Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2562
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
24 ตุลาคม 2562
 
All Blogs
 

คืนหนาวไร้ดาวเดือน (บทที่ 9) โดย มานัส


บทที่ 9

แววตาคมจริงจัง แต่ทว่าจริงใจหรือไม่ มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่จะตอบได้ หากเขาย่อมรู้…เรื่องที่คิดเป็นเรื่องนี้จริงๆ
 
รายงานที่เพิ่งได้รับทำให้ชิษณุคิด…ลูกสาวนายดิลก!
 
‘คุณณุจะจัดการอย่างไร’
 
คำถามของนทีที่เขาต้องตัดสินใจ หากในเวลานี้คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาบอก
 
“จะมาคิดถึงฉันทำไม๊”
 
“มันมีเหตุผล…”
 
เสียงขาดหายไปเมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายที่ปรายมา ก่อนร่างอรชรจะก้าวออกจากศาลากลางสวน สู่แสงแดดที่อ่อนแรงของเวลาเย็น
 
ชิษณุลังเล แล้วตัดสินใจสาวเท้าเดินตามไปยังซุ้มไม้เลื้อยที่เบ่งบานด้วยดอกเล็กสีขาว ส่งกลิ่นหอมอวลชื่นใจ
 
“นั่นชมนาด”
 
เขาบอกอย่างเคร่งขรึมเมื่อเดินเข้ามาใกล้จนเกือบชิด ดวงตาจับอยู่ที่มือเรียวขาวของหญิงสาวที่กำลังแตะเบาๆ บนกลีบดอกไม้สีขาวนวล
 
“หอมชื่นใจจัง เอ๋…กลิ่นคุ้นๆ” หญิงสาวก้มลงสูดกลิ่นหอม “ขอเด็ดมาดอกนึงได้ไหม”
 
“มากกว่านั้นก็ได้” แววตานิ่งสะกดความรู้สึกทุกอย่างไว้ “กลิ่นของชมนาดจะหอมคล้ายกลิ่นของข้าวที่เพิ่งหุงสุกใหม่ๆ มันถึงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่าดอกข้าวใหม่”
 
“อือ…คล้ายจริงๆ ด้วย” เธอสูดกลิ่นของดอกสีขาวเล็กๆ ที่อยู่ในมือ แหงนหน้ายิ้มให้เขา นิ้วเรียวแตะกลีบคล้ายถ้วยใบเล็กเบาๆ “ดูคุณจะชอบมันมากเป็นพิเศษ”
 
“มันหอมเย็นใจ อีกทั้งหอมทนและหอมนาน แม้ดอกจะแห้งไปแล้วแต่กลิ่นก็ยังหอมอยู่ ไม่ซ่อนกลิ่นเอาไว้ให้ชวนสงสัย”
 
“มิน่าถึงจะดมก็ดมแต่ชมนาด ส่วนดอกอื่นหอมๆ ไม่ยักจะดม” แววตาของเธอที่มองเขาคล้ายดั่งจะฉายยิ้มออกมา “เลือกปฏิบัติ…”
 
คราวนี้ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ดวงหน้าอ่อนโยนขึ้น “ดอกไม้ ต้นไม้ของผม ผมปลูกมันกับมือ ผมก็ชอบหมด ชื่นชมได้หมด แต่ชมนาดกลิ่นหอม ใบก็เขียวสด รูปลักษณ์ขาวนวลดูสบายตา”
 
“แต่มันมียาง…” มณิกานต์มองยางของดอกที่ไหลมาเพียงนิด
 
“มันถึงน่าสนใจ ความสวยงามที่ซ่อนอะไรบางอย่างไว้” ใบหน้าของเขาไม่ได้เคร่งขรึมเหมือนเสียง “ปรกติชมนาดจะออกดอกปีละครั้ง ผมต้องพยายามอยู่หลายปีกว่าจะหาพันธุ์และลงปุ๋ยเพื่อให้มันออกดอกได้ตลอดทั้งปี”
 
“ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะสนใจและรู้เรื่องพวกนี้ด้วย ส่วนใหญ่แล้ว คนที่ชอบทำสวนจะเป็นคนที่ค่อนข้างใจเย็น”
 
“ผมก็ใจเย็น เย็นเยือกเหมือนสายน้ำเลย”
 
