Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2562
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
11 ตุลาคม 2562
 
All Blogs
 

คืนหนาวไร้ดาวเดือน (บทที่ 7) โดย มานัส


 
บทที่ 7

เสียงผิวปากที่แว่วมาแต่ไกลทำให้หญิงชรามองเขม็งยังคนที่เพิ่งกลับมาถึงบ้าน
 
“ทำไมอารมณ์ดีจังคะ” โฉมฉายสงสัย
 
“ไม่มีอะไรครับ ” ชายหนุ่มสวมกอดผู้เป็นพี่เลี้ยง “ที่บ้านเราอากาศดีจัง ผมว่าจะยังไม่กลับกรุงเทพฯ คืนนี้ กลับพรุ่งนี้สายๆ ดีกว่า จะได้ถือโอกาสกินข้าวกับพี่นินทร์เย็นนี้ด้วย”
 
“ป้าหูฝาดแน่ๆ นานทีปีหนคุณณุจะยอมเปลี่ยนวันกลับ” คนอุทานย่อมรู้…งาน สำคัญสำหรับชิษณุเพียงไหน
 
สำคัญกว่าความสุข
 
สำคัญ…ในทุกลมหายใจ
 
จนสิบกว่าปีมานี่ เขาไม่เคยยอมหยุดพักเลย
 
“ก็เพราะสบายใจ เลยอยากใช้เวลาอยู่บ้านนานหน่อย ให้ป้าโฉมหายคิดถึงไง”  น้ำเสียงและท่าทางเช่นนี้ของเขา…คนที่กรุงเทพฯ ไม่มีวันได้เห็น
 
ผู้เป็นศัตรูไม่มีวันได้สัมผัส
 
เขาทำโดยไม่ต้องเสแสร้ง ทำด้วยความรู้สึกที่แท้จริง มิใช่แค่หน้ากากที่เลือกสวมใส่เพื่อผลประโยชน์
 
“ป้าโฉมทำหลนปลาทูให้พี่นินทร์ด้วยนะ ส่วนผมน่ะอะไรก็ได้ ขอให้เป็นฝีมือป้าโฉมของผมก็พอ”
 
“ปากหวานนักเชียว” โฉมฉายตีเบาๆ ที่ต้นแขนของชายหนุ่มอย่างเอ็นดู แล้วจึงถาม “ว่าแต่ญาติคุณนินทร์จะมาด้วยไหมคะ”
 
คำถามนี้ทำให้ชิษณุยิ้มกว้าง “คงมามั๊ง โธ่…นั่นพี่นินทร์นะป้า ไม่ใช่ผมนี่ จะได้ใจร้ายใจดำไม่เอามาด้วย ว่าแต่ป้ายังไม่เคยเจอใช่ไหมครับ”
 
“ค่ะ แต่นี่ หนูอรไม่ว่านะคะ…” หญิงชราอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงความรู้สึกของอรทัยที่ไม่ใช่เป็นเพียงคู่หมั้นของชนินทร์ แต่ยังเป็นลูกน้องคนสำคัญของชิษณุ
 
“อรน่ะงานเต็มหัว ไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นหรอก อีกอย่างลูกน้องของผมคนนี้ก็ไม่ใช่คนใจแคบคิดเล็กคิดน้อย”
 
“แล้วถ้าคิด…”
 
“ก็ต้องจัดการ” ชิษณุเลิกคิ้วขึ้นพร้อมรอยยิ้ม แม้เมื่ออีกฝ่ายเปรย
 
“คุณณุน่ะเป็นเจ้านายที่ดี เป็นห่วงลูกน้อง…”
 
“ครับ!” คำตอบหนักแน่นแกมหยอกเย้า หากก็ทอดอ่อนในประโยคต่อมา “คุณณุของป้าน่ะเป็นคนดีจะตาย”
 
“ดีกับมิตรน่ะ ดี…แต่ใช่จะหมายความว่า…คนดี”
 
“อ้าว…” คนอุทานตาใสไม่มีท่าทีโกรธ
 
“คนดี…ดีนอกดีใน ที่สำคัญคนดีต้องรู้จักให้อภัย การให้อภัยเป็นสิ่งที่คนเราทำได้ยากที่สุด แต่มันก็เป็นสิ่งที่งดงามที่สุด ที่คนๆ หนึ่งจะมีให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน” ดวงตาของหญิงชรานั้นบ่งบอกถึงความรักและอาทร “ป้ารักคุณณุ ไม่อยากเห็นสักวันที่มีคนไม่ให้อภัยคุณณุบ้าง แล้วคุณณุจะต้องเจ็บปวดทรมาน”
 
“ไม่มีใครในโลกนี้มีค่าพอที่จะทำให้ผมทรมาน ป้าโฉมก็รู้นี่ว่า สิ่งที่ทรมานที่สุดในตอนนี้ คือยังไม่ได้จัดการกับคนที่มันเคยทำกับผม เอาของๆ ผมไป!”
 
