Group Blog
 
<<
กันยายน 2563
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
8 กันยายน 2563
 
All Blogs
 
คืนหนาวไร้ดาวเดือน (บทที่ 31) โดย มานัส

บทที่ 31

มณิกานต์ก้าวเข้าไปหาผู้ใหญ่ทั้งสอง รอยยิ้มกระจ่างเป็นประกายสดใส ท่วงท่าอ่อนน้อมเมื่อไหว้คุณหญิงและระพีพร
 
งามเอย…งามจริตอ่อนช้อย               แน่งน้อยงามสรรพ กระนั้นหนา
งามองค์ งามถ้อย งามโสภา               งามกิริยาตราฤทัยฯ
 
ที่หญิงสาวรับรู้คือความเอ็นดูจากคุณหญิงกรองแก้วและรพีพรที่ยังคงมีให้มิเสื่อมคลาย คล้ายความรู้สึกบางอย่างที่…ชิษณุแสดงให้เห็น
 
เมื่อก่อนเป็นอย่างไร ณ เวลานี้…เป็นเช่นนั้น
 
ทว่าการสนทนาที่คุ้นเคยเป็นไปเพียงครู่เพราะแขกคนอื่นที่เข้ามาทักทายกับคุณหญิง มณิกานต์จึงหลบออกมา เหลือบมองไปทางชิษณุที่กำลังสนทนากับคนรู้จัก
 
หญิงสาวปลีกตัวออกช้าๆ ส่ายหน้าเป็นการปรามหนึ่งในผู้ติดตามของเขาที่เตรียมเข้าไปแจ้งให้เขารู้ว่าเธอกำลังจะ…ไป
 
จนกระทั่งเห็นว่าบรรดาเพื่อนๆ ของเธอมาถึงงานแล้ว การถอนหายใจอย่างโล่งอกจึงผ่อนยาว
 
“เอาใหญ่แล้วนะ” เพื่อนรักอดไม่ได้ที่จะหยอก “เขาเมาท์กันสนั่นงานว่าคุณชิษณุควงมากับแก เห็นท่าจะจริง”
 
“ฉันมาคนเดียวย่ะ” 
 
“แล้วที่หล่อนอี๋อ๋อกับคุณหญิงล่ะ นานกว่าชาวบ้านคนอื่น การ์ดก็ไม่กล้ากันหล่อนออก” ปิยะรัตน์กระเซ้าเพื่อน “ใครๆ ก็รู้ว่าคุณหญิงหยิ่งจะตาย แต่นี่ท่าทางชีจะชอบหล่อนเป็นพิเศษนะยะ”
 
“อย่าคิดว่าพวกเราไม่เห็นซิ เห็นหลายลูกกะตาย่ะ” ผสุดียิ้มอย่างรู้ทัน หยิบไส้กรอกค๊อกเทลชิ้นเล็กเข้าปาก “ว่าแต่แกไปหนิดหนมกันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”
 
“นั่นดิ” ปิยะรัตน์พยายามลดเสียง “ช่วงนี้ยิ่งมีข่าวออกมาว่าพ่อของแกกับเขาแข่งกันอย่างดุเดือด ฆ่ากันได้คงทำไปแล้ว”
 
“ก็ที่กองทุนสิงคโปร์ที่ถือหุ้นในบริษัทแกเตรียมถอนทุนเพื่อจะเข้าไปซบอกเขา” เพื่อนอีกคนเสริม
 
“แหม…แต่เขาชามมิ่งนะ” สายตาของบรรดาหญิงสาวจับที่ชายหนุ่มร่างสูงในสูทสีเข้ม “หล่อ รวย เก่ง หลานคนเดียวของคุณหญิง ต่อไปรับทรัพย์อื้อซ่า”
 
“แค่นี้ก็ทรัพย์ล้นแบ๊งค์” อีกหนึ่งสาวเสริม “เงินเหลือจนไปซื้อไร่นาเล่นๆ”
 
“พวกแกแสดงอาการหื่นอย่างนี้เวลาเจอเขาทุกครั้งเลยเหรอ” ดวงตาเป็นประกายระยิบขบขำในท่าทีของเพื่อนๆ
 
เพียงแต่ว่าหญิงสาวรู้ หัวใจของเธอเย็นวาบทุกครั้งเมื่อเห็น…เขา
 
…เจ็บ!
 
เจ็บในทุกความคิด
 
เจ็บทุกความทรงจำ
 
มันเจ็บปวดร้าวราญในหัวใจ
 
“ทุกงาน…” หนึ่งในสาวๆ ยอมรับ “โดยเฉพาะยัยผึ้งกับยัยแป้ง ตัวดี!”
 
