รัตนโกสินทร์ : ว.วินิจฉัยกุล
พิมพ์ครั้งที่ 12, ตุลาคม 2555 / จำนวน 638 หน้า / สนพ.ทรีบีส์ / ราคาปก 400 บาท
เรื่องย่อ(สปอยล์เนื้อหา)
ปีพุทธศักราช ๒๓๔๘ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ต้นรัตนโกสินทร์ เรื่องราวของ ฟัก ลูกชายของเจ้าสัวนายเตาชาวจีนแห่งโพ้นทะเลไกล ที่ได้อพยพย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่เมืองสยามในสมัยนั้น เพื่อทำการค้าขายระหว่างเมืองจีนกับสยาม มีสินค้าจะพวกเครื่องเคลือบกระเบื้องจีน ผลไม้สด ผลไม้แห้ง เสื้อผ้าอาภรณ์ ผ้าปักลายจีน เป็นต้น
อีกทั้งครอบครัวได้สร้างเตาเผา เพื่อทำโรงงานกระเบื้องเคลือบขาย ครอบครัวของเจ้าสัวนายเตานับว่าเป็นคนร่ำรวยมั่งคั่งเลยทีเดียว ภรรยานั้นชื่อแม่พลับเป็นหญิงไทยเชื้อสายมอญ มีลูกสาวคนโตชื่อส้มจีน เมื่อโตขึ้นก็ได้แต่งการแต่งการกับนายแสงลูกชายคุณพระพินิจจัยตุลาการในสมัยนั้น เมื่อสิ้นคุณพระส้มจีนและครอบครัวก็ได้ย้ายไปกินตำแหน่งใหม่ที่หัวเมืองกาญจนบุรี
ฟักมีน้องชายชื่อ ทั่ง ซึ่งโตไล่เลี่ยกันมา ทั่งเป็นคนหัวไวในเรื่องการค้าขาย เจ้าสัวนายเตาเลยสนับสนุนให้ลูกชายคนนี้ดูแลกิจการเรื่องการค้าขายภายในบ้าน เป็นเจ้าภาษีรังนกทางภาคใต้ สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว
ฟักเป็นเด็กฉลาดรอบรู้มีผู้ทำนายว่าเมื่อโตขึ้นจะได้เป็นข้าราชการรับใช้แผ่นดิน ผู้เป็นพ่อจึงสนับสนุนในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะอาชีพข้าราชการถือว่ามีเกียรติแก่วงศ์ตระกูลเป็นอย่างมาก โดยการให้ไปอยู่เป็นทนายคอยรับใช้คุณพระพินิจจัยผู้เป็นพ่อของพี่เขยของฟัก ฟักเป็นคนหัวดีสามารถคัดลอกตำรากฎหมายและท่องจำกฎหมายได้อย่างแม่นยำและได้รับคำชมอยู่บ่อยๆ ในเรื่องความจำดี เมื่อสิ้นคุณพระนินิจจัยฟักก็ได้ไปอยู่กับสมิงรัตสัง คือลุงของฟักนั่นเองเขาได้สนับสนุนฟักจนได้เข้ารับราชการจากขุน- หมื่นและใต่ระดับขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะมีผลงานดี
เรื่องความรักเมื่อตอนเป็นหนุ่มน้อย ฟักชอบพออยู่กับแม่ช้อง หลานสาวคุณพระวินิจจัยแต่แม่ช้องเป็นหญิงทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง เนืองจากกำพร้าแม่ตั้งแต่เด็กส่วนพ่อก็มีครอบครัวใหม่รับราชการอยู่ที่เมืองเหนือ แม่ช้องจึงต้องมาอยู่ภายใต้ชายคาและอยู่ใต้อำนาจส้มจีน พี่สาวของฟักเพราะนางเป็นหลานแท้ๆ แต่ก็เป็นได้แค่ผู้อาศัยเท่านั้น แม่ช้องจึงตัดสินใจหนีไปอยู่กับคุณสน หลานชายคนเดียวของเจ้าพระยามหาเสนา ซึ่งเป็นคนเกเร นักเลงหัวไม้
แม่เพ็ง ลูกสาวพระยาอสุเรนทรราชเสนา ซึ่งรับราชการเป็นปลัดทูลฉลองวังหน้า รับใช้กรมพระราชวังบวรฯ ส่วนแม่คือคุณหญิงเรียมเป็นลูกสาวขุนนางเก่าฐานะร่ำรวยมั่งคั่ง ฟักเคยได้ช่วยแม่เพ็งตกน้ำ ตั้งแต่แม่เพ็งยังเล็กๆ เมื่อโตขึ้นมาแม่เพ็งได้เข้าไปรับใช้เสด็จฯในวัง แต่ก็แวะมาเยี่ยมบ้านบ่อยๆ
จนเมื่อวันหนึ่งฟักเกิดไปเจอเข้าและถูกใจ และได้ให้ผู้ใหญ่ไปสู่ทาบทามสู่ขอ ฟักได้ให้คำมั่นสัญญากันว่าตราบใดที่ยังมีแม่เพ็งอยู่เขาจะไม่มีหญิงอื่นเป็นอันขาด...
