอมรับในการตัดสินใจของลูกสาวอย่างหน้าชื่นอกตรม
เรื่องราวจะค่อยๆเห็นพัฒนาการของตัวละครอย่างหาดตั้งแต่ตอนอายุ ๘ ขวบ เขาเป็นเด็กที่ทะเยอทะยานเรื่องการหาความรู้ในตัวเองไม่ยอมให้ตัวเองหยุดอยู่กับความไม่มีแม้จะเกิดมาพร้อมกับความจนที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ทำให้ขาดโอกาสทางการศึกษา แต่เขาก็ไม่อับจนหนทางที่จะไขว่คว้าเอาไว้ เมื่อความจนเป็นอุปสรรคก็จะต้องแสวงหาหนทางที่จะประสบความสำเร็จ
อ่านจบยังติดอยู่หลายส่วนเพราะเนื้อเรื่องยังไม่กระจ่างของตัวละครเหมือนผู้เขียนเร่งให้จบยังไงไม่รู้ รู้สึกว่าน่าจะยังมีเรื่องราวดำเนินไปได้มากกว่านี้ สงสัยจะอินหนักอยากรู้เรื่องราวต่อไป....
- การหายตัวไปของบุญพยอมหลังจากแยกทางกับสุมิตรและบุญเจิดพี่สาวอีกคนที่กล่าวถึงอยู่น้อยมาก
- ชิวิตความเป็นอยู่ของนางหุ่นดีขึ้นหรือเปล่า ท้ายเรื่องกล่าวแค่ผ่านๆ
- นางบุญปลูกและเถ้าแก่ทันจะยอมรับในตัวลูกเขยอย่างหาดหรือไม่
- หัสถ์และคุณสมรมีบทสรุปอย่างไร พวกเขาไม่เอื้อเฟื้อญาติฝ่ายสามีบ้างเลย
- ชมพู่ท้ายเรื่องไม่ได้กล่าวไว้ว่าเป็นอย่างไร หลังจากที่มาอยู่กับทองปราง
- เทิดเงียบหายไปเลยหลังจากแต่งงานและมีครอบครัวอยู่ทางเหนือ
จากเรื่องก็มองเห็นประโยชน์และข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้มากมายสุดจะบรรยายออกมาได้หมด เรื่องการเรียบเรียงถ้อยคำและภาษาที่สละสลวยสวยงามตามสมัย ผู้เขียนได้สอดแทรกภาษาโบราณที่ใช้ในสมัยก่อนเข้ามาอีกด้วยช่วยเพิ่มอรรถรสได้เป็นอย่างดี...