“โถ…คุณณุ…”
 
หลายปีที่ผ่านมาโฉมฉายย่อมได้รับรู้ถึงชะตากรรมอันเลวร้าย ของใครหลายคนที่ชิษณุมาดหมายอาฆาต
 
‘มันมีส่วนเอาธุรกิจของเราไป’ หรือไม่ ‘มันบีบตอนที่ผมไม่มีทางสู้…มันร่วมมือกับพวกคุณป้า’
 
คุณป้า…ที่ชิษณุไม่มีวันให้อภัย
 
‘พวกมันทำให้ผมเกือบตาย’
 
ความแค้น…ต่อให้ผ่านมาหลายสิบปีแต่ก็ไม่เคยเลือนหาย
 
และแม้ว่าบิดาของชนินทร์ที่ล่วงลับไปแล้วเคยแย้งอย่างเป็นห่วง ‘เมื่อคุณสินีเขาประกาศขาย คนพวกนั้นก็มาซื้อ เป็นเรื่องปรกติของธุรกิจ’
 
แต่ชิษณุก็ไม่เคยลบความแค้นในหัวใจ เพื่อการแก้แค้น เขาย่อมมีข้อโต้แย้ง ‘เป็นกลไกลของการฉ้อโกงและความละโมบทางธุรกิจ’
 
สำหรับเขาแล้ว ผู้เอาทรัพย์สมบัติ สิ่งที่พ่อของเขาสร้างมาไปขาย เช่นป้าและลุงเขยของเขา…ชิษณุมองว่ามหันต์ ให้อภัยไม่ได้
 
คนที่รุมแย่งซื้อ ชุบมือเปิบก็ไม่สมควรได้รับการให้อภัยเช่นกัน
 
‘หัวใจของคุณณุมีแต่ความพยาบาท…น่ากลัว’ โฉมฉายเคยปรารถกับบิดาของชนินทร์เมื่อนานมาแล้ว
 
‘เตือนแล้วไม่ฟัง ก็ต้องช่วยๆ กัน จะได้จบๆ เสียที’
 
บิดาของชนินทร์ช่วยบุตรชายของเจ้านายจนลมหายใจสุดท้าย แต่คนที่ยังมีลมหายใจอีกหลายคนยังต้องรับภาระหน้าที่ต่อไป
 
‘มันเป็นเวรเป็นกรรมนะคะคุณณุ’
 
 
แสงอาทิตย์ยามอัสดงทอประกายอ่อนละมุน ให้คนที่อยู่ในรถคันเล็กพอได้เห็นทิวทัศน์สองข้างทางที่มีต้นไม้ใหญ่สลับวาดวางกับสวนขว้างหญ้าเขียวขจีและพรรณไม้ต่างๆ   นำความรู้สึกร่มรื่น สบายตา สบายใจแก่ผู้มาเยือน
 
ถนนยาวลัดเลาะในอาณาเขตกว้าง พารถยนต์คันเก่ามาจอดหน้าทางเข้าบ้านหลังใหญ่
 
“ไอ้บ้านหลังนี้ของอีตาคุณณุของพี่หมอเนี่ย จะว่าเป็นบ้านสวนก็ไม่ใช่ เป็นคฤหาสน์ก็ไม่เชิง ทั้งบ้านทั้งเจ้าของบ้านท่าจะสับสนในชีวิตนะคะ” หญิงสาวที่นั่งข้างๆ วิจารณ์พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ “ที่แน่ๆ น่ะ เหมือนซ่องโจร หรือไม่ก็ซุ้มมือปืน มีกองทัพยามหน้าตาเหมือนเพิ่งออกจากคุก ผลุบๆ โผล่ๆ ถ้าเขาไม่ยิ้ม ไม่โค้งให้นะ มนต์คงบอกให้ถอยกลับแล้ว กลัวโดนฆ่าหมกไร่”
 
ชนินทร์หัวเราะกับน้ำเสียงและการวิพากษ์วิจารณ์ของเจ้าหล่อน ที่ค่อนข้างมีอคติกับชิษณุพอสมควร
 
แค่เมื่อเย็นที่เขากลับมาถึงบ้านแล้วชวนมณิกานต์ออกมากินข้าวเย็นกับชิษณุ  เธอก็ฟ้องทวนเหตุการณ์เมื่อหัววันเสียยกใหญ่
 
‘เจอน้องของพี่หมอทีไร มนต์ต้องมีเรื่องให้เจ็บตัวทุ๊กที‘
 
และเพราะ…เรื่อง ทำให้หญิงสาวต้องเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวง
 