“ระงับอาการบ้าง” มณิกานต์ยิ้มตาหยี “อายชาวบ้านเขา”
 
และเมื่อเลี่ยงคำถามได้สำเร็จ เธอก็ลากประเด็นสนทนาไปหัวข้ออื่น จนเพื่อนๆ ลืมไปว่ายังไม่ได้คำตอบในคำถามใดบ้าง แม้เมื่ออีกชั่วโมงกว่าๆ ที่ทั้งสี่สาวร่ำลาคู่บ่าวสาวแล้วหลบออกมาจากงาน
 
“คุณมณิกานต์ครับ กรุณารอคุณชิษณุสักครู่ครับ”
 
เสียงสนทนาครื้นเครงสนุกในหมู่เพื่อนพลันค่อยๆ เงียบเพราะพนักงานในสูทสีกรมท่า คราวนี้สายตาของอีกสามสาวเพ่งไปทางคนๆ เดียว หากเจ้าตัวยังคงตีหน้าเฉย
 
“มีธุระอะไร” เสียงกระชากจนเกือบห้วน “ถ้าเจ้านายของคุณยังไม่นอนพะงาบๆ ใกล้ตายก็อย่ามายุ่งกับดิฉัน รำคาญ!”
 
มณิกานต์หันตัวเดินกลับ หากเสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้นมาก่อน
 
“เดี๋ยวก่อนซิครับ…” ร่างสูงในสูทสีเข้มสาวเท้าเดินเข้ามาเร็ว การเรียกชื่ออีกฝ่ายนั้นคุ้นเคย “สวัสดีครับ”
 
ประโยคหลังเขาหันไปยิ้มทักกับสาวๆ อีกสามคน
 
“คิดว่าจะตามมาไม่ทันซะแล้ว” รอยยิ้มละมุนยามมองในระยะใกล้ชิดนั้นน่าดูยิ่งกว่าตอนเห็นไกลๆ หากมณิกานต์นิ่ง ไม่มองเขาแม้แต่หางตา แม้เมื่อชิษณุยิ้มบอกคนอื่นๆ “ขอโทษนะครับ ผมขอดึงตัวเพื่อนคุณไว้แป๊ปเดียว”
 
ไม่มีใคร…คิดจะปฏิเสธ จนมณิกานต์หันไปถลึงขึงตา เพียงแต่เพื่อนๆ เลือกที่จะหลบสายตา
 
“สัญญาครับว่าจะใช้เวลาไม่นาน แต่พวกคุณกลับกันก่อนดีกว่า ผมเกรงใจหากต้องมารอกัน” รอยยิ้มงดงามพร้อมดวงตาคมเป็นประกายที่มองทุกคนในกลุ่มอย่างเป็นมิตร ทำให้ทั้งสามสาวพลอยพยักหน้าเห็นดีงามตามไปด้วย
 
“ไอ้เพื่อนบ้า!” มณิกานต์บริภาษอย่างหัวเสียตามหลังทั้งสามเดินออกไป
 
“ไม่ต้องไปว่าเขาหรอก” รอยยิ้มและดวงตาของผู้เป็นเจ้าของสถานที่เปลี่ยนเป็นฉายแววเจ้าเล่ห์
 
มือแข็งแรงกำข้อมือของอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะก้าวเดินหนีไป ชิษณุกึ่งลากกึ่งจูงให้มานั่งที่โซฟาตัวใหญ่
 
“จะดื่มอะไร ไวน์อีกแก้ว…ไหวมั๊ย” เขาหันไปถามคนที่นั่งข้างๆ แต่ไม่มีคำตอบใดๆ จนชายหนุ่มต้องถอนหายใจแล้วหันไปสั่งพนักงานเสริพ์ “สก๊อต แล้วก็น้ำเปล่าให้คุณมณิกานต์ ของขบเคี้ยวเอาที่ไม่ใช่ถั่ว”
 
คนที่นั่งเงียบชำเลืองมองเขา…เธอแพ้ถั่ว…เขายังจำได้ สนใจในเรื่องเล็กๆ ตรงนี้ แต่ก็แน่! เขาคงให้คนไปสืบข้อมูลของเธอทุกซอกทุกมุม
 
“มีธุระอะไร” น้ำเสียงนั้นเกือบปรกติ…ขอเวลาอีกระยะหนึ่ง เธอเชื่อว่าความรู้สึกบางอย่างก็จะจางหายไป
 
แต่ตอนนี้…มันยังแปลกๆ อยู่เท่านั้นเอง
 
“นั่งอยู่กับผมสักครู่นะมนต์จ๋า”
 