แม้จะอ้างเช่นนั้น แต่ในใจ…ชิษณุย่อมรู้
 
เย็นเยือกกับเลือดเย็น อาจฟังดูคล้ายๆ กัน แต่มันช่างต่างกันนัก
 
“คุณดูเหมือนเป็นคนใจเย็น แต่ไม่ใช่” มณิกานต์มองเขาอย่างพิจารณา “อะไรหลายอย่างในตัวคุณมันบอกว่าไม่ใช่”
 
“ผมดีใจที่คุณให้ความสนใจในตัวผม”
 
“แค่พูดตามที่เห็นเท่านั้นแหละ” เสียงใสดังขึ้นเล็กน้อย
 
“งั้นผมมาให้คุณเห็นบ่อยๆ ดีไหม?”
 
รอยยิ้มกับดวงตาของเขาทำให้มณิกานต์ต้องเลี่ยงเดินไปทางอื่น แต่ก็ยังรู้สึกถึงสายคู่นั้นกำลังมองตามมาไม่เว้นวาย
 
หญิงสาวบอกกับตัวเองซ้ำไปมาว่าเธอไม่ควรใกล้ผู้ชายคนนี้ให้มากนัก
 
อีตานี่…อันตราย!
 
 
และถึงไม่อยาก…ใกล้ แต่ก็ไม่มีทางเลี่ยง เพราะเช้าวันรุ่งขึ้น รถโฟร์วิลส์คุ้นตาก็มาจอดหน้าบ้าน
 
มณิกานต์สูดลมหายใจเข้าลึก ตวัดสายตาออกนอกหน้าต่างห้องรับแขก มือเรียววางไม้กวาดที่อยู่ในมือ ซับหยดเหงื่อที่ไหลบนใบหน้า
 
เสียงแตรดังลั่น แต่หญิงสาวจงใจหลบไปหลังบ้าน
 
เดี๋ยวอีตานั่นก็คงกลับไปเอง
 
เธอนึกชมตัวเองว่าเดาได้ถูกต้อง เมื่อเสียงแตรรถเงียบไปในที่สุด หญิงสาวจัดแจงเปิดน้ำใส่ถังใบเล็ก คว้าผ้าพร้อมไม้ถูพื้น
 
…ลำบากกาย แต่จิตใจสงบนัก
 
และต่อให้ชนินทร์คัดค้าน แต่หญิงสาวก็รั้นหาอะไรทำจนได้ เช่นวันนี้ที่เธอปัดกวาดทำความสะอาดบ้านแต่เช้า เช่นที่ทำประจำสัปดาห์ละสองสามครั้ง
 
แขนเล็กข้างหนึ่งเหยียดตรงเพราะน้ำหนักกระแป๋งที่ปริ่มด้วยน้ำจนเกือบล้น   ทำให้เจ้าตัวเดินตัวเอียงมาในบริเวณห้องรับแขก
 
ผมยาวถูกรวบไปอย่างลวกๆ เผยให้เห็นใบหน้านวลที่พลันเบ่งตากว้างตกใจ
 
“นี่!”
 
เสียงร้องทำให้ร่างสูงกำลังคุกเข่ากวาดใต้ตู้โชว์อย่างชำนาญเงยหน้า ส่งยิ้มกว้าง   “กู๊ดมอร์นิ่ง” เขาลุกขึ้นเดินไปหาคนที่ยังคงมองอย่างไม่วางใจ “มา…ผมช่วยนะ ท่าทางจะหนักเอาเรื่อง ทีหลังรอกวาดให้เสร็จก่อนก็ได้ แล้วค่อยไปเอาที่ถูพื้น
 
ชิษณุจับที่หิ้วของกระแป๋ง บังคับกลายๆ ให้อีกฝ่ายคลายมือ
 
“ฉันไปหลังบ้านพอดี ก็เลยหิ้วมาเลย” มณิกานต์บอกอย่างเสียไม่ได้ “แล้วนี่คุณปีนเข้ามาอีกล่ะซิ”
 
“ครับ” เขารับหน้าตาเฉย ”ทำไงได้ล่ะ กดแตรเรียกตั้งนานไม่มีใครมาเปิด สงสัยเสียงแตรรถจะเบาไป”
 
“โทษที ไม่ได้ยิน” หญิงสาวบอกหากแววตาไม่เหมือนว่าจะจริงใจเสียเลย
 
“ไม่ได้ยินหรือไม่อยากได้ยิน” แม้จะถามเช่นนั้น แต่เขาไม่สนใจที่จะรอคำตอบ “แล้วนี่กินข้าวเช้าหรือยัง”
 