ภายในบ้านหลังใหญ่นั้นโอ่อ่าประดับด้วยข้าวของเครื่องใช้มีราคา ที่ถูกนำมาตกแต่ให้เข้ากับตัวบ้าน สร้างบรรยกาศของความเป็นกันเองแก่ผู้มาเยือน
 
“พี่นินทร์ คุณมนต์ มาทันเวลาพอดีเลย”
 
เสียงที่ดังมาอีกด้านทำให้ผู้มาเยือนทั้งสองหันไป
 
ร่างสูงในชุดลำลองสบายๆ เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม จนมณิกานต์เผลอคิดไม่ได้ว่า อีตาชิษณุยังคงดูเนี้ยบแม้ในชุดลำลองอยู่บ้านที่ดูแสนธรรมดา
 
แล้วยังรอยยิ้มของเขาในตอนนี้ ไม่เหมือนเค้าเจ้าเล่ห์ขี้โกง หรือตามมารยาทหน้ากากสังคมที่เธอได้เห็นที่กรุงเทพฯ
 
“นี่เขาเอาสำรับขึ้นโต๊ะ” ผู้เป็นเจ้าของบ้าน เดินนำมายังห้องนั่งเล่น “ดื่มน้ำกันก่อนนะ” ชิษณุบอกเมื่อสาวใช้ยกน้ำเปล่ามาบริการ “คุณมนต์เอาน้ำส้มไหม”
 
และยังไม่ทันที่มณิกานต์จะตอบโต้ เสียงของโฉมฉายที่เดินเข้ามาก็ดังขึ้น
 
“อาหารขึ้นโต๊ะเรียบร้อยแล้วค่ะ”
 
“คร้าบ” เสียงของชิษณุลากยาวเหยียด ก่อนแนะนำ “คุณมนต์ครับนี่ป้าโฉม”
 
มณิกานต์ยิ้มพร้อมไหว้ผู้สูงวัยกว่าตามมารยาท
 
“ที่เป็นญาติของคุณนินทร์ใช่ไหมคะ”
 
“ครับ” เจ้าของบ้านตอบคำถามแทน และลดเสียงเป็นเพียงกระซิบหากพอที่ผู้เป็นเป้าจะได้ยิน “แต่ญาติชั้นไหนผมไม่แน่ใจ”
 
การบอกทำให้ทั้งสองผู้มาเยือนเงียบ ชนินทร์เลือกที่จะหลบตาชิษณุ แต่มณิกานต์…ไม่!
 
เธอจ้องเขา…เอาเรื่อง
 
“ดีใจจังที่ได้เจอเสียที” โฉมฉายเข้ามาจูงแขนหญิงสาว พาไปยังห้องกินข้าวที่อยู่อีกด้าน โดยมีสองหนุ่มตามหลังมา
 
ชนินทร์เปิดทางให้ชิษณุเดินนำเช่นเคย ส่วนเขาเดินตามหลังอย่างรู้หน้าที่ เป็นสิ่งที่ปฎิบัติมานาน
 
ความตึงเครียดเล็กน้อยที่เกิดขึ้นถูกกลบไปทันทีเมื่อมาถึงโต๊ะกินข้าว ชิษณุสรรหาเรื่องคุย แล้วยังกับข้าวหลายอย่างที่ถูกจัดมาอย่างประณีต พร้อมรสชาติอันแสนอร่อย ที่หญิงสาวผู้มาเยือนออกปากชมไม่ขาดสาย
 
มณิกานต์ต้องยอมรับว่านี่เป็นมื้อที่อร่อยสุดตั้งแต่หลบมาอยู่ที่นี่…อาจจะตั้งแต่กลับมาเมืองไทยเลยก็ได้
 
ตั้งแต่วิ่งหนีปัญหาจากกรุงเทพฯ มาอาศัยอยู่กับหมอชนินทร์ อาหารแต่ละมื้อของเธอมักจะเป็นบะหมี่สำเร็จรูปบ้าง หรือไม่ก็อาหารถุงที่ชนินทร์ซื้อเข้ามา น้อยครั้งที่ได้กินอาหารหลากหลายซึ่งล้วนเสิศรส
 
ในเวลานี้ เสียงสนทนาเรื่องสรรพเพเหระของสองหนุ่มทำให้มณิกานต์นึกสนุก เข้าร่วมการสนทนาด้วย จนลืมไปแล้วว่ามาอยู่บ้าน…ซ่องโจร
 
เจ้าของบ้านช่างชวนคุยและหาเรื่องมาเล่าไม่หยุด จนเธอถาม “ทำไมรู้เยอะจัง”
 
