Group Blog
 
<<
มกราคม 2563
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
16 มกราคม 2563
 
All Blogs
 
คืนหนาวไร้ดาวเดือน (บทที่ 19) โดย มานัส

บทที่ 19
อากาศต้นฤดูหนาวสำหรับกรุงเทพฯ ช่างแตกต่างจากลมอันแสนเย็นสบายจากทิศเหนือที่พัดโชยในชนบทที่ห่างไกล
 
ตึกสูงตระหง่านในเมืองกรุงบังแดดยามบ่าย ไม่ต่างกับที่มันกำลังบังลมที่พัดมาไม่ให้คนเมืองได้สัมผัส และเมื่อผนวกกับจำนวนต้นไม้ที่น้อยลงไปทุกที รวมทั้งภาวะมลพิษของการก่อสร้างสารพัดที่กัดกร่อนทุกอณูของอากาศ ทำให้เมืองคอนกรีตแห่งนี้ร้อนและแห้งแล้งเคล้าไปกับฝุ่นควัน
 
พนักงานต้อนรับของโรงแรมรีบกรู่เข้ามาทันทีที่รถตู้คันงามเข้าจอด ความคล่องแคล่วนั้นชัดเจน และมากกว่าที่ปฏิบัติกับแขกคนอื่นๆ  แม้แต่รอยยิ้ม ความนอบน้อม และการโค้งต้อนรับของพนักงานเมื่อชายหนุ่มร่างสูงก้าวลงมาจากรถ ก็ดูมากเป็นพิเศษ
 
มณิกานต์มองตามหลังคนที่กำลังเดินนำเข้าไปด้านใน แล้วจึงหันมองบรรยากาศรอบๆ ของโรงแรมที่เธอก็คุ้นเคยเป็นอย่างดีในฐานะลูกค้าและแขกผู้มาเยือนหลายครั้งที่ภายมา
 
การมาครั้งนี้แตกต่างจากครั้งอื่นๆ เสื้อยืดเก๋ไก๋กับกางเกงสามส่วนแม้ไม่ดูน่าเกลียดอะไร แต่ก็ต่างชุดทันสมัยยี่ห้อดังราคาแพง หรือชุดราตรีงามสง่าที่เธอสวมใส่ทุกครั้งที่มาเยือน
 
“มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” หญิงชราที่เดินข้างๆ ถามขึ้น
 
จากที่เคยใส่ผ้านุ่งผ้าถุงคราอยู่บ้านหรืออกไปไหนๆ ในตัวอำเภอ วันนี้โฉมฉายเปลี่ยนมาเป็นกระโปรงผ้าไหม เสื้อลูกไม้ลายชดช้อยตัดเย็บอย่างดีที่แม่พวกสาวๆ ที่บ้านล้อว่า ‘ชุดควงคุณณุเยี่ยมโรงแรม’
 
“ไม่…ไม่ค่ะคุณป้า มนต์แค่…ตื่นตาค่ะ” คนมายิ้มละไม
 
“โรงแรมนี้คุณณุจัดการเองกับมือเชียวค่ะ เข้ามาดูแล ปรับปรุงทำให้ดี จนคุณหญิง…คุณยายของคุณณุไว้ใจมอบอำนาจบริหารให้เต็มที่” น้ำเสียงที่กล่าวถึงชิษณุเต็มไปด้วยความภูมิใจ ชื่นชม “ตอนแรกๆ ที่เข้ามาทำ คุณณุก็ไม่ได้รู้เรื่องโรงแรมมากนักหรอกค่ะ ธุรกิจดั้งเดิมของคุณเชาว์…คุณพ่อคุณณุ…ก็เป็นโรงน้ำตาลและโรงสี ค้าขายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร แต่คุณณุเธอเก่งค่ะ ขยันและเรียนรู้เร็ว ประเดี๋ยวเดียวก็จับทางได้ ไม่ใช่แค่โรงแรมนะ ยังมีธุรกิจอื่นอีกค่ะ คุณณุสามารถทำให้มันออกมาได้ดีมาก”
 
มณิกานต์รับฟังคำบอกเล่านั้นอย่างเงียบๆ ในหัวเกือบจะนึกค่อน แต่…เสียงเขาดังขึ้นมาเสียก่อน
 
“อ้าวสาวๆ ทำไมเดินช้ากันจังครับ”
 
“กำลังเล่าให้หนูมนต์ฟังเรื่องโรงแรมของคุณณุอยู่ค่ะ”
 
“ของผมเสียเมื่อไรกัน” เขายิ้มแล้วเดินนำไปทางขึ้นลิฟต์
 
“ไม่ใช่ก็เหมือนใช่ คุณหญิงก็ต้องให้คุณณุซิ หลานคนเดียวของท่านแท้ๆ”
 