“ฉันไม่ค่อยกินอะไรตอนเช้า ไม่หิว…”
 
“มื้อเช้าสำคัญที่สุดหน่า ถ้าไม่กินแล้วจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนทำงาน”
 
“ก็มีแรงนี่ไง ทำได้ตั้งหลายอย่าง” เธอแย้ง หยิบไม้กวาดมากำแน่น
 
“รู้หรอกว่าเก่ง นี่…ผมซื้อปาท่องโก๋มาฝาก เจ้านี้อร่อย…กรอบนอกนุ่มใน ขายมาตั้งแต่ผมยังเด็กๆ”
 
“เก็บไว้กินเองเถอะ ฉันไม่หิว” หญิงสาวชำเลืองมองอีกฝ่ายที่หยิบถุงพลาสติกใสที่มีถุงกระดาษอยู่ข้างใน
 
“ชิมหน่อยนะ จะได้รู้ว่าผมไม่ได้โม้ เนี่ยอุตส่าห์เข้าคิวรอซื้อมาฝาก อร่อยน๊า”
 
ว่าแล้วเขาก็เดินหายเข้าไปในครัว มณิกานต์ได้ยินเสียงบ่น หาอะไรอยู่ แล้วก็เงียบไป จนเมื่อเธอกวาดพื้นเสร็จแล้วจึงเดินไปดู
 
กลิ่นปาท่องโก๋โชยมา แล้วยังนมข้นหวานที่เขารินออกมาใส่ถ้วย วางข้างๆ สังขยาใบเตยหอมอวล จนเธอไม่สามารถปฏิเสธเมื่อเขายื่นถุงปาทอดโก๋ให้
 
“อือ…นุ่มอย่างที่คุณโม้จริงๆ ด้วย” หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะฉีกอีกคำออกเพื่อจิ้มกับนมข้นหวาน “อร่อยดี”
 
เมื่อแหงนหน้าขึ้น เธอจึงเห็นว่าเขามองมาอยู่ก่อนแล้ว
 
“วันนี้พอมีเวลาว่าง เลยกะว่าจะชวนคุณไปเที่ยว”
 
“หึ” มณิกานต์ส่ายหน้า
 
“ติดธุระเหรอ”
 
“เปล่า ขี้เกียจไป” คนพูดยักไหล่
 
“อยู่บ้านน่าเบื่อจะตาย นี่ช่วงนี้ผมว่าง เอาไว้ช่วงที่ผมยุ่งๆ แล้วคุณค่อยอยู่บ้านก็ได้” ว่าแล้วเขารีบบอก “พี่นินทร์ไม่มีเวลาพาคุณไปไหนหรอก รายนั้นห่วงแต่คนไข้ คุณมาอยู่นี่ตั้งหลายเดือนแล้วคงไม่ได้ไปไหนนัก ถือว่าผมทำหน้าที่เจ้าบ้านแทนพี่นินทร์ก็แล้วกันนะ”
 
แววตาสดใสที่มองมาดูจริงใจ จนหญิงสาวใจอ่อนพยักหน้ารับ
 
“แล้วคุณมีโปรแกรมพาฉันไปเที่ยวไหน”
 
“เพียบ! คุณจะไหวหรือเปล่าเถอะ”
 
“ถ้าคุณไหว ฉันก็ไหว” รอยยิ้มของเธอบ่งบอกถึงความมั่นใจเช่นนั้นจริงๆ
 
 
พนักงานของโรงแรมระดับห้าดาวไหว้ต้อนรับลูกค้าหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์
 
หากสีหน้าของลูกค้าบึ้งตึงด้วยอารมณ์โกรธอะไรสักอย่าง “ผมจองห้องไว้” สำเนียงแปร่งนิดๆ กิริยาท่าทางถือตัวอย่างชัดเจน “ชื่อเทวัญ…”  
 
พนักงานสาวจัดแจงตรวจสอบจากในเครื่อง “ค่ะ เป็นห้องซุปพีเรียลนะคะ”
 
“ใช่” คำตอบไม่ลังเล สายตาของเขากวาดไปทั่วรอบๆ ล็อบบี้ของโรงแรมห้าดาว รอยยิ้มมุมปากแฝงความสะใจอะไรบางอย่าง
 