“เพราะผมเก่ง” รอยยิ้มบ่งบอกถึงอารมณ์สนุกหยอกล้อมากกว่าที่จะโอ้อวด
 
ชิษณุ…ในเวลานี้ไร้เงาของนักธุรกิจที่วางมาด มีชั้นเชิง  ใบหน้าของเขามีแววอ่อนโยน รอยยิ้มเปิดเผยพร้อมดวงตาสดใสอารมณ์ดี ช่างต่างจากรอยยิ้มและท่าทางเจ้าเล่ห์ที่เธอเคยเห็นในงานเปิดตัวคอนโดเมื่อหลายเดือนก่อน
 
มณิกานต์อดไม่ได้ที่จะคิด
 
ชิษณุคือใคร…เป็นคนแบบไหนกันแน่    
 
ทว่าอีกสามวันต่อมา แววตาที่สะท้อนจากใบหน้าคมคายนั้นปรากฏรอยชิงชังที่บรรดาคนสนิทต่างคุ้นเคยเป็นอย่างดี
 
ความสะใจเปิดเผยชัด  เมื่อตัวเลขราคาหุ้นของบริษัทก่อสร้างใหญ่แห่งหนึ่งนั้นเป็นสีแดง ร่วงบ้างขึ้นบ้าง แต่โดยรวมราคาดิ่งลงมาตลอดระยะเวลากว่าสามเดือน
 
ขาใหญ่เลิกพยุง…เป็นข่าวดีสำหรับการโจมตีของเขา
 
ใช้เวลาไม่นาน ก็สามารถเข้าครอบครองหุ้นในบริษัทนี้อย่างเงียบๆ
 
การซื้อขายนั้นไม่มีใครสงสัยเพราะวิธีการหลบเลี่ยงอันแสนแยบยลนั้นง่ายนักสำหรับคนอย่างชิษณุ บัญชีหลายบัญชีผ่านหลายบุคคล และนิติบุคคล มีเงินทุนหนาของเดวิดหนุนอีกแรง
 
ตอนนี้แค่รอจังหวะเท่านั้น แต่เขารอมานานแล้ว จะรอต่ออีกนิดก็ไม่เป็นไร…ให้ทุกอย่างสำเร็จตามแผนก็พอ
 
“คุณสารินขอเข้าพบค่ะ” เสียงโชติการายงานผ่านเครื่องติดต่อภายใน
 
“เชิญ”
 
สิ้นคำสั่งก็มีเสียงเคาะประตูห้องทันที การเปิดและปิดประตูเบา สารินผู้เป็นมือขวาและที่ปรึกษาคนสำคัญเดินเข้ามา ยืนนิ่งรอคำสั่ง
 
“เชิญครับคุณอา” น้ำเสียงนั่นเป็นกันเอง และให้เกียรติ
 
สารินเคยเป็นคนสนิทของพ่อ และเป็นคนที่ช่วยเหลือเขามาตลอดตั้งแต่…ครั้งนั้น ความเคารพจึงเป็นสิ่งที่เขามีให้อย่างเต็มใจ พอๆ กับที่อีกฝ่าย เกรง เขาในฐานะผู้เป็นเจ้านาย
 
“ผมขออนุญาตรายงานคุณณุเรื่องการซื้อหุ้นในโรงงานที่ฝ่ายโน้นถืออยู่ครับ”
 
การบอกทำให้ชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าถอนหายใจ นี่ก็อีกเรื่องที่เขากำลัง จัดการ
 
เทคโอเวอร์บริษัทก่อสร้างในตลาดหลักทรัพย์ แล้วไหนจะโรงงานผลิตน้ำผลไม้และผลไม้กระป๋อง
 
ธุรกิจนี้เป็นสิ่งที่เดวิดอยากได้ และเขาเองก็เห็นว่าน่าสนใจเพราะเล็งเห็นโอกาสปรับปรุงและทำมันให้มีกำไร  เขาและเดวิดจึงเข้าไปซื้อหุ้นใหญ่จากเจ้าของเดิมเมื่อหลายปีก่อน
 
กิจการที่ใกล้ล้มเพราะแบกหนี้ก้อนโตและการบริหารที่ขาดประสิทธิภาพนั้น  ฟื้นตัวได้ภายในเวลาไม่กี่ปีเพราะความสามารถของเขา ทว่าเมื่อทุกอย่างปรับเปลี่ยนเป็นบวกและกำลังไปได้ดี เจ้าของเดิมที่กลับไม่ยอมขายหุ้นส่วนน้อยที่เหลือในราคาที่ตกลงกันไว้
 
เงิน…เป็นปัจจัยสำคัญ
 
ความโลภทำให้อีกฝ่ายดึงดันที่จะถือครอง
 
“ทางโน้นมีทีท่าอ่อนลงครับ” สารินรายงาน “แต่เขาขอดูข้อเสนอใหม่ของเราก่อน”
 