“เวลามีค่า และไม่ได้มีไว้สำหรับคุณ” หญิงสาวลุกขึ้นด้วยความเร็วพอๆ กับอุ้งมือที่คว้าข้อมือของเธอไว้อีกครั้ง แล้วรั้งเธอให้นั่งลง
 
“รู้หรอกน่า…” การลากเสียงยาวเอาใจยิ่งนัก ก่อนชิษณุจะพยักหน้าสั่งพนักงานในสูทสีน้ำเงินเข้มเข้ามาพร้อมถุงของโรงแรม “ป้าโฉมฝากมาให้”
 
เขาวางถุงไว้บนโต๊ะเตี้ยตรงหน้าอีกฝ่าย
 
“ฝากขอบคุณป้าโฉมด้วย” คำตอบนั้นอย่างเสียไม่ได้ ดวงตาสวยยังคงทอดออกไปไกล มองไปที่ไหนก็ได้ยกเว้นที่เขา
 
“แกจะดีใจมากถ้าคุณไปขอบคุณด้วยตัวเอง” ชิษณุเกลืนน้ำลาย เว้นช่วงหายใจ “ผ่านมาตั้งนานหลายเดือนแล้ว อธิปเขายังโกรธผมอยู่เลย ปรกติเขาไม่ค่อยจะโกรธใคร เกลียดใคร”
 
“พี่อธิปเป็นคนจิตใจดี”
 
วันนั้นที่เธอรีบเร่งออกมาจาก ‘ที่นั่น’ เข้ากรุงเทพฯ พร้อมน้ำตา ความเสียใจ และหัวใจที่ปวดร้าว และแม้อรทัยจะปลอบแต่ก็ไม่เท่ากับที่เห็นใจผู้เป็นนาย จะมีแต่อธิปที่แสดงความห่วงใยและเป็นเดือดเป็นแค้นแทนเธอกับการกระทำของผู้เป็นเพื่อนของเขา
 
“ต่างกับผมซินะ” ชายหนุ่มยอมรับ พลางยกแก้วที่มีวิสกี้ยี่ห้อดังขึ้นมาจิบ “แล้วคุณล่ะ ยังโกรธผมอยู่หรือเปล่า”
 
คำถามของเขาทำให้หญิงสาวต้องหัวเราะในลำคอ เมินหน้าหนี “ฉันไม่โกรธคุณ เพราะนั่นคือนิสัยของคุณ เลือดเย็น เจ้าเล่ห์ ขี้ระแวง เห็นแก่ตัว…แต่ฉันเกลียดคุณ”
 
“ผมเข้าใจ” ชายหนุ่มลากเสียง
 
“คุณไม่ต้องมาทำเป็นเข้าใจอะไร เพราะคนอย่างคุณไม่มีวันเข้าใจ คุณไม่มีหัวใจที่จะเข้าใจจิตใจคนอื่น” เมื่อหันมาทางเขาอีกคราจึงพบว่าดวงตาคมคู่นั้นจับอยู่ที่เธอแล้ว “คุณรู้แต่หลอกใช้คนอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เพื่อบรรลุตามที่สันดานดิบต้องการ ทุกคนก็แค่หมากให้คุณเดิน ชีวิต…ให้คุณทำลาย”
 
“มันอาจจะจริงสำหรับคนอื่น ทว่าสำหรับคุณ…ผมยอมรับว่าเคยคิด แต่ก็ไม่เคยทำได้เลย ทุกอย่างที่ผมคิดจะทำหรือทำไปแล้ว ผมรู้ว่าผลของมันต้องกระทบคุณ แต่ผมก็พยายามที่จะทุกอย่างให้ออกมา…ดีที่สุด ให้ผมแบกรับความเจ็บปวดเหล่านั้นเอง”
 
“คำพูดของคุณดูดีเสมอ ต่างกับจิตใจของคุณมาก!” มณิกานต์ลุกขึ้นทันที “ฉันเหนื่อยพอแล้ว ขอตัว!”
 
“มนต์จ๋า” เขาคว้าแขนเรียวไว้อีกครั้ง
 
“ไม่ต้องมาจ๋า!”
 