ทว่าคนที่กำลังเช็คอินไม่รู้เลยว่า ชื่อ ข้อมูลและภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดของโรงแรมถูกส่งมาถึงมือของนทีภายในเวลาไม่ถึงห้านาที
 
ชายหนุ่มผิวคล้ำแววตาดุดันเอาเรื่อง ศึกษาข้อมูลที่ได้รับมาอย่างเคร่งเครียด
 
‘มันจะต้องกลับมาทวงสิ่งที่มันคิดว่าเป็นของมัน’ ผู้เป็นนายได้เตือนไว้แล้วเมื่อเดือนก่อน ‘ขนกลับมาแบบถาวรกันอย่างนี้คงมีแผนใหญ่ และจะแปลกอะไรถ้าพวกนั้นจะใจกล้าเข้ามาพักที่โรงแรมของเรา’
 
ข่าวคราวของคนที่เป็นศัตรูตัวฉกาจไม่เคยรอดหู รอดสายตาผู้เป็นนายได้เลย
 
‘อาจจะหลบเจ้าหนี้ทางโน้นด้วยครับ’
 
‘แต่ผมหวังว่าพวกนั้นคงไม่โง่เกินไปจนไม่คิดว่าทางโน้นจะตามตัวไม่ได้ เพราะแค่นี้ก็เขลาพอแล้วที่คิดว่าจะขโมยของๆ ผมไปได้อีกครั้ง’
 
รอยยิ้มหยันมุมปากแลดูน่ากลัว จนแม้แต่นทียังรู้สึกเสียวสันหลัง
 
‘นายจะให้ผมแจ้งไปทางอเมริกาไหมครับ’
 
‘ยังไม่ต้อง เก็บไว้เป็นดอกสุดท้าย เรายังมีหมากที่ต้องเดิน แค่ควบคุมการเดินหมากของเราให้ดีก็แล้วกัน อย่าให้พลาด ผมจะให้เจ้าหนี้ทางโน้นชะลอก่อน’
 
นทีจำได้แม่นถึงรอยยิ้มและแววตาเย็นชาของผู้เป็นนาย…เลือดเย็น
 
แล้ว…ใจที่รอยยิ้มนั้นสะท้อนล่ะ จะน่ากลัวเพียงใด
 
ความคิดของเขาพลันหยุดเพราะเสียงเคาะประตู และเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นต้อนรับและเชื้อเชิญให้นั่งตามมารยาท
 
“ทางโน้นเช็คอินแล้ว” ไม่ต้องบอก ทั้งคู่ก็รู้ว่าสารินหมายถึงผู้ใด
 
“ครับ” นทียื่นแฟ้มข้อมูลให้อีกฝ่าย “ผมจัดชุดประกบไว้เรียบร้อยแล้ว มีเทวัญมาถึงเพียงคนเดียว ส่วนสองผัวเมียนั่นก็รอให้เหยียบกรุงเทพฯ เสียก่อน ไม่ว่าพวกนั้นทำอะไรก็จะอยู่ในสายตาของเราตลอด”
 
“ระวังไว้ด้วยล่ะ” ประโยคนี้ออกมาอย่างแผ่วเบา “ขนกันกลับมาแบบนี้แสดงว่าเข้าตาจน สุนัขจนตรอกน่ากลัวนะ”
 
คำเตือนเช่นนี้ นทีเคยได้ยินจากเจ้านายมาแล้ว ความฉลาด เฉียบขาด และเลือดเย็นของผู้เป็นนายไม่เพียงทำให้ ‘นักเลงเก่า’ อย่างนทีบยอมรับ แต่ยังสามารถทำให้นักบริหารมือหนึ่งอย่างสารินยอมสิโรราบโดยไร้เงื่อนไขเช่นกัน
 
“คุณหญิงคงเหนื่อยเช่นเคย” สารินพลิกดูข้อมูลในมือ
 
“คงเป็นครั้งสุดท้ายครับ นายไม่ปล่อยเอาไว้อีกเป็นแน่” นทีมั่นใจว่าตนเองคาดเดาได้ถูกต้อง “ยิ่งหนี้ล้นตัวทั้งครอบครัวแบบนี้ ยังไม่รวมหนี้พนันที่เพิ่งก่ออีก”
 
“คนพวกนี้ นิสัยแก้ไม่หาย” สารินส่ายหน้าอย่างระอา
 
“คราวนี้นายคงรวบยอดทุกอย่างพร้อมกัน ให้จบๆ เสียที”
 