“ถ้าป้าสินีได้ยินเข้าคงค้อนพวกเราตายเลย เขายิ่งทวงความเป็นเจ้าของอยู่ด้วย” ชิษณุบอกราวว่ากำลังอารมณ์ดี หากดวงตาแข็งกระด้างนัก จะอ่อน...ก็เมื่อสบตากับหญิงสาวร่างระหง “ผมให้เขาเตรียมห้องให้ป้ากับคุณมนต์แล้ว อยู่ติดกันนะครับ เดี๋ยวผมขึ้นไปส่ง”
 
“ไม่ต้องหรอก คุณต้องเข้าประชุมนี่ ฉันกับคุณป้าขึ้นไปกันเองได้”
 
“ธุระไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับดูแลป้าโฉมและคุณมลภาวะ”
 
ประตูลิฟต์ที่ถูกเรียกเปิดออก ชิษณุหลีกทางให้ทั้งสองเข้าไปก่อน แล้วจึงสาวเท้าตามเข้าไป
 
“เป็นห้องจูเนียร์สวีทนะครับ วันนี้ห้องเพริสซิเดนเช่วล์สวีทไม่ว่างไม่เช่นนั้นผมก็จะให้เขาจัดห้องนั้นให้”
 
“ห้องดีๆ ก็เก็บไว้ให้แขกเถอะค่ะ ป้าน่ะนอนที่ไหนก็ได้”
 
“สำหรับผมแล้ว แขกของโรงแรมนั้นสำคัญ แต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับป้าโฉมและคุณมนต์ครับ”
 
“ปากหวานนะคะ” โฉมฉายโอบชายหนุ่มร่างสูงอย่างเอ็นดู “อย่างนี้ล่ะซิ สาวๆ ถึงหลงคุณณุของป้ากันนัก”
 
ชิษณุโอบร่างของหญิงชราแล้วพาเดินออกมาเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก
 
“สาวคนไหนผมก็ไม่สนหรอกครับ ผมมีแค่สองสาวที่อยู่ตรงนี้ก็พอ” คำพูดนั้นทีเล่นทีจริง หากสายตาที่เหลือบมองหญิงสาวที่เดินอยู่ข้างหลังกลับดูมีความหมายนัก
 
มณิกานต์เดินตามทั้งสองคนไปอย่างเงียบๆ เมื่อถึงห้องของโฉมฉายเธอจึงมองและฟังเขาอย่างเพลิดเพลินตอนที่เขาสาธยายเกี่ยวกับอุปกรณ์ภายในห้อง
 
“ปรกติเวลาป้าโฉมเข้ากรุงเทพฯ ก็จะมีพวกเด็กๆ ของแกมาด้วย คราวนี้พักเดี่ยว ไม่มีเหล่าบรรดานางสนองฯ ก็เลยต้องซักซ้อมกันหน่อย” ชิษณุหัวเราะเบาๆ เมื่อพาหญิงสาวออกมาจากห้อง “คราวนี้ห้องของคุณบ้าง อยู่ติดกับป้าโฉมนั่นแหละ ว่าแต่เงินในมือถือเติมไว้พอไหม”
 
“พอค่ะ” มือถือ...เครื่องที่เธอไหว้วานฝากชนินทร์ซื้อเมื่อเดือนก่อน เพราะชิษณุช่างถาม ช่างขอเบอร์โทรฯ และไลน์
 
แต่ทั้งเครื่อง ทั้งซิมก็ชื่อ...พี่หมอ ไม่มีใครรู้หรอก
 
“ดีแล้ว ถ้าคิดถึงผมมากก็โทรฯ หาได้เลยนะ” เขาเย้าพลางโอบร่างเล็กเข้ามาแนบอก “ผมให้พนักงานคอยอยู่ด้านนอกเผื่อว่าคุณหรือป้าโฉมจะต้องการอะไร  บริการดีหรือไม่ดีก็บอกได้นะครับ ยินดีรับคำติชมเพื่อปรับปรุง”
 
“แค่เจ้านายของที่นี่มาบริการด้วยตนเองก็ประทับใจแล้วล่ะ” หญิงสาวแหงนหน้ายิ้มบอก ไม่ขัดขืนหากก็ไม่โน้มโอนอ่อนตามอ้อมแขนนั่น
 
“คุณเป็นแขกคนแรกที่ผมให้บริการด้วยตัวเอง”
 