ทว่ายังไม่ทันขาดคำ เสียงหนักก็ดังมาจากข้างหลัง
 
“ไอ้ณุ!” อธิปสาวเท้าเข้ามาอย่างเร็ว “ทำอะไรวะ”
 
“แล้วนายเห็นว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่”
 
ถึงแม้ว่าคนพูดยังคงยิ้มให้เป็นปรกติ แต่ผู้เป็นเพื่อนรู้ว่าภายใต้รอยยิ้มมันไม่เป็นอย่างที่เห็น อธิปกระแอมคล้ายเรียกเสียงให้ดังออกมา
 
“นายกำลังสร้างความลำบากใจให้แขกที่มาในงานแต่งน้องสาวฉัน”
 
“ไม่รู้เรื่อง อย่ายุ่ง” เสียงลดต่ำให้ได้ยินเพียงสามคน “ผมไปส่งนะ…”
 
ประโยคหลังเขาหันทางหญิงสาวที่ขยับยืนชิดชายหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามา
 
“ไม่ต้อง ฉันไปเองได้…นอกจากว่าจะมีเหตุผลที่ทำให้คิดว่าฉันไม่ปลอดภัยเวลาที่อยู่ในโรงแรมนี้”
 
“ผมแค่อยากทำหน้าที่ของเจ้าของสถานที่ ที่ดี”
 
“งั้นคุณก็เดินไปส่งทุกคนที่เหยียบโรงแรมของคุณก็แล้วกัน” เธอย้อนพร้อมปราดตามองเขาอย่างสะใจ
 
“ผมก็คงจะทำเช่นนั้น ถ้าผมรู้สึกกับพวกเขาเหมือนที่ผมรู้สึกกับคุณ…มนต์จ๋า”
 
อาจเพราะคำพูด หรือเพราะน้ำเสียงที่ทอดลงอ่อนโยน แต่หัวใจของคนฟังพลันสั่นด้วยความรู้สึก
 
…เป็นเพียงลมปากของคนเจ้าเล่ห์เท่านั้น…เธอพยายามท่อง
 
“พี่อธิปช่วยเดินไปที่รถเป็นเพื่อนมนต์นะคะ” หญิงสาวหันไป…ขอ
 
“จ้ะ” พอรับคำแล้วอธิปจึงหันไปทางเพื่อน พลางขนลุกซู่เมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย
 
‘ยิ้มเหมือนเพชรฆาตกำลังลงดาบ’ เขาเคยเปรียบรอยยิ้มแบบนี้ของเพื่อน
 
‘น่ากลัวนะ อีกฝ่ายไม่รู้ว่าพี่ณุเป็นอย่างไร พอเห็นใบหน้าหล่อๆ มีรอยยิ้มก็ตายใจ ผลสุดท้ายตัวก็ตาย’ น้องสาวของเขาหัวเราะดังลั่นซึ่งก็ทำให้เขาเคยหัวเราะไปด้วย
 
เพียงแต่ว่าอธิปรู้…ชิษณุเป็นคนเช่นไร
 
ดีร้าย…น่าหวาดกลัวเพียงใด
 
ตอนนี้รอยยิ้มนั้นฉายใส่เขาแล้ว…
 
“ฝากนายด้วย” เสียงของชิษณุเมื่อบอกนั้นเป็นปรกติ
 
หากอธิปรู้ว่ามันไม่ใช่อย่างที่เห็นหรือได้ยินเลย เขาไม่กล้าแม้แต่จะสบสายตา
 
ความรู้สึกแบบนี้เป็นของคนที่รู้ตัวว่าโดนชิษณุ…หมายหัวหรือเปล่าหนอ
 
 
คนที่นั่งนิ่งบนชุดโซฟาของโรงแรมในวันรุ่นขึ้นต้องปิดตาลงช้าๆ การรอคอยนั้นเนิ่นนานนัก ความคิดของเขาคงไม่ต่างจากของหลานชายที่กำลังเดินมาตรงหน้า
 
“ปาเข้าไปสองชั่วโมงแล้ว ทำไมคุณป้ายังไม่ออกมาอีกวะ” คนพูดพลันหยุดเดิน มองผู้เป็นลุงซึ่งมีสีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้กัน “แค่ประชุมผู้ถือหุ้นของกงสี มีผู้ถือหุ้นอยู่สี่คน ทำไมนานฉิบ”
 
“นั่นซิ” เฉลิมกวาดสายตาไปรอบๆ พนักงานโรงแรมในสูทสีกรมท่ายังคงปรายตามองมาทางเขาอยู่เรื่อยๆ
 
ถ้าวันนี้กงสีไม่นัดประชุมผู้ถือหุ้นที่โรงแรม โดยมีคุณหญิงเข้าร่วมด้วย เขาคงไม่มีโอกาสได้มาเหยียบที่นี่
 
เพราะประกาศิตของชิษณุศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่สินีก็ไม่กล้าย่างกายเข้ามาที่นี่เลยหลังจากเกิดเรื่องที่เชียงใหม่
 
วันนี้พอได้เข้ามาก็ไม่วายโดนจับตามอง
 
“โธ่โว๊ย!” เสียงของเทวัญดังพอที่จะทำให้แขกที่นั่งไม่ไกลต้องหันมอง
 
“ใจเย็นๆ”
 
“ประชุมบ้าอะไรกันวะ นานฉิบ” ฝีเท้าที่สาวลงหนักและเร็วสะท้อนอารมณ์และความรู้สึก “ไอ้พวกเวรนี้ก็เหมือนกัน จะมองอะไรนักหนา!”
 