“ผมก็หวังเช่นนั้น กลัวแต่ว่าคุณหญิงท่านจะใจอ่อนกับฝั่งโน้นอีก” สารินถอนหายใจ รับรู้ในความจริงว่า ชิษณุคนปัจจุบันไม่ใช่เด็กหนุ่มที่เพิ่งเริ่มตั้งต้นใหม่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ทว่าเขากลายเป็นชายหนุ่มที่สั่งสมประสบการณ์ในโลกธุรกิจ มีบทเรียนชีวิตให้จดจำ พร้อมที่จะใส่หน้ากาก พลิกแพลงลิ้น เพื่อให้สำเร็จบรรลุเป้าหมาย
 
คุณหญิงกรองแก้ว ผู้เป็นยายแท้ๆ ก็แค่เป็นอีกคนที่ต้องได้รับบทเรียนเช่นกัน
 
‘เมื่ออยู่กับฝูงจิ้งจอกเราต้องเป็นยิ่งกว่าจิ้งจอก ต้องคล่องกว่า เจ้าเล่ห์มากกว่า โหดกว่า และเหี้ยมยิ่งกว่า’ ใครจะเชื่อว่านี่คือประโยคจากหนุ่มน้อยหน้าตาคมคายที่ในวัยเยาว์มีรอยยิ้มวาววับสดใส มองโลก มองคนในแง่ดี และมีหัวใจที่อ่อนโยน
 
บัดนี้ชิษณุกลายเป็นคนที่น่ากลัว คนที่ลูกน้องไม่กล้าหักหลัง เพราะยามดี…ก็ดีใจหาย แต่ยามร้ายก็ร้ายเหลือแสน เลือดเย็นเหลือเกิน
 
ชิษณุใจนักเลง ไม่เคยทำใครก่อน ไม่เคยช่วงชิงเอาของคนอื่นมา
 
เหล่าคนที่โดน…จัดการ ล้วนเพราะว่า ‘พวกมันทำผมก่อน’
 
ให้สารินและนทีเคยจงรักและภักดีต่อผู้เป็นพ่อของชิษณุเช่นไร ความรู้สึกเช่นนั้นก็มีให้กับผู้เป็นลูกด้วย มิใช่เพราะเกรงกลัว แต่เพราะจงรักและภักดีเช่นกัน
 
“ถ้าคราวนี้มันจบจริงๆ ผมหวังว่าจะได้เกษียณเสียที”
 
“แต่ผมเกรงว่าคุณสารินจะโดนคารมนายอีกน่ะซิครับ” ผู้อ่อนวัยกว่ารู้ทัน
 
รู้ว่าถ้า นาย ยังไม่ตกลง ไม่ว่าลูกน้องคนไหนก็ยากที่จะ ‘หลุด’ ไปได้  
 
กับคนกันเอง นาย ใช้ไม้อ่อน แต่กับศัตรูนายมักจะฟาดด้วยไม้แข็ง และถ้าจำเป็นก็จะฟาดจนอีกฝ่ายไร้สิ้นลมหายใจต่อสู้
 
 
แดดแรงกล้าของเวลาบ่ายสาดลงอย่างไม่ปราณี ผนวกกับอากาศระอุอ้าวที่แข่งกับไอร้อนและเสียงแผดลั่นของบรรดาเครื่องจักรที่กำลังเร่งทำงานในบริเวณเขตก่อสร้างทางยกระดับแถบชานเมือง คลุกกับฝุ่นและเขม่าควันตลบฟุ้ง
 
วิศวกรใหญ่สั่งงานกับลูกน้อง ไม่สนใจไคลเหงื่อที่ไหลหยดมาไม่ขาดสาย  จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์มือถือที่พกอยู่ข้างตัวดังขึ้น เจ้าตัวจึงรับสาย
 
“ว่าไงอธิป สบายดีไหม” เสียงจากคนที่โทรฯ เข้าเน้นชัดหากสำเนียงเปล่งๆ ราวดัดสำเนียงภาษาไทยให้ไม่ชัด “ได้ข่าวว่าได้ดี ตำแหน่งใหญ่โตแล้วนี่”
 
“เทวัญ…” ทำไมอธิปจะจำเสียงไม่ได้ “มีอะไร?”
 