“และไม่ใช่คนสุดท้ายด้วยใช่ไหมคะ” เธอหยอกเขากลับบ้าง
 
“คนสุดท้าย…แต่จะไม่ใช่เป็นครั้งสุดท้ายครับ” ดวงตาเป็นประกายของเขามองอีกฝ่าย มือข้างหนึ่งลูบเบาๆ ที่แก้มนวล “ผมดีใจที่คุณมาด้วย ช่วงนี้ผมต้องเจอเรื่องปวดหัวมากมาย แต่ก็ยังดีที่มีคุณเป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ”
 
“ถึงฉันจะไม่รู้เรื่องงานของคุณ แต่คุณเป็นคนเก่ง ฉันเชื่อว่าคุณต้องทำงานของคุณให้สำเร็จได้ด้วยดี”
 
“ขอบคุณครับ” ชิษณุเลี่ยงไม่สบสายตาคู่นั้น แล้วเดินไปยังโต๊ะกลมที่มีเก้าอี้เข้าชุดอยู่สองตัว “เค้กแบบที่คุณชอบ ผมสั่งให้เขาเอาขึ้นมาเตรียมไว้ให้ เดี๋ยวผมต้องเข้าประชุมแล้ว ไม่แน่ใจว่าจะเสร็จเมื่อไร บ่ายนี้ผมคงไม่สามารถดูแลคุณได้มากนัก บริการทุกอย่างของที่นี่คุณอยากใช้อะไร ทำอะไรก็บอกนะครับ ขอเพียงให้คุณสบายใจ มีความสุขเล็กน้อยบ้างก็พอ”
 
มณิกานต์มองเขา ความรู้สึกหลายอย่างประดังเข้ามา “ณุ…”
 
“แน๊...อย่างมองผมอย่างนั้นซิ” เขาสาวเท้าเข้าไปใกล้ เอื้อมมือประคองดวงหน้านวลไว้ “อ้อ...และอย่ากินเยอะรู้ไหม เก็บท้องไว้ตอนเย็นบ้าง เพราะผมอยากพาคุณออกเดท”
 
“แล้วคุณป้า…”
 
“ไม่ต้องห่วงป้าโฉมหรอกครับ มีหลายคนแถวนี้เป็นหนี้อาหารแกหลายมื้อ รอพาแกไปเลี้ยง” แววตาที่มีรอยขำทำให้คนมองต้องพลอยยิ้มตาม ชิษณุละอ้อมแขนออกจากร่างเล็ก มองนาฬิกาที่ข้อมือ “ผมต้องไปแล้ว เย็นนี้เจอกันนะ” เขาบีบมือนุ่มเบาๆ ก่อนจะหันเดินออกโดยไม่เหลียวหลังกลับ
 
และเมื่อประตูห้องพักปิดลง พนักงานที่อยู่ด้านนอกก็รีบเดินเข้ามาอย่างรู้หน้าที่
 
“ทุกคนมาครบแล้วครับ รอนายอยู่ที่ห้องประชุม”
 
“ขอบใจ” ชิษณุพยักหน้า สีหน้าเคร่งเครียดไม่มีเคล้าความอ่อนโยนเฉดเช่นเมื่อครู่
 
บัดนี้ทุกคนมากันพร้อมแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแต่การเดินแผนเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย
 
“ดูแลคุณผู้หญิงที่อยู่ในห้องให้ดี ถ้าเขาต้องการอะไรก็จัดให้ตามที่ต้องการ แต่ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ต้องให้ลงไปข้างล่าง และที่สำคัญอย่าให้ออกไปนอกบริเวณโรงแรมเป็นอันขาด”
 
 
แฟ้มที่อยู่ในมือถูกเกวี้ยงลงบนโต๊ะโครมใหญ่ ทำให้บุรุษที่นั่งอยู่อีกด้านสะดุ้ง เขาก้มหน้าลงไม่ยอมสบตากับคนที่ว่าจ้าง
 
“นี่ก็หลายเดือนแล้ว ยังไม่สามารถตามหาตัวลูกสาวผมได้อีกเหรอ นี่ผมให้เบาะแสใหม่ๆ กับคุณตั้งเท่าไหร่” น้ำเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ “ผมจ้างคุณ แต่กลับต้องเป็นฝ่ายให้ข้อมูลมากมาย นี่มันจะบ้ากันใหญ่แล้ว”
 
“ผมก็พยายามแกะรอยสืบตามที่คุณดิลกบอกมานะครับ แต่ก็ไม่ได้เบาะแสอะไร และถ้าจะบอกว่าคุณมนต์อยู่ต่างจังหวัด มันก็กว้างมากสำหรับการที่จะเริ่มสืบหา”
 
“ก็หาซิ!” เสียงนั้นบ่งบอกถึงอารมณ์อันขุ่นมัว “จะทำอย่างไรก็รีบทำ ใช้เงินเท่าไหร่ก็ไม่ว่า แต่ต้องรู้ให้ได้ว่าลูกของผมอยู่ที่ไหน”
 
“ผมขอเวลาครับ”
 
“เวลา ทุกคนก็ขออย่างนี้ ผมให้เวลามามากแล้วแต่ก็ไม่คืบหน้าเสียที!”
 