เสียงที่แผดลั่นดังกว่าเดิมพอทำให้สินีที่กำลังเดินเข้ามาได้ยินชัดเจน
 
“เบาๆ  อายชาวบ้านชาวช่องบ้าง” เธอไม่พอใจ เฉดเช่นที่ไม่พอใจในเทวัญเลยหลังจากเหตุการณ์ที่เชียงใหม่
 
“อายทำไม” เทวัญยักไหล่ไม่สนใจ แล้วถามในสิ่งที่ต้องการรู้ “ว่าแต่เป็นไงครับคุณป้า เงินปันผลปีนี้เท่าไหร่ แล้วได้คุยกับคุณยายหรือเปล่า ว่าไงครับ…ว่าไง”
 
“หยุด หยุด…” สินีร้องด้วยความรำคาญ เหนื่อยจากการสู้รบข้างบนแล้ว ไม่ทันไรก็ต้องมาเจอการยิงคำถามใส่จนปวดหัว “ให้ฉันได้หายใจบ้างได้มั๊ย”
 
หญิงวัยเลยกลางคนทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรงข้างสามี ไม่สนสายตาของหลานชายที่มองมาอย่างไม่พอใจ
 
“ว่าไง…” เฉลิมถามด้วยความใคร่อยากรู้
 
“จะไงล่ะ…ถ้าแกใช้หัวคิดบ้างไม่ก่อเรื่องไว้ให้คุณแม่เห็นคาตา” เธอชี้ไปทางชายหนุ่มผู้เป็นบุตรบุญธรรมที่นั่งอยู่อีกด้าน “ตอนนี้จะขออะไร ทำอะไรล่ะก็ไม่มีทาง แค่เรื่องไม่ให้พวกเราเข้ามาเหยียบที่โรงแรม คุณแม่ก็ยังไม่ค้าน แล้วนี่คุณแม่โอนหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทต่างๆ รวมทั้งของโรงแรมนี้ให้ไอ้ณุไปเรียบร้อย…เสร็จแล้ว…หมดแล้ว พร้อมให้อำนาจมันกับนังพรนั่งเป็นกรรมการดูแลทรัพย์สินทุกอย่างของคุณแม่”
 
“บ้า ไม่ยุติธรรม สมบัติมีตั้งเยอะแยะ ให้แต่ไอ้ณุ ไม่กี่ปีก็จะตายแล้วยังงก”
 
“เทวัญ!” ผู้เป็นป้าสะใภ้แผดร้อง หากรีบลดเสียงเมื่อเห็นว่าโต๊ะอื่นๆ กำลังมองมา “ที่แกว่านั่นคุณแม่ของฉัน”
 
“แล้วเรื่องปันผลของกงสี” รู้ทั้งรู้แล้วว่าการกระทำของเทวัญเมื่อหลายเดือนก่อนเป็นชนวนทำให้หุ้นต่างๆ ต้องถูกโอนไปให้ชิษณุ ดังนั้นเฉลิมจึงฝากความหวังไว้กับกงสี…สมบัติชิ้นเดียวที่ผู้เป็นภรรยายังมีสิทธิ์อยู่
 
สมบัติ…ที่ให้เงินจับจ่ายใช้สอยในทุกวัน
 
“ปีนี้ไม่มีกำไร จะไม่มีการจ่ายเงินปันผล”
 
“อะไร!” ทั้งลุงและหลานต่างอุทานขึ้นมาพร้อมกัน “ไม่เชื่อ…เป็นไปไม่ได้”
 
“ติดลบ ไม่มีแม้แต่เงินที่จะเอาไปลงทุนเพิ่ม” สินีถอนหายใจ
 
“ที่ผ่านมามีกำไรดีมาตลอด หรือว่าตุกติก” เทวัญคาดคั้น อารมณ์กรุ่นด้วยความโกรธ
 
กระแสเงินที่คาดว่าจะเข้ามาพอที่จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายของเขากลับหายวูบไป เม็ดเงินก้อนนี้…สำคัญต่อทั้งสามคน
 
“เราจะทำยังไง” สินีบังคับเสียงไม่ให้สั่น “ไม่มีเงินตรงนี้ อย่าว่าแต่หนี้ แม้แต่เงินที่จะเอามาให้พวกแกถลุงก็ไม่มีแล้ว”
 