“เดี๋ยวนี้ทักเพื่อนอย่างนี้เหรอ”
 
“กูไม่กล้าริอาจคิดเป็นเพื่อนกับมึงหรอก” อธิปเดินเลี่ยงออกมาจากกลุ่มลูกน้อง “ว่าแต่มีอะไรก็รีบพูดมา กูต้องทำงาน”
 
“กลัวเจ้านายของมึงไม่รวยหรือไง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทนได้ยังไง ทำงานให้มัน เงินเข้ากระเป๋ามัน แล้วมึงได้อะไร”
 
“ไม่ต้องยุ มึงก็รู้ว่าไม่สำเร็จ ให้ตายเถอะ! สันดานระยำไม่เปลี่ยนเลย” ชายหนุ่มส่ายหัว
 
จะกี่ปีที่ล่วงเลย นิสัยของเทวัญก็ยังไม่น่าคบอยู่เหมือนเดิม
 
“แค่หวังดี เห็นมึงเป็นเพื่อน ในเมื่อมึงมันโง่ไม่ต้องการความหวังดีก็ช่าง” น้ำเสียงเย้ยเยาะ “ที่กูสละเวลาโทรฯ ก็เพื่อจะบอกว่ากูอยู่เมืองไทยแล้ว ถ้าได้เจอมึงและอรก็ดี อย่างน้อยก็ในฐานะเพื่อน…”
 
“ไม่ว่าง” คำสวนไม่ต้องเสียเวลาคิด “นี่กูตอบแทนอรด้วย”
 
“ไม่เป็นไร เอาไว้เมื่อไหร่ที่มึงว่างก็ได้ กูมีเวลาให้เพื่อนเสมอ ฝากบอกเจ้านายมึงด้วยล่ะว่ากูระลึกถึงมันอยู่”
 
“นายของกูก็ระลึกถึงมึงเหมือนกัน” ชายหนุ่มวางสายทันที…เสียเวลาจริงๆ
 
อากาศก็ร้อนพออยู่แล้ว นี่มาเจอเรื่องร้อนหูอีก ทำให้อธิปต้องสบถนานเป็นนาทีก่อนกดโทรศัพท์
 
“ยุ่งอยู่หรือเปล่าวะ ณุ” เขาบอกทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย “เรื่องสำคัญว่ะ!”
 
 
ชนินทร์ชำเลืองมองหญิงสาวที่นั่งอยู่อีกด้านของโต๊ะอาหาร ข้าวในจานของเธอลดลงนิดเดียวจากที่ตักไว้ตั้งแต่แรก มือเรียวจับช้อนส้อมพร้อมถอนหายใจ จนเขาอดไม่ได้ที่จะถาม
 
“ไม่สบายหรือเปล่า”
 
“เปล่าค่ะ” รอยยิ้มแลดูเหนื่อย
 
“กับข้าวไม่อร่อยเหรอ”
 
“มนต์ยังไม่หิวเท่าไร” มณิกานต์ฝืนยิ้ม รู้สึกเบื่อๆ อย่างบอกไม่ถูก
 
เมื่อหลายวันก่อนเคยรำคาญและเบื่อ เพราะมีคนลากเธอตะเวนเที่ยวไปทั่ว
 
‘จะออกไปทำไมทุกวี่ทุกวัน…’ เธอบ่นกับคนที่ทำหน้าที่นำทัวร์นรก
 
‘แล้วคุณจะอยู่บ้านคนเดียวทำไมทุกวี่ทุกวัน’ เขาคนนั้นย้อนอย่างขบขัน
 
มีบางวันที่เขาแค่มารับเธอไปยังบ้านซ่องโจรหลังใหญ่นั่น
 
‘ป้าโฉมให้ชวนคุณไปกินข้าวกลางวัน’
 
และการใช้เวลาอยู่ที่นั่นมักล่วงจนถึงเวลาเย็นย่ำเสมอ
 
ทุกครั้งที่ไป มณิกานต์ต้องใช้เวลาเดินชมสวนสวยแห่งนั้น…ขอดอมดมชมนาดฝากกลิ่นหอม
 
เธอไม่เพียงแต่ดม หากยังแอบเด็ดดอกขาวเล็กที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นนั่นทุกที เอากลับบ้านมาซุกที่หัวเตียง
 
ดอกไม้ขาวละมุนส่งกลิ่นหอมทำให้หลับสบายตลอดคืน และปลุกให้ตื่นในยามเช้าด้วยความสดชื่น
 
อีตาชิษณุไม่รู้หรอก!
 