การตำหนิด้วยถ้อยคำรุนแรงอีกหลายนาที ทำนักสืบหนุ่มถอนหายใจ เขาย่อมรู้ว่าดิลกไม่ได้จ้างเขาเพียงคนเดียวในการทำงาน หากยังมีนักสืบมือดีอีกสองรายที่ถูกว่าจ้าง หากก็ไม่มีอะไรคืบหน้าเช่นกัน
 
“ผมขอเวลาอีกหน่อยครับ แล้วผมจะแจ้งให้ท่านทราบหากมีเบาะแสเพิ่มเติม”
 
“ผมไม่ต้องการเบาะแสอะไรของคุณ ผมให้เวลาคุณอีกสองอาทิตย์ ผมต้องรู้ว่าลูกสาวของผมอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร” คำสั่งเด็ดขาด
 
ดิลกไม่สนใจว่านักสืบที่เพิ่งเดินออกไปจะมีทีท่าอย่างไร แต่จะคนนั้นหรือคนไหน หรือใช้เงินไปเท่าไรเขาจะต้องได้ลูกสาวคืนมาให้จงได้
 
เสียงเคาะประตูดังขึ้นหากมือของเขายังคงนวดเบาๆ ที่ขมับ หวังที่จะบรรเทาอาการหนักอึ้งที่ศีรษะ
 
“เอกสารให้ท่านเซ็นอนุมัติค่ะ” เลขาฯ หน้าห้องวางแฟ้มบางบนโต๊ะ “นางเอก...คนนั้นพยายามติดต่อเข้ามาหาท่าน...”
 
“บอกไปว่าผมไม่ว่าง” เขาไม่อยากยุ่งกับผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว
 
ผู้หญิงคนนั้น…คือต้นเหตุทำให้ลูกสาวของเขาต้องเสียใจ
 
ในเวลานี้ความคิดและหัวใจของเขามีแต่เรื่องลูกและ...เรื่องงาน
 
“ค่ะ”
 
“เย็นนี้ผมมีนัดอะไรหรือเปล่า” เหมือนว่าจะมี...แต่ดิลกไม่แน่ใจเอาเสียเลย
 
“ท่านมีทานอาหารเย็นกับคุณหลิวจากกองทุนและผู้ช่วยของเขาตอนสองทุ่มค่ะ” เธอแจ้งสถานที่ พลอยสังเกตเห็นท่วงท่าแสนเหนื่อยล้าและอ่อนแรงของผู้เป็นนาย
 
หลายคนย่อมรู้ถึงเหตุผลในการนัดครั้งนี้กับผู้จัดการกองทุนจากต่างประเทศซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท
 
ราคาหุ้นที่ดิ่งลง บวกกับการแพ้ประมูลงานก่อสร้างสำคัญหลายโครงการของบริษัท กำลังสร้างคำถามให้กับนักลงทุนรายใหญ่หลายราย
 
หากความมั่นใจยังเหลืออยู่ การถือหุ้นก็ยังคงดำรงต่อไป แต่ถ้าหากไม่มีความมั่นใจแล้ว คนที่เป็นผู้ถือหุ้นย่อมหาทางขาย…ซึ่งเป็นเรื่องปรกติของวัฎจักรการลงทุนที่ผลประโยชน์และกำไรต้องมาก่อนเสมอ
 
 
หมายเลขโทรศัพท์ที่แสดงไม่คุ้นเอาเสียเลย ทำให้หญิงสาวจำรับสายด้วยความไม่แน่ใจ
 
“สบายดีหรือเปล่าคุณพริม”
 
พริมานิ่งไปไม่แน่ใจว่าผู้ที่อยู่ในสายนั้นเป็นใคร ที่สำคัญ…ได้หมายเลขติดต่อของเธอมาได้อย่างไร
 
“อะไรกัน? จำผมไม่ได้หรือครับ” น้ำเสียงมีแววหยัน “สงสัยคุณจะจำได้แต่ไอ้ณุได้เพียงคนเดียวล่ะซิ”
 
“ต้องการอะไร” พริมาตวาดเมื่อรู้ว่าคนที่อยู่ปลายสายคือใคร ยังดีที่ไม่มีใครอยู่ในห้องประชุมตอนนี้
 
คนของชิษณุบวกกับอำนาจของบิดาของเธอเองพอที่จะกันเทวัญออกไปได้ เขาเงียบหายไปนานจนเธอลืมที่จะนึกถึงไปแล้ว
 