“คุณป้าพูดยังงี้ได้ไง ที่ผมใช้ก็เพื่อลงทุน หาเงินมาให้พวกเรา ผมทำทุกอย่างทุกทางเพื่อจะกำจัด…”
 
“หุบปาก! “แกจะไปไหน”” เฉลิมจำต้องปรามแล้วถามเมื่อเห็นหลานชายลุกพรวด
 
“ขอไปคุยกับยัยแก่นั่น เผื่อมันจะใจอ่อน”
 
“แกคิดว่าทำได้เหรอ” สินีเย้ยหยัน “ขนาดฉันเป็นลูกยังทำไม่ได้เลย แล้วแกเป็นใคร แกเอาปืนไปจ่อหัวไอ้ณุให้คุณแม่เห็นตำตา แล้วแกยังคิดว่าแกยังมีสิทธิ์อะไรอีก”
 
ความจริงที่ว่าเขา…ไม่เคยมีสิทธิ์ฉุดให้หยุดกึก แต่ถึงอย่างไรทุกสิ่งเขาก็ควรได้ในฐานะบุตรบุญธรรมของลูกสาวคนโตไม่ใช่หรือ
 
“ต่อให้แกกรานกราบ คุณแม่ก็ไม่มีทางยอม อย่าเสียเวลาเลย”
 
“โธ่โว้ย!” เทวัญไม่อยากได้ยินคำบอกที่ไม่รื่นหู
 
 
“อ้าว จะออกไปข้างนอกหรือนั่น” รพีพรทักเมื่อเห็นหลานชายอยู่ในชุดสำหรับเล่นกอล์ฟ
 
“มีนัดออกรอบกับผู้จัดการกองทุนจากสิงค์โปร์ครับ” รอยยิ้มนั้นไม่ต่างจากเด็กช่างประจบ “คุณน้าเข้ามาก่อนซิครับ ผมยังพอมีเวลา”
 
เขาประคองพาน้าสาวมานั่งที่โซฟาชุดรับแขกอย่างเอาใจ แล้วเข้าไปยังบริเวณครัวเล็กๆ ภายในห้องชุดบนโรงแรมหรู ก่อนจะกลับมาพร้อมถ้วยชาร้อนสำหรับผู้ที่มาเยือน
 
“เรามันช่างจดช่างจำ รู้ว่าน้าชอบชาแบบไหนเข้มข้นแค่ไหน” เธอจิบชายอย่างชื่นใจ มองหลานชายอย่างเอ็นดู “แต่บางอย่างน้าและคุณยายก็ไม่อยากให้เรามาจำติดใจเท่าไหร่”
 
แค่เกริ่นชิษณุก็พอจะเดาได้ว่าน้าสาวของเขามาพบด้วยเรื่องอะไร
 
“บางอย่างผมต้องทำเพราะหน้าที่”
 
“เอาไอ้หน้าที่ของเราโยนทิ้งไปก่อนได้ไหม” คำสวนนั้นเร็วหากนุ่มนวล “ตอนนี้มีแต่คนในครอบครัว”
 
“ครับ”
 
กับรพีพรชิษณุไม่เคยแข็งกร้าว ถึงจะแข็งกับคุณหญิงกรองแก้วแต่ก็เพราะความรู้สึกลึกๆ ที่บอกว่าเขาไม่เคยได้รับความยุติธรรมจากผู้เป็นยายที่ถึงแม้นจะเห็นใจผู้ดดนกระทำเช่นเขา แต่ก็ปกป้องลูกสาวคนโตอยู่ดี ทว่าสำหรับน้าสาวผู้ที่อยู่ข้างเขาและสนับสนุนทั้งกำลังเงินและกำลังใจตลอดมา ชิษณุยอมที่จะรับฟังความเห็นและพินิจถึงความรู้สึกและผลกระทบมากกว่า
 
“น้ารู้ว่าเราเก่ง ดังนั้นต้องมีเหตุผลที่บริษัทต่างๆ ที่ทางกงสีลงทุนเกิดขาดทุนขึ้นมาในตอนสิ้นปี ทั้งๆ ที่จบไตรมาสสามยังเห็นกำไรอยู่” รพีพรไม่ยุ่งเรื่องธุรกิจ แต่ก็ไม่ปล่อยให้ความจริงความเท็จหลุดรอดสายตา “เรากำลังบีบพวกเขาเกินไปหรือเปล่า”
 
“ไม่ครับ” คำตอบมิลังเล “เพราะสุดท้ายทุกอย่างต้องมาที่ผม แม้แต่หนี้พนันที่สหรัฐฯ ของคุณป้าก็อยู่กับผมแล้ว ผ่านบริษัทที่ Bermuda”
 