“เพิ่มราคาอีกสามเปอร์เซ็นต์ แต่ผมจะไม่อดทนแล้ว ถ้ายังไม่รับ ก็คงต้องใช้ไม้แข็งเสียที” ชิษณุถอนหายใจยาว เหนื่อยหน่าย ร้อนใจ “ช่วงนี้คุณอาคงต้องเหนื่อยหน่อยนะครับ แต่ผมอนุมัติล่วงหน้าให้คุณอาลาพักร้อนได้สองเดือนทันทีที่เรื่องนี้จบ”
 
“ถ้าผมพัก คุณณุก็ต้องพักด้วย กี่ปีแล้วที่คุณณุไม่ได้หยุดเลย”
 
“ผมก็อยากพัก แต่มันหยุดไม่ได้ นี่อาทิตย์หน้าผมจะกลับไปอยู่เป็นเพื่อนป้าโฉมสักพัก อย่างน้อยก็สักอาทิตย์นึง ถือโอกาสดูโรงงานน้ำตาลด้วย อีกไม่กี่เดือนก็จะเข้าช่วงเปิดหีบแล้ว”
 
“ไม่พ้นเรื่องงานนะคุณณุ“
 
“งานมันต้องมีตลอดอยู่แล้ว ยังไงผมฝากคุณอาให้ดูแลทางนี้ด้วย”
 
“ไม่ต้องห่วงครับ” ผู้เป็นมือขวารับคำ
 
นานทีปีหนที่ผู้เป็นนายจะกลับไปอยู่ ‘บ้าน’ ยาวอย่างนี้ สารินเพียงหวังว่าเวลาแห่งความสำเร็จจากหยาดเหงื่อที่หลายคนทุมเทนั้นใกล้จะมาถึงแล้ว
 
คุณณุจะได้…หยุด
 
และเขาเองก็จะได้เกษียณเสียที
 
 
ดิลกยังคงจ้องมอนิเตอร์ที่แสดงราคาหุ้น ราคาที่วัดมูลค่าบริษัท และสถานะทางการเงิน
 
บริษัทที่เขาซื้อมาจากซากที่ถูกโล๊ะขาย ในราคาถูกแสนถูกเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ถูกเขาปั้นมันให้ผงาดอีกครั้ง
 
ราคาหุ้นตกมากเช่นนี้ เพราะการแพ้ประมูลโครงการก่อสร้างสำคัญๆ แล้วไหนจะเพราะ…ขาใหญ่ไม่เล่นตัวนี้ เมื่อขาดคนพยุงก็ขาดคนรับ แม้แต่เจ้าของบริษัทเช่นเขายังไม่สามารถพยุงราคาได้  เงินไม่พอ เพราะไปทุ่มกับการลงทุนในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่งเปิดตัวไป
 
ก้าวเร็ว…บางทีก็ทำให้ก้าวพลาด
 
ทว่าถ้าก้าวช้า….ก็อาจจะพลาดโอกาส
 
เรื่องธุรกิจ มีขึ้นมีลง มีได้มีเสีย มีผิดมีพลาด เป็นธรรมดา
 
แต่เรื่องลูก…หัวอกของผู้เป็นพ่อร้าวราญ เพราะไม่รู้ว่าลูกผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจนั้นเป็นตายร้ายดีเช่นไร ปลอดภัยหรือไม่ 
 
เบาะแสต่างๆ มืดมน นักสืบที่จ้างหลายคนก็ล้วนไร้ประสิทธิภาพในการหาข่าว
 
เสียงโทรศัพท์มือถือปลุกเขาจากความคิด ทว่าเพียงเห็นว่าใครกำลังโทรฯ เข้ามา ดิลกก็ต้องถอนหายใจ
 
“มีข่าวของลูกหรือยัง” อดีตภรรยาของเขาตวาดเสียงมาตามสาย
 
“ยัง…ถ้ามีฉันจะบอกเธอเอง” เขาเริ่มชินแล้วกับโทรศัพท์รายวันจากมณีรัตน์ “ไม่ต้องโทรฯ มาให้วุ่นวาย รำคาญ!”
 
“ไม่ได้อยากโทรฯ นักหรอก แต่ฉันเป็นห่วงลูก ตอนลูกอยู่กับฉันก็ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้ นี่ลูกคงตรอมใจที่เห็นพ่อทำบัดสีบัดเถลิง แก่แล้วยังตัณหากลับ”
 
“แล้วเธอล่ะ ทำอะไรบ้าง รู้อะไรบ้าง นี่ฉันยุ่ง แค่นี้นะ” เขาตัดบทรีบวางสาย ค่อยๆ หลับตา…รู้สึกถึงอาการบีบเบาๆ ที่หัวใจ
 
ความกดดัน ความเครียด ความเป็นห่วงล้วนบีบคั้นหัวใจเขาเหลือเกิน
 
มันบีบแน่น และแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนชาวาบไปทั้งตัว!
 