“คุณอยากรู้จริงๆ เหรอว่าผมต้องการอะไร…”
 
“ฉันไม่มีอะไรจะต้องพูดกับคุณ” เธอตัดบท เตรียมวางสาย
 
“แต่ผมมี!” เทวัญสวนขึ้น “เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนรักของคุณซะด้วย”
 
“เมื่อไรจะเลิกสร้างความวุ่นวายให้ณุเขาเสียที”
 
“ต่อไปก็จะเป็นทีของผมบ้าง…อีกไม่กี่วันคุณจะเห็นมันร่วงลงมาจากบัลลังก์อย่างผู้พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง”
 
“เทวัญ! ไอ้โรคจิต!”
 
สายนั้นหลุดไปพร้อมเสียงหัวเราะของผู้ชายคนนั้น พริมาไม่อยากเชื่อลมปากของเทวัญ คนทะเยอทะยานที่ทำร้าย ซ้ำยังผลาญและแย่งชิงมรดกของชิษณุด้วยความโลภหน้าด้าน คนๆ นั้นเป็นอย่างไรเธอย่อมรู้จากการเล่าของชิษณุ
 
‘มันทำได้แม้แต่ใช้เล่ห์หลอกผู้หญิงที่ผมรักให้ทรยศผม’
 
พริมาจำได้ถึงน้ำเสียงขมขื่นเมื่อเล่าเรื่องอดีตของเขาให้เธอฟัง
 
ผู้หญิงที่ทรยศคนนั้นมิได้รับการยกโทษ คนที่ทำร้ายมิได้รับการอภัย
 
ยิ่งความรักที่เธอมีให้ชิษณุนั้นมากเท่าไร ความเกลียดชิงชังที่เธอมีต่อเทวัญก็ยิ่งมากเท่านั้นและเหมือนจะมากกว่าเป็นเท่าตัว เพราะผู้ชายที่ชั่วร้ายคนนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนที่เธอรักหมดหัวใจกลายเป็นคนที่ไม่มีความรักให้ใครได้เลย!
 
 
ผู้ที่เข้าร่วมประชุมในวันนี้ต่างแยกย้ายกันไปเพื่อทำหน้าที่ของตน การรวมตัวอย่างครบทีมเป็นเรื่องลับที่ต้องปิดเพื่อผลประโยชน์และความสำเร็จของงาน
 
ชายหนุ่มที่ในตอนนี้จมกับความคิดเพียงลำพังหลังโต๊ะประชุม เท้าข้อศอกบนเก้าอี้ตัวใหญ่  ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางแตะเบาๆ ที่ขมับ ดวงหน้าราวกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก จนหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงประตูไม่กล้าที่แม้แต่จะขยับตัว
 
“คุณโชติกากลับไปพักผ่อนเถอะ” ชิษณุสั่งโดยไม่ขยับจากท่าเดิม “ไม่มีอะไรแล้ว”
 
“ค่ะ” ผู้เป็นเลขาฯ รับคำก่อนรายงาน “คุณมณิกานต์ไปรอที่ห้องอาหารแล้วค่ะ จะให้ดิฉัน…”
 
“ไม่เป็นไร ผมจัดการเอง…ขอบคุณ”
 
“ถ้าอย่างนั้น ดิฉันขอตัวค่ะ”
 
เสียงประตูห้องปิดลงอย่างแผ่วเบา หากชิษณุยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิม อีกครู่ใหญ่กว่าที่เขาจะเดินช้าๆ ออกมาจากห้องประชุม
 
ก้าวช้าแต่มั่นคงเพื่อจะทำงานใหญ่อย่างรวดเร็ว
 
รวดเร็วดั่ง                         สายฟ้าฟาด
เกริกก้องอัสนีบาท             เลิศหล้า
พายุทำลายกวาด                ทุกสิ่งสิ้น
เพียงชั่วพริบตา                  เหลือฟ้ามืดมัวฯ
 
 
และเมื่อลงมาถึงห้องอาหารอิตาเลี่ยนชื่อดังภายโรงแรม ใบหน้าที่เคร่งขรึมกลับปรากฏรอยยิ้มละมุน ชิษณุเดินมาที่โต๊ะมุมที่ถือว่าเป็นโต๊ะที่ดีที่สุดของร้าน
 
“ขอโทษที่ทำให้ต้องรอนาน” เขานั่งลงตรงข้ามหญิงสาวที่รวบผมยาวขึ้น ขับความเปล่งปลั่งของใบหน้านวลและลำคอระหง
 