พิธีแต่งงานเกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน อยู่กินกันมาจนฟักได้ลูกสาวถึง ๔ คน สร้างความผิดหวังให้ฟักอยู่ไม่น้อย เพราะเขาอยากได้ลูกชายมาสืบสกุล ฟักจากบ้านไปทำสงครามใหญ่ที่เขมรอยู่ครั้งหนึ่ง เดินทัพไปตีไกลถึงไซ่ง่อน เมืองญวน
พ่อทั่งแต่งงานกับลำดวนมีลูกชาย ๒ คน สร้างความยินดีให้กับเจ้าสัวฯ และแม่พลับเป็นอย่างมาก แต่เจ้าสัวก็ยังรอหลานชายเจ้าลูกชายคนโตอย่างฟักอยู่ดี
จนแล้วจนรอดฟักก็ยังไม่มีลูกชาย แม่พลับจึงได้เอ่ยปากขอแม่เพ็งว่า อยากหาเมียอีกคนให้พ่อฟักเผื่อว่าจะมีลูกชายสืบสกุลกับเขาสักคน เมื่อแม่ผัวเป็นคนเอ่ยปาก แม่เพ็งเลยไม่กล้าปฏิเสธ ต้องจำใจยอมรับและคัดเลือกบรรดาชาวบ้านหรือลูกข้าราชการตำแหน่งเล็กๆที่เป็นแม่บ้านแม่เรือนคุณสมบัติเพียบพร้อมเข้ามารับใช้สามี
ท้ายสุดแล้วฟักจะทำอย่างไร เมื่อแม่พลับเตรียมบ้านเล็กๆเอาไว้ให้เขา และคำสัญญาที่มีไว้ก่อนแต่งงานกับแม่เพ็ง ฟักจะทำอย่างไร ....
ความคิดเห็นหลังจากที่ได้อ่าน
เป็นการเล่าเรื่องของการผสมวัฒธรรมระหว่างไทย-จีน ผ่านตัวละครอย่าง ฟัก ชายหนุ่มลูกครึ่งไทย-จีน กับเรื่องราวการใช้ชีวิต ตลอดจนวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ และได้เห็นเรื่องราวของความมุ่งมั่นที่จะเข้ารับราชการ สังคมสมัยก่อนความร่ำรวยอาจจะมาทีหลัง เพราะเทียบคนที่มียศตำแหน่งแล้วดูจะมีภาษีมากกว่า
อาจจะเชยไปแล้วสำหรับคนที่เคยได้อ่านเรื่องนี้ เพราะคงจะได้อ่านกันมานานมากแล้ว แต่สำหรับผมเพิ่งจะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาอ่าน นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่สร้างชื่อให้กับอาจารย์ตั้งแต่ยุคแรกๆ จำได้ว่าเคยดูละครเรื่องนี้เมื่อตอนเด็กๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าจำไม่ได้ว่าจริงๆว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร เมื่อตอนอ่านรู้สึกว่าเป็นงานเขียนที่บรรยายเรื่องราวได้เต็มอิ่มอรรถรสดีจริงๆ ด้วยเนื้อหาและภาษาสวยๆ บวกกับเรื่องราวในประวัติศาสตร์ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้กล่าวถึงชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวสยาม การที่มีชาวต่างชาติและชาวจีนเข้ามาทำการค้าขายกับไทย ทำให้สังคมในสมัยก่อนนี้ชาวจีนเข้ามาค้าขายและมีครอบครัว แต่งงานกับลูกหลานชาวไทย เกิดการกลืนวัฒนธรรมกันไป
ตามสุภาษิตไทยที่ว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม คงจะใช้ได้กับชาวจีนที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเรื่องนี้ เพราะมีการแต่งงานกับชาวไทยเกิดการผสมกันระหว่างวัฒธรรมไทยกับจีนลูกหลานที่เกิดมาก็เลยรับเอาทั้งสองวัฒธรรมไป ในเรื่องการใช้ภาษาลูกของเจ้าสัวนายเตาจึงสามารถพูดได้ทั้งสองภาษา แม่พลับผู้เป็นผู้เลี้ยงลูกส่วนใหญ่ก็จะเลี้ยงแบบไทยๆ
ชอบชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ที่ใช้การเดินทางส่วนมากเป็นทางแม่น้ำลำคลอง พาเรือแจวกันไปค้าขายหรือสัญจรไปมาหาสู่ วิถีชีวิตส่วนมากจึงอยู่กับแม่น้ำมีบ้านเรือนริมคลอง แม้แต่การเดินทางไปต่างประเทศของเจ้าสัวนายเตา ที่เดินทางกลับไปไหว้บรรพบุรษที่เมืองจีนพร้อมกับเรือของทางคณะทูตไทยเดินทางไปเจริญความสัมพันธ์กับจีนก็เดินทางโดยเรือเช่นกัน อาจจะต้องใช้เวลาค่อนข้างมากก็จริง แต่มันก็เป็นทางเลือกเดียวในสมัยนั้น นอกจากจะใช้โดยสารแล้ว ยังสามารถที่จะใช้บรรทุกสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขายในเมืองไทยได้อีกด้วย
แม้กระทั่งวัฒธรรมการมีเมียบ่าว ของเหล่าข้าราชการหรือชาวบ้านที่พอมีฐานะร่ำรวย คนสมัยก่อนมองว่าเรื่องมีเมียน้อยเมียบ่าวนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ผู้คุมอำนาจในบ้านก็มักเป็นเมียหลวงหรือเมียแต่งนั่นเอง อ่านเรื่องนี้จบรู้สึกอิ่มกับวรรณกรรมทางด้านภาษามากๆ ประวัติศาสตร์แน่นจริงๆ