 
ทุกครั้งที่กลับบ้าน ชิษณุรับรู้ถึงความรู้สึกของความเป็น…คน
 
คน…ที่ไม่มีต้องพะวงกับความรับผิดชอบในธุรกิจมากมายมหาศาล
 
คน…ที่ไม่ต้องใส่หน้ากาก ฝืนทำเพื่อผลประโยชน์
 
คน…ที่ไม่ต้องแบกความชิงชังอาฆาตล้นเต็มหัวใจ
 
ในเวลานี้มีแต่…สุข…ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์คละเคล้าไปทั้งสองข้างทางที่ขนาบด้วยทุ่งกว้าง ไร่นา และสวนใหญ่ แซมทิวเนินเขียวขจีไล่เรียงไกลออกไป
 
การที่ได้อยู่…บ้าน ทำให้เขามีรอยยิ้มจากใจ มีมิตรไมตรีเหลืออยู่บ้าง
 
พื้นแผ่นดินในอำเภอเล็กๆ แห่งนี้ให้มากกว่าผลผลิตทางเกษตรกรรม
 
ผล…จากดินที่นี่ให้โอกาสเขาสร้างตัว…ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
 
‘ทุกคนต้องมีอาหารยังชีพ แต่หลายคนไม่เห็นคุณค่าของดินที่ให้ข้าวให้น้ำ   ดินที่ทำนาทำไร่ ดินที่อุดมสมบูรณ์ถูกแปรไปเป็นโรงงาน เป็นสนามกอล์ฟ’
 
นานมาแล้วผู้เป็นบิดาเคยสอนเมื่อสองพ่อลูกเดินท่ามกลางไร่อ้อย
 
‘ทั้งไร่ ทั้งนา และสวนของเรามีคนที่ต้องอาศัยมันประทังชีพ ทั้งการบริโภคและเรื่องทำมาหาเลี้ยงปากท้อง ลูกต้องอย่าทิ้งมัน ห้ามทิ้งคนของมัน’
 
ชิษณุจำคำสอนได้เสมอ และรับรู้ด้วยตัวเองในวันที่เขาไม่เหลืออะไรนอกจากพื้นดินเหล่านี้เป็นที่พึ่ง  เป็นทุนสานต่อธุรกิจ
 
ไร่และสวนในต่างจังหวัดที่หลายคนมองไม่เห็นคุณค่า แต่มันก็มีความหมายและมีค่าสำหรับเขา
 
ผลพลอยได้จาก ดิน ดันเขาให้ผงาดสู่ ฟ้า อีกครั้ง
 
และคนอย่างชิษณุ…ล้มแล้วต้องลุก
 
ลุกได้ต้องยืนให้มั่น
 
มั่นคงแล้วต้องเอาคืน
 
หัวใจที่มีแต่ความอาฆาตแค้นของเขากระชากเตือนเช่นนี้ทุกวัน
 
 
ใช้เวลาไม่นาน รถโฟร์วิลส์คันงามก็เข้ามาจอดหน้าประตูรั้วเก่า
 
หน้าต่างของบ้านไม้สองชั้นเปิดออกทั้งข้างบนและด้านล่าง รับลมสบายของวันที่แดดไม่จ้าจัด ร้อนเกินไปนัก
 
ชายหนุ่มกดแตรรถยาวหลายที ชะเง้อมองประตูทางเข้าตัวบ้านที่เปิดอ้า ทว่าไม่เห็นร่างอรชรที่คุ้นตา เขาดับเครื่องยนต์ แล้วเดินไปที่ประตูรั้ว ปีนข้ามไปอีกฝั่งอย่างง่ายดาย ขายาวก้าวเร็วเข้ามาสำรวจภายในบ้าน และเมื่อไม่เห็นใครจึงเดินอ้อมไปข้างหลัง ที่เป็นสวนรก  ได้ยินเสียงเฉาะก้านไม้เบาๆ กระท่อนกระแท่น
 
ภาพของหญิงสาวที่ใช้ปังตอเก่าฟันก้านกล้วยหนาทำให้เขาหยุดมอง
 
ร่างนั้นไม่บอบบางปลิวลมเหมือนพริมา และแม้จะมีน้ำมีนวลดูคล่องแคล่ว แต่ก็ยังไม่สามารถจะตัดก้านกล้วยหนานั้นให้ขาดได้เลย
 
ฝีเท้าที่สาวเข้าไปนั้นเบา จนเกือบถึงตัวอยู่แล้ว หญิงสาวผู้นั้นจึงหันมาอุทานเสียงหลง
 