“คุณมนต์ทำงานบ้านหนักไปนะ อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้อง เรามีคนมาทำให้อยู่แล้ว” ชนินทร์รู้ดีว่ามณิกานต์ไม่คุ้นเคยกับงานบ้านและชีวิตแบบนี้
 
คุณหนูที่ชินกับความสะดวกสบาย กลับต้องมาลำบากทั้งๆ ที่ไม่จำเป็น และความเหนื่อยอาจจะเป็นต้นเหตุของอาการที่แสดงออกมาจากหญิงสาว
 
“มนต์ก็ไม่ได้ทำอะไรมากค่ะ อีกอย่างจะให้มนต์มาพักอยู่กับพี่หมอเฉยๆ ได้ยังไงล่ะคะ อะไรช่วยได้ก็ช่วย” หญิงสาวยิ้มตาหยี  “และเป็นคุณแจ๋วช่วยงานบ้านก็สนุกไปอีกแบบ แถมได้ออกกำลังกายด้วย”
 
“ดื้อจริงๆ” ชนินทร์ส่ายศีรษะ ประจักษ์ถึงความดื้อตั้งแต่มณิกานต์มาอยู่ด้วย
 
‘มนต์พอมีค่ะ’
 
เงินที่ติดตัวสำหรับการ ‘หนี’ คงไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากเขาแล้ว เธอยังช่วยออกค่าใช้จ่ายในบ้าน และพอเขาค้าน เธอก็แย้งด้วยเหตุผลร้อยแปด ชายหนุ่มจึงต้องจำนน หากก็ไม่วายห่วง  
 
“ควรจะส่งข่าวไปบ้านนะ คงเป็นห่วงกันแย่เลย หายมาหลายเดือนอย่างนี้”
 
“ไม่มีใครมีเวลาเป็นห่วงหรอกค่ะ” น้ำเสียงระคนความน้อยใจ
 
บิดาของเธอมีแต่งาน เงิน และ…ผู้หญิง
 
ส่วนมารดาของเธอก็เดินทางไปโน่นนี่ แวะเยี่ยมเยือนเพื่อนที่มีมากมาย น้อยครั้งที่จะแวะมากรุงเทพฯ
 
“พี่หมอคงไม่ว่าอะไรนะคะ ถ้ามนต์จะขอรบกวนต่อไปก่อน”  สีหน้านั้นเศร้า เพราะไร้ทางไป
 
“ให้คุณมนต์สบายใจก็พอ” เขาเข้าใจถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย
 
แผลบางอย่างมันต้องใช้เวลารักษา
 
และเท่าที่เขาได้รับรู้…แผลของหญิงสาวนั้นสาหัสยิ่งนัก
 
เวลา…จึงเป็นยาที่วิเศษที่สุด
 
“คงรบกวนพี่หมออีกไม่นานหรอกค่ะ เกรงใจคู่หมั้นของพี่หมอเหมือนกัน กลัวจะเข้าใจผิด”
 
“อรเขาไม่ว่าอะไร” ชนินทร์บอกตามความจริง
 
เขาและคู่หมั้นมีความไว้ใจ เชื่อใจ และเคารพกันเกินกว่าที่จะระแวงจนเกินควร
 
อรทัยอาจถามด้วยความสงสัย แต่เขาก็เล่าความจริง ให้ความกระจ่างแก่เธอ ไม่ปิดบัง
 
“ใจดีจัง ชักอยากจะเจอคู่หมั้นของพี่หมอซะแล้ว” รอยยิ้มกว้างนั้นจริงใจอย่างแท้จริง
 
“รายนั้นมักจะยุ่ง”
 
“พี่หมอเลยต้องเป็นฝ่ายเข้ากรุงเทพฯ” คนมาอาศัยสังเกตอยู่หรอก ไปก็…เช้าเย็นกลับ ดังนั้นเธอจึงถาม “พี่หมอไม่คิดจะเข้าไปประจำที่กรุงเทพฯ เหรอคะ”
 
“ไม่” ชนินทร์ส่ายหน้า เขามีความสุขกับการเป็นหมอบ้านนอกมากกว่าที่จะเป็นนายแพทย์ใหญ่ในเมืองกรุง
 