ทำไมคนฟังจะไม่สังเกตถึงคำพูด ‘หนี้…อยู่กับผม’ หาใช่ ‘ผมใช้หนี้ให้แล้ว’
 
“อภินันทการจากเดวิดล่ะซิ”
 
“ครับ” เขาโคล้งศีรษะเป็นการยอมรับ “แต่หนี้ที่ค้างอยู่กับสรรพกรสหรัฐฯ พวกผมคงเอื้อมไปไม่ถึง”
 
“แล้วณุจะทำอย่างไรต่อ” ชาร้อนที่จิบทำให้ชุ่มคอ “กงสี?”
 
รพีพรมองหลานชายที่หัวเราะเบาๆ ให้กับการรู้ทันของเธอ
 
“แล้วก็ที่ดินของคุณเฉลิมแถวชานเมือง และที่ต่างจังหวัด ตอนนี้ทางบริษัทกำลังยื่นเรื่องขอให้ศาลระงับการโอนสินทรัพย์ของคุณป้าและสามีซึ่งจะรวมถึงทรัพย์สินที่มีการโอนไปแล้วในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา”
 
นี่เป็นความรู้ใหม่ที่รพีพรไม่ทราบมาก่อน “คุณแม่จะไม่ชอบใจถ้าเรื่องถึงศาล”
 
“ผมทราบ แต่ผมไม่มีทางเลือก”
 
ทั้งคนบอกและคนฟังย่อมรู้…คุณหญิงกรองแก้วก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน
 
นี่คือ…คมดาบอีกแผลที่ชิษณุมอบให้กับผู้เป็นยาย
 
‘คุณยายไม่ยุติธรรม…เข้าข้างคุณป้า’ เขาเคยร้องอย่างผิดหวังเมื่อหลายสิบปีก่อน และยังคงร้องเช่นนั้นแม้กระทั่งบัดนี้
 
“ณุเอ๋ย….คุณยายก็ยอมถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะเอาอะไรอีก” เป็นครั้งแรกที่เธอไม่เห็นด้วยกับหลานชาย
 
“มูลค่าเงินลงทุนในกงสีที่คุณยายใส่ไปให้คุณป้านั้นมากโขอยู่ ที่ดินที่ยังมีชื่อคุณป้า ถ้าขายก็เป็นเงินก้อนใหญ่ มากพอที่จะเป็นอันตรายกับผมได้หากเทวัญเกิดฉลาดรู้จักใช้เงิน ใช้สมองขึ้นมา” น้ำเสียงจริงจังไม่ต่างจากสีหน้า “ผมจะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นเด็ดขาดครับ แค่นี้มันยังรู้จักทั้งสร้างหนอนบ่อนไส้ และจ้างคนมาเก็บผม”
 
เรื่องหลังนี้รพีพรพร้อมทั้งคุณหญิงกรองแก้วรับรู้อย่างตกใจมาแล้ว นั่นเป็นชนวนว่าทำไมคุณหญิงถึงตัดสินใจโอนเงินลงทุนและทรัพย์สินทั้งหมดให้หลานชายและลูกสาวคนเล็ก
 
‘คิดจะฆ่าหลานเพราะเมื่อหลานตายไป สมบัติของคุณแม่ก็จะไปไหนเสีย’ รพีพรสรุปอย่างโกรธแค้น
 
“แต่คุณป้าเขาไม่รู้อะไรด้วย” ตอนนี้เธอบอกกับหลานชายได้แค่นี้
 
“ทั้งสองเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ใช้เงินเยอะในการลงมือ เป็นไปไม่ได้ที่คุณป้าจะไม่รู้เลย” น้ำเสียงแข็งเริ่มอ่อน “แต่ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะไม่ให้ภาพออกมาเป็นสงครามในครอบครัวเด็ดขาด การทำงานของผมใช้น้ำเย็นก่อนอยู่แล้ว หากไม่ได้ก็ค่อยซัดด้วยไม้หน้าสาม”
 
คนพูดหัวเราะเบาๆ ในประโยคหลังราวเป็นการหยอกเล่นเสียมากกว่า
 
เมื่อได้ไขข้อสงสัยให้กระจ่างแล้ว ผู้เป็นน้าจึงขอตัวกลับ หากก็ต้องหันมาถามผู้เป็นหลาน “เพิ่งรู้ว่าหนูมนต์นั่นเป็นลูกของคุณดิลก ณุรู้อยู่ก่อนแล้วใช่ไหม”
 