“เข้ามาได้ไง” ความตกใจแสดงออกชัดเจน มือยังกำปังตอไว้แน่น หันปลายทื่อชี้มาทางผู้ที่ลอบเข้ามา
 
“ประตูซิคร้าบบ” เสียงลากยาวเหยียด “กดแตรแล้วไม่มีใครมาเปิดให้ก็เลยปีนเข้ามา”
 
“ฉันจะแจ้งความข้อหาบุกรุก เข้ามาในบ้านคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต” ใบหน้านั้นยิ้มท้าทาย หาเรื่อง
 
“ตามสบาย ผมซี้กับตำรวจที่นี่ อีกอย่างพี่นินทร์ก็ให้วีซ่าผมเข้าออกได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว” ชิษณุอ้างหน้าตาเฉย “แล้วนี่ทำอะไร”
 
“เห็นกล้วยมันได้ที่แล้ว เลยจะตัดออกมาน่ะ อยากกิน”
 
“เนี่ยนะ…ได้ที่ของคุณ” น้ำเสียงและแววตามีรอยขบขัน
 
“ใช่…” คนตอบมั่นใจ ทว่าฝ่ายส่ายหัว
 
“ก็ถูกของคุณ…มันก็ได้ที่หรอก” เขาพยักหน้าเหมือนเห็นคล้อยด้วย “ถ้าจะเอาไปขายในตลาด หรือจะรออีกสักอาทิตย์สองอาทิตย์แล้วค่อยกิน”
 
“จะมารู้อะไร้” มณิกานต์อดกระแนะกระแหนไม่ได้
 
“รู้มากกว่าก็แล้วกัน ผลกล้วยยังเขียวอยู่ และเหลี่ยมก็คมซะขนาดนี้ ควรรอให้ผลมันเริ่มออกเหลืองกว่านี้หน่อย นี่ลูกมันยังแข็งอยู่ ถ้าไม่รีบมากผมว่ารอก่อนดีกว่า  เชื่อเหอะ…ของดีมันต้องรอ”
 
หญิงสาวมองคนที่บรรยายอย่างไม่มั่นใจนัก…เชื่ออีตานี่ได้แค่ไหนเชียว และเหมือนเขาจะอ่านความคิดเธอได้
 
“ผมอาจไม่รู้ลึก แต่ก็พอรู้บ้าง ไม่ใช่จะไม่รู้อะไรเลย” ดวงตาวาววับจับจิต…จับอยู่ที่ใบหน้านวล แล้วจึงยื่นมือออกไป “ส่งปังตอมา ผมถือให้”
 
คำขอนี้อีกฝ่ายไม่ขัด มืดบังตอที่ขึ้นสนิมนี่หนักแสนหนัก ให้อีตาชิษณุถือก็ได้
 
“เข้าบ้านกันเถอะ ผมมีของมาฝากคุณด้วย”
 
“อะไรอีกล่ะ หวังว่าฉันไม่ได้ไปทำอะไรหล่นที่บ้านคุณนะ”
 
“เปล๊า” คนขายาวกว่าที่ก้าวนำอย่างชำนาญ ขึ้นเสียงสูง พลางบ่นกับตัวเอง “รกจัง พี่นินทร์คงไม่มีเวลาดู วันหลังผมจะส่งคนมาจัดการ…คุณเดินดีๆ ล่ะ”
 
“พี่หมอเขางานยุ่ง ไหนจะงานประจำที่โรงพยาบาล ไปช่วยที่สาธารณสุขอีก แล้วยังมีคนไข้ที่ให้ไปเยี่ยมที่บ้าน” มณิกานต์ถอนหายใจยาว “ออกไปแต่เช้ากว่าจะกลับก็ค่ำทุกวัน”
 
“คุณเหงาแย่ล่ะซิ”
 
“ชินแล้ว” น้ำเสียงเบาคล้ายรำลึกอะไรบางอย่าง
 
“แล้วทำอะไรแก้เซ็งล่ะ” เขาหยุด หันกลับไปถามคนที่เดินตามมา
 
“ทำความสะอาดบ้าน จัดโน่นทำนี่ หาหนังสืออ่าน เดินเล่น ขี่จักรยานไปข้างนอกบ้าง…มาสับกล้วยหาของกินหลังบ้านบ้าง แก้เบื่อ…”
 
คำบอกคล่องแคล่วของมณิกานต์ทำให้อีกฝ่ายหัวเราะ
 
“ผมคงเป็นบ้าแน่ๆ ถ้าต้องอยู่แบบนี้” ว่าแล้วชิษณุก็สาวเท้าเดินต่อ “วันๆ ทั้งเงียบ ทั้งเหงา ทำอะไรซ้ำไปซ้ำมา”
 
“คุณมันพวกบ้างานบ้าสังคม วันๆ ก็ทำแต่งานๆๆ พอตกเย็นก็ออกงานราตรีลันล๊า ควงดารา นางแบบ ไฮโซ” เจ้าหล่อนทำเสียงสูงจนน่าหมั่นไส้ เกือบชนหลังคนเดินนำหน้าที่หยุดกึก “อุ๊ย!”
 