เมืองกรุงฯ มีหมอมีโรงพยาบาลให้เลือก แต่ที่นี่ไม่มีพร้อมเหมือนกรุงเทพฯ น้อยคนอยากจะเป็นหมอบ้านนอก ทั้งๆ ที่…บ้านนอก ต้องการหมอมากที่สุด
 
“พี่หมอ…แปลก ใครๆ ก็อยากอยู่กรุงเทพฯ สบายกว่าเยอะ”
 
“คนเราอยู่ที่ไหนก็สบายได้ ความสะดวกสบายหาง่ายถ้าเรารู้จักปรับตัวและทำความเข้าใจกับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง พอใจในสิ่งที่เป็นและเข้าใจมัน คนเราจะสุขจะทุกข์ก็อยู่ที่ใจ อยู่ที่ความพอดีของตัวเราเอง”
 
“สาธุ…” คนพูดยกมือทำท่าประกอบ “เป็นคุณหมอใจดี แล้วยังเป็นนักเทศน์ระดับเปรียญด้วยนะเนี่ย”
 
เพียงแต่ว่าในเวลานี้มณิกานต์กำลังคิดถึงบุรุษอีกคน
 
…เขาคนนั้นจะเบื่อสังคมที่ใส่หน้ากากบ้างไหมหนอ
 
เขาจะมีความพอดีบนความพอใจบ้างไหมหนอ
 
ที่กรุงเทพฯ กับมาดนักธุรกิจไฟแรง กลมกลืนเข้ากับสังคมได้แนบเนียน ภายใต้ใบหน้าที่ปั้นไปตามสถานณการณ์กับรอยยิ้มฉาบเสน่ห์ชวนมองที่ทำให้ผู้คนหลงใหล หลายคนหลงรัก
 
แต่แปลกที่บัดนี้มณิกานต์กลับรู้สึกว่าบุคลิกที่แท้จริงของเขาคนนั้นเหมาะกับชายหนุ่มอารมณ์ดีเป็นกันเองที่เธอเห็นจนชินตาเวลาไปไหนมาไหนด้วยกันหลายวันก่อน มากกว่าที่จะเป็นหนุ่มสังคมในกรุงเทพฯ ภายใต้หน้ากากตามกลไกของสังคมและธุรกิจ
 
 
 
 
===========================================================
WARNING ---------- คำเตือน ---------- WARNING
===========================================================
 
= นิยายเรื่องนี้จะลงในเด็กดีและใน literature.bloggang.com และเปิดให้อ่าน แต่ผู้เขียนขอสงวนการปิดการอ่านใน 5 บทสุดท้าย และอาจจะปิดการอ่านของนิยาย...ก่อนหรือเมื่อมีการตีพิมพ์
 
= นิยายเรื่องนี้ได้เขียนไว้เกือบ 15 ปีแล้ว ผู้เขียนจะพยายามปรับเนื้อหาให้เป็นปัจจุบันนะคะ
 
= และเพราะนิยายเรื่องนี้ถูกแก้ไขมาหลายปีแล้ว การแก้ไขจะยังมีอยู่ตราบใดที่ยังไม่ตีพิมพ์ค่ะ
 
= ผู้เขียนน้อมรับคำท้วงติง คำติ คำเตือน และจะยินดีมากที่ผู้อ่านจะติชมค่ะ
 
ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกความปรารถนาดี ขอบคุณผู้อ่านที่อดทนในความไม่ค่อยเขียนของผู้เขียนนะคะ
 
: มานัส
 
Facebook : www.facebook.com/manasauthor
Blog : literature.bloggang.com
 

ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นเป็นของผู้เขียนตามกฎหมาย ห้ามคัดลอก ดัดแปลงหรือนำไปเผยแพร่ต่อไม่ว่าในกรณีใดๆ ไม่ว่าทั้งหมดหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง ด้วยวิธีใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของผลงาน

=====สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537=====


 




 

Create Date : 24 ตุลาคม 2562
0 comments
Last Update : 24 ตุลาคม 2562 15:18:45 น.
Counter : 845 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Sentimentally Smooth
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ชอบคิดชอบเขียนชอบพูด...และชอบเที่ยว

บทประพันธ์ที่ได้รับการตีพิมพ์ "ฤารัก"

หลงรักเพราะรักฤๅรักหลง
หลงลมรัญจวนไม่รู้หาย
หลงรูปหลงจูบเพียงร่างกาย
หลงง่ายหลงผิดฤๅหลงกล
Friends' blogs
[Add Sentimentally Smooth's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.