“ไม่นานหรอกคร่า” มณิกานต์ลากเสียง ส่งยิ้มตาหยีให้เขา “แค่เกินครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเอง”
 
“เดี๋ยวเลี้ยงเค้ก” เขาเย้าราวหยอกเด็กเล็ก
 
“ไม่ต้องเอาเค้กมาล่อเลย ชิ้นบนห้องยังเหลือ”
 
“มิน่า เลยไม่หิว ขนมปังไม่พร่องเลย” ชายหนุ่มมองตะกร้าขนมปังที่วางบนโต๊ะ
 
“หิวซิคะ” หญิงสาวแกล้งลงเสียงหนักแน่น เน้นทุกคำ “ฉันรอเจ้ามือ”
 
“ถ้าผมไม่ลงมาคุณก็จะไม่สั่ง ไม่กินอะไรเลยเหรอ” เสียงหัวเราะชอบใจนั้นดูเป็นธรรมชาติ มื่นเช่นเวลาที่อยู่กับผู้อื่น
 
“ถ้าคุณมาช้ากว่านี้สักสิบห้านาที ฉันก็คงต้องขอพิจารณา ตัวใครตัวมัน” มณิกานต์มองเขาก่อนถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “เหนื่อยมากไหมเอ่ย”
 
เขาดูอิดโรย…เพียงแต่พยายามกลบมันไว้ ด้วยมาด ด้วยรอยยิ้ม
 
เขาคงไม่อยากให้เธอต้องไม่สบายใจ
 
“ไม่” ชายหนุ่มส่ายศีรษะปฏิเสธก่อนกวาดสายตาดูรายการอาหารอย่างรวดเร็ว
 
“คุณไม่พูดความจริง” เสียงแย้งใสเจื้อยแจ้ว “หน้าตาคุณดูเหนื่อย ท่าทางคุณก็บอก”
 
“หน้าตาของผมเชื่อไม่ค่อยได้หรอก” พลันเขาจึงรู้สึกตัวในคำพูดแล้วเสบอก “แต่คุณสวยมาก…อันนี้เชื่อได้”
 
“ไม่อยากเชื่อคำชมคุณเล้ย” มณิกานต์หัวเราะอย่างสดใส
 
“เชื่อเถอะครับ และตอนนี้คุณก็ต้องเชื่อด้วยว่าผมหิวมากๆ เลยล่ะ”
 
น่าแปลกที่เสียงหัวเราะใสกังวานของหญิงสาวนั้นราวจะซึมเข้าไปในห้วงความคิดของเขา ทำให้เขาหัวเราะ...ยิ้ม
 
ให้เขาคลายหลากหลายความคิด
 
หรือนั่นจะเป็นเพราะไวน์ชั้นเยี่ยมที่ถูกเปิดและดื่มไป หรืออาจเป็นเพราะรสชาติอาหาร หรืออะไรก็ตามแต่ หากในตอนนี้เรื่องงานกลับไม่อยู่ในห้วงความคิดของเขา จนกระทั่งข้อความทางโทรศัพท์ที่ถูกส่งเข้ามาเป็นระยะทำให้สีหน้าของเขาเคร่งขรึมไปจนหญิงสาวต้องร้องทัก
 
“เรื่องงานอีกแล้วล่ะซิ” เธอถามหลังจากที่เขาวางมือถือลงบนโต๊ะ
 
“เปล่า” การปฏิเสธเบาพร้อมรอยยิ้มจางๆ “เป็นไงครับ อาหารอร่อยถูกปากไหม”
 
คนที่กำลังเคี้ยวอยู่พยักหน้าก่อนตอบ “มากๆ”
 
จนกระทั่งเกือบเกลี้ยงจานแล้วมณิกานต์จึงรวบมีดกับส้อมวางอย่างเรียบร้อย
 
“ผมเชื่อนะ” รอยยิ้มมีแววขบขัน “แล้วอย่างนี้จะมีที่ว่างสำหรับของหวานไหมเนี่ย”
 
“ม่ายยยยไหว”
 
“แต่จริงๆ อาจจะไหวก็ได้ ลองดูสักอย่างสองอย่างไหมครับ แบ่งกัน…ผมรับรองว่าคุณจะไม่ผิดหวังเด็ดขาด”
 
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะตอบ เขาก็เรียกพนักงานบริการมา มณิกานต์มองคนที่นั่งตรงข้ามอย่างไม่วางตา
 
ผู้ชายคนนี้…ยามดีก็ดีจนทำให้คนหลงได้ง่าย ยามจริงจังก็ดูน่าหวั่นเกรง ก็นับว่าเธอยังโชคดีที่ยังไม่เคยเจอยามร้ายของเขา
 