“รู้ด้วยเหรอว่าผมบ้าทำงานบ้าสังคม แถมเรื่องดาราอะไรนั่น” สายตาคมพินิจ พิจารณา
 
“ก็…ก็ แหม…ใครๆ เขาก็พูดกันนี่” เธอหลบตาเขา รู้ตัวว่าเผลอหลุดปากไปเสียแล้ว “คนแถวนี้เขารู้กันทั้งนั้นว่าคุณบ้างาน ไม่ค่อยกลับบ้าน”
 
“เพิ่งรู้ว่ามีคนเอาเรื่องผมมานินทา”
 
“คิดมาก ไม่ได้นินทาหรอก” มณิกานต์อดคิดไม่ได้ว่าคำพูดของเธออาจทำให้ใครคนอื่นเดือดร้อนหรือเปล่า
 
เท่าที่ดูๆ อีตานี่เข้าข่ายเป็นผู้มีอิทธิพลเสียด้วย
 
“คนแถวนี้เขารักคุณจะตาย ถ้าคุณลงสมัครส.ส.นะ รับรองได้ชัวร์”
 
“แล้วคุณจะเลือกผมไหม”
 
“สำมโนครัวไม่ได้อยู่ที่นี่ย่ะ”
 
“ก็ย้ายมา…” รอยยิ้มดูเจ้าเล่ห์แกมโกง ก่อนที่เจ้าตัวจะบอก “เดี๋ยวผมเอาปังตอไปเก็บก่อนนะ คุณก็ไปล้างมือซะ ท่าจะโดนยางกล้วย”
 
“รู้เหรอว่าเก็บที่ไหน”
 
“รู้ซิ ผมเข้าออกที่นี่มาตั้งแต่เด็กๆ เหมือนบ้านหลังที่สองก็ว่าได้” ชิษณุพยักหน้าแล้วเดินไป
 
มณิกานต์สูดลมหายใจเข้าลึก มองตามเขาไปด้วยความกังวล
 
คนอะไร…น่ากลัวชะมัด
 
แถมท่าจะจับผิดชาวบ้านเก่งเสียด้วย

 
 

===========================================================
WARNING ---------- คำเตือน ---------- WARNING
===========================================================
 
= นิยายเรื่องนี้จะลงในเด็กดีและใน literature.bloggang.com และเปิดให้อ่าน แต่ผู้เขียนขอสงวนการปิดการอ่านใน 5 บทสุดท้าย และอาจจะปิดการอ่านของนิยาย...ก่อนหรือเมื่อมีการตีพิมพ์
= นิยายเรื่องนี้ได้เขียนไว้เกือบ 15 ปีแล้ว ผู้เขียนจะพยายามปรับเนื้อหาให้เป็นปัจจุบันนะคะ
= และเพราะนิยายเรื่องนี้ถูกแก้ไขมาหลายปีแล้ว การแก้ไขจะยังมีอยู่ตราบใดที่ยังไม่ตีพิมพ์ค่ะ
= ผู้เขียนน้อมรับคำท้วงติง คำติ คำเตือน และจะยินดีมากที่ผู้อ่านจะติชมค่ะ
 
ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกความปรารถนาดี ขอบคุณผู้อ่านที่อดทนในความไม่ค่อยเขียนของผู้เขียนนะคะ
 
: มานัส
Facebook : www.facebook.com/manasauthor
Blog : literature.bloggang.com
 

ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นเป็นของผู้เขียนตามกฎหมาย ห้ามคัดลอก ดัดแปลงหรือนำไปเผยแพร่ต่อไม่ว่าในกรณีใดๆ ไม่ว่าทั้งหมดหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง ด้วยวิธีใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของผลงาน

=====สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537=====


 




 

Create Date : 11 ตุลาคม 2562
0 comments
Last Update : 11 ตุลาคม 2562 15:31:13 น.
Counter : 574 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Sentimentally Smooth
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ชอบคิดชอบเขียนชอบพูด...และชอบเที่ยว

บทประพันธ์ที่ได้รับการตีพิมพ์ "ฤารัก"

หลงรักเพราะรักฤๅรักหลง
หลงลมรัญจวนไม่รู้หาย
หลงรูปหลงจูบเพียงร่างกาย
หลงง่ายหลงผิดฤๅหลงกล
Friends' blogs
[Add Sentimentally Smooth's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.