ชายหนุ่มเพียงพยักหน้าช้าๆ ไม่แสดงท่าทีอื่นใดมากกว่านั้น
 
“เห็นตอนนั้นเราบอกว่าเป็นเพื่อน” รพีพรจำได้ตอนที่หลานชายแนะนำ
 
‘เด็กคนนี้อาจเป็นมากกว่าเพื่อนของหลานก็ได้นะคะคุณแม่’ ตอนนั้นเธอแอบเปรยกับคุณหญิงกรองแก้ว ‘มีที่ไหนที่นายณุจะพาผู้หญิงมาที่นี่’
 
ก็แม้แต่พริมาที่สนิทกับหลานชายที่สุดก็ไม่เคยที่ชิษณุจะพาขึ้นไปหา จะเจอก็แค่ไม่กี่ครั้งที่กรุงเทพฯ หากก็ยังไม่เคยสนิทใจเหมือน…หนูคนนั้น
 
พักตร์ผ่องพักตร์ดั่งจันทร…จริตกิริยาก็จับใจ
 
‘ถ้าเป็นไปได้ก็ดี’ คุณหญิงได้เปรยด้วยสีหน้าปรกติ ‘บางทีอาจทำให้คนใจแข็งมันอ่อนลงมาบ้าง’
 
“…ครับ เพื่อน” ในเวลานี้ผู้เป็นหลานรับคำง่ายๆ
 
“เขาคงเสียใจมาก…”
 
“ครับ” เสียงรับคำเพียงแค่ในลำคอ
 
“แล้วณุล่ะลูก…”
 
ทว่าไม่มีคำตอบจากอีกฝ่ายแม้แต่คำเดียว
 
รพีพรไม่ซักไซ้ต่อ รู้ดีว่าคำตอบที่จะได้จากหลานชายในเวลานี้ก็มีเท่านี้เอง
 
 
 
==========================================================
 
WARNING ---------- คำเตือน ---------- WARNING
===========================================================
 
= นิยายเรื่องนี้จะลงในเด็กดีและใน literature.bloggang.com และเปิดให้อ่าน แต่ผู้เขียนขอสงวนการปิดการอ่านใน 5 บทสุดท้าย และอาจจะปิดการอ่านของนิยาย...ก่อนหรือเมื่อมีการตีพิมพ์
 
= นิยายเรื่องนี้ได้เขียนไว้เกือบ 15 ปีแล้ว ผู้เขียนจะพยายามปรับเนื้อหาให้เป็นปัจจุบันนะคะ
 
= และเพราะนิยายเรื่องนี้ถูกแก้ไขมาหลายปีแล้ว การแก้ไขจะยังมีอยู่ตราบใดที่ยังไม่ตีพิมพ์ค่ะ
 
= ผู้เขียนน้อมรับคำท้วงติง คำติ คำเตือน และจะยินดีมากที่ผู้อ่านจะติชมค่ะ
 
ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกความปรารถนาดี ขอบคุณผู้อ่านที่อดทนในความไม่ค่อยเขียนของผู้เขียนนะคะ
 
: มานัส
 
Facebook : www.facebook.com/manasauthor
Blog : literature.bloggang.com
ReadAWrite : manas.readawrite.com
 

ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นเป็นของผู้เขียนตามกฎหมาย ห้ามคัดลอก ดัดแปลงหรือนำไปเผยแพร่ต่อไม่ว่าในกรณีใดๆ ไม่ว่าทั้งหมดหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง ด้วยวิธีใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของผลงาน

=====สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537=====
 
“รามเกียรต์” พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1




 


Create Date : 08 กันยายน 2563
Last Update : 8 กันยายน 2563 23:03:33 น. 2 comments
Counter : 608 Pageviews.

 
ลุ้นตามตลอดเลยคะ เดาตอนจบไม่ออกเลยคะ ขออย่าให้เศร้ามากนะคะ


โดย: คนอ่านนิยาย IP: 27.254.241.116 วันที่: 9 กันยายน 2563 เวลา:8:12:51 น.  

 
บทจบ...ต้องมีค่ะ
บทสรุปต้องมาในที่สุดค่ะ :)


โดย: Sentimentally Smooth วันที่: 13 กันยายน 2563 เวลา:12:47:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Sentimentally Smooth
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ชอบคิดชอบเขียนชอบพูด...และชอบเที่ยว

บทประพันธ์ที่ได้รับการตีพิมพ์ "ฤารัก"

หลงรักเพราะรักฤๅรักหลง
หลงลมรัญจวนไม่รู้หาย
หลงรูปหลงจูบเพียงร่างกาย
หลงง่ายหลงผิดฤๅหลงกล
Friends' blogs
[Add Sentimentally Smooth's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.