คนที่ดวงหน้าอ่อนโยน ยิ้มอย่างอารมณ์ดีด้วยแววประกายสดใส จะร้ายกาจน่ากลัวได้เชียวหรือ และผู้หญิงกี่คนแล้วนะที่เคยคิดเช่นเธอ ด้วยความหวังที่จะเห็น…ยามรักของเขา
 
 
คนนำการสนทนาในครั้งนี้ควรเป็นนักธุรกิจที่มากประสบการณ์อย่างเขา ผู้มีหน้าที่อธิบายถึงสถานะปัจจุบันของบริษัท ทว่ามันกลับกลายเป็นผู้บริหารกองทุนจากต่างประเทศที่อายุอ่อนกว่าเขาเกือบสองรอบ ที่จี้ถาม เค้นหาคำตอบและมาตรการบริหารจากเขา
 
ดิลกแทบไม่ได้แตะอาหารที่อยู่ตรงหน้า จิตใจของเขาเฝ้าเป็นกังวลกับหลายเรื่อง ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว เขารู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะมานั่งอธิบายและแก้ตัวเรื่องผลประกอบการของบริษัทและราคาหุ้นที่ดิ่งต่ำ
 
“เป็นวัฏจักรของการทำงาน” เขาย้ำเป็นภาษาอังกฤษเช่นนั้น “มีปัจจัยหลายอย่าง ช่วงนี้งานก่อสร้างมันชะลอตัวลง”
 
ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง หลังจากเติบโตอย่างก้าวกระโดมาหลายปี การก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ เริ่มนิ่งเพราะสภาวะเศรษฐกิจ
 
ยังไม่ทันที่มิสเตอร์หลิวจะแย้ง ดิลกก็ผงะ ความสนใจของเขาพุ่งไปยังหญิงสาวที่เดินมาจากอีกมุมของร้านอาหาร และกำลังจะเดินออกไป สายตาของเขามองตามร่างนั้นเพื่อให้แน่ใจ หัวใจของเขาเต้นแรง และแม้ไฟของห้องอาหารจะไม่สว่างชัดนัก แต่เขาย่อมจำได้…
 
“มนต์” เสียงนั้นเบาไม่ต่างจากการลุกขึ้นช้าๆ อย่างไม่แน่ใจ “ลูก...”
 
“เป็นอะไร” มิสเตอร์หลิวไม่เข้าใจในกิริยาของคู่สนทนา เขาสบตากับผู้ช่วยของเขาด้วยความงุนงง “มีอะไรหรือเปล่า”
 
ทว่าดิลกไม่ตอบคำถามนั่น เขาเตรียมก้าวตามร่างระหง หากมีเสียงทักขึ้นก่อนที่เขาจะขยับตัวได้มากไปกว่านั้น
 
“สวัสดีครับคุณอา สบายดีไหมครับ” คนถามหันไปมองแล้วพยักหน้าทักทายอีกสองคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ “มีอะไรหรือเปล่าครับ คุณอา”
 
เมื่อรู้สึกตัวดิลกจึงหันกลับมาทางชายหนุ่มเจ้าของสถานที่ “เปล่า...ผมคิดว่าเห็นคนรู้จัก”
 
“คนไหนครับ ผมจะได้ให้พนักงานไปเชิญ”
 
“ไม่เป็นไร ผมอาจจะตาฝาด” ดิลกมองชิษณุแล้วหันพึมพำในลำคอเป็นภาษาอังกฤษกับผู้ร่วมโต๊ะ “ขอโทษ”
 
“อาหารเป็นอย่างไรบ้างครับ” ชิษณุถามเป็นภาษาไทยแล้วหันไปทางชาวต่างชาติทั้งสอง การถามเป็นภาษาอังกฤษนั้นด้วยสำเนียงชัดเจนทุกถ้อยคำ พร้อมการแนะนำตัวเองให้กับทั้งคู่ที่ลุกขึ้นจับมือทักทาย
 
“เหมือนว่าผมเคยได้ยินชื่อคุณมาก่อน” มิสเตอร์หลิวยื่นนามบัตรให้พร้อมรับนามบัตรของชายหนุ่มร่างสูงมา
 
“คงไปซ้ำกับใครมังครับ ผมไม่สำคัญอะไรถึงขนาดนักบริหารกองทุนมือหนึ่งของสิงค์โปร์อย่างคุณเรย์มอนด์ หลิวจะรู้จักผมได้” คำพูดนั้นเรียกรอยยิ้มและความเป็นกันเองได้จากอีกฝ่าย
 
“คุณเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทก่อสร้างเอลฟ่า คอนสตรั๊กชั่น…” หนุ่มต่างชาติพลิกนามบัตรใบนั้นอีกที “รู้สึกว่าคุณจะเป็นคู่แข่งของคุณดิลกนะครับ”
 
ประโยคหลังเป็นเชิงสรรพยอกมากกว่าที่จะจริงจัง
 
“เรียกว่าทำธุรกิจเดียวกันดีกว่า บริษัทของผมเพิ่งเริ่มโต คงเทียบชั้นคุณดิลกไม่ได้” เขามองคนที่นั่งเงียบ “มีหลายอย่างที่ผมต้องเรียนรู้ กว่าจะเทียบชั้นสูสีได้คงใช้เวลา”
 
“และมีหลายอย่างที่ผมต้องเรียนรู้จากคุณเช่นกัน” ดิลกเอ่ยช้าๆ พยายามปรับสีหน้าของตน…กลบความอ่อนล้า “คุณเป็นคนเก่งทีเดียว”
 
“คุณอาก็ชมผมเกินไป ผมคงเทียบกับคุณอาไม่ได้หรอกครับ” ชิษณุหันไปทางชายหนุ่มต่างชาติทั้งสองก่อนหันกลับมาทาง ‘คู่แข่ง’ “ขอตัวก่อนนะครับ เผอิญว่าผมมีธุระต่อ ยินดีที่ได้รู้จักครับ มิสเตอร์หลิว”
 
ชิษณุจับมือกับหนุ่มชาวต่างชาติและผู้ช่วยอีกครั้ง
 
“เช่นกัน หวังว่าเราคงจะได้พบกันอีก”
 
“ครับ” รอยยิ้มนั้นดูเป็นปรกตินัก หากคงมีแต่เจ้าตัวที่รู้ว่ามันก็เป็นเพียงหน้ากากสังคมที่เขาเลือกที่จะหยิบขึ้นมาสวม
 
ชายหนุ่มไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ผู้ที่อาวุโสกว่า “ตามสบายนะครับคุณอา ผมขอตัวก่อน”
 
หน้ากากที่มีรอยยิ้มนั้นยังคงแฝงบนใบหน้าคม หากเมื่อหันเดินออกมาแล้วรอยยิ้มที่เป็นมิตรกลับจางหายไปในพริบตา เหลือไว้เพียงดวงหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกใดๆ
 
การเล่นละครนั้นจบแล้วสำหรับฉากนี้ แต่การดำเนินเรื่องยังคงมีต่อไป จนกว่าความแค้นจะได้รับการชดใช้
 
 
 
===========================================================
WARNING ---------- คำเตือน ---------- WARNING
===========================================================
 
= นิยายเรื่องนี้จะลงในเด็กดีและใน literature.bloggang.com และเปิดให้อ่าน แต่ผู้เขียนขอสงวนการปิดการอ่านใน 5 บทสุดท้าย และอาจจะปิดการอ่านของนิยาย...ก่อนหรือเมื่อมีการตีพิมพ์
 
= นิยายเรื่องนี้ได้เขียนไว้เกือบ 15 ปีแล้ว ผู้เขียนจะพยายามปรับเนื้อหาให้เป็นปัจจุบันนะคะ
 
= และเพราะนิยายเรื่องนี้ถูกแก้ไขมาหลายปีแล้ว การแก้ไขจะยังมีอยู่ตราบใดที่ยังไม่ตีพิมพ์ค่ะ
 
= ผู้เขียนน้อมรับคำท้วงติง คำติ คำเตือน และจะยินดีมากที่ผู้อ่านจะติชมค่ะ
 
ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกความปรารถนาดี ขอบคุณผู้อ่านที่อดทนในความไม่ค่อยเขียนของผู้เขียนนะคะ
 
: มานัส
 
Facebook : www.facebook.com/manasauthor
Blog : literature.bloggang.com
ReadAWrite : manas.readawrite.com

ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นเป็นของผู้เขียนตามกฎหมาย ห้ามคัดลอก ดัดแปลงหรือนำไปเผยแพร่ต่อไม่ว่าในกรณีใดๆ ไม่ว่าทั้งหมดหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง ด้วยวิธีใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของผลงาน

=====สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537=====


 


Create Date : 16 มกราคม 2563
Last Update : 16 มกราคม 2563 23:38:50 น. 0 comments
Counter : 637 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Sentimentally Smooth
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ชอบคิดชอบเขียนชอบพูด...และชอบเที่ยว

บทประพันธ์ที่ได้รับการตีพิมพ์ "ฤารัก"

หลงรักเพราะรักฤๅรักหลง
หลงลมรัญจวนไม่รู้หาย
หลงรูปหลงจูบเพียงร่างกาย
หลงง่ายหลงผิดฤๅหลงกล
Friends' blogs
[Add Sentimentally Smooth's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.